อาการของพิทักษ์ดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังไม่หายสนิท ไข้ไม่มีแล้วก็จริงแต่ยังไอและหายใจไม่สะดวก จิณณะเสนอให้อยู่บ้านเพื่อพักอีกวันหนึ่ง แต่ติดที่เป็นวันทำงานและพิทักษ์มีประชุมกับพนักงาน คนป่วยที่แม้จะยังไม่หายดีนักแต่เรี่ยวแรงกำลังวังชาก็กลับมาแล้ว จึงเริ่มมีสุ้มเสียงโต้แย้งขึ้นมาบ้าง
“พี่มีประชุม หยุดไม่ได้”
แน่นอนว่าบุรุษพยาบาลจำเป็นผู้ชี้ซ้ายชี้ขวามาตลอดเมื่อวานนี้ พอถูกริบอำนาจคืนก็ชักหน้าบูด
“แต่ก็ยังไม่หาย”
“แค่มีไข้นิดหน่อย วันนี้มีประชุมด้วย”
“ไม่มีสำนึกต่อสาธารณะ ประชุมทั้งๆที่เป็นหวัด เกิดคนอื่นติดหวัดขึ้นมาทำไง” คนบ่นคือคนที่ไม่ได้มีส่วนในการประชุมแต่อย่างใด พิทักษ์รู้สึกเหมือนถูกด่า แต่เอาเป็นว่าวันนี้จะยอมอีกสักวันก็แล้วกัน
“พี่จะใส่แมสก์ครับ” คนป่วยออกตัว ดูท่าแล้วต่อให้จิณณะจะกล่าวหาอะไรมากกว่านี้ ก็คงยืนกรานจะไปประชุมวันนี้อยู่ดี สุดท้ายปลัดเลยยื่นมือออกไปตรงหน้าแทน
“งั้นเอากุญแจรถมา ผมขับให้เอง” คราวนี้คนป่วยไม่คัดค้าน เพราะหากยังอยากไปประชุมทั้งๆที่ป่วย เขาก็ควรจะลงให้กับจิณณะสักเรื่องหนึ่ง
“ผมจะขับไปส่งพี่ที่สนามกอล์ฟก่อน แล้วตอนกลางวันจะแวะไปหา วันนี้ห้ามกินน้ำเย็น ห้ามดื่มกาแฟ เย็นนี้พี่ต้องกลับมาพักผ่อน” จิณณะที่ดูอิรุ่ยฉุยแฉะ กลับเป็นคนเคร่งครัดในพริบตา หน้าตาของเขาดูจะวุ่นวายใจอยู่มากที่คนป่วยทำตัวไม่สมป่วย ลุกจากเตียงอยากไปประชุมวันนี้
“ครับๆ” พิทักษ์อยากจะยิ้มกว้างๆ ทั้งๆที่ควรจะรำคาญกับการจู้จี้จุกจิกของคนข้างกาย แต่จิณณะที่เป็นแบบนี้พบเห็นได้ไม่มากนัก ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะมีมุมดูแลคนอื่นอย่างเจ้ากี้เจ้าการอย่างนี้ด้วย
“พี่ยิ้มอะไร ขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปประชุมสายหรอก” พิทักษ์ไม่ตอบโต้ เดินยิ้มขึ้นนั่งตำแหน่งข้างคนขับ แต่ไม่วายได้ยินเสียงบ่นตามมาอีกชุด
“ประชุมวันนี้ถ้าได้กำไรสักสามร้อยล้าน ช่วยแบ่งผมสักร้อยล้านนะ ขยันประชุมกว่าข้าราชการอีก!”
พิทักษ์สัญญา ถ้าประชุมแล้วได้เงินมากขนาดนั้น ประชุมเสร็จแล้วจะพาจิณณะไปเที่ยวรอบโลกสักสามเที่ยวเลยทีเดียว!
………………….
ถนนยามเช้าวันจันทร์ค่อนข้างเนืองแน่น แต่เมื่อหลุดเข้าสู่ถนนใหญ่ขนาดแปดเลน รถของพิทักษ์ก็เริ่มทำความเร็วได้ในระดับที่ค่อนข้างดี ทุกอย่างดูปกติเหมือนเคย แต่ในสายตาของคนติดตามที่คุณเทียมส่งมาดูแลย่อมรู้ดีว่าไม่ปกติ
ชายฉกรรจ์สองคนในรถตู้สังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับตามมาตั้งแต่ออกจากหมู่บ้าน คำสั่งแรกที่ได้รับมาจากเจ้านายคือตามดูแลความปลอดภัยพิทักษ์และจิณณะอย่างใกล้ชิด และ...คำสั่งที่สองคือเอาตัว ‘คนตาม’ กลับมาเป็นๆ
รถมอเตอร์ไซค์เร่งความเร็วเพื่อตามรถของพิทักษ์ ดูท่าไม่ดีจนคนของคุณเทียมต้องหันมองหน้ากันเพื่อตัดสินใจดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ดูแลความปลอดภัย
และ
จับเป็นรถมอเตอร์ไซค์คันนั้น!
รถตู้เพิ่มความเร็วจนขึ้นมาขนาบข้างรถมอเตอร์ไซค์เป้าหมายแล้วเบียดเข้าหา ครั้งแรกรถมอเตอร์ไซค์อาศัยความคล่องตัวเบี่ยงหลบ แล้วเร่งความเร็วเพื่อแซง แต่รถตู้เร่งตามแล้วเบียดอีกครั้ง เสียงตะโกนด่าทอจากคนขับรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น แต่คนในรถตู้ไม่มีใครสนใจ หักพวงมาลัยเบียดรถมอเตอร์ไซค์อีกเป็นครั้งที่สาม ถนนเข้าสู่ช่วงทางโค้ง เปิดโอกาสให้รถตู้หักพวงมาลัยพุ่งขวางสุดตัว รถมอเตอร์ไซค์ที่ขับมาด้วยความเร็วเบรคเอี๊ยด เสียงล้อสีไปกับถนนแต่ก็หยุดไม่ทัน ทั้งรถทั้งคนกระแทกเข้ากับตัวรถตู้แล้วกระเด็นตกขอบถนนไป
ทุกอย่างจบลง รถหลายคันบนท้องถนนเห็นเหตุการณ์ แต่เพราะเป็นถนนเส้นใหญ่ การจอดกะทันหันย่อมเป็นอันตราย นอกจากชะลอดูและขับผ่านไปแล้ว ก็ไม่มีใครลงมาช่วยเหลือ แต่คาดว่าอีกไม่นานเกินรอคงมีเจ้าหน้าที่และกู้ภัยมาถึง คนในรถตู้รีบเปิดประตูลงมาคว้าแขนชายสองคนที่ตกถนนไปพร้อมกับมอเตอร์ไซค์
“นายไพศาลส่งพวกมึงมาใช่ไหม?!”
“ใครคือไพศาลวะ?!!” ชายคนหนึ่งตะคอกกลับ ร้องโอดโอย แขนถลอกปอกเปิกเต็มไปด้วยแผลสด ดีว่าสวมหมวกกันน็อกแน่นหนา ไม่อย่างนั้นคงโหม่งพื้นไปแล้ว
ไม่มีใครทันให้ความกระจ่าง รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็เร่งความเร็วผ่านพวกเขาไปประกบรถของพิทักษ์ คนที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์คันนั้นชักปืนออกมาแล้วจ่อยิงที่ตำแหน่งข้างคนขับ
ปัง!
เสียงปืนดังสนั่น รถของพิทักษ์เบรกกะทันหันเป็นคันแรก ตามมาด้วยเสียงเบรกและเสียงแตรของรถยนต์หลายสิบคันที่อยู่บนถนน ก่อนที่มอเตอร์ไซค์คันนั้นจะเร่งความเร็วหนีหายไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่ลงมาจากรถตู้ยืนตกตะลึงแทบลืมหายใจ ปล่อยมือที่ฉุดกระชากคนที่ตนเข้าใจว่าเป็นคนของไพศาลจนอีกฝ่ายร่วงลงกับพื้น แต่ไม่มีใครส่งเสียงครวญทั้งนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าสะเทือนขวัญว่าอะไรทั้งหมด!
รถของพิทักษ์ถูกยิง!
ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก ชายหนุ่มในชุดข้าราชการสีกากีลงจากรถพร้อมด้วยมือชุ่มเลือด สีหน้าของเขาตื่นตระหนกและซีดขาว เสียงของเขาดังลั่น
“เรียกรถพยาบาลที! มีคนถูกยิง!!! กด 1669 มีคนถูกยิง!!!”
คนของคุณเทียมได้สติในวินาทีนั้น ผละจากมอเตอร์ไซค์ที่พวกตนเบียดจนตกถนนแล้วพุ่งตัวไปที่เบาะข้างคนขับของรถคันที่ถูกจ่อยิง
ชายหนุ่มที่ถูกยิงมีเลือดชุ่มไหล่ขวา นั่งหายใจรวยรินอยู่บนเบาะข้างคนขับ
ทุกครั้ง...เบาะนี้เป็นที่นั่งของจิณณะ เพราะคนขับคือพิทักษ์
แต่วันนี้...คนขับคือจิณณะ เพราะฉะนั้น...คนที่นั่งข้างคนขับจึงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก...พิทักษ์
“คุณทิศ!!!”
พิทักษ์ถูกยิง!
……………………..
………………….
เมื่อเช้า อากาศสดใส แดดแรงเหมือนเคย
ถนนขนาด 8 เลนมีรถยนต์ไม่ต่างไปจากเช้าวันอื่นๆ จิณณะนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เหยียบคันเร่งทำความเร็วปกติ ตอนที่มีอุบัติเหตุรถตู้เฉี่ยวชนกับรถมอเตอร์ไซค์ เขายังเงยหน้าขึ้นมองกระจกส่องหลังเลย ตอนที่กำลังแบ่งความสนใจเป็นสองส่วนคือมองถนนช้างหน้า และมองเหตุการณ์ที่อยู่ข้างหลังผ่านทางกระจก รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็ขับแซงขึ้นมาประกบข้าง ปลัดหนุ่มหันมองฝั่งที่นั่งข้างคนขับตามสัญชาตญาณ วินาทีนั้นเห็นวัตถุสีดำเมื่อมจ่อมาที่กระจกฝั่งที่พิทักษ์นั่งอยู่ จิณณะเบิกตาโพลง แล้วร้องลั่น
“พี่ทิศ!”
ชั่วเสี้ยววินาทีที่พิทักษ์หันไปเห็น คนที่ยังไม่หายไข้กลับตัดสินใจอย่างไวด้วยการขยับตัวบังจิณณะเอาไว้
‘ปัง!’
เสียงแรกที่แหวกอากาศดังก้อง ตามมาด้วยเสียงกระจกแตก เสียงเบรก เสียงรถข้างหลังเบรกตามๆกันและเสียงบีบแตร
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าผลของมันยาวนานสำหรับจิณณะเหลือเกิน...
ปลัดหนุ่มยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ดวงตาเลื่อนลอยราวกับไม่รับรู้อะไร ข้างกายมีมารดาคอยลูบไหล่ปลอบประโลม พร่ำบอกแต่คำว่า ‘ทิศต้องไม่เป็นอะไร’
เขาก็หวังอย่างนั้น หวังให้พิทักษ์ไม่เป็นอะไร แต่...ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชั่ววินาทีที่เห็นปืน ชั่ววินาทีที่เขาสบตากับมือปืน ชั่ววินาทีที่ปืนเบี่ยงเป้าหมายจากตำแหน่งที่นั่งฝั่งข้างคนขับมายังเขา และชั่ววินาทีที่พิทักษ์ขยับตัวบัง
‘ปัง!’
เสียงนั้นยังก้องอยู่ในสมอง เลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากบาดแผล พิทักษ์ที่หายใจรวยรินก่อนจะมาถึงห้องฉุกเฉินแบบไร้สติ ทำให้หัวใจของจิณณะหวาดหวั่นจนแทบหายใจไม่ออก
ทำไมต้องเป็นพี่ทิศ ทำไม...
คนที่ต้องอยู่ในห้องฉุกเฉินตอนนี้ควรเป็นเขาไม่ใช่หรือ กระสุนนัดนั้นมันสำหรับเขา ไม่ใช่สำหรับพิทักษ์
เสียงฝีเท้าดังก้องมาตามทางเดิน เรียกความสนใจจากโกศลและจรรยา สองสามีภรรยาหันมองแล้วถึงกับเบิกตาโตเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นคือชายหญิงวัยปลาย
ชาย...คือคุณเทียม
หญิง...คือคุณกอบกุล
“คุณแม่!” โกศลร้องอย่างคาดไม่ถึง ตอนที่จิณณะโทรศัพท์ไปบอก สองสามีภรรยารีบออกจากบ้านตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาลโดยไม่บอกใคร แต่เวลานี้ต่อให้ไม่บอก คุณกอบกุลก็มาถึงหน้าห้องฉุกเฉินแล้ว
“เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอกันรึไง ไม่บอกฉันสักคำ!” คุณกอบกุลขึ้นเสียงหน้าตึง ก่อนจะเหลือบตาไปมองหลานชายนอกคอก
“แล้ว...นั่นเป็นอะไรรึเปล่า” คำถามไม่ระบุชื่อคนถูกถาม แต่จรรยารีบเขย่าไหล่ลูกชายให้หันมอง
ดวงตาของจิณณะยังคงเลื่อนลอย แต่เมื่อหันมาสบตากับผู้เป็นย่าก็เหมือนจะมีสติรับรู้ขึ้นมาเล็กน้อย เขายกมือไหว้ก่อนจะตอบ
“ไม่เป็นไรครับ แล้ว...คุณย่ามาได้ยังไง” ต่อให้จะเคยเอ่ยปากว่าขอออกจากตระกูลของคุณกอบกุล แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาถือทิฐิอีกแล้ว ในเมื่อใครอีกคนกำลังครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่ในห้องผ่าตัด
หญิงชราเงียบไปอึดใจหนึ่ง คุณเทียมจึงเป็นฝ่ายพูด
“คนของผมเข้าใจว่าคนที่ตามปลัดกับทิศเป็นคนร้าย ก็เลยจับไว้ แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่คุณกอบส่งมาดูแลปลัด”
โกศล จรรยาและจิณณะพากันชะงัก ดวงตาของหลานชายเบี่ยงไปมองญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมามาตลอด คุณกอบกุลพูดไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเชิดหน้าคอแข็ง
“คุณเทียมอย่าหาว่าฉันใช้เงินแก้ปัญหาเลย แต่ค่ารักษาของคุณพิทักษ์ครั้งนี้ ฉันจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบเอง เพราะฉัน...ทำให้เรื่องมันไปกันใหญ่”
หลังจากส่งนักสืบออกตามหาข่าวและคาดเดาได้ว่าจิณณะอาจจะได้รับอันตราย หล่อนจึงว่าจ้างคนตามดูแลหลานชายโดยไม่บอกใคร และมันทำให้คนของคุณเทียมสับสน ความเข้าใจผิดใหญ่หลวงนี้ ทำให้มือปืนตัวจริงมีโอกาสลงมือ
ไม่มีใครคาดถึงว่าหญิงชราผู้นี้จะสนอกสนใจความปลอดภัยของหลานชายนอกคอกถึงเพียงนี้ ทุกคนได้แต่เงียบ โดยเฉพาะจิณณะ...เขาลูบหน้าตัวเองไปมา รู้สึกอื้ออึงไปหมดทั้งใจ วันนี้ที่รับรู้ความห่วงใยจากคนในครอบครัวที่เขาไม่เคยคาดหวัง ได้รับรู้ความรักของญาติผู้ใหญ่ที่ไม่เคยญาติดีกัน แต่กลายเป็นความห่วงใยนั้นกลับส่งผลให้พิทักษ์ต้องอยู่ในห้องฉุกเฉิน
จิณณะพูดไม่ออก หากจะกล่าวโทษว่าเป็นเพราะความห่วงใยของคุณกอบกุล เขาก็ทำไม่ลง เพราะแท้จริงแล้ว เรื่องนี้มันผิดที่เขา...ผิดที่จิณณะไม่เคยคุย ไม่เคยบอกเล่าอะไรให้คุณกอบกุลฟังเลย เมื่อวันหนึ่งหล่อนระแคะระคายและหล่อนลงมือทำอะไรบางอย่าง หล่อนก็ไม่บอกเขาเช่นกัน
แล้วคนรับเคราะห์ก็เลยกลายเป็นพิทักษ์
ปลัดหนุ่มที่เสื้อผ้าเปื้อนด้วยเลือดแห้งกรังได้แต่หันกลับไปมองบานประตูห้องฉุกเฉิน แม้มันจะทึบ มองไม่เห็นอะไรเลย แต่สายตาของเขายังจับจ้องราวกับมองเห็นภายใน ราวกับอยากสื่อสารถึงคนที่อยู่ในนั้น
อยากให้พิทักษ์ฟื้นขึ้นมารับรู้ความห่วงใยที่คุณกอบกุลมีให้เขา จิณณะสัญญาว่าจะเล่าอย่างไม่เคอะเขิน หากพิทักษ์แนะนำให้เขาเตรียมพานพุ่มธูปเทียนไปขอขมาเรื่องที่แล้วๆมา เขาก็จะทำโดยไม่เถียง
ขอแค่พิทักษ์กลับมา
อย่าเป็นอะไรไปโดยทิ้งให้เขาต้องอยู่กับความผิดบาปและความกระอักกระอวลต่อความห่วงใยของคุณกอบกุลเลย
เขาไม่อยาก...ไม่อยากเสียคนสำคัญคนใดคนหนึ่งไปอีกแล้ว
คล้อยหลังคุณเทียมและคุณกอบกุลไม่นาน ทศพรและจิดาภาก็มาถึง สีหน้าของแม่เลี้ยงของพิทักษ์นั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!” เสียงร้องถามดังขึ้นอย่างร้อนรน จิณณะหันกลับไปมอง เห็นมารดาของตนกำลังอธิบายเรื่องราวให้น้าสาวฟัง แต่สายตาของจิดาภากลับพุ่งตรงมาที่เขา ก่อนจะลดลงมองเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดบนร่างของจิณณะแล้วเบิกตาโต ชะงักงันไม่มีแม้แต่เสียง
“ตอนนี้ทิศอยู่กับหมอแล้ว...” จรรยาปลอบ แต่จิดาภาไม่ได้ฟังพี่สาวเลยสักนิด หล่อนก้าวตรงไปหาหลานชาย
“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?! จิณ! บอกน้า!”
“พี่ทิศ...ถูกยิง...” เขาพูดซ้ำประโยคเดิมกับที่โทรไปบอกมารดาตนเอง ราวกับสมองมีเพียงแค่ประโยคนี้ที่ไหลวนอยู่ในหัว แววตาที่หม่นหมองของจิณณะเหมือนมีประกายวูบหนึ่ง เป็นประกายของสติและการรับรู้ ทว่าการรับรู้ของเขาในเวลานี้มีเพียงเรื่องเดียว คือการที่พิทักษ์ถูกยิงเพราะเอาร่างตนเองบังเขาเอาไว้
“...เพราะผม...”
จิดาภาแทบทรุดทั้งยืน มองหลานชายด้วยความตกตะลึง จิณณะไม่กล้าสบตาผู้เป็นน้า ได้แต่หันกลับไปมองที่ประตูห้องฉุกเฉิน แต่วินาทีต่อมาแผ่นหลังของเขาก็ถูกทุบดังอั่ก
“ไหนจิณว่าจะไม่มีอะไร! ไหนจิณว่าถ้าเรื่องจบ จะให้ทิศเป็นอิสระ! แล้วมันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!” จิณณะได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้แผ่นหลังของเขาถูกทุบครั้งแล้วครั้งเล่า มันเจ็บหรือไม่ เขาไม่รู้ เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่หัวใจรู้คือด้านชาไปหมดแล้ว
พิทักษ์ถูกยิงเพราะเขา
ถ้าพิทักษ์เป็นอะไรขึ้นมา
เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย
“พอแล้วภา พอเถอะ” ทศพรดึงร่างภรรยาไปสงบสติอารมณ์ที่มุมหนึ่ง จรรยาไม่กล้าตามไปปลอบน้องสาว ได้แต่ยืนเคียงข้างบุตรชาย หล่อนเองก็ไม่รู้ว่าจะปลอบฝั่งไหน หรือกล่าวโทษใคร จิณณะผิดหรือที่ตกเป็นเป้าหมาย พิทักษ์ผิดหรือที่เอาตนเองเข้าบังแทน
ไม่มีใครผิดเลย ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว และเวลานี้ทำได้แค่รอ...
รอว่าพิทักษ์จะปลอดภัยหรือไม่
เสียงสะอึกสะอื้นของจิดาภายังดังแผ่ว ในขณะที่จิณณะยืนเงียบอยู่ที่ประตู สองชั่วโมงผ่านไป จนชั่วโมงที่สาม ทิวากร น้องชายของพิทักษ์ซึ่งเป็นหมออยู่ต่างจังหวัดก็มาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล พวกเขาทักทายคุณกอบกุล คุณเทียม จิดาภาและทศพร จรรยาและโกศล แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูและเห็นจิณณะ คนมาใหม่ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย พลางมองเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดที่แห้งเกรอะกรัง
ทิวากรไม่พูดอะไร แต่ตบไหล่ปลัดหนุ่มไปที ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล จิณณะอยากตามเข้าไปด้วย แต่ก็เกรงว่าตนเองจะก่อความวุ่นวายมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงทำได้เพียงยืนอยู่กับที่
เข้าสู่ชั่วโมงที่สี่ หมอและทิวากรก็ผลักประตูออกมา จิณณะมีคำถามเต็มหัว แต่คนที่พุ่งตัวมาถึงก่อนกลับเป็นจิดาภาและทศพร จนเขาต้องขยับถอยออกไป
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่ต้องดูอาการเพราะเสียเลือดไปมาก”
ทิวากรหันมาทางบิดาและมารดาเลี้ยง “ผมติดต่อทางกรุงเทพฯแล้ว ถ้าพรุ่งนี้พี่ทิศไปได้ ผมจะเอาเข้าเลย จะให้อาจารย์ช่วยดูให้ด้วย”
จิณณะได้แต่รับฟังเงียบๆ เขาไม่รู้ว่าทิวากรจะให้พิทักษ์เข้าโรงพยาบาลที่ไหนในกรุงเทพฯ และไม่รู้ว่าจะให้ใครช่วยดูแลต่อ แต่เวลานี้แค่ได้รับรู้ว่าพิทักษ์ปลอดภัยก็ดีแล้ว
ดีแล้ว...ที่ไม่เป็นอะไร
“ทิศไม่เป็นอะไรแล้วนะจิณ” เสียงของจรรยาดังขึ้นเบาๆราวกับอยากปลอบประโลมลูกชาย จิณณะหันมองแล้วยกมุมปากเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้
“ไปเถอะครับ”
เมื่อรู้แล้วว่าพิทักษ์จะไม่เป็นอะไร ก็ไม่กล้าเสนอหน้าอยู่ต่อ ทว่าพอชายหนุ่มจะเดินจากไปอย่างเงียบๆพร้อมโกศลและจรรยา เสียงของจิดาภาก็ดังขึ้น
“จำสัญญาที่ให้ไว้กับน้าได้ไหม ที่จะคืนชีวิตเดิมให้ทิศทันทีที่จบเรื่อง น้าขอชีวิตเดิมของทิศตอนนี้เลย!”
“...อย่ามายุ่งกับทิศอีก!”
ปลัดหนุ่มรู้สึกร้อนวาบไปทั้งอก จิดาภาเป็นคนใจดีแต่หล่อนก็เป็นคนจริงจัง และเมื่อหล่อนเอ่ยปากอย่างจริงจังเช่นนี้ เขาก็ไม่มีหน้าปฏิเสธ
ชายหนุ่มหันกลับไปมองน้าสาว ดวงหน้าของเขาทุกข์เศร้าทำเอาจิดาภาชะงักไปวูบหนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงลูกเลี้ยงที่ตนเองเลี้ยงดูมาแต่เล็กเพิ่งผ่านความเป็นความตายมา แม้ตอนนี้จะปลอดภัยแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเหมือนเดิมมากน้อยเพียงใด หล่อนก็บอกตนเองว่าจะใจอ่อนไม่ได้อีกแล้ว
จิณณะไม่ควรสร้างความเดือดร้อนให้พิทักษ์อีกแล้ว
พิทักษ์ควรจะได้กลับไปมีชีวิตเงียบสงบของเขาตามเดิมเสียที
“ผมจะไม่ทำให้พี่ทิศลำบากอีก ผมสัญญา”
เป็นคำสัญญาที่ไม่รู้ว่าออกจากปากได้อย่างไรทั้งๆที่หัวใจอยากเคียงข้างอีกฝ่ายไปจนลมหายใจสุดท้าย
แต่...ลมหายใจสุดท้ายเกือบมาเยือนพิทักษ์แล้ว เพราะการมีเขาอยู่เคียงข้าง
เพราะฉะนั้น...อย่าทำให้พิทักษ์ลำบากอีกเลย
จิณณะยกมือไหว้จิดาภาและทศพร คุณเทียมและคุณกอบกุล ก่อนที่สายตาจะมองผ่านผู้ใหญ่ทุกคนไปยังบานประตูห้องฉุกเฉินด้านหลังอีกครั้งเหมือนเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
คนเราไม่จากเป็นก็จากตาย แต่ถ้าเลือกได้ ก็ยินดีจะจากเป็น เพื่อให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อไป
ชายหนุ่มละสายตาจากบานประตูราวกับตัดใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมบุพการี
แล้วจากนั้น...เขาก็ไม่มาเยี่ยมพิทักษ์อีกเลย
ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)
เอ่อ...เรื่องยังไม่จบ ใจเย็นๆกันก่อนนะคะ พี่ทิศจำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อให้เหมาะสมกับชื่ออันแสนมงคลของพี่ค่ะ ฮ่าฮ่า
ตอนที่เขียนตอนนี้ขึ้นมาน่ะ อยากจะสื่อถึงจุดบกพร่องเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เกิดหายนะใหญ่ ความเข้าใจผิด ความประมาท บางทีมันแค่จุดเล็กนิดเดียวที่คาดไม่ถึง แต่สุดท้ายก็ทำให้เกิดเรื่อง
และสุดท้ายแล้ว น้าภาเลยกลายเป็นตัวแปรในความสัมพันธ์ระหว่างพี่ทิศและจิณไปซะเลย (อย่าโกรธน้าภาแกเลยนะคะ แกเลี้ยงของแกมา อยู่ดีๆหลานมาชุบมือเปิบ อยู่กินกับลูกแก ไม่บอกแกสักคำ ฮ่าฮ่า)
ส่วนแผนผังที่แปะมาในตอนนี้ เป็นผังฝั่งครอบครัว สรุปว่าตระกูลคุณกอบกุลเป็นญาติกับตั้งกาญจนพาณิชย์นะคะ (ความใช้ตัวละครคุ้มนี้ ฮ่าฮ่า) สำหรับใครยังไม่เคยอ่านอีกสองเรื่อง จิ้มโล้ด “วาระซ่อนเร้น” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (ซึ่งเนื้อหาคนละทางกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิงค่ะ สองเรื่องนั้น รักใสๆในรั้วมหา’ลัย ส่วนเรื่องนี้ รักแต่ไม่พูดแถมวิบากกรรมอีกเป็นโหล วะฮ่าฮ่า)
ขอบคุณคนอ่าน คนคอมเม้นท์ คนติดตาม พื้นที่บอร์ด และทุกกำลังใจเช่นเคยค่ะ
เจอกันพฤหัสหน้าค่ะ