@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน คำตอบที่ไม่ต้องถาม
พิพัฒน์กำลังช่วยบารมียกกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ลงมาจากท้ายรถ และปาจรีย์ที่เพิ่งก้าวขาลงมาจากรถก็ส่งยิ้มและทักทายพิพัฒน์ด้วยท่าทางที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด
“เป็นไงบ้างพัฒน์”
พิพัฒน์ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่ทักทายตอบกลับตามมารยาท
“อืม ก็ดี”
ปาจรีย์ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ และถอนหายใจยาว และพิพัฒน์ก็รีบลากกระเป๋าของปาจรีย์เข้าบ้าน เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก
“ร้อนชิบหาย”
บารมีเดินนำเข้าบ้านและยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมที่หน้าผาก และพิพัฒน์ก็ก้าวขาเดินตาม
ปาจรีย์เดินมานั่งลงที่โซฟา และพิพัฒน์ก็เดินเข้าไปในครัว รินน้ำใส่แก้วมาส่งให้
“ปากินน้ำก่อน”
เกิดความเงียบงันขึ้นระหว่างคนสองคน สุดท้ายปาจรีย์ยื่นมือรับแก้วน้ำที่พิพัฒน์ส่งให้และเอ่ยคำขอบคุณ
“ขอบใจนะพัฒน์”
ปาจรีย์ถือแก้วเอาไว้ในมือ และจิบน้ำที่พิพัฒน์ส่งให้
แม้จะพยายามทำใจมาก่อนแล้ว ว่ายังไงก็ต้องเจอกัน แต่พอได้เจอกันจริง ๆ ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไม่ต่างกัน
และบารมีก็สังเกตเห็นอาการของทั้งพิพัฒน์และน้องสาวได้อย่างชัดเจน
เดินมาทิ้งกายลงนั่งข้างๆ ปาจรีย์และเหลือบสายตามองพิพัฒน์ที่เดินเข้าไปในครัว ทั้งที่แทบจะไม่มีงานอะไรในครัวให้ทำอีกแล้ว
“พัฒน์ น้ำยาล้างจานอยู่ในลิ้นชักชั้นสอง ที่พัฒน์ถามเมื่อเช้า หาเจอยัง”
พูดคุยกันด้วยเรื่องที่แสนธรรมดา และพิพัฒน์ก็ตอบกลับมา
“ไม่เห็นมีเลย”
บารมีลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว แต่ปาจรีย์กำลังรู้สึกถึงความสนิทสนมที่ไม่ธรรมดาของคนสองคน ทั้งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ตั้งแต่แรก
“พัฒน์แม่งอย่างนี้ตลอด”
บารมีบ่นพึมพำและเปิดลิ้นชักให้พิพัฒน์ดู
“นี่ไง”
ปาจรีย์หันไปมองในครัว
ได้แต่กระพริบตามอง เมื่อเห็นว่าทั้งบารมีทั้งพิพัฒน์พูดคุยกันด้วยท่าทางที่ดูคุ้นเคยกันมาก
มากจนปาจรีย์ยังนึกแปลกใจ
“..............”
คนสองคนยืนใกล้ชิดกันขนาดนั้น ปาจรีย์ทำได้แค่เพียงมองด้วยความสงสัย
พิพัฒน์หยิบขวดน้ำยาล้างจานมาวางไว้บนซิงส์สำหรับล้างจาน และบารมีก็ได้แต่ส่ายหน้า และค้นหากรรไกรมาตัดมุมซองและเติมน้ำยาล้างจานใส่ขวดให้
“ใช้กูอีก”
บารมียังบ่นไม่เลิก และพิพัฒน์ที่มายืนข้าง ๆ และแหงนเงยใบหน้ามองหน้าของบารมีก็กำลังยิ้ม
สิ่งที่พิพัฒน์และบารมีปฏิบัติต่อกันมันดูเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเกินกว่าการเป็นแค่คนที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน
บารมีไม่ใช่คนที่จะสนิทสนมกับใครง่าย ๆ ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะเข้ากันได้ขนาดนี้ แต่ทั้งบารมีและพิพัฒน์ก็ดูสนิทสนมคุ้นเคยกันดี และดูเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปาจรีย์ได้แต่แอบมอง
และทั้งบารมีและพิพัฒน์ก็ลืมไปชั่วขณะว่ามีสายตาของใครบางคนมองอยู่ห่าง ๆ
บารมีช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากในครัวมานั่งอยู่ข้าง ๆ ปาจรีย์
“พี่บัส....”
เรียกพี่ชายที่หยิบรีโมทขึ้นมากดเปลี่ยนช่องรายการโทรทัศน์อย่างสบายใจ และเมื่อบารมีหันมาตามเสียงเรียกปาจรีย์ก็พูดอะไรไม่ออก
“อะไรวะเรียกแล้วไม่พูด”
บารมีหันไปสนใจกับรายการโทรทัศน์อีกครั้ง และปาจรีย์ก็ได้แต่ลอบมองใบหน้าของพี่ชายเงียบ ๆ
คุยกันมาตลอดทาง ตั้งแต่ที่บารมีขับรถไปรับที่สนามบิน ปาจรีย์ได้รู้ความเป็นไประหว่างพี่ชายและพิพัฒน์
แต่สิ่งที่รู้กับสิ่งที่เห็นในเวลานี้มันต่างกัน
เพราะทั้งบารมีและพิพัฒน์ดูสนิทสนมกันมาก
มากจนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง ที่ไม่ใช่แค่ความสนิทสนมกันแบบธรรมดา
“ชีวิตคู่มันก็แบบนี้แหละปา ถูกใจกันบ้าง ไม่ถูกใจกันบ้าง ปรับเข้าหากันไม่ได้ก็ลำบาก บางทีมันก็ต้องพยายาม ไหนจะวัฒนธรรมการกินการอยู่ที่ต่างกัน เรื่องอื่น ๆ อีกเยอะแยะ กูว่ามึงก็ใจร้อนไป”
คำพูดของบารมีมันทำให้ปาจรีย์ต้องหยุดคิด
........ชีวิตคู่.....ที่ต้องปรับเข้าหากัน......
.......ชีวิตคู่.......
บางทีในเวลานี้ทั้งบารมีและพิพัฒน์ก็อาจกำลังใช้ชีวิตคู่เหมือนอย่างที่ปาจรีย์เคยใช้
แม้แต่ปาจรีย์ยังรู้สึก ว่าที่ที่เคยเป็นของตัวเองในเวลานี้ไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
“ปาก็ยอมรับว่าใจร้อน ใครที่ไหนมันจะมาใจเย็นอย่างไอ้พัฒน์ ปากเสียงไม่มี ปาทำขนาดนี้ ยังไม่เคยด่าปาสักคำ ตอนนี้แค่จะมองหน้าพัฒน์ ปายังไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลย”
ปาจรีย์พูดให้พี่ชายฟังและบารมีก็พยักหน้าเข้าใจสิ่งที่น้องสาวพูด
“ก็มึงมันเลว มึงก็ต้องยอมรับตัวเอง”
ด่าน้องสาวไปแบบตรง ๆ และปาจรีย์ก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ
“พี่ก็เห็นปาเหี้ยตลอดนั่นแหละ”
“ก็ใช่ไง รู้ตัวก็ดี”
บารมีไม่ได้พูดจาปลอบใจแต่พูดด้วยคำพูดแรง ๆ ที่ทำให้ปาจรีย์สำนึก
“มึงยอมรับก็ดี ปล่อยคนดี ๆ ให้ไปมีอนาคตกับคนที่ดีกว่ามึงนั่นแหละดีแล้ว”
ต่อปากต่อคำกันพอให้หายคิดถึง และพิพัฒน์ที่เตรียมอาหารเสร็จแล้วก็เรียกให้ทั้งปาจรีย์และบารมีมากินข้าว
“ข้าวเสร็จแล้วนะ”
บารมีลุกขึ้นโดยมีปาจรีย์เดินตามมาที่โต๊ะอาหารพร้อมกัน
พิพัฒน์เหลือบสายตามองหน้าของปาจรีย์เล็กน้อยก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ บารมี
“............................”
เห็นแบบนี้แล้ว ปาจรีย์ยิ่งรู้สึกละอายแก่ใจ
ละอายที่ทำกับพิพัฒน์ได้ลง ทิ้งไปง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของพิพัฒน์เลยสักนิด
“มีแต่ของที่ปาชอบ....ทั้งนั้นเลยนะ”
มองไปที่อาหารบนโต๊ะ
มองนิ่ง ๆ
และเงยหน้ามองหน้าของพิพัฒน์อีกครั้ง
ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้างมั้ย ตลอดระยะเวลาที่เราห่างเหินกันไป
ความรู้สึกบางอย่างของพิพัฒน์ที่เคยเติบโตงอกงามมาตลอด ความรู้สึกเหล่านั้นยังพอหลงเหลืออยู่บ้างมั้ย
“พัฒน์.....”
เรียกพิพัฒน์อีกครั้ง และพิพัฒน์ก็ตักแกงส้มใส่จานข้าวให้ปาจรีย์และส่งยิ้มบาง ๆ ให้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดความรู้สึกออกไปจากใจได้ทั้งหมด
แต่พิพัฒน์ก็พยายามทำให้ชัดเจนมากที่สุด
“เรื่องเก่า ๆ ช่างมันเถอะปา พัฒน์ไม่คิดอะไรแล้ว พัฒน์เข้าใจปานะ”
ไม่จำเป็นต้องให้อภัยเพราะไม่ได้โกรธเคืองกัน เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
ปาจรีย์มองหน้าพิพัฒน์นิ่ง ๆ และชิมอาหารรสชาติที่คุ้นเคย จากคนที่ “คุ้นเคย” ที่ทำให้
รสชาติอาหารยังเหมือนเดิม ความใส่ใจยังเหมือนเดิมไม่ได้น้อยลงเลยสักนิด แต่ความรู้สึกของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ไม่เหมือนเดิม
และแม้จะดื้อดึงพยายามทำให้กลับมาเหมือนเดิมก็ไม่สามารถทำได้อีก
ปาจรีย์เคี้ยวข้าวไปได้ไม่นานก็วางช้อนลงและถอนหายใจยาวก่อนจะพูดบางอย่าง
“ปาเหี้ยเองแหละพัฒน์ ที่ทำกับพัฒน์ขนาดนั้น ปาไม่ได้จะให้อะไรมันกลับมาเหมือนเดิมนะพัฒน์ ปาแค่อยากให้ตอนนี้เรายังพอมองหน้ากันได้บ้าง”
“พัฒน์ก็มองหน้าปาแล้วนี่ไง”
แกล้งหยอกล้อให้ปาจรีย์รู้สึกดีขึ้น ทั้งที่ตัวเองก็พยายามฝืนยิ้มแทบตาย
“ปาเพิ่งมา พัฒน์ก็ยอมรับว่ายังทำตัวไม่ถูก ไม่เป็นไรหรอกปา อย่าคิดมาก”
พูดจาปลอบโยน และบารมีก็ได้แต่ถอนหายใจยาว
“อะไรของพวกมึงนักหนา กินข้าวก่อนไม่ได้หรือไง”
โดนว่า และปาจรีย์ก็ได้แต่พยักหน้ารับ
บารมีเป็นคนแบบนี้ ปลอบใจใครไม่เป็น และมักจะใช้ไม้แข็งกับน้องสาวเสมอ
“ปลอบใจน้องบ้างไม่ได้หรือไง”
แม้จะโดนว่า แต่ปาจรีย์ยังสามารถต่อปากต่อคำกับพี่ชายได้
“ปลอบทำห่าอะไร โต ๆ กันแล้วไม่ใช่เด็ก”
พิพัฒน์ได้แต่อมยิ้ม และปาจรีย์ที่มองหน้าของพิพัฒน์ก็เริ่มยิ้มออกมาได้
“รู้ว่ากลับมาแล้วโดนด่าขนาดนี้ ไม่น่ากลับมาก็ดี”
“เดี๋ยวมึงจะโดนอีปา”
พิพัฒน์เหลือบสายตามองหน้าของบารมีและวางมือลงบนหน้าขาของคนที่กำลังโดนน้องสาวยั่วโมโห
และบารมีก็ถึงกับสะดุ้งและเอ็ดพิพัฒน์เสียงดัง
“ไอ้พัฒน์”
ถึงจะทำเสียงแบบนั้นใส่ แต่พิพัฒน์ก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน และลูบหน้าขาของบารมีเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปาจรีย์ได้แต่แปลกใจกับปฏิกิริยาของคนสองคนที่มีต่อกัน
บารมีที่โดนยั่วโมโห อยู่ดี ๆ ก็สงบลงได้ง่าย ๆ และพิพัฒน์ยังคงนิ่งเฉย เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับน้ำเสียงเข้ม ๆ ของบารมีเลยสักนิด นั่นยิ่งทำให้ปาจรีย์ประหลาดใจ
บารมีตักข้าวใส่ปากเงียบ ๆ และยึดมือของพิพัฒน์ที่เริ่มจะเคลื่อนเข้าใกล้กับส่วนอื่นที่ไม่ใช่แค่หน้าขา
พยายามอยู่นิ่งให้มากที่สุด กินข้าวไปเงียบ ๆ และพูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปบ้าง
พิพัฒน์ลุกขึ้นไปตักแกงและเพิ่มข้าวให้บารมี ทุกอย่างเหมือนปฏิกิริยาอัตโนมัติ
ไม่มีคำพูด แต่เหมือนว่าทั้งบารมีและพิพัฒน์จะสื่อถึงกันได้ง่ายๆ แม้ไม่ต้องใช้คำพูด
“ไม่น่าเชื่อนะ ว่าพี่บัสกับพัฒน์จะสนิทกันขนาดนี้”
บารมีกับพิพัฒน์มองหน้ากันนิ่ง ๆ และหันกลับมามองหน้าของปาจรีย์พร้อมกัน
“ก็อยู่ด้วยกันตลอด ทั้งที่อู่ ที่บ้าน”
คำตอบที่ได้แม้จะช่วยอธิบายความสนิทสนมของคนสองคน แต่ปาจรีย์ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เพียงแค่นั้น
คล้ายกับมีบางอย่าง
ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้
สายตาที่คนสองคนมองกัน มันมีอะไรมากกว่านั้นและถ้าปาจรีย์ไม่คิดมากจนเกินไปก็พอจะรับรู้ได้
ระหว่างบารมีและพิพัฒน์มีความรู้สึกบางอย่างอยู่รอบ ๆ ตัวคนทั้งคู่ตลอดเวลา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++