ตอน๒๑ ตะลอนเชียงใหม่
ผมไม่มีเหตุผลที่นอกเหนือจากนี้ใช่ไหม
หรือเป็นเพราะเขา...เพียงคนเดียว ที่ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้
ผมสะดุ้งโหยง แค่ได้ยินเสียงกับชื่อเรียกผมก็ทำใจผมให้ร่วงตกลงไปถึงตาตุ่ม หันหน้าไปมองตามเสียงที่ตวาดลั่นในบ้าน เจ้าพ่อเทียนหลงยืนกร่างอยู่หน้าประตู มองมาทางผมอย่างไม่ละสายตา ลูกน้องพ่อผมยืนปิดล้อมหลังเขาไว้หมด พ่อบีบไหล่ผมไว้แน่น ราวกับว่าจะไม่ปล่อยผมให้จากไปไหนอีก แม่นมที่ยืนอยู่ระหว่างกลางตัวสั่น เริ่มใจเสีย เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร
“แกมาที่นี่ทำไม” พ่อกดเสียงลงต่ำ
“คุณก็น่าจะรู้นะว่าทำไมผมต้องมาที่นี่”
“แกกล้ามากนะ กล้าที่มาเหยียบบ้านฉัน ฉันจะให้โอกาส แกรีบออกไปจากบ้านฉันซะ ไม่อย่างนั้นแกได้เห็นดีกับฉันแน่”
ชายชุดดำทั้งหลายควักปืนกระบอกสั้นเล็งมาที่เจ้าพ่อเทียนหลงเป็นเป้าหมายเดียวกัน แต่ร่างสูงกลับไม่สะทกสะท้านกับการขู่ ริมฝีปากเหยียดตรงแสยะยิ้มออกมา
“เก็บลูกปืนไว้ใช้กับคนอื่นดีกว่าไหมครับ ตอนนี้บ้านหลังนี้เป็นของคุณ แต่ถ้าคุณเบี้ยวสัญญา ผมก็จะกดโทรศัพท์สั่งลูกน้อง ไม่ถึงอาทิตย์คุณก็คงจะไม่มีที่ซุกหัวนอนเหมือนเมื่อครั้งนั้น”
“แล้วแกคิดหรอว่าฉันจะปล่อยให้แกทำอะไรได้ง่ายๆ”
“คุณคงจะลืมเมื่อครั้งที่แล้วนะครับ ผมใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ คุณก็ต้องยอมส่งลูกชายตัวเองมาเป็นตัวประกัน แต่ครั้งนี้ในเมื่อไม่มีตัวประกัน คุณก็คงไม่เหลืออะไร”
“ถ้าอย่างนั้นแกก็อย่าได้มีชีวิตออกไปจากบ้านฉันเลย” สิ้นสุดคำพูดของประธานสมาคม ลูกน้องของพรรคราชาพยัคฆ์ก็ยื่นนิ้วเตรียมเหนี่ยวไก
ร่างสูงยังอวดเก่ง ไม่มีทีท่าว่าตัวเองโดนปืนจ่อ แต่ใจผมมันหายวาบ เหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเมื่อตอนได้เห็นภาพนั้น เผลอตะโกนสั่งห้ามออกไปอย่างลืมตัว
“เดี๋ยวก่อน หยุด เก็บปืนลง” ผมสั่งเสียงรัว
ภาพในวันแรกที่ผมเข้าไปอยู่บ้านศิวโลกเทพปรากฏขึ้นมาในหัว คุณชนินทร์ยื่นปืนกระบอกเล็กให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ แต่เขากลับไม่รับปืนกระบอกนั้นไว้ เท่ากับว่าชีวิตผมรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเขา
“ทำไมลูก ฆ่ามันทิ้งซะตั้งแต่ตอนนี้ มันจะได้ไม่แว้งกัดเรา”
“เจ้าพ่อเทียนหลงตายในบ้านไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ สมาคมเราคงเดือดร้อนไปทั่วนะพ่อ” ผมหาข้ออ้างบอกพ่อตัวเอง แล้วหันไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าประตู “ส่วนคุณ กลับบ้านไปเถอะ”
“นี่นายคิดจะชิ่งกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอ นายรู้ทางเข้าออกบ้านและเรื่องของสมาคมฉันจนหมด แบบนี้เอาเปรียบกันไปหน่อยไหม”
“ไม่ต้องห่วง เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรของพรรคคุณทั้งนั้น”
“สรุปจะไม่กลับ” เขาเลิกคิ้วขึ้นถามผมเสียงสูง
“ใช่ ผมไม่กลับ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่ฉันสั่งว่าให้กลับ นายก็ต้องกลับ โดยไม่มีทางเลือก”
“แต่แกยังมีทางเลือก ระหว่างกลับบ้านไปดีๆ หรือจะทิ้งร่างไว้ที่นี่แล้วกลับไปแต่วิญญาณ แม้ลูกฉันจะห้าม แต่ถ้าแกยังมาทำกร่างต่อหน้าฉันอย่างนี้อีกล่ะก็...”
“ก็เอาสิ ถ้าคุณคิดว่าแน่จริง ก็ให้ลูกน้องยิงผมซะตอนนี้เลยสิ อย่าปล่อยให้ผมได้มีโอกาสกลับไปแก้แค้นจนคุณหมดตัวเหมือนครั้งก่อนอีก”
“อย่ามาท้าฉันนะ” พ่อขบกรามแน่น ท่าทางแบบนี้ผมรู้ว่าพ่อเอาจริง พ่อคงไม่ยอมเสียผมไปง่ายๆ อีกครั้ง และไม่ยอมให้เด็กรุ่นลูกอย่างนายเทียนมายืนลูบคมอยู่อย่างนี้
“หยุดได้แล้ว พอเถอะ คุณเทียน ผมตกลงจะไปกับคุณ” ผมหลับตาพูดออกไป มือผู้เป็นพ่อบีบไหล่ผมแน่น
“ซน ไม่นะลูก พ่อไม่ยอมให้ลูกจากไปอีกแล้วนะ พ่อพร้อมที่จะสู้กับมันทุกอย่าง”
“แต่คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรกับครอบครัวผมและสมาคมราชาพยัคฆ์ ห้ามทำเด็ดขาด”
“คนที่ชอบผิดสัญญาก็เห็นจะมีแต่คนตระกูลศารทูลนฤบาลอย่างเดียวแหละมั้ง”
“ซนอย่าไปฟังมัน ซนฟังพ่อ ไหนซนบอกว่าไม่อยากกลับไปอยู่ที่นั่น อยากอยู่กับพ่อไง ซนไม่ต้องไปกลัวมันนะ มันก็แค่ขู่เท่านั้น” พ่อเขย่าตัวผม คำพูดต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากคนเป็นพ่อ
“พ่อ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่กับพ่อ เขาไม่ได้แค่ขู่เท่านั้นพ่อก็รู้ดี ถ้าผมไม่ไป พ่อก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมไม่ได้กลัว แต่ผมเป็นห่วง เป็นห่วงพ่อ เป็นห่วงสมาคม”
“ก็ฆ่ามันทิ้งซะตั้งแต่ตรงนี้สิ”
“แล้วคุณชนินทร์ล่ะ คนของเทียนหลง คนของพรรคอื่นอีก เขาก็หาข้ออ้างมาล้มสมาคมของเราได้สิพ่อ”
“แล้วจะให้พ่อทำยังไง ให้พ่อเห็นลูกจากไปอีกครั้งน่ะหรอ”
“นมก็ไม่อยากให้คุณหนูไป คุณหนูอยู่กับนมที่นี่นะ” ร่างชราเอ่ยอย่างเสียงสั่นคลอน
ผมจ้องไปยังดวงตาที่คมกริบของชายตรงหน้า เขามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมดำขลับที่ปรกใบหน้าไม่สามารถบดบังแววตาที่แฝงอะไรบางอย่างยากจะเดา ที่ผมยอมกลับไปใช่เพียงเหตุผลเพื่อปกป้องสมาคมตัวเองอย่างเดียวแน่หรือ ผมไม่มีเหตุผลอื่นที่นอกเหนือจากนี้ใช่ไหม หรือเป็นเพราะเขา...เพียงคนเดียว ที่ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้
“แต่ผมจำเป็นต้องไป” ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บแต่ไม่อยากปล่อยออก ให้มันรู้สึกเจ็บไปอยู่อย่างนั้น
“ดี ถ้าอย่างนั้นรีบล่ำลา ฉันไม่มีเวลาว่างพอสำหรับนายทั้งวันหรอกนะ”
ผมจำใจต้องลาพ่อและแม่นมอีกครั้ง แม่นมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ท่านสะอื้นไห้จนเป็นลมล้มไป พวกสาวใช้ในบ้านเลยต้องรีบพาท่านไปพักผ่อน ผมกอดพ่อแน่นอีกครั้ง สีหน้าพ่อดูเหมือนจะไม่เข้าใจในตัวผมว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แต่ผมเชื่อ เชื่อว่าพ่อต้องเข้าใจ
ผมเดินตามนายเทียนไปยังที่รถลัมโบกินี่ของเขาที่ผมไม่ค่อยได้เห็นเอาออกมาขับสักเท่าไร กระทิงดุสีดำเรียบแต่ดูหรูหราสมกับเป็นรถสปอร์ตยอดนิยม ประตูยกเปิดขึ้นด้านบนได้เหมือนปีกนก รุ่นนี้ราคาเกือบ ๔๐ ล้านได้ แต่เงินแค่นี้ คนตระกูลศิวโลกเทพคงไม่เสียดายอะไร แม้สมาคมผมจะมีกิจการน้อยกว่าเขาไม่เท่าไร อำนาจเป็นรองเขาแค่นิดหน่อย แต่พ่อก็ไม่เคยซื้อรถยนต์มูลค่าฟุ่มเฟือยขนาดนี้ให้ ไม่ใช่เพราะประหยัดหรือเห็นว่ามันเกินความจำเป็นหรอกนะ แต่ผมขับรถไม่เป็นต่างหาก แม้แต่มอเตอร์ไซค์ก็ขับไม่เป็น ปั่นจักรยานให้ไม่ล้มก็เป็นบุญหัวตัวเองและคนซ้อนแล้ว
“ถึงขนาดต้องเอารถสปอร์ตราคาแพงมารับผมเลยหรอครับ”
“รีบขึ้นรถ ฉันจะไปทำธุระต่อ” มือหนาจับตัวผมยัดใส่เข้าไปในรถสองที่นั่งอย่างรุนแรง
คนหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา พอก้นติดเบาะก็เร่งเครื่องขับออกไปด้วยความเร็วสูง ทำเอาหลังผมอยู่ติดเบาะไม่ห่าง ผมจับเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น มองหน้าคนขับที่ใจร้อน
“นี่คุณ จะไปไหน จะรีบไปตายหรือไง ขับช้าๆ หน่อยไม่ได้หรอ”
“ฉันจะไปเชียงใหม่ นายทำฉันเสียเวลามามาก” ร่างสูงพูดไปแต่สายตายังจดจ่ออยู่กับเส้นทาง
“จะไปทำไม ผมไม่ไป ผมจะกลับบ้านคุณ ไม่ได้ให้คุณพาไปเชียงใหม่แบบนี้”
“ก็เรื่องของนายสิ จะอยากอะไรสักกี่อย่างก็ได้ แต่นายต้องไปเชียงใหม่กับฉัน”
“คนเผด็จการ พรุ่งนี้ผมต้องไปโรงเรียนนะ”
“แล้วไง ฉันก็มีเรียน นายจะขาดสักวันสองวันอาจารย์เขาจะคิดถึงจนสอนไม่ได้เลยหรือไง”
“คุณจอดรถเดี๋ยวนี้เลย ถ้าคุณไม่จอด ผมจะกระโดดลง” มองไปที่ข้างทาง รถแล่นผ่านไปด้วยความเร็วสูง ผมรู้ตัวดีว่าถ้าทำอย่างที่พูด คอผมคงกระเด็นหลุดเข้าไปในป่ารกข้างทาง แล้วตอนนี้รถก็แล่นออกมานอกตัวเมืองแล้วด้วย คงไม่มีหวังพอที่จะพึ่งจังหวะที่รถติด
“ถ้าแน่จริงก็กระโดดเลยสิ”
“คุณอย่าคิดว่าผมไม่กล้านะ อย่าลืมสิ ครั้งแรกที่คุณจับตัวผมไป ผมยังกล้าที่จะเสี่ยงเลย”
นายเทียนหันขวับมามองผม รถสปอร์ตคันหรูเบรกจอดข้างทางอย่างกะทันหัน ถ้าผมไปคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ มีหวังตัวผมคงได้ทะลุหน้ารถแน่
“นายจะเอายังไง จะไปเชียงใหม่กับฉันไม่ได้เลยหรือไง” เสียงตวาดลั่นรถ ทำหน้าดุเหมือนยี่ห้อรถตัวเองไม่มีผิด
“แล้วทำไมต้องเอาผมไปให้มันขวางหูขวางตาคุณด้วย ในเมื่อผมทำอะไรมันก็ขัดอารมณ์คุณซะหมด” ผมขึ้นเสียงใส่เขาไม่แพ้กัน
“รู้แล้วทำไมยังชอบทำอีก ตามใจฉันบ้างสิ”
“พูดอย่างกับว่าทุกครั้งผมไม่ได้ทำตามอย่างที่คุณบังคับอย่างนั้นแหละ หัดเลิกเอาแต่ใจบ้างเถอะ คุณรู้ไหมถ้าที่บ้านคุณไม่มีคุณพิสมัยแม่คุณ ยายยิ้ม พี่โชติ พี่อนงค์ แล้วล่ะก็ มันก็เป็นนรกดีๆ ของผมนี่เอง”
“สรุปที่นายหนีกลับบ้านแบบนี้ก็เพราะอยู่กับฉันแล้วไม่มีความสุขใช่ไหม เพราะฉันบังคับนายมากเกินไปใช่ไหม”
“ใช่ ผมหมดความอดทนกับนิสัยคุณแล้ว”
“ก็สันดานฉันมันเป็นอย่างนี้นี่นา รับไม่ได้หรือไง” ถึงปฏิกิริยาตอบโต้ว่ารับไม่ได้ แต่ในใจกลับรับได้เสมอ โทนเสียงเขาค่อยเบาลง ริมฝีปากแดงกล่ำเอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลออกมา “มองตาฉันสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมฉันถึงต้องบังคับนายไปซะทุกเรื่อง”
เหมือนต้องมนตร์สะกด ผมหันไปสบตากับดวงตาคู่คมกริบที่แทบไม่เคยเผยความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่ตอนนี้แววตาคู่นั้นกลับมีท่าทีว่าอยากจะบอกอะไรกับผมหลายอย่าง จนผมไม่อยากจะคิดไปเองว่าดวงตาคมประกายของเจ้าพ่อวัยเยาว์สื่อถึงความห่วงใย ความรู้สึกดีที่มีให้ต่อผม แล้วยังรวมไปถึง...ความรัก
“ทำไมต้องให้ผมจ้องตาคุณด้วย” ผมพูดอ้อมแอ้ม แล้วก้มหน้างุด วางมือทั้งสองข้างไม่ถูกจนต้องลูบเส้นผมตัวเองเล่น
“ฉันจะไปดูงานที่เชียงใหม่ ไปกับฉันนะ”
ผมไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เจ้าตัวก็รู้ว่าที่ผมนิ่งเงียบนั่นก็หมายความว่าผมยอมไปกับเขา รถสปอร์ตแล่นไปตามเส้นทางอีกครั้งด้วยอัตราความเร็วที่ลดลงเล็กน้อย ผมนั่งเงียบไม่กล้าเอ่ยปากคุยกับเขาตลอดทาง เขาเล่นกลอะไร ถึงให้ผมยอมได้ง่ายๆ อย่างนี้ ผมข่มเปลือกตาให้ปิดลง หวังว่าจะเข้าสู่นิทรา จิตใจจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย ระยะทางไกลแบบนี้ไปถึงจุดหมายก็คงรุ่งเช้าพอดี
รถแล่นเข้าสู่โรงแรมหรูห้าดาวใจกลางเมืองเชียงใหม่ตามเวลาที่ผมคาดไว้ไม่ผิด โรงแรมชั้นดีแห่งนี้เป็นกิจการในเครือมังกรสวรรค์ ผมได้อยู่ห้องพักหรูชั้นบนสุดมีประตูทะลุเข้าออกห้องนายเทียน ผมไม่ยอมที่จะนอนร่วมห้องกับเขาเด็ดขาด แม้ว่าเราทั้งสองจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม เพราะผมกลัวใจตัวเองจะออกมาดิ้นข้างนอกน่ะสิ เพียงผมให้เหตุผลไปว่าอึดอัด เขาก็ยอมมอบห้องนี้ให้ผมทันที ส่วนตัวเขาเองก็ไปนอนห้องข้างๆ ที่ติดกัน
ก่อนที่จะไปไหนต่อ ผมก็บังคับให้นายเทียนพาไปซื้อเสื้อผ้า ใช่...ผมบังคับเขา และเขาก็ยอมทำตามที่ผมบังคับ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องใส่ชุดนี้ซ้ำกันตลอดเวลาที่อยู่เชียงใหม่แน่
นายเทียนพาผมมาที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ตั้งแต่เขาให้ผมอ่านความในใจจากดวงตา รู้สึกว่าเขาจะแปลกไป ตั้งแต่ผมมาเลือกซื้อเสื้อและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ผมก็แทบไม่ได้แตะกระเป๋าสตางค์เลย มีเจ้าพ่อเป็นเสี่ยใหญ่คอยยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานรูดอย่างเดียว พอผมจะควักเงินจ่ายบ้าง เขาก็พูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ วนไปวนมาจนจับใจความไม่ได้ ส่วนของที่ซื้อมาก็ไปอยู่ที่มือเขาหมด
“หนักไหมคุณ ผมถือเองได้นะ”
“เดินเลือกของไปเถอะน่า ไปดูเสื้อร้านนู้นไหม น่ารักนะ” คนที่ข้าวของเต็มมือยังจะชี้นิ้วให้ผมเข้าร้านแบรนด์ดัง
“นี่คุณจะให้ผมอยู่เป็นอาทิตย์ หรือแค่วันสองวันเนี่ย เยอะไปแล้ว พอเถอะ เดี๋ยวไปถึงที่พักผมค่อยคืนเงินให้คุณนะ”
“ไม่ต้อง ขี้เกียจมานั่งคิดเงิน ขาสั้น ก้าวยาวๆ หน่อยไม่ได้หรือไง มาเดินข้างฉันนี่”
ผมรีบสาวเท้าตามคนขี้บ่นจนทัน แต่ความจริงเขาต่างหากที่ชะลอฝีเท้าให้ผม หันไปมองดวงหน้าคมคายของร่างสูงที่เอาแต่ชี้นิ้วแนะนำให้ผมไปเข้าร้านนู้นที ร้านนี้ที ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถึงแม้สีหน้าเขาจะไม่ค่อยมีรอยยิ้ม แต่กลับรู้สึกถึงความสุขที่เขามี
สถานที่ต่อไปที่เขาพาผมไปคือสวนสัตว์เชียงใหม่ ผ่านมาครึ่งวันแล้วผมยังไม่เห็นเขาจะไปดูงานอย่างที่พูดเลยสักนิด พวกเราเลือกที่จะเดินเที่ยวชมโดยไม่ขึ้นรถราง ในเมื่อเขามีเวลาให้ทั้งวันแบบไม่เร่งรีบ ผมก็ขอใช้เวลาที่ขาดเรียนมาพักผ่อนให้เต็มที่ ถือซะว่ามาเดินเล่นเยี่ยมชมสัตว์ไปเรื่อย
“เฮ้ย! ทำไมหน้าเหมือนคุณจัง” ผมสะกิดเรียกให้คนข้างๆ มาดู
“นี่แน่!” นายเทียนเอามือมาเขกหัวผมไปที “นายว่าฉันหน้าเหมือนลิงแสมตูดแดงนี่หรอ รู้อย่างนี้น่าจะจับไปปล่อยที่ลพบุรี นายจะได้เห็นฉันทุกวัน”
“แค่นี้ผมก็เห็นหน้าคุณทุกวันแล้ว”
“แล้วเบื่อไหม” คำถามที่แสนง่าย แต่กลับไม่มีคำตอบจากผม
ผมก้มหน้าสาวเท้าเดินไปต่อ คนตัวสูงก็รีบวิ่งมาเดินข้างๆ ผม คอยจิกกัดผมเกี่ยวกับสัตว์ไปเรื่อย แม้แต่ยีราฟ เขายังเอามาเปรียบเทียบกับความสูงผมได้เลย
เดินผ่านกรงเสือโคร่งขาวแล้วต้องชะงักยืนมอง มันน่ากลัว แต่ก็ดูสง่างาม ร่างกำยำยืนใกล้กับกองหินก้อนใหญ่ ม่านตาสีฟ้าที่จ้องมองมายังผู้คนราวกับอยากทำให้รู้ว่ามันคือเจ้าแห่งอำนาจผู้ทรงพลัง ทำให้นึกถึงตัวเอง ลูกราชาพยัคฆ์ ทำไมถึงได้ต่างจากมันเยี่ยงนี้
“สง่างาม สมกับเป็นเสือไม่มีผิด” ผมพูดกับตัวเอง ไม่รู้ว่าคนข้างๆ เขาจะได้ยินหรือเปล่า
“เขาน่าจะเอามังกรมาไว้ในกรงข้างๆ เสือกับมังกรจะได้อยู่ใกล้ๆ กัน”
“คุณจะบ้าหรอ มังกรมีจริงที่ไหน”
“นั่นสินะ แต่ถ้ามีจริงๆ แล้วเอามาไว้ใกล้กัน มันก็คงกัดกันตาย เหมือนกับเราไง”
“ทำไมต้องเหมือนเรา”
“ไม่รู้สิ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อย” เขาว่าพลางสาวเท้าก้าวเดินต่อไป
เดินไปคุยไปกับเขาก็สนุกอีกแบบ จะว่าไปผมก็แปลกใจกับตัวเองและเขาจริงๆ เมื่อวานมีเรื่องกันจะเป็นจะตาย แต่วันนี้กลับเดินคุยกันอย่างสบายใจ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขนาดผมบ่นกับตัวเองว่าเหนื่อย เขายังวิ่งแจ้นไปหาซื้อน้ำมาให้เลย หรือถ้าผมมีทีท่าว่าเมื่อย เขาก็จะหาที่นั่งพัก แล้วทำเป็นบ่นอะไรไปเรื่อย
“หมีโคอาล่า น่ารักจัง” ผมเกาะกระจกยืนมองเจ้าตัวน้อยที่เอาแต่นอนบนต้นไม้
“ชอบหรอ เอาไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวไหม”
“มันมีขายซะที่ไหนล่ะ”
“นายก็ทุบกระจกแล้วขโมยมันกลับบ้านเลยไง” นายเทียนอมยิ้มแล้วพาผมเดินต่อไป
ผมเป็นคนสู้แดดนะ เดินไปไหนไม่กลัวแดด แถมผิวยังไม่ดำอีกต่างหาก แต่ถ้าแดดมันจะแรงขึ้นอย่างนี้ ผมก็ขอถอยไปอยู่ในส่วนของนกเพนกวินดีกว่า เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย วันธรรมดาอย่างนี้ทำให้ในส่วนนี้คนแทบไม่มีเลย อีกทั้งยังอยู่ไกลจากหน้าประตูทางเข้ามาก
เจ้าตัวท้วมก็เดินตัวโยกสั่นปีกไปมา เห็นท่าเดินแล้วตลก แต่พอเห็นมันกระโจนลงไปว่ายน้ำแล้วน่าทึ่ง มันกลับใช้ปีกว่ายน้ำได้อย่างไม่เก้งก้าง
“ผมไม่เดินท่าเพนกวินให้คุณดูหรอกนะ” ผมพูดดักคอคนข้างๆ
“ไม่ให้ทำหรอกน่า นายว่านกเพนกวินมันวิ่งได้ไหม”
“วิ่งได้สิ วิ่ง กระโดด ปีนป่ายบนก้อนน้ำแข็ง มันทำได้หมดเลยนะ” ปากพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่สายตายังจดจ้องอยู่กับเหล่าฝูงเพนกวินที่เดินไปเดินมา
“หรอ ไหนลองวิ่งให้ฉันดูหน่อยสิ”
“คุณจะบ้าหรอ ผมไม่ใช่นกเพนกวินนะ อย่ามาหลอกแกล้งผมซะให้ยากเลย”
นายเทียนอมยิ้ม เขากลั้นไว้จนแก้มแทบปริออกมาอยู่แล้ว ไม่รู้จะเก๊กทำมาดขรึมไปถึงไหน เห็นเวลาที่เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างจริงใจ มันช่วยสร้างเสน่ห์ให้เขาได้มากเลยนะ
“จะอมยิ้มไปทำไมคุณ อยากยิ้มก็ยิ้มออกมาเลยสิ”
“ก็ฉันไม่อยากยิ้ม”
“ฝึกยิ้มหน่อยสิ ไม่ใช่ปั้นหน้าเดียวเหมือนนกเพนกวินพวกนี้”
“ไหนนายลองยิ้มหน่อยสิ”
ผมหันไปยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ จนเขาน่าจะเห็นฟันผมครบทุกซี่ ดวงตาเจ้าเล่ห์มองใบหน้าผมที่เปื้อนรอยยิ้มนานเกือบนาที จนริมฝีปากผมค่อยๆ หุบยิ้มลง เจ้าตัวถึงได้รีบหันหลังขวับแล้วเดินออกจากอุโมงค์เพนกวินทันที
“คุณอย่าขี้โกง ผมยิ้มให้คุณดูแล้ว คุณยิ้มให้ผมดูบ้างสิ”
“ฉันบอกตอนไหนว่าจะยิ้มให้นายดู อย่ามาโมเมเอาเอง” ถึงแม้เขาจะพูดแบบนั้น แต่เขารู้ตัวไหมว่าตอนที่พูด เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เราเดินกันไปจนรอบสวนสัตว์ เล่นทำเอาผมเมื่อยไปทั้งตัว สวนสัตว์ใหญ่แล้วยังจะเป็นเนินเขาให้ขึ้นไปอีก ทำเอาคนดื้อดึงไม่ยอมขึ้นรถรางอย่างผมถึงกับต้องลากขากลับมายังที่รถ ส่วนเจ้าของโครงการก็ใช่ย่อย บ่นผมได้ตลอดทางว่าเป็นต้นเหตุให้เขาเมื่อยขา อย่างนี้มาโยนความผิดให้ผมคนเดียวชัดๆ เลย
“อยากไปถนนคนเดิน ไปเดินเล่นกัน”
“ปัญญาอ่อน ถนนคนเดินที่ไหนมีวันธรรมดาอย่างนี้ เขามีวันเสาร์ อาทิตย์กัน อยากเดินมากไหม จะได้อยู่รอให้ถึงวันนั้น” ไม่รู้ว่าถามเพื่ออยากจะพามาหรือประชดกันแน่ ผมเลยไม่ตอบเอาซะเลยจะดีกว่า
รถแล่นไปตามทางเพื่อกลับเข้าสู่ที่พัก ผมหันไปมองริมสองฟากฝั่งของเมืองเชียงใหม่ในยามเย็น ครึกครื้นไม่ต่างอะไรกับในกรุงเทพฯ มากนัก รถก็เยอะพอตัว ทำให้ติดกันได้เกือบทุกแยกไฟแดง ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาเย็นแบบนี้ วันนี้ทั้งวันเขาก็อยู่แต่ในห้างสรรพสินค้ากับสวนสัตว์ ไม่เห็นไปดูงานอย่างที่อ้างไว้เลย แบบนี้มันโกหกกันชัดๆ เลยนี่นา
ไอร้อนจากเครื่องทำน้ำอุ่นเกาะกระจกที่กั้นสำหรับอาบน้ำจนเป็นฝ้า ผมปล่อยตัวไปตามสบายให้อยู่ภายใต้สายน้ำที่อุ่นพอเหมาะ เผื่ออาการปวดเมื่อยจากการเดินมาทั้งวันจะบรรเทาลงบ้าง
เสียงกุกกักเบาๆ จากข้างนอกทำให้ผมต้องปิดน้ำเพื่อเงี่ยหูฟังอีกที แต่คราวนี้กลับไม่ได้ยินเสียงนั้นแล้ว คงจะเป็นนายเทียนที่เปิดประตูเชื่อมระหว่างห้องแล้วถือวิสาสะเข้ามาในห้องผม แต่ผมก็ลงกลอนประตูห้องฝั่งผมเรียบร้อยแล้ว เขาจะเข้ามาได้อย่างไร
ผมหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้มาคลุมตัว หยิบผ้าเช็ดตัวผืนหนาใหญ่ที่พาดอยู่บนราวมาพาดที่ไหล่ แล้วเปิดประตูห้องน้ำ ก้าวเท้าเดินออกไป
~ปั่ก~