ดาวเหนือแห่งรัก
พลังรักยิ่งใหญ่มหาศาล ยอดยิ่งเหนือพลังทั้งมวล เพราะยามใดที่เส้นด้ายเบาบางแห่งรัก ‘ผูกและพัน’ หัวใจ แม้นบางเบาเท่าเส้นผม ใครเลยจะถ่ายถอนรักแท้ได้?
ความรัก ทรงพลัง มหาศาล
นิรันดร ฤานาน กว่ารัก
แรงใจ ไฟฝัน อันประจักษ์
จริงแน่ แท้นัก รักฤารอญ
คนบางคนสร้างความรัก
ใครคนนั้นเป็นเหตุแห่งรัก เป็นที่มาของความสุขและเสียงเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจ ในเย็นวันนั้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมาจอมทัพรับรู้ถึงจังหวะที่แปลกไปของหัวใจตัวเอง วันที่ลูกเสือจอมทัพและเด็กชายนาวาตัวน้อยโดยสารรถสองแถวกลับบ้านด้วยกัน ภายใต้ผืนฟ้าตะวันรอน เด็กชายแว่นหนาในชุดนักเรียนงีบหลับ หัวทุยซบอยู่บนบ่าของเด็กชายตัวโตที่สวมชุดลูกเสือ แม้จะเกร็งและไม่กล้าขยับเพราะกลัวนาวาจะตื่น แต่จอมทัพก็รับรู้ได้ว่าตัวเขาเองกำลังยิ้ม เสียงหัวใจโครมครามอยู่ในอก เขากำลังตกหลุมรัก...
นานมาแล้วที่นาวาเป็นเสียงหัวเราะ เป็นความสุข และเป็นมุมเล็ก ๆ คอยรับฟังเขาระบายในยามทุกข์ ครั้งใดที่จอมทัพรู้สึกว่าท้องฟ้าของเขาเป็นสีเทามัวหม่น ตลอดเวลานาวาจะคอยเคียงข้างเขาเสมอ รอยยิ้มวาดกว้างจริงใจและสายตาสีทองประกายสดใสมองตรงมาให้กำลังใจ สิ่งนั้นเหมือนแสงตะวันในยามเช้า อบอุ่น เบิกบาน นุ่มนวล เปี่ยมล้นด้วยแรงใจ แล้วจะไม่ให้รักนาวาได้อย่างไร
บางครั้ง... ความรักสร้างคนบางคน
ความรักที่งอกงามหล่อเลี้ยงหัวใจนั้น ได้หล่อหลอมสร้างตัวตนของเจ้าของดวงใจแห่งรักนั้นขึ้นมา เมื่อเรามีรักที่ดี ก็ย่อมอยากจะทำตัวให้ดี ควรค่าแก่ความรักนั้น จึงไม่แปลกที่จะพูดได้เต็มปากว่า
จอมทัพคือผลผลิตของรักอันมั่นคง
แล้วใยคนที่มีรักอันคงมั่น ขณะนี้กลับไม่มั่นคง กระวนกระวายได้ถึงเพียงนี้
“พี่จอม หยุดเดินก่อนเถอะค่ะ สาเวียนหัว”
จอมทัพกอดอก เดินกลับไปกลับมาอยู่บริเวณกองไฟหน้าแคมป์ขณะที่เพื่อนและรุ่นน้องนั่งล้อมกองไฟกันอยู่ จนนิสาทักนั่นแหละ เขาจึงโดนมือของตามใจลากไปนั่งข้าง ไม่วายโดนเด็กเอาแต่ใจดุเข้าให้
“เดินวนอยู่อย่างนี้ก็ไม่ช่วยให้หาพี่วาเจอหรอก นั่งสงบสติอารมณ์เก็บแรงไว้ช่วยกันคิดดีกว่า”
“ก็มันคิดไม่ออก”
“แล้วที่เดินเนี่ยคิดออกไหม”
จอมทัพส่ายหน้า จนปัญญาจะต่อล้อต่อเถียงกับตามใจ เขาถอนหายใจยืดยาว หม่นทุกข์... หากวูบหนึ่ง...สัมผัสนั้นแผ่วบางเหลือเกิน ประหนึ่งสายลมพัดวูบอ่อนโยน สัมผัสจากฝ่ามือลูบประโลมแผ่นหลัง ฝ่ามือนั้นกำจายนุ่มนวลเหมือนสายลม แต่ก็พลิ้วหายจางจายเยี่ยงสายลมเช่นกัน ตามใจกำลังปลอบเขา? จอมทัพผินหน้าไปมอง ทว่าผิวหน้าของตามใจกลับเรียบเฉย คนเอาแต่ใจทอดมองเปลวไฟที่กำลังปะทุ ราวไม่รับรู้อะไร
แม้น้ำค้างยามราตรีพร่างพรม แต่กลุ่มคนที่ท่วมท้นด้วยความห่วงหา กังวลใจ ก็ยังคงปักหลักสุมไฟ ล้อมวงคอย ‘เพื่อน’ ให้กลับคืนมา เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนจะตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน พวกเขาจึงก่อไฟใต้ผืนฟ้าสกาวให้ลุกโชนเหมือนความหวังที่โชติช่วงอยู่ในใจ
“ยังดีที่มันหายไปกับพี่เพชร ถ้าไอ้แว่นหายไปคนเดียว กูคงบ้ายิ่งกว้านี้” เอ็มคนที่ใจร้อนเกินใคร กลับเป็นห่วงนาวาและตรีเพชรไม่น้อยไปกว่าใคร
“ความผิดกูเองที่ปล่อยมันคลาดสายตา” เก้าเหม่อไปยังเปลวไฟ พร่ำโทษตัวเอง
“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก เหตุสุดวิสัยน่า”
“ไม่ใช่ได้ไง ตอนนั้นไอ้สาถามกูว่าได้ยินเสียงอะไรไหม คล้ายคนตะโกน กูยังว่ามันหูฝาดเพราะหิวข้าวเย็น”
“เอาน่าเก้า เจ้าหน้าที่ช่วยกันออกค้นหาแล้ว ไม่มีอะไรหรอกเดี๋ยวไอ้วากับพี่เพชรก็กลับมา” นิสาลูบหลังเก้าแผ่วเบา เก้าสีหน้าไม่ดีเลยหลังจากที่รับรู้ว่านาวาหายไป สิ่งที่นิสาทำได้ก็คงแค่ปลอบใจ
“จะว่าไป ห่วงไอ้วามันจังเลยเนอะ...” นิสามองออกไปยังความมืดของรัตติกาล อดีตอันยาวนานแสนไกล ตีฟุ้งขึ่นมาเหมือนตะกอนใต้ผิวน้ำเรียบใส ความทรงจำแห่งอดีตไหลหลากคืนมาเหมือนสายธารเชี่ยวกราก เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นยังฝังจำในความรู้สึก “จำที่พวกเราเข้าป่าด้วยกันตอนม.สามได้ไหม”
“ที่แกรบเร้าจะไปถ่ายรูปลงวารสารโรงเรียนแข่งกับชมรมห้องสมุด” แบงค์ทวนความจำ “แล้วพวกเราเก๊าะหลงป่า เพราะไอ้เอ็มดันทึ่มทำแผนที่หาย”
“เพราะมึงเลยไอ้แบงค์ชวนกูนั่งพัก กูจำได้ว่าปลดเป้ลง แล้ววางแผนที่ไว้ข้าง ๆ แถมเอาขวดน้ำตั้งทับไว้” เอ็มบ่น “แล้วไง พอเดินต่อก็เลยลืมทิ้งไว้ทั้งแผนที่ทั้งขวดน้ำ”
“กูจำได้” เก้าเห็นภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นชัดเจน “พวกเราไม่มีใครมีน้ำเหลือกันเลย เดินก็ไกลหาน้ำก็ไม่ได้ แต่ดีที่ไอ้วายกน้ำของมันให้พวกเราแบ่งกันกิน”
“ทั้งที่มันเองก็หิวน้ำมาก แต่ไม่ยอมบอกใคร” นิสาห่อไหล่เพราะความหนาวของน้ำค้างและความทรงจำ
“เฮ้อ... แถมกูยังมือไม่นิ่ง ปากิ่งไม้ใส่รังแตน จนไอ้วาที่อยู่ใต้กล้โดนแตนต่อย” แบงค์ส่ายหน้าให้กับความเซ่อของตัวเอง
“พวกเราวิ่งป่าราบ” เอ็มยัดฟืนใส่ไฟ สะเก็ดไฟสีส้มผลิแตกออกมาเรืองแสงระยับแล้ววับหายไป “ตอนนั้นเราหัวเราะทั้งที่สถาณการณ์มันไม่น่าขำสักขิด ไอ้แว่นหัวปูดวิ่งนำใครเพื่อน กูยังจำได้ว่าวิ่งตามมันไปหัวเราะไป”
“เรากลับทางเดิมได้เพราะไอ้วาวิ่งนำนี่แหละ สงสัยแตนต่อยหัว ความจำมันเลยดีขึ้นมากระทันหัน” แบงค์ยิ้มจาง ๆ คิดถึงเพื่อน... “วันนี้มันหลงป่า ไม่มีพวกเรา มันจะเป็นยังไงมั่งวะ”
“มันจะหิวน้ำไหม” นิสาซบหัวกับไหล่เก้า
“มันจะโดนแตนต่อยหรือเปล่า” เก้าเฝ้าถามกับฟอนไฟ
“กูน้อยใจไอ้แว่น หลงป่าทั้งทีไม่มีพวกเราได้ไง...” เอ็มว่า “มันจะคิดถึงพวกเราเหมือนที่พวกเราคิดถึงมันไหม กูคิดถึงมันจัง”
“นั่นสิ พูดกันไว้แล้วแท้ ๆ จะดูแลกันเหมือนที่หลงป่าวันนั้นตลอดไป ทำไมไม่อยู่ให้พวกเราดูแลวะ ชอบหนีไปเรื่อยไอ้เตี้ยน่ะ” แบงค์บ่นแผ่วเบากับสายลมโกรก
“กูโคตรอยากหายไปกับมัน ถ้าจะหลงไปแบบนั้น พวกเราหายไปด้วยกันทั้งหมดยังจะดีกว่า” เก้าเอียงศรีษะซบลงบนผมสลวยของนิสา
“ถึงบอกไง ถ้ามันหายไปคนเดียว กูคงบ้าตาย” เอ็มไม่คิดว่าประโยคแรกที่เขาพูดทำลายความเงียบ จะวกกลับมาเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่ความเงียบจะโรยตัวลงมาอีกครั้ง
ฟ้าราตรีสุกสกาว ลมเย็นพัดเรี่ยพลิ้วแผ่วเป็นระลอกต้องผิวกายให้หนาวเหน็บ แต่หลายชีวิตยังคงนั่งล้อมรอบกองไฟด้วยความหวังรองฟังข่าวจากทีมสำรวจของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ จิตใจห่วงหานั้นรุ่มร้อนเหมือนกองเพลิง กลัวใยกับน้ำค้างที่เพียงแค่หยาดมาแล้วจางไป
ท่ามกลางความเงียบ เสียงไฟปะทุสอดเคล้าคลอเคลียกับหริดหริ่งแห่งพงพนา ขับขานท่วงทำนองของราตรี
“ดีแล้วที่มีไอ้เพชร...”
จอมทัพพูดขึ้นหลังจากนั่งฟังอยู่นาน ทุกคนพยักหน้าเห็นพ้องกัน
หากห้วงคิดของตามใจกลับตั้งคำถาม ‘แล้วจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าตอนนี้พี่วามีนาย...’
จริงแน่... แท้นัก... รักฤารอญ
ความรักที่ไม่อาจถ่ายถอนได้เป็นดังนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็อดห่วงใยไม่ได้อยู่ดี
คืนนี้ดาวกระจ่างฟ้า
หากไร้คนชายตามอง...
เสียงหวานกังวาลใสของเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายฮาร์ปขับกล่อมค่ำคืนในหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอที่ตั้งอยู่ในพงพนาดงไกล นันดา เด็กชายวัยสิบห้าผู้ชำนาญหน้าไม้หากไม่เชี่ยวชาญการปืนบอกว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้มีชื่อเรียกแสนเพราะว่าเตหน่า โม่ หรือแม่ของเจ้านันดา บอกกับนาวาว่า พักนี้ลูกชายจอมซนมักจะออกมานั่งดีดเตหน่าร้องเพลงบนแคร่หน้าบ้านทุกค่ำ สงสัยจะร้องเพลงให้สาวบ้านไหนฟัง
“อ้าวพี่ ยังโทรหาเพื่อนไม่ติดเหรอ” นิ้วมือของหนุ่มน้อยหยุดดีดสายลวดที่ขึงตึง หันมาสนใจคนที่กำลังชูโทรศัพท์หาคลื่นสัญญาน
“เมื่อกี้เห็นเหมือนจะมีคลื่น แต่ตอนนี้มันหายไปซะแล้ว” นาวาเกาหัวงุนงง
“เอาน่านั่งก่อน เดี๋ยวก็มี คลื่นวิทยุยังมีเลย ผมได้ฟังเพลงบ่อย ๆ”
“ก็เลยจำเพลงมาร้องจีบสาวใช่ไหม”
“เปล่า จีบใคร ไม่มี”
“คะหยิ่น สินะ” นาวาจำเด็กสาวบ้านถัดไปได้ นันดาบอกว่าเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน
“พี่อย่าพูดเสียงดัง” นันดา เด็กชายที่เพิ่งเข้าวัยหนุ่มแรกดรุณ หน้าแดงแข่งกับกองไฟที่ก่อไว้เพื่อสุมควันไล่ยุง
“หึหึ” นาวาหัวเราะ เขาโยกหัวนันดาจนทั้งสงคนยิ้มตลกไปด้วยกัน
“รักครั้งแรกเหรอนันดา”
“ครับ ก็ประมาณนั้น” เด็กชายเกาหัวแก้เขิน หากแววตาที่สะท้อนประกายไฟกลับเป็นประกายระยิบระยับลึกซึ้ง
“สดใสจังเลยนะ”
“ครับ?”
“ความรักไง เพราะเป็นรักครั้งแรก เพราะนันดายังเด็ก โลกของนันดายังสดใส มองอะไรก็สวยงามไปหมด คนตกหลุมรักมีสายตาแบบนี้แหละ”
“พี่พูดอย่างกับพี่กำลังตกหลุมรักใคร เอ๊ะ หรือใครตกหลุมรักพี่?”
“ห๊ะ ปะ เปล่า”
“นั่นไง จริงเสียด้วย ใครอะ” เด็กชายขี้สงสัยกระเถิบเข้าใกล้ ซ้ำยังเค้นคำตอบจากเขาอีก
“อะไร ไม่มี”
“บอกมาเถอะน่า ผมไม่บอกใครหรอก” นันดาเอียงหูเข้าใกล้
“ทำอะไรกัน”
เสียงเรียบของตรีเพชรทำให้คนสองคนที่นั่งคุยกันอยู่บนแคร่หันไปมอง ขายาวของชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายสีดำแบบชาวกะเหรี่ยงไม่ต่างอันใดกับนาวา สาวเท้าเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวคนตัวเล็ก แขนแกร่งโอบเลื่อนตัวของนาวาออกจากนันดา แล้วเจ้าคนตัวโตก็นั่งแทรกลงตรงกลาง
“อาบน้ำไวจังตี๋”
“ถามว่าทำอะไรกัน” ตรีเพชรไม่ยอมให้นาวาเปลี่ยนประเด็น
“พี่วาน่ะสิ เค้ากำลังตกหลุมรัก แต่ไม่ยอมบอกสักทีว่าเป็นใคร” นันดาโพล่งขึ้นมาจนตรีเพชรเลิกคิ้ว ชายหนุ่มรูปงามผู้สวมอาภรณ์เฉกชาวบ้านหันมองนาวาที่กำลังก้มหน้าต่ำ หากใบหูกลับเป็นสีแดงสุกปลั่ง
“พอเลยนันดา อยากให้พี่ไปบอกคะหยิ่นไหมว่าเราชอบ”
“โถ่พี่ อย่าพูดเสียงดังสิ”
“ก็นายเริ่มก่อน”
“พี่เริ่มก่อน”
“เอาล่ะ ๆ หยุดเถียงกันทั้งสองคนนั่นแหละ” ตรีเพชรต้องห้ามทัพ หากไม่วายหันมาพูดแกล้งนาวา “แต่ถ้าวาบอกพี่ว่ากำลังตกหลุมรักใครก็ดี พี่จะได้ไปจัดการมัน”
“ไม่มีโว้ย” นาวาต่อยท้องของตรีเพชรเบา ๆ พลางคว้ามือถือขึ้นมาหาคลื่น
“ทำตัวน่าสงสัยนะเตี้ย มีอะไรที่ยังไม่บอกพี่หรือเปล่า”
“ยุ่งน่า คนจะโทรศัพท์”
“มีคลื่นซะที่ไหน”
“มีสิ นี่ไง เฮ้ย นี่ไงตี๋”
“เตี้ย ไม่ต้องแอคติ้งเวอร์ขนาดนั้นก็ได้”
“ไอ้บ้าตี๋โทรศัพท์มีคลื่นจริง ๆ โว้ย” นาวาต่อสายหาเพื่อนจนปลายสายรับนั่นแหละ “นี่ไงไอ้ทึ่ม”
“โทรติดจริงด้วย รอดแล้ว” ตรีเพชรร้องดีใจใหญ่ แล้วทั้งสองคนก็แทบจะกระโดดกอดกันเมื่อได้คุยกับปลายสาย
ทุกคนโล่งอกเมื่อได้รับโทรศัพท์จากนาวา เจ้าแว่นบอกว่าปลอดภัยดีและคงค้างคืนที่หมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงจะได้กลับค่ายพรุ่งนี้เช้า เพื่อนที่เฝ้าคอยกันด้วยความหวัง รู้สึกเหมือนยกผาหินออกจากอก เช่นเดียวกับตรีเพชรและนาวาที่ต่างก็รู้ดีว่ามีคนเป็นห่วงรอคอยอยู่ ภายใต้ฟ้ากระจ่างในคืนนี้ทุกคนคงจะหลับได้อย่างไร้กังวล
นันดาเปิดวิทยุทิ้งไว้ เพลงลูกกรุงเก่า ๆ คลอเบาไปกับเสียงปะทุจากกองไฟและเสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรี คนสองคนที่ผ่านเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาด้วยกัน ยังคงนั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบวันอย่างเงียบเชียบอยู่บนแคร่หน้าบ้าน วันนี้ช่างยาวนาน เหนื่อยยาก แต่ทั้งสองก็ผ่านมันมาได้ และผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาด้วยกัน
ทั้งคู่ต่างจมอยู่ในภวังค์
นาวาได้เห็นตรีเพชรในมุมที่ไม่เคยได้เห็น
‘วา... หนีขึ้นต้นไม้ไป พี่จะล่อมันไปทางอื่น’
คนที่โดนมองว่าเป็นคุณชายขี้โวยวายคนนั้น กลับยอมเอาตัวเสี่ยงอันตราย เพียงเพื่อให้เขารอดจากเหตุการณ์เลวร้ายนั้น ตรีเพชรคว้าปืนอย่างคุ้นเคย เขายืนใจเย็น ทั้งที่มีปืนพร้อมอยู่ในมือ ไม่ยอมลั่นไกจนกว่าหมู่ป่าจะปรี่เข้ามาจนจวนตัว เมื่อได้ทบทวนดู นาวาจึงเข้าใจว่าคุณเพชรไม่ได้อยากฆ่าหมู่ป่าบาดเจ็บตัวนั้นเลย สัตว์ป่าที่สู้จนตัวตายเพื่อปกป้องตัวเอง มีศักดิ์ศรีกว่าการสอบฆ่าในจังหวะที่สบโอกาส ตรีพชรจึงสู้กับมันอย่างยุติธรรม
ชายหนุ่มไม่พูด ไม่อธิบาย ไม่ยกเรื่องการฆ่าหมูป่าขึ้นมาเอาความดีความชอบกับใคร แม้นันดาจะนำเจ้าหมู่ป่าโชคร้ายตัวนั้นกลับมาให้มารดาทำอาหาร คุณเพชรก็ไม่แตะต้องอาหารจานนั้นเลย
นาวาเผลอยิ้มให้กับความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในหัวใจ มือข้างหนึ่งของนาวาค้างอยู่ในอากาศจังหวะเดียวกับที่ตรีเพชรหันมา
“ไม่ได้ยินที่พี่ถามเหรอ”
“ถามอะไร”
“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ เห็นฮำเพลงตาม เพลงเก่าแบบที่อาม่าชอบฟัง”
“อ๋อ รู้สิ วาก็ชอบฟัง”
“แล้วยกมือจะแอบตีหัวพี่หรือไง”
“ห๊ะ อ๊อ ไล่ยุงต่างหาก”
นาวาทำเป็นปัดมือไล่ยุง หากแท้จริงแล้ว เพราะความเผลอไผลบางอย่าง มันทำให้เขาอยากลูบปอยผมของตรีเพชรต่างหาก อยากสัมผัสให้นุ่มนวนแผ่วเบา ให้อ่อนโยน...เหมือนหัวใจอันอ่อนโยนของตรีเพชร
(เพลง Love โดย Lana Del Ray)
Look you kids with your vintage music
Comin’ through satellite while cruisin’
You’re part of the past, but now you’re the future
Signals crossing can get confusing
เด็กวันใหม่ ฟังเพลงเก่า ของกาลก่อน
จากดาวเทียม โคจร ร่อนเวหา
เด็กวานวัน ปัจจุบัน อนาคตา
คลื่นบนฟ้า อาจพา ว้าวุ่นวาย
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ตรีเพชรได้รู้จักนาวามากขึ้น ในขณะที่นาวากำลังกระวนกระวายร้อนใจหาทางติดต่อเพื่อนอยู่นั้น เด็กแว่นแสนเฉิ่มยังมีสติพาเขาหนีออกมาจากสถาณการณ์คับขัน ตรีเพชรรู้ถึงน้ำใจและความเป็นลูกผู้ชายของคนที่ตกระกำลำบากด้วยกัน ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน คนรัก หรือคู่หมั้น ในสถานการณ์เช่นนั้น คุณเพชรได้รู้แล้วว่านาวาจะไม่ทิ้งกัน
‘รอดด้วยกัน... ตายด้วยกัน’
“เตี้ย... พี่โคตรรักนายเลยว่ะ”
ตรีเพชรย้ำประโยคนั้นขณะทิ้งตัวลงนอน หนุนตักอุ่นของนาวา
“ได้ยินไหม”
“หูไม่หนวก”
นาวางัดหัวของคนตัวโตออกไปแต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่ก็สู้ไอ้คุณชายเอาแต่ใจไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ตรีเพชรได้ทำตามใจ ถือว่าเป็นคำขอบคุณที่ทำตัวดีก็แล้วกัน
“พี่รักวา แล้ววาตกหลุมรักใคร”
“อะไรของนายอีกละตี๋”
“ที่เจ้าหนูนันดามันฟ้องไง”
“มันต่างหากแอบชอบน้องคะหยิ่น รักแรกของมัน”
“ถึงว่า ตกเย็นเจ้าหนูมาถามว่าใส่เสื่อตัวไหนถึงจะหล่อ ทั้งที่เสื้อมันก็คล้ายกันทั้งนั้น”
“โม่บอกว่านันดาแต่งตัวหล่อออกมาเล่นเตหน่าทุกคืน”
“จีบสาว?”
“อื้ม ความรัก มันสดใสยังงี้แหละ”
“แล้วพี่ล่ะ”
“อะไร”
“ใส่ชุดนี้หล่อหรือเปล่า”
“ถามทำไม”
“ไม่ว่าใคร ก็อยากดูดีในสายตาของคนที่เรารักด้วยกันทั้งนั้น” ตรีเพชรแหนงหน้ามองเจ้าของตักอุ่น เขาสะกิดแว่นหยอกล้อคนที่สวมแหวนหมั้นของเขาอยู่ “จริงไหมเจ้าเฉิ่ม”
“หึหึ” นาวาหัวเราะ นึกถึงเหตุการณ์ในที่วันแสงแดดปะทะสายลม วันแรกที่ทั้งสองเจอกัน “ไม่ว่าพี่เพชรจะใส่ชุดไหน วาก็ไม่เห็นว่าจะดูดีเลยสักนิด ไอ้ตี๋หน้าจืด ทรงผม เสื้อผ้า รองเท้า ดูไม่ได้สักอย่าง”
You get ready, you get all dressed up
To go nowhere in particular
Back to work or the coffee shop
Doesn’t matter ’cause it’s enough
เธอแต่งตัว ให้ดูดี สุดที่แต่ง
ไปในแห่ง หนที่ ไม่ดีเหมือน
ไปทำงาน หรือร้าน กาแฟเยือน
มันไม่เหมือน ไม่สำคัญ ประการใด
เสียงหัวเราะของคนสองคนสอดประสานกัน การพบเจอในครั้งนั้นชัดเจนงดงามอีกขึ้นคราวในคืนนี้ ตรีเพชรมองเห็นแววตาสีน้ำตาลทองระยิบระยับของนาวายามหัวเราะด้วยความสุข ทำให้หัวใจของเขาฟูพองขึ้นเป็นเท่าทวี
“นั่นสินะ”
“หืม?” นาวาก้มหน้ามองคนที่หนุนหัวอยู่บนตัก
“ความรักไง ความรักมันสดใสแบบนี้แหละ ความรักของพี่... กำลังยิ้ม กำลังหัวเราะ แววตาของความรักสวยกว่าแสงเดือนแสงดาว พี่ดีใจที่ความรักของพี่กำลังมีความสุข...”
Cause it’s enough
To be young and in love… to be young and in love
แค่มีรัก เท่านั้น เพียงพอแล้ว
แค่มีรัก ใยแคล้ว หาเหตุผล
แค่มีรัก ประดับใน หัวใจตน
แค่มีรัก เอ่อล้น คนเยาว์วัย
ภายใต้ฟ้าพราวพร่างไปด้วยดาวผืนเดียวกัน อีกฟากฝั่งหนึ่ง จอมทัพก็ยังคงนั่งอยู่บริเวณกองไฟ เปลวเพลิงสีส้มทองเริงระบำในยามน้ำค้างพรายพรม ความอบอุ่นของเปลวไฟพอจะช่วยให้คนที่นั่งอยู่อย่างเดียวดายอบอุ่นขึ้นบ้างไหมหนอ เพียงแค่คิดเช่นนั้น เท้าของตามใจก็ไวกว่าความคิด เด็กหนุ่มรุ่นน้องหย่อนตัวนั่งข้างจอมทัพ จนคนที่นั่งอยู่ก่อนต้องหันกลับมามอง
“ยังไม่นอนอีกหรือไง” จอมทัพเป็นฝ่ายถาม
“ไม่ง่วง”
“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงทำฝาย”
“ห่วงแต่คนอื่น”
“หืม? อะไร”
“นายน่ะ ห่วงแต่คนอื่น เคยห่วงตัวเองบ้างหรือเปล่า นั่งตากน้ำค้างแบบนี้เป็นหวัดไปจะทำไง”
“ฉันป่วยยาก”
“ป่วยสักทีจะหัวเราะให้”
“เป็นห่วงฉันเหรอ?”
จอมทัพถามออกไปอย่างคนใสซื่อ หากคำถามของเขากลับทำให้อีกฝ่ายตะกุกตะกัก ตามใจถอนหายใจออกมายืดยาว ควมคิดบางอย่างในใจมันอัดอั้นจนทนไม่ไหว เด็กรุ่นน้องเลยต้องถามโพล่งออกมา
“ถามจริง รักคนที่เขาไม่ได้รักเรา มันจะมีความสุขเหรอ”
ความเงียบกรายตัวมาอย่างเชื่องช้า ระหว่างคนทั้งสองมีเพียงแสงจากกองไฟและลมหนาวยามราตรีคั่นกลาง จอมทัพผันหน้ามาทางตามใจ นัยน์ตาของทั้งคู่สบกัน
“นายรู้ไหม ที่สุดของความรักคืออิสรภาพในรัก เขารักใคร หรือใครรักเขาไม่ใช่ประเด็น หากรักเป็นเพียงการให้เมื่อลงว่ารักแล้ว จงมอบรักนั้นไปเถอะ... อย่าคาดหวังเลย”
นัยน์ตาที่ล้อประกายไฟของจอมทัพ ไม่มีแววเศร้าอยู่สักนิด รักแท้ที่มีเพียงการให้ มีความพอใจเพียงแค่ได้รัก และได้ทำให้คนที่รักมีความสุข โดยไม่คาดหวังอะไรตอบแทน
รักเพียงเพราะรัก...
ตามใจสูดอากาศชื้นฉ่ำเย็นยามค่ำคืนเข้าเต็มปอด
“นั่นสินะ...”
เด็กหนุ่มรุ่นน้องรูดซิปแจ๊กเก็ตที่สวมออก ตามใจวางมันคลุมไหล่จอมทัพ ดึงฮูดออกมาคลุมศรีษะคนที่เป็นรุ่นพี่ ก่อนจะลุกขึ้น ตามใจพูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า
“ฉันให้...”
อย่างน้อยเสื้อตัวนั้นคงจะทำให้คนที่นั่งอยู่อย่างเดียวดายใต้หยาดน้ำค้างอบอุ่นขึ้นมาสักนิด
“เตี้ย แหงนมองอะไรอยู่ พูดด้วยไม่ยอมพูด”
“ดูดาว” นาวาจะตอบอย่างไรว่าที่เงยหน้าเพราะไม่อยากให้คนหนุนตักเห็นว่ากำลังเขิน
“งั้นหาให้ดวงนึงสิ” ตรีเพชรลุกขึ้นนั่ง
“หาดาวอะไร”
“ดาวเหนือ”
“ไม่ยาก ทำตามนะ มองหาจากกลุ่มดาวหมีใหญ่ ตรงที่ดาวเรียงตัวกันเจ็ดดวงเป็นรูปกระบวยตักน้ำ ดาวสองดวงแรกของกระบวยตักน้ำจะชี้ไปยังดาวเหนือเสมอ”
“โคตรยาก มองยังไงให้เป็นรูปกระบวย” ตรีเพชรขยับตัวเบียดนาวา มองไปตามปลายนิ้วที่นาวาชี้ขึ้นให้ดูบนท้องฟ้า
“งั้นเอาวิธีใหม่ เขาบอกว่าถ้าเราหันหน้าสู่ทิศตะวันตก ยกแขนขวาขนานพื้น
เหยียดไปข้างลำตัว มือขวาจะชี้ไปทางทิศเหนือ แล้วค่อยเหยียดนิ้วโป้งลงตรงเส้นขอบฟ้า เหยียดนิ้วชี้ขึ้นข้างบน จะมองเห็นดาวเหนืออยู่ปลายนิ้วชี้”
“ไม่เห็นจะเข้าใจ”
“ลองทำตามสิ นี่เห็นไหม ดาวเหนืออยู่ตรงปลายนิ้วชี้”
“งั้นเหรอ อย่างนี้ใช่ไหม”
“ไม่ใช่แบบนี้ ชี้ไปที่ท้องฟ้าสิ จิ้มหน้าฝากวาทำไมเล่า”
“ก็พี่หาเจอแล้วนี่นา ดาวเหนือของพี่น่ะ”
ปลายนิ้วชี้ของตรีเพชรจรดอยู่กึ่งกลางหน้าฝากของนาวา
“ดาวเหนือก็ต้องอยู่บนท้องฟ้าสิ”
นาวารู้สึกถึงจังหวะแกว่งไหวของหัวใจ มันเต้นสั่นแบบแปลก ๆ หากเหมือนมีประจุไฟฟ้าเล่นวาบในกลางทรวง เพียงแวบเดียวเท่านั้นก็ทำให้หน้าเห่อร้อนขึ้นมาได้
“รู้หรือเปล่าว่าดาวเหนือบนท้องฟ้ามันเปลี่ยนแปลงได้” ตรีเพชรลูบหัวนาวาแผ่วเบา เขาจับให้คนตัวเล็กนั่งซุกอยู่ในตัก “ดาวเหนือปัจจุบันคือดาวโพลาริส ในกลุ่มดาวหมีเล็ก ในอดีตคือดาวทูบัน ในกลุ่มดาวมังกร ในอนาคตเมื่อแกนโลกหมุนเอียง จะเป็นดาวเวกา ในกลุ่มดาวพิณ”
“อืม...”
“ดาวเหนือของท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลง แต่พี่อยากให้ดาวเหนือของพี่เป็นแค่นาวาคนเดียว เป็นให้ได้ไหม เป็นดาวเหนือ ดาวนำทางของพี่... ฟ้าทั้งผืนพี่ยกให้ ให้ดาวเหนือของพี่ครองแค่คนเดียว”
“พี่เพชร...”
“พี่รักวานะ”
รสจูบแผ่วเบาทาบทับริมฝีปาก ความหวานปานน้ำผึ้งหยาดรินในหัวใจของคนทั้งสอง จุมพิตใต้ผืนฟ้าสกาวเชื่อมหัวใจทั้งสองดวงให้สนิทแนบแน่น ดังมีด้ายเส้นบางแห่งความรักกำลังถักทอเยื่อใย ผูกและพัน หัวใจของคนทั้งคู่ให้เคียงข้างกันไปตราบชีวิตจะพาให้ทั้งสองคนแยกจากกัน...
แสงสีทองอบอุ่นฉาบขอบฟ้า บ่งบอกว่าเช้านี้เป็นวันที่ที่ชาวค่ายทุกคนได้เวลาเดินทางกลับ หลังจากนาวาและตรีเพชรกลับไปร่วมกับชาวค่ายและเพื่อน ๆ ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะแทบไม่ยอมแยกจากกัน วันนี้ทุกคนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส คงเพราะผ่านเรื่องทุกข์หม่นและเพราะความรู้สึกบางอย่างผลิบานในหัวใจของพวกเขาเหล่านั้น
I get ready, I get all dressed up
To go nowhere in particular
Doesn’t matter if I’m not enough
For the future or the thing to come
ฉันลุกมา แลหน้าตา ปรุงแต่งตัว
ไม่เคยมัว สงสัย ในที่หมาย
ไม่สำคัญ ว่าฉัน พร้อมใจกาย
อนาคต บั้นปลาย ไม่กังวล
เส้นทางถนนของพวกเขายังทอดยาวไปอีกไกล หากวันนี้เขาพร้อมแล้วที่จะเดินไปสู่หนทางข้างหน้า เพราะพวกเขารู้ว่าข้างกายยังมีใคร เพื่อน พี่ น้อง ทุกคนเหล่านี้ไม่ทอดทิ้งกัน ความรักที่มีให้กันเป็นเครื่องยืนยันถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นตรึงใจ พวกเขาพร้อมที่จะเติบโต และเผชิญอุปสรรค์ต่าง ๆ ไปด้วยกัน
เพราะมั่นใจว่าเพียงมีรักก็พอแล้ว
Cause I’m young and in love
I’m young and in love
เพียงรักเกิด ในดวงใจ ก็พอแล้ว
รักเพริดแพร้ว เติมเต็มใจ วัยพาฝัน
กาลเวลา ผันผ่าน คืนและวัน
แต่รักนั้น มั่นเนิ่นนาน กลางรอยใจ
และแล้ว Mon Fiance ก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้วนะครับ อีกประมาณสามบทก็จะถึงบทสรุปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตอนเขียนบทนี้ไม่ทราบเลยว่ามันจะลงเอยเช่นไร แต่มันคงสมควรแก่เวลา สมควรแก่ตัวละคร และใกล้ที่จะถึงจุดจบเต็มทีแล้ว ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ ทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกความรักความปรารถนาดี และขอบคุณช่วงเวลาที่เราเติบโตไปด้วยกัน
see you until the end of this story
lots of love
yours,
Killian
ปล อ่านไปฟังเพลงไปด้วย จะเพราะมากครับ