(ต่อ) ครึ่งหลัง
ผมกำลังมองสำรวจใบหน้ามัน
ผมกำลังกุมมือหนาของมัน
ผมกำลังกระพริบตาไล่น้ำตาเพื่อมองใบหน้าของมันให้ชัดๆ
มือข้างหนึ่งของผมเกลี่ยไปตามหน้าผาก ไรผม คิ้วหน้าซึ่งกำลังมีแผลถลอกจากอุบัติเหตุ เลยไปที่จูมกโด่งเป็นสัน ข้างๆกันนั้นเป็นแก้มสาก เลื่อนมาเป็นริมฝีปากหนา ทุกองค์ประกอบรวมเป็นภาพใบหน้าของมัน เป็นภาพที่หล่อเหลาดูโดนเด่นซึ่งใบหน้าที่แหละที่มักมีรอยยิ้มประดับอยู่ตรงมุมปากเสมอๆ
ดวงตาของมันคมเข้มมีเสน่ห์ เป็นแววตาที่ชวนหลงใหลและน่าค้นหา จึงไม่แปลกที่ตลอดเวลามีผู้คนรายล้อมมันเต็มไปหมดและแววตานี้แหละที่มองผมด้วยความเสน่หา กระแสแห่งความรักและปรารถนาดีถ่ายทอดมาจากแววตาคู่นี้ แต่บัดนี้ผมมองไม่เห็นแววตานั้นเลยเพราะมันหลับสนิทเปลือกตาปิดแน่น
...มึงนอนนานเกินไปแล้วนะ...
...กูอยากเห็นแววตาของมึง...
...ลืมตาขึ้นมาได้มั้ย...
ผมขอบเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ร่างกายใหญ่โตของมันที่เคยแข็งแรงจนนึกภาพไม่ออกว่าเวลาที่มันล้มหมอนนอนเสื่อจะดูเจ็บปวดสำหรับคนมองขนาดนี้
ผมกุมมือมันแน่น เป็นอุ้งมือที่เคยกุมผมไว้ ชวนให้รู้สึกความอบอุ่นและปลอดภัย ทุกครั้งที่วางมือตัวเองไว้ในอุ้งมือมันเหมือนได้ฝากทั้งชีวิตและหัวใจไว้ให้มันดูแล ไม่ว่ามันจะนำพาไปทางไหนผมก็เต็มใจ แต่บัดนี้แค่เรี่ยวแรงที่มันจะกุมรอบข้อมือผมยังแทบจะไม่มี
ผมโน้มตัวไปโอบกอดร่างหนาที่นอนแน่นิ่ง สัมผัสอุ่นๆจากตัวมันทำให้ผมหลับตาพริ้มปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ ไม่สนว่ามันจะเปียกชุดผู้ป่วยของมัน ผมแนบใบหูไปตรงหน้าอกเพื่อฟังเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วเบาเหลือเกิน เบาจนน่ากลัว กลัวว่าจะมันอาจจะหมดแรงเต้นไปในที่สุด
ผมกำชายเสื้อผู้ป่วยมันแน่นก่อนจะปล่อยเสียงสะอื้นอย่างไม่อาจกลั้น
...เจ็บเหลือเกิน เจ็บเหมือนจะขาดใจ...
หัวใจของผมบีบรัดด้วยความเจ็บปวด
อ้อมกอดของมันช่างอบอุ่น แผ่นอกของมันยิ่งใหญ่ดูน่าปลอดภัย และให้ความสบายใจทุกครั้งที่ได้ซุกซบ แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้เพราะมันช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน
แขนแข็งแรงของมันเคยโอบรัดบัดนี้นิ่งสงบวางราบไปกับพื้นเตียง
ร่างกายที่เคยลุกกระฉับกระเฉงตอนนี้นอนนิ่งไม่ไหวติง คนที่เคยมีชีวิตชีวาบัดนี้กลับไร้เรี่ยวแรง อ่อนแรงถึงขนาดที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะลืมตาขึ้นมาเมื่อใด
ผมเจ็บเหลือเกิน
การเฝ้ามองคนรักในสภาพแบบนี้ช่างทุกข์ทรมาน
ผมเหนื่อย
ผมเจ็บ
ผมยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าร้องไห้
“ จ๊อบรักเต้ยนะ”
ผมหวนนึกถึงคำพูดของมันที่กระซิบบอกผมข้างหูทุกครั้งที่มีโอกาส เหมือนว่าคำๆนั้นมันยังแผ่วเบาติดหูอยู่ตลอดเวลา
“ จ๊อบสัญญาว่าจะไม่ทำให้เต้ยเสียใจอีก”
ผมเชื่อมัน
มันไม่เคยผิดคำพูด
แต่เรื่องบางเรื่องมันหนักหนาเกินกว่าจะเป็นไปได้
“ เป็นแฟนจ๊อบนะ”
ทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นความรู้สึกอุ่นวาบก็ปรากฏขึ้นในใจ
แต่ความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นระหว่างเราจะยื้อโชคชะตาได้รึเปล่า
ผมปาดน้ำตาไหลรินเงียบๆ ผมยังจดจำเรื่องราวต่างๆระหว่างเราได้อีกมากมาย เกือบทั้งชีวิตผมต้องมีมันอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะทุกข์หรือจะสุข มองไปรอบๆกายก็ยังมีมันยืนอยู่ ถ้าหากมันหนึ่งต้องอยู่โดยไม่มีมัน ผมนึกภาพตัวเองไม่ออกเลยจริงๆ แค่คิดก็เจ็บเจียนตาย
เรารู้จักกันตอนม.ต้น มันซึ่งเป็นเด็กใหม่ย้ายมากลายเป็นที่เลื่องลือเพราะช่วยผมซึ่งโดนล้ออย่างหนัก ดังนั้นมิตรภาพระหว่างเราจึงเบ่งบานขึ้นในใจผมเงียบๆ
ผมใช้ชีวิตวัยเรียนในทุกๆวันโดยมีมันเคียงข้างมาโดยตลอด มีผมที่ไหนต้องมีมันที่นั่น เป็นตัวติดกันเหมือนฝาแฝด จนวันหนึ่งความรู้สึกผมเปลี่ยนไป ผมรู้ดีว่าตัวเองได้รักมันเกินกว่าคำว่า “เพื่อนสนิท”
ผมเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายใต้คำว่าเพื่อน เรามีเวลาดีๆร่วมกันจนกระทั่งถึงม.ปลาย จนผมทนไม่ไหวบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป ความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิม มันยังวางผมในฐานะเพื่อนสนิทที่สุด แม้ผมต้องเจ็บปวดแต่ผมรู้ดีว่ายังไงมันก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่เคยไปไหน
จนถึงตอนนี้เราฝ่าฟันเรื่องราวต่างๆมากมายมาด้วยกัน จนผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าผมขาดมันไม่ได้จริงๆ แต่โชคชะตาโหดร้ายสำหรับพวกเรามากเหลือเกิน
ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับคนรักของผม
ตั้งแต่เกิดเรื่องในหัวผมเต็มไปด้วยคำถามๆนี้ และทุกครั้งที่คิดถึงน้ำตาก็ไหลเช่นเดิม ผมร้องไห้จนนึกไม่ออกว่าน้ำตามันคงไหลหมดตัวสักวัน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีน้ำใสๆไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
ทุกช่วงชีวิตผมมีมันเหมือนเป็นลมหายใจ ถ้าวันใดวันนึงขาดลมหายใจแล้วผมจะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไง
“ จ๊อบ”
ผมกุมมือมันแน่น
“ ฮึก กลับมาได้มั้ย”
“......”
“...ไหนสัญญาว่าจะไม่ทำให้กูเสียใจไง”
“ มึงรู้มั้ยตอนนี้กูเจ็บเหมือนจะตาย แม่งโครตทรมาน ฮือ กูไม่ไหวแล้ว หัวใจกูเหมือนจะขาด มันกำลังจะตายตามมึงไปแล้ว ฮือ”
“ ขอร้อง ฮึก กลับมา ฮึก กลับมาเถอะนะ”
“ กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมึง” ผมซบหน้ากับมือมัน “...อย่าทรมานกูอีกเลย กูไม่ไหวแล้ว ฮือ”
...ติ๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...
ผมตกใจเมื่อเสียงเครื่องช่วยหายใจดังขึ้น ผมผุดลุกขึ้นมองหน้าจอมอนิเตอร์ซึ่งมีสัญญาณชีพเส้นขึ้นๆลงๆตามอัตราการเต้นของหัวใจ บัดนี้กลับเป็นเส้นตรงเสียงร้องของสัญญาณชีพร้องเสียงดังเหมือนต้องการเตือนภัย ผมหันไปกลับเห็นร่างหนากำลังดิ้นทุรนทุรายราวกับจะขาดใจ
“ จ๊อบ”
“.....”
“ จ๊อบมึงเป็นอะไร ฮือ จ๊อบ”
ผมกรีดร้องราวกับเป็นคนเสียสติ
พยาบาลสาวสองคนผลักประตูเข้ามาก่อนจะทำหน้าตื่นมองไปที่จอมอนิเตอร์ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะตรงเข้ามาประคองผมแล้วพาให้ออกมาจากห้อง
“ ญาติคนไข้เชิญข้างนอกนะคะ”
“ ไม่ ฮึก จ๊อบ”
“ เต้ย”
เพื่อนทั้งสี่ตรงเข้ามาประคองผมรับช่วงต่อจากพยาบาลที่รีบรุดเข้าไปในห้อง
“ ไม่”
“......”
ผมตะเกียกตะกายออกจากแรงรั้งของเพื่อนๆเพื่อจะก้าวเข้าไปหามัน
“ เต้ย มีสติหน่อย”
“ ไม่ ฮือ จ๊อบ จ๊อบ จะไปหาจ๊อบ”
“ เต้ย”
ทั้งว่านและแฮมร้องไห้เป็นเพื่อนผมพร้อมกับโอบกอดผมไว้
ผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง นัยน์ตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตาจนแทบมองไม่เห็นถึงอย่างนั้นก็เห็นชายเสื้อกาวน์ของหมอเจ้าของไข้ที่รีบรุดเข้าไปโดยมีพ่อกับแม่มันตามไปไม่ห่าง
“ ฮือ”
...มึงต้องไม่เป็นอะไรนะ...
...มึงต้องอยู่กับกูนะจ๊อบ...
ผมรู้สึกอ่อนล้าจนเปิดเปลือกตาแทบไม่ขึ้น มันอ่อนแรงจนยากที่จะก้าวเดินต่อไป แม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเองยังแผ่วเบาเหลือเกิน
.
.
.
‘หลับให้สบายนะ’
‘เต้ยไม่ต้องห่วง จ็อบจะอยู่ข้างๆเต้ยเอง’
“......”
ผมยิ้มทั้งน้ำตามือทั้งสองข้างไขว่คว้าไปข้างหน้า
‘ จ๊อบรักเต้ย’
...เต้ยก็รักจ๊อบ รักที่สุด...
‘ จ๊อบสัญญา สัญญาด้วยชีวิตว่าจะไม่ทำให้เต้ยเสียใจ’
...จริงเหรอ จ๊อบพูดจริงใช่มั้ย...
‘ หลับตาแล้วผ่อนคลายนะคนดีของจ๊อบ’
‘จ๊อบจะดูแลเต้ยเอง’
ในห้วงแห่งนิทราผมรู้สึกถึงความอบอุ่นแผ่วเบาที่บริเวณหน้าผาก ความอุ่นร้อนนั้นไล่เลื่อยมาจนถึงขมับและแก้มเนียนทั้งสองข้าง
ความอบอุ่นที่โอบล้อมตัวเรา
.
.
.
.
(มีต่อค่ะ)