อาถรรพ์พงไพร ๕
อยากเอื้อนเอ่ยให้เจ้ารู้
ถึงความถวิลหา
จากเหล่าเกลอแท้
แต่ทำมิได้...
ตรอมตายเก็บจำความขมกลืน
รอเวลาจักปลดเปลื้อง...
เจ้าดวงตากล่องดวงใจแสนเวทนา
เจ็บร้อนรุ่มสุ่มอกทรวงเจ้าตัวน้อย
ถูกกุมขังกักเหนี่ยวเพียงเดียวดาย
ต้องมารร้ายระกำฤทัยเท่าใด
คงต้องทำ
ต่อให้เจ้าร่ำร้องปานขาดตัวตาย
จงอย่าได้เอ่ยเรียก
...จ้าวพ่อ...
ลูก... สามตัวอักษรสั้นๆยังคงลอยวนไปวนมารอบสมองซึมลึกเข้าไปยังชั้นลึกส่วนลับสมองของนายชลธี ตอนนี้ผมกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องน่าเหลือเชื่ออยู่ครับ ไอ้เรื่องที่ว่าไอ้พี่นาทเป็นมังกรว่าน่าตกใจแล้ว มันยังน้อยครับ! ยังมีเรื่องของไอ้พี่สกายที่เป็นเสือดำอีก ไหนจะเรื่องยูนิคอร์นม้ามีเขาอีก แต่มันยังไม่ทำให้ผมตกใจเท่า...
ไอ้พี่กัมปนาทมันมีลูก
ลูกชายด้วย
โอ้ ขอยาดมที รู้สึกวิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
ผมแสร้งเดินไปเดินมาอยู่แถวระเบียงมองดูบรรยากาศรอบตัวแต่หูนี่เงี่ยฟังสองคนนั้นคุยกันอย่างไร้มารยาทตลอดเวลา โธ่ถัง แล้วคุณไม่อยากรู้รึไง
“ แต่ยังไงก็ต้องให้น้องกินดีๆนะครับ ไปง้างปากน้องเดี๋ยวจะยิ่งร้องไห้ใหญ่นะครับ ” ยูนิคยังคงพูดหาทางอื่นที่ดีกว่านี้
จะว่าไปเด็กหนุ่มคนที่ชื่อยูนิคเนี่ยน่ารักน่าเอ็นดูดีนะ ตัวผอมๆบางๆลมพัดทีน่าจะปลิวได้นะ ที่น่าสนใจคือ เส้นผมสีเหลืองอ่อนเนื้อครีมนั้นมากกว่า เหมือนสายไหมเลย... จะว่าไปก็เริ่มหิวขึ้นมา
“ เลี้ยงเด็กไม่เป็นด้วยสิ ” ไอ้พี่นาทยกมือเกาท้ายทอยอย่างครุ่นคิด
บ๊ะ! นี่ลูกเอ็ง แต่เอ็งเลี้ยงไม่เป็นเนี่ยนะ
พ่อประสาอะไร แย่จริงๆ
ผมส่ายหน้าเอือมระอาแม้จะยังหันหลังให้กับทั้งคู่อยู่ อืม... หิวจริงๆนะมือไวเท่าความคิดยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาที่บ่งบอกเวลาเกือบจะเที่ยงตรงแล้ว มิน่า ผมถึงได้หิว ท้องอย่าเพิ่งร้องๆ เผือกต่อก่อน
เสียงเล็กดูลำบากใจและคิดหนักสุดๆ “ ยูนิคฟังจากพี่สกายแล้ว... ลองให้...เลี้ยงได้รึเปล่า ”
“ ไม่ได้! ” คนนี้ก็ปฏิเสธแทบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง “ ยังไงก็ไม่ได้ ต้องรอเวลา ร่างกายมนุษย์รับพลังของพนาไม่ได้ ”
“ ยูนิครู้ว่าต้องรอเวลา... แต่นั่นมัน...” ร้องโอดครวญ
“ ข้ารู้... มันทรมาน ”
สีหน้าของมังกรหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งเกร็งเครียดจนเส้นผมสีดำค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มโดยไม่รู้ตัวบวกพร้อมด้วยดวงเนตรสีน้ำเข้มภายในนั้นกำลังกรุ่นคุกด้วยความหวาดกลัวแต่ยังคงมีความหวังอยู่... บรรยากาศรอบตัวดูเย็นเยียบสะท้านอกขึ้นมา
“ แต่เราทนกันมากว่าหลายร้อยปีของมนุษย์แล้ว... จะทนต่อไปอีกหน่อยก็ไม่ต่างกัน ” ผมหรี่ตามองอากาศมองแสงแดดแล้วฉงนใจ... อะไร เมื่อกี้ยังอุ่นๆอยู่เลย ทำไมหนาวเยือกแบบนี้ ปรับสีหน้าปกติเลิกสนใจฟ้าฝนแล้วเงี่ยหูฟังต่อ ผมว่าเรื่องมันค่อนข้างจะมาถึงจุดพีคแหละ หลายร้อยปี พวกเอ็งเป็นอมตะกันรึไงฟะ ชลธีได้แต่คิดแล้วก็สงสัย...
“ ทนน่ะทนได้ครับ แต่พวกนั้นไม่ได้รอเรานะครับ ” สายตาเต็มไปด้วยความกังวล “ จะโจมตีเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ”
“ ตราบใดที่ ’มัน’ ยังหาทางแก้ไม่ได้ เรายังคงเบาใจ ”
“ ท่าน... ไม่รู้ว่าท่านจะทราบรึยัง คนของเราได้ข่าวมา ” ท้ายประโยคแทบจะกระซิบ ” ทางนั้นกำลังพยายามตัว...อยู่ครับ ”
“ ...พวกมันต้องการอะไร ” ไอ้พี่นาทกัดฟันถามเสียงหนัก
“ เลือดครับ... ” ยูนิคว่า ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ แต่เลือดในตอนนี้ใช้การอะไรไม่ได้ถึงพวกมันจะได้ไป เพราะเป็นเลือดธรรมดา ”
เฮ้ย เลือด! มันจะเอาเลือดมาทำอะไรกันฟะ หรือ...มันจะกินเลือดกันเป็นอาหาร!! ไอ้ผมที่ยืนอยู่ห่างๆเริ่มเหงื่อตกเขื่อนแตกทำนบพังเลยทีเดียว กูจะโดนเขมือบเปล่าเนี่ย ...แล้ว แล้วที่ไอ้พี่นาทพาผมมาบ้านนี่ก็เพื่อฆ่าแล้วกินใช่มั้ย!! ว้ากกก ไม่เอาเว้ย! ยังไม่อยากตายนะ เอาไงดีๆ หาทางหนีดีมั้ย หรือจะเนียนทำเป็นไม่ได้ยินดี เฮ้ย แต่แม่งคงไม่หรอกมั้ง ไอ้ผมก็ชอบคิดเป็นตุเป็นตะ คงไม่มีอะไรหรอกก #ปลอบใจตัวเอง
“ ถึงยังไง... ข้าก็ไม่มีทางให้พวกมันได้เลือดไป ”
“ หรือแม้จะแตะตัว... ก็ไม่มีวัน ” โห คำพูดพี่แม่งเท่ฝุดๆว่ะ ตบมือให้ๆ
แล้วไอ้คนนอกอย่างผมจะเลิกแอบฟังห่างๆงงอย่างห่างๆ อึ้งมึนเอ๋อแบบนี้สักที ฟังไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ยยย ทั้งที่น่าจะตีเรื่องออกบ้างตามประสาคนฉลาด... ฮึ ไม่ เราโง่ เราตีเรื่องออกอ่ะ งงชิบ มันพูดเรื่องบ้าอะไรกัน ไม่ได้เข้าใจขึ้นเล้ยยย แอบฟังไปนี่แทบศูนย์บอกไว้เลย
“ เฮ้อ จริงๆบอกไป ทุกอย่างน่าจะจบไวขึ้น แต่...มันดันพูดไม่ได้นี่สิครับ ” เด็กหนุ่มระบายลมหายใจออกมานวดขมับเบาๆอย่างเครียดไม่แพ้กัน
“อดทนจนกว่าจะถึงวันที่เหมาะสม ” ไอ้พี่นาทว่าสบายๆโยกหัวคนตัวเล็กไปมาเหมือนไม่อยากให้กังวล
“ ยังไงยูนิคก็ว่า เราต้องตื่นขึ้นก่อน เพราะเขาดันเล่นสวนกลับแรงซะขนาดนั้น ไม่น่าจะตื่นขึ้นได้ง่ายๆ ” เสียงใสหัวเราะร่าก่อนเสียงทุ้มจะหัวเราะตาม
“ เขาเคยยอมใครที่ไหนกัน ” มันว่า “ เราน่ะ ไปตั้งโต๊ะได้แล้ว จะเที่ยงแล้ว ”
“ ครับๆ ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารัวๆก่อนจะเสมองมาทางผมแล้วยิ้ม “ เจ็ดที่นะครับ ”
“ ของพนา ยกไปบนห้องน่ะ ”
ไอ้พี่นาทกำชับเบาๆ แต่ไอ้ผมเนี่ยเสือกได้ยิน นี่ใครครับ ชลธีไง เรื่องเผือกๆเสือกๆของถนัดไม่มีทางเล็ดลอดไปจากหูทิพย์ของผมได้หรอก ทั้งที่เมื่อกี้บอกจะเลิกเผือกนะ แต่หูดันไวเมื่อพูดถึงเด็กพนา แต่ทำไมมันดูจะหวงลูกมันจัง อยากเห็นหน้าเด็กจัง มันต้องแอบไปทำสาวท้องมาชัวร์ หน้าหล่อแบบนี้ไปฟันแล้วทิ้ง สุดท้ายต้องรับผิดชอบเด็ก พอได้เด็กมาก็ไม่ชอบเด็กทำร้ายทารุณกักขังเด็ก โฮ ช่างน่าสงสารจริงๆลูกพนา เลวจริงๆไอ้พี่นาท #เรื่องมโนแต่งเรื่องยกให้ผมเถอะ
ผมหันไปทางทั้งคู่แล้วเดินเข้าไปหาอย่างเนียนๆ เมื่อคิดอะไรดีๆออก ใจหนึ่งก็กลัวเรื่องที่สงสัยว่ามันกินเลือดเป็นอาหารหรือเปล่า แต่ความสงสัยใคร่รู้มีมากจนกลบความกลัว ถ้าวันนี้ไม่ได้เห็นหน้าลูกมัน คนขี้เผือกอย่างผมคงนอนไม่หลับตาค้างยันเช้าแน่ เพราะงั้น...
“ พี่นาท คืนนี้ผมค้างที่นี่ได้ปะ ” หันไปทำหน้าซื่อไร้พิรุธ
ทั้งคู่เลิกคุยกันแล้วหันมาจ้องผมแบบไม่เชื่อหู “ หา / หา อะไรนะ ” ไม่ใช่แค่ไอ้พี่นาทคนเดียวที่งง เด็กหนุ่มน่ารักก็งงไปตามกัน แต่เสี้ยววิ ไอ้หน้าหล่อๆของคุณพี่มังกรก็กระดี๊กระด๊าเป็นมังกรได้ขนมทันที
มันเดินมาคว้าไหล่ผมแล้วเขย่าเมื่อเก็บอาการดีใจไม่อยู่ “ ชลจะนอนที่นี่จริงเหรอ! ”
“ เออ ขี้เกียจเดินลงเขา ” แถครับ งานทอแหลต้องมา ทำท่าทำทางปวดขาด้วยครับ มันจะได้เชื่อ
“ งั้น งั้น ” ดูมันจะดีใจเกินเหตุจนเรียบเรียงคำไม่ถูก
ผมถาม “ นอนได้ปะ ”
“ ได้สิๆๆ ” หน้าตานี่ดีใจจนฉุดไม่อยู่แหละพี่ หุถบยิ้มหน่อยดิ๊
“ แล้วให้ผมพักห้องไหนได้บ้าง ”
“ ห้อง เอ่อ ที่ห้อง ” มันกะพริบตาปริบๆเหมือนนึกไม่ออกเรียงสมองคิดไม่ทัน เด็กยูนิคเลยชิงพูดขึ้น
“ งั้นก้อออ...ให้เพื่อนท่านท้าวนอนห้องท่านท้าวสิครับ ง่ายจะตาย ” น้ำเสียงร่าเริงว่างั้น แต่เดี๋ยวๆ ไม่ใช่แล้วมั้ง ง่ายไปมั้งน้องครับบบ ไม่เอา
“ คือว่า ” อ้าปากเตรียมปฏิเสธ
“ ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีห้องอื่น ยูนิคยังไม่มีเวลาทำความสะอาดนะครับ ” เหมือนเด็กจะรู้ทันรีบดักคออย่างไวว่อง “ นอนห้องท่านท้าวเถอะนะครับ ”
“ ใช่ๆ ” ไอ้เวรมังกือก็รีบพยักหน้ารับทันทีไม่มีใครสนใจหน้าผมสักนิดเล้ยยย ว่ากำลังทำสีหน้าพอใจแค่ไหนที่จะต้องนอนห้อง
เดียวกับมัน ประชดครับประชด
ผมโวย “ ไม่เอา! จะนอนคนเดียว! ”
“ อย่าดื้อสิครับชล เป็นเด็กดีหน่อยสิ ” น้ำเสียงหวานอ่อนโยนว่าเบาๆตบท้ายด้วยรอยยิ้มเทวดาที่ผมไม่เคยจะขัดมันได้สักครั้ง จริงๆอยากขัดอีกรอบนะ แต่ผมแม่ง... พ่ายแพ้ตั้งแต่มันพูดประโยคอันตรายต่อการแกว่งของหัวใจเมื่อกี้แล้ว เกือบใจอ่อนจริงๆ แต่ประโยคถัดมานี่ผมขึ้นเลย!
“ ถ้าไม่นอนห้องพี่ พี่จะไม่ให้กินข้าวกินขนมนะ ”
กูไม่ใช่เด็กนะเว้ย!!
ทำหน้าจริงจัง “ ยอมอดข้าวเว้ย ถ้านอนห้องพี่อ่ะ จะนอนคนเดียว! ”
ไอ้พี่นาทมันส่งสายตาไปให้เด็กยูนิค ไอ้เด็กน่ารักเลยช่วยกล่อมผมอีกแรง
“ พี่... เอ่อ ” ทำหน้างงๆไม่รู้จะเรียกผมว่าอะไร
“ ชลธีครับ ”
น้องพยักหน้ารับ “ ครับ พี่ชลธา... ชล...ธี ”
ผมจิกตามองเด็กที่พลิกลิ้นพูดใหม่อย่างน่าสงสัย เมื่อกี้จะเรียกผมว่าอะไรนะ
“ พี่ชลธีครับ คือ นอนห้องท้าวเถอะนะครับ ยูนิคไม่ว่างหาห้องให้ใหม่จริงๆครับ ” ทำหน้าตาน่าสงสารใส่อีก
ไอ้พี่นาทเสริม “ ใช่ๆ สงสารเด็กนะ ”
เห็นดีเห็นงามกันจริงนะ!
“ พี่นอนห้องอาหารก็ได้ ” ปาดเหงื่อเล็กน้อยเมื่อเจอลูกอ้อนของเด็กน่ารัก
น้องเบะปากแล้วส่ายหน้า “ ไม่ได้นะ นอนห้องนี้เดี๋ยวไม่สบาย แล้วยูนิคจะรู้สึกไม่ดีนะ ”
ยัง... ยังไม่หยุดอ้อนอีก
ผมเม้มปากแน่นเมื่อมองหน้ายูนิคตรงๆ ทำไมรู้สึกใจมันอ่อนยวบไม่กล้าจะไปขัดอะไร ปกติผมก็มักใจอ่อนยวบเป็นเยลลี่กับพวกเด็กอยู่เป็นทุนเดิม
“ นะคร้าบบบบบบ ” มาเกาะแขนยิ้มตาปิดให้อีก โอ๊ย ตายๆ ยอมแล้วครับ ยอมมมม
“ เอ่อ... ” กูควรทำไง
“ ชล อย่าดื้อสิ ” ไอ้เจ้าของห้องนี่ก็หุบยิ้มสักทีเซ่! มึงกำลังล่อลวงกูอยู่สินะ ไอ้มังกรเจ้าเล่ห์!
ยูนิคก็ยังคงตื้อไม่เลิก “ นอนห้องท่านท้าวเถอะครับ ไม่มีอันตรายนะ ”
มันนั้นแหละตัวอันตรายเลย!
อันตรายต่อหัวใจ! ผมทำหน้าจะร้องไห้แล้วตอบอย่างจำยอม “ ก็ได้ ก็ได้ นอนห้องท่านท้าวของเราก็ได้ ”
โฮ แม่จ๋า หนูไม่อยากนอนกับสัตว์ประหลาดดด
เดี๋ยวมันกินหนูเข้าไปจะทำไง
“ ดีมากครับ ” เจ้าของห้องรีบขยับยิ้มกว้างแล้วหันไปขยิบตาส่งซิกกับยูนิค อารมณ์แบบ... นายเจ๋งมาก เดี๋ยวมีรางวัล แล้วจากนั้นเด็กยูนิคก็เดินฮัมเพลงออกไปปล่อยให้ผมแยกเขี้ยวเขาโหล่ควันออกหูอยู่กับมันสองคน
“ ถ้าทำอะไรผมตอนหลับ ผมเอาเรื่องแน่ ” ชี้หน้าขู่เลย
“ พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก ” มันโน้มลงมาจนจมูกเราชนกัน...
“ ขอนอนกอดเฉยๆก็พอ... ” ฉ่า.../ / / / / / / / / / / / / / / /
กอด!!
ผมถึงกับไปไม่เป็นเลยคุณก็ดูน้ำเสียงมันดิแม่งโคตรจะเซ็กซี่ฟีโรโมนพุ่งพรวดให้คนฟังหน้าร้อนขึ้นมาได้เนี่ย มันร้ายมั้ยล่ะ!
ระหว่างที่ผมมัวแต่เขินอยู่มันก็เอ่ยขึ้นใหม่ให้ผมหน้าแตกเล่น
“ กอดเฉยๆ เพราะพี่ติดหมอนข้างอ่ะ ไม่มีไร ”
ผมทำหน้าเหลอหลาชะงักความคิดล้านเจ็ดแทบไม่ทัน
“ อะไร หวังอะไรอยู่เหรอ ” รอยยิ้มแพรวพรายถูกหยิบยื่น
แอ่ยเสียงแข็ง “ ใคร! ใครเขาคิดอะไร ไม่มีเว้ย ”
“ เหรอออ ” มันทำเสียงกวนตีน “ แต่หน้าแดงนะเรา ”
“ ใครหน้าแดง!! ใครเขาเขินกัน ไม่มีเว้ย!! ” ไอ้พี่นาททำหน้าอึ้งกอนเเก้มมันจะขึี้นเลือดฝาดหลังจากฟังจบ... ส่วนผมเองนั้นก็ชะงักปากแทบไม่ทัน ชลธี! แกพูดบ้าอะไรออกไป หา! ไปปล่อยไก่ปล่อยเป็ดให้เขารู้ได้ไง อยากจะเอาหน้ามุดดินอิบอายเลย
ผมเสตามองไปทางอื่นเพื่อสงบสติอารมณ์ความฟุ้งซ่าน ส่วนไอ้พี่นาทก็ปล่อยให้ผ่านไปเงียบๆหลายนาทีไม่พูดอะไร ทำดีมากเลือกที่จะไม่แซวผมต่อ... โคตรรักพี่เลยว่ะ
“ พี่จะทำเป็นไม่รู้แล้วกันว่าชลเขินพี่ ” มันว่ายิ้มๆ แล้วยกสองมือหยาบมาหยิกแก้มทั้งสองข้างของผมแล้วหัวเราะสุขใจเป็นที่สุด
ผมขอถอนคำพูดเมื่อกี้!!
ฆ่ามังกรถึงจะผิด พรบ.คุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์มั้ย
เออ... แล้วมังกรมันจัดอยู่ในประเภทสัตว์อะไรหว่า...
“ หยุดพูดเลยนะเว้ย หยุด!! ”
เลิกคิ้ว “ ทำไมต้องหยุด ”
ดวงตากลมโตของผมตวัดมองอย่างเอาเรื่อง แต่ไอ้คนหาเรื่องกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ มาต่อยกันสักยกมั้ย! ” ตั้งการ์ดเตรียมต่อยเต็มที่
“ เลิกเล่นแล้วเป็นเด็กได้แล้ว ไปกินข้าวเที่ยงกันดีกว่า ” ริอาจมาทำเสียงดุใสอีก
พอเห็นผมทำท่าจะอ้าปากด่าอีกยก ไอ้มังกือเจ้าเล่ห์ได้ถือวิสาสะจับมือแสนนุ่มนิ่มของผมลาก ย้ำว่าลาก เพราะผมพยายามขืนตัว เห็นบ้าๆบอๆ ก็ไม่ง่ายนะครัช เห็นแบบนี้รักนวลสงวนตัวด้วย จะให้ผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆได้ไงกัน เอ๊ะ แต่กูก็ผู้ชายนี่น่า ลืม แต่ถึงจะขืนตัวไปยังไงก็สู้แรงมันไม่ได้ มันพยายามลากผมเข้ามาในห้องอาหารที่ตอนนี้มีบุคคลใหม่อีกสองคนกำลังจัดจานจัดโต๊ะอาหารอยู่
พอผมกับไอ้คุณเจ้าของบ้านเข้ามาพวกเขาสองคนก็หันมามองตามๆกัน ไล่มองจากพี่นาทและมาที่ผม พอเห็นผมเท่านั้นแหละเบิกตาโตหน้าซีดราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆไม่ปาน
นี่คนนะ ไม่ใช่ผี แถมหล่อมากด้วย หรือพวกเขาจะตะลึงในความหล่อของเรากันนะ #สะบัดบ็อบใส่
เสียงเข้มคนไร้มารยาทที่จับมือผมเอ่ยเสียงดัง “ อย่าพูดอะไรออกมานะ ”
ที่พูดดักไว้เพราะเห็นเด็กผมดำทำท่าจะอ้าปากพูด พอเจอเสียงน่าเกรงกลัวหวั่นใจของพี่นาทเลยแทบหุบปากไม่ทัน
แต่ทั้งคู่ยังคงจับจ้องที่ผมเหมือนตัวประหลาดโดยที่คนเด็กกว่าก็ยังคงพยายามกัดปากตัวเองแน่นกลัวที่จะพูดอะไรออกมา ยิ่งเห็นสีหน้าของเด็กผมดำที่หน้าคล้ายๆยูนิคกัดปากแน่นดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้แล้วผมยิ่งสงสัย
คนบ้านนี้มันจะอะไรนักหนา ดูความลับเยอะกันจริง
ไอ้เรามันก็คนจริง... ชอบไปเสือกกับเขาด้วยสิ
“ ยูจิน ใจเย็นๆ ” คนตัวสูงๆที่กำลังจัดจานอยู่พยายามยิ้มแย้มให้คนตัวเล็ก ใบหน้าขี้เล่นกับผมสีขาวมัดเกล้ายุ่งๆคล้ายๆกับสกาย แต่คนนี้ดูน่าเข้าถึงมากกว่าและดูไม่มีพิษภัยสักเท่าไหร่
สกายที่นั่งอยู่มุมห้องเหลือบมองดูสถานการณ์แล้วเอ่ยขึ้นเผื่อแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้น “ พาเด็กแกออกไปก่อนไป เดือนพราย ”
“ ใครเด็กมันกันวะ! ” เสียงห้าวจากเด็กผมดำสวนชั่วพริบตาทำเอาผมสะดุ้งโหยง “ หาอะไรยัดปากแล้วอยู่เงียบๆไปลุง ”
“ ใครลุงแกมิทราบ ”
“ ก็ลุงไง แก่สุดในนี้ ”
เอ่อ... แก้ให้ดีขึ้น หรือแย่ลงกันว่ะ “ ไอ้พราย มึงเอาเด็กออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวได้มีคนปากแตกกินข้าวเที่ยงไม่ได้ ” เสียงเฮียอย่างโหดครับ
“ เข้ามาสิ คิดว่ากลัวรึไง!! ”
แหม่น้อง... พลังใจสุดยอดเกิน
แต่พลังเสียงนี่...
กะจะให้แก้วหูพี่เลยมั้ย
“ ตัวแค่นี้ จะทำไรได้ ” พี่สกายคนแบดยักคิ้วให้เหมือนกับเติมน้ำมันลงบนกองเพลิงชัดๆ
“ ทำไอ้เสือแก่อย่างแกนอนซมตายได้หลายวันนะเว้ย จะลองมั้ยล่ะ! ” น้อง... เอ่อ พี่ดูจากสารรูปแล้ว ตัวน้องยังไม่ถึงไหล่มันเลยนะครับ คนที่น่าจะนอนตายน่าจะน้องมากกว่านะ
ด้วยความหวังดี อยู่เฉยๆเถอะ
ผมแอบหัวเราะให้กับความมีสีสันของบ้านหลังนี้ ดีนะไม่เหงาเท่าไหร่ บ้านถึงจะใหญ่แต่ทุกคนดูน่ารักสนิทกันดี
ถึงจะดูเหมือนจะฆ่ากันก็เถอะ
“ พอดีไม่อยากรังแกเด็กว่ะ ” พี่เสือเขาไหวไหล่อย่างไม่สนใจแล้วหันมาสนใจที่ผมกับไอ้พี่นาทแทน “ สรุป นอนที่นี่? ”
ไอ้เด็กตัวเล็กหน้าบึ้งกว่าเดิมเมื่อสกายทำเมิน ดีที่เดือนพรายรั้งได้ทันแล้วลากไปสงบอารมณ์ตรงระเบียงข้างนอก
ผมตาเหลือกตาโตโพล่งถามแทบไม่ทัน “ รู้ได้ไง! ”
“ เสือน่ะ หูไวนะ ” ไอ้พี่สกายเดาลิ้นแล้วยิ้มแสยะให้ผมแล้วพี่แกจึงหยิบหนังสือนิตยสารมาเปิดอ่านต่อ
ตอนแรกคิดว่าพี่แกจะเย็นชาแบดบอยตัวพ่อนะ แต่แม่ง...กวนตีนระดับไฮเอ็นท์ตัวพ่อเลยสิไม่ว่า
ถุย เสือหูไว
หรือแอบฟัง
มันถามต่อ... โธ่ แอบเสือกนะเฮีย “ แล้วนอนห้องไหน ”
“ เด็กที่ชื่อยูนิคบอกให้นอนห้องเดียวกับมัน ”
หน้างอโดยอัตโนมัติชี้นิ้วไปทางหนุ่มมังกรจอมเจ้าเล่ห์ด้านข้างยืนยิ้มไม่หุบเหมือนพรุ่งนี้จะไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว
“ พี่ยูนิคงั้นเหรอ ”ยู จินที่น่าจะสงบจิตสงบใจได้แล้วเลยเดินเข้ามาทันประโยคที่พูดถึงพี่ชายตัวเอง ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะ “ หึ พี่เขาร้ายกาจชะมัด ”
เดือนพรายยกมือตีปากเล็กๆของยูจิน “ แน่ะ ว่าพี่ตัวเองไม่ดีนะ ”
“ ยุ่ง! ไปไกลๆเลยไป๊! ไปดูพนานู้นไป! ”
ผมส่ายหน้าขำๆให้กับภาพตรงหน้า ยูจินดูเป็นเด็กเอาแต่ใจและวีนๆเหวี่ยงๆแต่เดือนพรายดูจะไม่ได้รำคาญอะไรออกจะชอบแกล้งแหย่เพิ่มอีกต่างหาก ...แอบคิด คู่นี้มีซัมติงรองไรรึเปล่านะ
เดือนพรายหันไปถามไอ้พี่นาท “ เอ่อ... แล้วจะให้ทำยังไงกับพนาดี ท่านท้าว ”
“ ให้อยู่ในห้องนั่นแหละ ขังไว้นั้นแหละ ” พี่นาทว่าเสียงเรียบก่อนทุกคนจะพยักหน้ารับ
ไอ้พ่อเวร
ขังลูกได้ไงห่ะ! เดี๋ยวฟ้องปวีณาเลยนิ!
ตอนแรกเดือนพรายจะเดินกลับเข้าไปดูไอ้ลูกชายของพี่นาทที่มันแอบซุกเงียบไว้ แต่ยูนิคเดินเข้ามาบอกว่าจะไปดูเอง ...ดูเหมือนจะไม่อยากให้ผมเห็นมากเลยนะ มากจนมีพิรุธ หรือเราไปเสือกเยอะเกินเลยรู้สึกว่าต้องรู้ทุกเรื่อง...
คิดมากไปก็ปวดหัว
.
.
.
แต่ตอนนี้ ตรงนี้ ดันมีเรื่องให้น่าปวดตับปวดใจมากกว่าแล้วสิแน่นอนมันโคตรจะเรื่องใหญ่ ใหญ่กว่าเรื่องลูกชายของพี่นาทอีก
นั่นก็คือ...
อาหารอยู่ตรงหน้าแล้วกินไม่ได้!!มันเรื่องใหญ่สำหรับนายชลธีมากนะคุณณณณ โอ๊ยยย ท้องมันกำลังประท้วงหนักแล้ว กินได้ยังงง
ณ เวลานี้ผมกำลังนั่งน้ำลายหกน้ำลายหยดมองอาหารตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายอย่างหนืดๆคอ แหม่... ก็มันน่ากินนี่ครับ ให้มานั่งมองร่วมสิบห้านาทีได้แล้วยังไม่ได้กินเลย แถมกลิ่นชวนยั่วใจซะขนาดนี้ แล้วคนอย่างชลธีมันเคยต้องรออาหารมั้ย ไม่! มันจ้วงกินทันทีเลยครับ! จะร้อนจะเย็นจะไม่อร่อย มันไม่สน มันกินลูกเดียว!
พี่นาทดูจะเห็นสีหน้าทรมานตาละห้อยเป็นลูกแมวของผมเลยยกโถข้าวส่งให้
“ ชลกินก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอยูนิคหรอก”
ผมเหลือบมองคนที่เหลือที่นั่งนิ่งรอยูนิคอยู่เหมือนกันแล้วถอนหายใจพรืด มากินข้าวบ้านเขาแล้วยังจะมาหน้าด้านกินก่อนก็ไม่ใช่
ที่นะคุณ ให้ผมมีมารยามทางสังคมบ้าง แค่นี้ทุกคนก็มองผมเป็นเด็กเห็นแก่กินจะแย่แล้ว แต่ ฮึก หิวง่ะ แต่ว่าแค่นี้ ชลธีทนได้ กิน
น้ำลายตัวเองไปก่อนก็ได้!
ผมส่ายหน้า “ รอให้ครบก่อนก็ได้ ผมยังไม่หิว ”
ยังไม่หิวเท่าไหร่ แต่ก็มากพอจะแดรกมังกรได้ทั้งตัว...
“ เอางั้นเหรอ ” มันถามยั้งเชิงยิ้มน้อยๆเพราะดูก็รู้ว่าผมแทบจะเขมือบโต๊ะเข้าไปได้แล้ว วุ้ย พูดแล้วก็อายตัวเองจริงๆ
“ ระหว่างรอ... งั้นเรามาหาเรื่องคุยกันดีกว่ามั้ยครับ ” เดือนพรายโพล่งขึ้นทำลายความเงียบและรอยยิ้มกว้าง หมอนี่ยิ้มบ่อยพอๆกับไอ้พี่นาทนี่แหละ น่าหมั่นไส้พอๆกัน
ก็ดูดิ... ไอ้พี่นาทก็หล่อแบบเทพบุตรจุติมาเกิด ชาตินี้จะหาเจออีกมั้ย ก็ไม่น่าเจอ ส่วนเฮียสกายแกก็หล่อเถื่อนเซอร์ฟีลลิ่งพี่ตูนบอดี้แสลมแต่หายากเหมือนกันนะหน้าแบบเฮียแก ส่วนไอ้คนสุดท้ายนี่ผมโคตรเกลียดหน้าเลยแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำอะไรให้ผมก็เถอะ เดือนพราย... มันหล่อแบบหล่อชิบหายไตวายควายล้ม เผลอๆหล่อกว่าไอ้พี่นาทอีก ที่เกลียดหน้าก็เพราะมันหล่อนี่แหละ จริงจังและจริงใจ อิจฉาหน้าหล่อๆมันครับ ทำไมไยพระเจ้าไม่ให้ผมหน้าตาแบบนี้บ้างงง
แล้วพอผมมานั่งรวมๆกับพวกนี้แล้ว จากที่ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ติดลบไปแล้วครับ...
“ ก็ดีนะ ” ยูจินสนับสนุนหันมามองหน้าผม ผมเลยได้สติหลุดจากวังวนความอิจฉา “ พวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวใช่มั้ยครับ ”
“ ก็... ถ้าอย่างทางการนะ ก็ยัง ” ผมตามตอบความจริง ชื่อแซ่แต่ละคนที่ผมรู้นี่ก็ใช้สกิลเสือกและแอบฟังล้วนๆ
“ ท่านท้าวนี่ทำตัวเองเจ้าบ้านที่แย่จริงๆ ”
เด็กหนุ่มเบ้ปากใส่คนที่นั่งหัวโต๊ะอย่างไม่เคารพเท่าไหร่ ปากพวกเขาก็ให้ตำแหน่งไอ้พี่นาทดีอยู่หรอกนะ ท่านท้าว แต่การกระทำนี่สวนทางกันสุดๆ ดี ผมชอบ ฮ่าๆๆ
มันทำหน้าบึ้งใส่ “ ได้ที่เอาใหญ่เลยนะยูจิน ”
“ หึ ” ยูจินค่อนหัวเราะก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ ผมจะแนะนำให้เองครับ ผมชื่อ ยูจิน เป็นน้องชายฝาแฝดกับเด็กผมครีมๆ พี่เขาชื่อ ยูนิค เราสองคนเป็นยูนิคอร์นนะครับ ”
“ ยูนิคอร์นเจ๋งอ่ะ! ” ผมร้องลั่นด้วยความตื่นเต้นจนเด็กอมยิ้ม
เขาส่ายหน้า “ ไม่หรอก เจ๋งสุดคงเป็น... ” แล้วเขาก็เงียบ
ไม่ค่อยจะเสือกเลยกูเนี่ย “ ใครเหรอ ”
อยากถามแม่เหมือนกัน ว่าตอนเด็กนี่เอาเผือกให้ผมกินแทนข้าวเหรอ
โตมา ผมถึงได้ขี้เสือกเรื่องชาวบ้านขนาดนี้“ เปล่าๆ ไม่มีหรอกครับ ฮ่าๆ ” ยูจินเบี่ยงประเด็นใหม่ “ ส่วนนั้นหน้าโหดๆโฉดๆตาแก่ตาเดียวนั่น ชื่อ สกาย เป็นเสือดำแก่! ”
“ ลุกมาต่อยกันเลยมั้ยไอ้ม้าเวร ” เฮียแกส่งสายคมกริบแทบบาดคอมาให้ขนลุกขนพองเล่น
ไอ้เปี๊ยกนี่ก็ท้าจริง “ เอาดิ คิดว่ากลัวรึไง ”
“ พอเลย ทั้งน้องม้าและพี่เสือ เดี๋ยวบ้านก็พังกันพอดีครับ ” เดือนพรายลุกขึ้นห้ามทัพอย่างใจเย็น กดไหล่ยูจินให้นั่งลงตามเดิมก่อนจะหันมาหาผม “ ส่วนพี่ชื่อ เดือนพรายนะครับ เป็นมังกรเหมือนกับท่านท้าวครับ ”
“ อ่า... ครับ ส่วนผมชื่อชลธีนะครับ ” ผมแนะนำตัวเล็กน้อย รู้สึกจะช้าไปหน่อยก็เถอะ พอผมจะอ้าปากพูดต่อเสียงฝีเท้าหนักๆของใครบางคนดังขึ้นขัดให้ทุกคนหันไปมองทางประตู
“ แฮ่กๆ! พะ พนา พนาไม่อยู่ในห้อง!! ” เป็นยูนิคนั่นเองที่วิ่งหน้าตั้งมาใบหน้าน่ารักโทรมไปด้วยเหงื่อคงเพราะน่าจะวิ่งหารอบบ้านมารอบหนึ่งก่อนแล้วพอหาไม่เจอถึงได้วิ่งมาบอกพวกเราที่ห้องอาหาร เฮียเสือดำที่ตอนแรกนั่งนิ่งไม่สนใจใครเท่าไหร่กระเด้งไปหาคนตัวเล็กอย่างรวดเร็วจนผมงง... ดูใบหน้าหล่อที่กำลังร้อนรนนั่นดิ
“ บอกแล้วไงว่าอย่าวิ่ง บอกกี่ทีแล้ว ถ้าหอบขึ้นมาจะทำไง ” ดุเอาโล่เลยครับ
คนโดนดุหน้าซีดลงกว่าเดิม “ คือยูนิค... ”
“ ไม่ต้องแก้ตัว ดูสิ เหงื่อเต็มไปหมด จะเป็นลมแล้ว มานั่งๆ ”
เฮียแกแทบจะอุ้มอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าน้องชายที่โคตรจะหวงพี่ชายเดินเข้ามากั้นกลางแล้วประคองพี่ไปนั่งพักแถมไม่ลืมที่จะหันไปแลบลิ้นใส่สกาย
“ หาทั่วแล้วแน่ใช่มั้ยยูนิค ” สีหน้าดูไม่ดีเท่าไหร่ของพี่นาทเริ่มทำให้ผมเครียดตาม
“ ทั่วแล้วครับท่านท้าว ไม่เจอ ”
“ คงอยู่ในบ้านนี่แหละ ไม่น่าจะไปไหนได้ ไปหากันเถอะ ” คำสั่งจริงจังแล้วเรียบนิ่งสะกดให้ทุกคนฟังจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วจนห้องที่เคยแคบกลับกว้างขึ้นถนัดตา
“ พี่นาท พนาเป็นใครเหรอ ”ไม่รู้นะทำไมถึงถาม ผมแค่อยากลองใจมันเท่านั้นแหละ มันเคยบอก...ห้ามผมโกหกมัน แล้วมันล่ะ... เมื่อไหร่จะเลิกโกหกผม
มันยิ้มสบายๆ “ น้องชายพี่เองครับ ”
หึ... โกหกหน้าตายชะมัด
ผมค่อนหัวเราะในลำคอเล็กน้อยแอบผิดหวังและรู้สึกแย่เล็กๆ แต่ถ้าเอาตามความจริงแล้ว ผมมันคนนอกไง ไม่เห็นจำเป็นที่ไอ้พี่นาทต้องเล่าทุกอย่างให้ฟัง ไม่เห็นจะสำคัญเลย
สำคัญตัวเองมากๆ ใช่ว่าจะดี...
เปรียบเสมือนการหลอกตัวเองให้อยู่ในวนวังแห่งความเจ็บปวด
มันน่าหัวเราะเยาะตัวเองจะตายไป
แค่ไอ้พี่นาทให้ผมรู้ว่ามันเป็นมังกร
ใช่ว่า ผมจะเป็นอะไรสำคัญอะไรกับมัน
ที่มันยังวุ่นวายกับผมก็แค่กลัวว่าผมจะไปป่าวประกาศเรื่องมัน
ทุกอย่างมันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ผมแค่... ผมแค่คิดเข้าข้างตัวเอง
ก็เท่านั้น...
************************************************************
มีต่อโพสล่างๆ