“โอ๊ย..หยุดทำไม” ต้นกล้าถามเพราะมัวแต่มองไปรอบ ๆ จึงเดินชนหลังคนตัวโตที่เดินนำหน้า แต่เดินอยู่ดี ๆ ก็หยุดลงเฉย ๆ เสียอย่างนั้น
“เดินดูทางหน่อยสิ”
“ก็อยากดูอย่างอื่นด้วย”
“งั้นเดินไปก่อนไป”
“ทำไมเราต้องเดินไปก่อน”
“ก็เผื่อสะดุดอะไรแถวนี้ พี่จะได้รับตัวไว้ได้ทันไง พี่เป็นพระเอกนะ หึ ๆ ” พูดจบก็ยักคิ้วให้ด้วยอย่างกวนอารมณ์คนมอง
“บ้าบอเถอะเราไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้นนะ” ถึงจะเถียงแต่ก็เดินนำหน้าคนตัวโตไปทันที เพราะไอ้เสียงหัวเราะโรคจิตที่ต้นกล้าไม่ชอบนั่นแหละ จึงทำให้ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนหน้ามึนนานกว่านี้ ทั้งสองเดินไปบนคูสูง ซึ่งเป็นทางเดินเล็ก ๆ ระหว่างสวนที่ปลูกไม้ผลเอาไว้ เด็ดเดี่ยวก็พูดอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เดินผ่านไปเรื่อย บ้างก็ชี้ชวนให้กันดูนั่นดูนี่จนถึงบ่ปลาบ่อที่สาม ซึ่งอยู่ช่วงกลางระหว่างบ่ปลาทั้งหมดพอดี
“เลี้ยงปลาอะไร”
“ในบ่อนี่เหรอ ก็มีทั้งปลานิล ปลาดุก ปลาหมอ ปลาทับทิม เดี๋ยวไปดูไร่ฝั่งโน่นก่อน แล้วบ่าย ๆ เรามาลงปลากัน”
“ลงปลาคืออะไร”
“ก็จับปลามันต้องลงไปจับในบ่เลยเรียกลงปลาไง ถึงเวลาก็รู้เองแหละ เดี๋ยวพี่จะพาไปดูไร่ฝั่งโน้น เรากลับไปเอารถกันก่อนดีกว่า”
“อ้าวเดินไปก็ได้นี่”
“ได้แต่มันไกลพี่ขี้เกียจเดิน” จบ
“เป็นงั้นไป” ต้นกล้าเดินตามเด็ดเดี่ยวกลับไปยังรถที่จอดเอาไว้ไม่ไกล หนุ่มบ้านนาพาหนุ่มกรุงขับรถไปเรื่อย ๆ ภายในเขตที่ดินของตัวเอง ซึ่งเป็นไร่นาสวนผสมที่มีพื้นที่เรียกได้ว่า กว้างใหญ่ไพศาลมากทีเดียว
“มีวัวด้วยเหรอ”
“เอ้า มีสิแปลกตรงไหน นี่เป็นวัวนม”
“กะ ก็ไม่แปลก แต่ไม่คิดว่าจะเลี้ยงวัวด้วยนี่” ต้นกล้ามองไปยังทุ่งหญ้าที่วัวตัวสีขาวดำฝูงใหญ่กำลังแทะเล็มหญ้าเขียว ๆ อยู่ ช่วงล่างด้านหลังของมันมีถุงใหญ่คับที่ระหว่างขาดูก็รู้ว่าเป็นเต้านม
“ควายยังมีเลย”
“อืม”
“ปะลงไปดูกัน”
“เฮ้ย” ! ต้นกล้าที่ปิดประตูรถออกไปแล้วต้องรีบปิดกลับเข้ามาโดยไว เพราะควายตัวใหญ่กำลังเดินมาที่รถฝั่งเขานั่งพอดี
“ลงมาสิ” เด็ดเดี่ยวเดินมาเปิดประตูฝั่งต้นกล้าแล้วบอกให้อีกคนลงรถ แต่พอเห็นสายตาที่ต้นกล้ามองไปยังควายสีเทาดำตัวใหญ่ จึงพอเข้าใจว่าอีกคนคงตื่นมัน “ไม่ต้องกลัวหรอก มันแค่เดินมาดูเฉย ๆ ไม่ทำอะไร”
“ใครกลัว ที่ไม่ลงเพราะมันขวางทางเราเลยเปิดประตูไม่ได้เถอะ”
“อ้าว เป็นงั้นไป หึ ๆ เอ้าขวางก็ขวาง ไป ๆ พี่ใหญ่ไป มาขวางเขาทำไมเนี่ยเดี๋ยวปั๊ดเลย” เด็ดเดี่ยวแอบยิ้มก่อนจะหันไปทางไอ้ตัวใหญ่สีเทาดำที่ยืนอยู่ข้างหลัง แล้วบอกให้ถอยห่างออกไปจากรถ ซึ่งเมื่อได้ยินเด็ดเดี่ยวบอก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสีเทาดำตัวโตที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ ก็ถอยหากอย่างรู้ความ ผิวสีเทาดำของมันเริ่มย่นและแห้งตามอายุที่มากพอสมควร
“เรียกใครพี่ใหญ่อะ” ต้นกล้าถามหลังจากที่กระโดดลงมาจากรถแล้ว
“นั่นไง พี่ใหญ่”
“เรียกควายว่าพี่เนี่ยนะ”
“อืม แปลกตรงไหน ก็พี่เขาตัวใหญ่แล้วเกิดก่อนพี่ด้วย”
“โหเกิดก่อนเลยเหรอ” ต้นกล้าตาโตเขาจำได้ว่าเด็ดเดี่ยวเคยบอกเขาว่าตัวเองอายุ อายุ เอ อายุเท่าไหร่วะจำไม่ได้แล้ว แต่ก็ใกล้สามสิบแล้วล่ะ เพราะจำได้ว่าเคยล้ออีกคนว่าแก่ นี่ถ้าพี่ใหญ่เกิดก่อน ก็ต้องถือว่าแก่มากแล้วแน่ ๆ “พี่เขาอายุเท่าไหร่แล้วอะ” เด็ดเดี่ยวยิ้มบาง ๆ กับคำถามของต้นกล้าที่เรียกพี่ตามเขาอย่างสนิทปาก ก่อนจะตอบคำถาม
“ประมาณ 28 ปีกว่า ๆ นี่แหละ พี่ใหญ่นี่แก่มากแล้วนะเห็นกันมาแต่เด็ก ที่จริงควายมีอายุโดยเฉลี่ยแล้วแค่ 25 ปีเท่านั้น แต่พี่ใหญ่นี่เขาอึดเป็นพิเศษก็เลยอยู่มาได้ขนาดนี้ ใช่มั้ยลูกพี่” เด็ดเดี่ยวพูดจบก็เดินไปลูบแผงคอของพี่ใหญ่แล้วตบปุ ๆ ลงบนกระดูกสันหลังที่ปูดโปนขึ้นมาเพราะความชรา แต่ก็ไม่แรงมากนัก ความรักใคร่ที่ส่งผ่านออกมาจากนัยน์ตาคม ทำให้คนที่สังเกตการณ์อยู่อย่างต้นกล้ารู้ได้เลย ว่าคนตัวโตกับพี่ใหญ่นั้นมีความผูกพันกันมากแค่ไหน
“แล้วมีลูกมีเมียปะ”
“หืม” เด็ดเดี่ยวพยายามกลั้นขำกับคำถามซื่อ ๆ ที่ต้นกล้าถามออกมาหน้าตาเฉย แต่มันก็ถูกของคนตัวเล็กนั่นแหละ เพราะสัตว์โลกทุกสายพันธุ์ มันก็ต้องมีการจับคู่เพื่อความดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์กันทั้งนั้น “มีสิเยอะด้วย ทั้งลูกทั้งเมีย”
“จริงอะ”
“อืมกระบือหรือควายสามารถผสมพันธุ์กันได้ตั้งแต่อายุหนึ่งปีเลยนะ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการสืบพันธุ์ก็ควรจะมีอายุตั้งแต่สองปีขึ้นไป ถ้าจะให้ดีที่สุดพ่อแม่พันธุ์ก็ต้องมีอายุสามปีขึ้นไปถึงจะให้ลูกที่สมบูรณ์แข็งแรงออกมา แล้วก็นะการผสมพันธุ์นั้นสามารถ..”
“พอเถอะ ๆ พูดเรื่องไรอะไรเนี่ย” ต้นกล้าตัดบทก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะพูดเรื่องอะไร ที่ทำให้เขาคิดภาพตามไปแบบนอกลูกนอกทางกว่านี้ ซึ่งมันเป็นไปเองนะ ต้นกล้าไม่ได้ลามกเลยจริง ๆ แม้ว่าคนเล่าให้ฟังจะตั้งใจพูดเข้าประเด็นเป็นพิเศษ โดยที่ต้นกล้าไม่รู้ก็ตามเถอะ เหอะ
“หึ ๆ ”
“เอาอีกละ ทำไมชอบหัวเราะแบบนี้จังวุ้ย”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ชอบ เราไม่ชอบมันฟังเจ้าเล่ห์เกินไป”
“งั้นหัวเราะแบบไหนดีล่ะ”
“แบบไหนก็ตามใจแต่ต้องไม่ใช่ ไอ้หึ ๆ บ้าบอนี่ เข้าใจปะ”
“เข้าใจ หึ ๆ โอ๊ย! พี่ล้อเล่น”
“สักทีเถอะ” ต้นกล้าฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขนของเด็ดเดี่ยวด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่จะต้องตกใจแทบร้องจ๊าก เมื่อพี่ใหญ่หันมามองตาขวางอย่างเอาเรื่อง และทำท่าจะเดินเข้ามาหาเพราะเขาทำให้เด็ดเดี่ยวเจ็บตัว “เฮ้ย อะไรนี่ อย่าเข้ามานะ”
“ฮ่า ๆ ก็ทำร้ายร่างกายพี่แบบนี้พี่ใหญ่เขาก็ไม่พอใจนะสิ”
“หยุดนะ บอกเขาหยุดสิ พี่ใหญ่หยุด” และเหมือนกับว่ามันจะฟังรู้เรื่อง เมื่อต้นกล้าบอกอย่างนั้นพี่ใหญ่ก็หยุดเดินเข้าหาเขาทันที มันหันไปมองหน้าเด็ดเดี่ยวเล็กน้อย แล้วเดินออกไปเล็มหญ้าแถว ๆ นั้น โดยไม่หันมาสนใจหนุ่มทั้งสองอีกเลย
“อยากลองขี่ควายดูมั้ย”
“อย่ามาหาเรื่องแกล้งเรา”
“เปล่าแกล้ง ก็เห็นว่าเข้ากันได้ดีกับพี่ใหญ่ ต้นกล้าบอกคำเดียวพี่ใหญ่ยังหยุดเลย นอกจากพี่ก็ไม่มีใครสั่งเขาได้ขนาดนี้เลยนะ พี่ว่าต้นกล้าน่าจะมีสัมผัสพิเศษกับควายแล้วล่ะ”
“เหอะ ไม่เอาหรอก”
“ป๊อดตลอดแหละ”
“เราไม่อยากขี่เองแหละ ขี่แล้วได้อะไร”
“ได้ความเท่ไง เห็นคนกรุงคนเมืองมาทีไรก็กลัวควายทั้งนั้น ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ปอดแหกกันจัง” ว่ายังไงนะ!? ปอดแหกอย่างนั้นเหรอ คนหน้ามึนนี่กำลังด่าตนกล้าว่าปอดแหกอย่างนั้นเหรอ เหอะ ไม่ได้ ไม่ได้ คนอย่างต้นกล้าฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ และไม่มีคำว่าปอดแหกอยู่ในสารบบโว้ย!
“ปอดแหกมันใช้ไม่ได้กับเราหรอกนะจะบอกให้”
“เหรอ งั้นตามมา”
“จะไปไหนอีกล่ะ” ต้นกล้าถามแต่ก็เดินตามเด็ดเดี่ยวที่เดินนำไปอีกทาง ทางที่คนหัวแดงพึ่งจะสังเกตเห็นว่ามีควายหลายตัวนอนอยู่ใต้ต้นจามจุรีเหมือนกำลังพักผ่อน “เฮ้ย นั่นตัวอะไร”
“ไหน”
“นั่นไง นอนอยู่นั่นน่ะที่สีชมพู”
“เอ้า ไม่รู้จักเหรอ”
“รู้ แต่ทำไมตัวมันเป็นสีชมพูล่ะ”
“ก็ควายเผือกมันก็ต้องเป็นสีชมพูสิ”
“เผือกไม่เป็นสีขาวเหรอ เหมือนคนเผือกอะไรงี้อะ”
“ถามได้ดีอีกแล้ว”
“อืม แล้วทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ช่างมันเถอะน่า”
“ไม่รู้ล่ะซี้”
“หึ อึกอูย” กำลังจะหัวเราะสะใจออกมาแต่โดนดีเสียก่อน เด็ดเดี่ยวเลยหยุดเสียงหัวเราะเพียงเท่านั้น แล้วเดินเข้าไปในกลุ่มควายที่นอนพักอยู่ใต้ร่มไม้ ลมเย็นพัดผ่านมาพร้อมกลิ่นดินกลิ่นหญ้าอ่อน เป็นกลิ่นของธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกถึงความสดชื่น แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงควายนับสิบตัวก็ยังรู้สึกดี ใครกันนะที่ชอบพูดว่า เหม็นกลิ่นโคลนสาบควาย ไม่รู้ความจริงยังกล้าเอาไปพูดแบบผิด ๆ ต้นกล้ามายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้แท้ ๆ กลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิดนอกจากความสดชื่น
“อยากขี่ตัวไหน”
“ขี่ไอ้เผือกได้ปะ”
“ได้สิ มันชื่อจำปี”
“ฮ่า ๆ ตัวผู้เหรอ”
“ใช่”
“รู้ได้ไงว่าตัวไหนตัวผู้ตัวเมียอะ”
“ก็ดูตรงนี้ไง เห็นมั้ยใต้ท้องมันนั่นน่ะ ตัวผู้จะมีน้องชายของมันอยู่ตรงนี้ ส่วนตัวเมียก็..หืม เป็นอะไร” คนที่กำลังอธิบายและยกตัวอย่างฉอด ๆ หันมาทางคนถามก็ได้แต่สงสัย ที่ต้นกล้ายืนนิ่งเงียบทำตาลอกแลกกลอกไปมา นี่ถ้าเด็ดเดี่ยวมองไม่ผิด ดูเหมือนว่าใบหน้าหล่อใส่ในแบบเกาหลีของเจ้าตัว กำลังขึ้นสีระเรื่อใช่ไหมนั่น ซึ่งอันที่จริงแล้วชายหนุ่มก็เดาไม่ผิดหรอก เพราะถามเพลิน ถามไปถามมาคนหัวแดงกลับเขินกับคำถามของตัวเองเสียอย่างนั้น เพราะถามด้วยความสนใจและคิดตามเพลินจนเห็นภาพอีกแล้ว พอได้คำตอบกลับเขินมันเสียเองทั้งที่ต้นกล้าไม่ได้คิดลามกอะไรเลยนะ ไม่ได้คิดจริง จริ้ง
“เปล่า....” ลากเสียงยาวปฏิเสธแล้วหันหน้าหนีดีกว่า เพราะไอ้พี่เดี่ยวมันยังตามมาส่องและล้อเลียนไม่เลิก ไม่รู้จะอะไรนักหนา ต้นกล้าเดินเข้าหาไอ้จำปีควายเผือกหนุ่มหน้าตาดี ที่เขาบอกเด็ดเดี่ยวว่าจะขี่มันโดยลืมความกลัวไปเสียสิ้น จนมายืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าควายสุดหล่อ และมีเด็ดเดี่ยวเดินตามมาไม่ห่าง
“ขึ้นสิ” สั่งเสียงเรียบแต่อีกคนกลับมองตอบกลับมาหน้าเหวอ ต้นกล้าไม่เคยขี่ควายมาก่อนแล้วจะขึ้นได้ยังไง (วะ)
“ขึ้นยังไงอะ”
“ยังไงก็ได้ขอแค่ไปนั่งบนหลังมันก็พอ”
“ชิ อยากขี่จะตายแล้ว” ต้นกล้าหันกลับมาบ่นขมุบขมิบที่คิดว่าอีกคนคงไม่ได้ยิน พร้อมกับถามตัวเองในใจว่าทำไมคนอย่าง ต้นกล้า กวินกานต์ ต้องมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วย แต่พอคิดถึงคำสบประมาทของคนตัวโตหน้ามึน มันก็ได้คำตอบที่ใช่ คนอย่างไอ้กล้าจะฆ่าก็ฆ่าแต่อย่ามาหยามกันให้เสียเชิง ต้นกล้า กวินกานต์หลานคุณยายประไพศรีฆ่าได้หยามไม่ได้โว้ย!
เมื่อยืนคิดสะระตะดีแล้วก็ได้คำตอบ ไอ้จำปีสุดหล่อมันท่าทางเชื่องจะตาย ขนาดต้นกล้ามายืนใกล้อย่างนี้มันยังเฉย แล้วแค่ขึ้นขี่หลังมันจะไปยากอะไร ต้นกล้าประเมินความสูงของไอ้จำปีคิดว่าคงกระโดดขึ้นนั่งบนหลังมันได้ไม่อยาก แต่ถ้ากระโดดขึ้นไปแล้ว เกิดไอ้จำปีมันตกใจดีดเขาตกลงมาเหมือนม้าพยศจะทำยังไง แบบนี้มีอายแน่ ดวงตาดำขลับมองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนมีหลอดไฟสว่างวาบขึ้นมาในหัว ปิ๊ง!!
ต้นกล้าดึงเชือกสนตะพายไอ้จำปีเพื่อจูงควายหนุ่มรูปงาม ไปยังอีกมุมที่อยู่ไม่ไกล เพราะมันมีสิ่งทุ่นแรงที่สามารถช่วยให้เขาขึ้นหลังมันได้ง่าย ๆ จะเป็นอะไรไปได้ละก็คันนาสูง ๆ นั่นไง ตัวช่วยที่คนฉลาดปราดเปรื่องอย่างต้นกล้าเลือกใช้ในยามนี้ พอจูงกันมาถึงคันนาก็ดูเหมือนว่าไอ้จำปีมันช่างรู้งานยิ่งนัก เพราะหันด้านข้างให้ขนานกันกับคันนาได้อย่างพอดิบพอดี และในที่สุดก็ฮึบ!
“เป็นไง” ต้นกล้าวาดขานั่งคร่อมอยู่บนหลังไอ้จำปีอย่างมั่นคง แล้วหันมาทางเด็ดเดี่ยวยักคิ้วข้างเดียวให้ชายหนุ่มก่อนจะถาม เด็ดเดี่ยวมองความเปลี่ยนแปลงของต้นกล้าก็ยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่ไม่ใช่การหัวเราะขำ แต่เป็นยิ้มที่มีความพึงพอใจอยู่ลึก ๆ กับรอยยิ้มอวดของคนหัวแดงบนหลังควาย ถ้าดูไม่ผิดเหมือนมันมีความภูมิใจส่งมาให้กันด้วย
“เก่งนี่”
“อ๊ะ ของมันแน่อยู่แล้ว นี่ใคร นี่ต้นกล้านะ ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเสียงดังเหมือนเป็นการฉลองชัยในความสำเร็จ เป็นความสำเร็จในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่และสร้างความพอใจให้เจ้าตัวอยู่มากทีเดียว อาจจะเป็นเพราะเลือดลูกชาวนากว่าครึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัว หรือจะอะไรก็ตามแต่ ต้นกล้ารู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำนี้แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องน้อยนิดสำหรับคนอื่นก็ตาม
“ตรงนั้นทำอะไรกันน่ะ” ต้นกล้าชี้มือไปทางโรงเรือนที่ปลูกเป็นแนวยาว ตั้งอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร
“นั่นคอกหมู”
“ทำไมไปทำไว้ไกลขนาดนั้นล่ะ”
“หึ ๆ ก็ขี้หมูมันเหม็นไง เลยถูกเนรเทศไปไกลที่สุด” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้แล้วเกิดคำถามในใจ ว่าที่นี่เขาทำอะไรกันบ้าง เท่าที่เห็น ก็มีทั้งนาข้าว พืชไร่ที่เด็ดเดี่ยวชี้ให้ดูอยู่ไกล ๆ บ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย นี่ยังมีเลี้ยงหมูอีก แล้วเหลืออะไรที่อีกคนยังไม่ได้เลี้ยงไว้นะ
“มีม้าปะ”
“ม้าไม่มี”
“ทำไมไม่เอามาเลี้ยงให้มันครบล่ะ”
“พี่ก็อยากได้อยู่เหมือนกัน แต่เท่านี้ก็ไม่มีเวลาดูแลให้ทั่วแล้วล่ะ ยังเหลือเป็ดกับไก่นะ”
“โห มีเป็ดกับไก่อีก เอาทุกอย่างเลยนะ”
“ดาวรุ่งเขาอยากทำน่ะ”
“อ๋อ ไม่มีเวลาดูแต่ไปขลุกอยู่บ้านคนอื่นได้ทั้งวันได้นะ” อดไม่ได้ที่จะแขวะอีกคนไปบ้าง
“อันนั้นมันเป็นงานเฉพาะกิจ ไปดูทางโน้นกัน”
“หืม เดี๋ยวสิให้เราลงก่อน”
“ขี่มาก็ได้นะถ้ามันยอมเดินมา”
“เหรอ งั้นไปสิจำปีสุดหล่อไป ๆ เดินไปสิวะครับ “ต้นกล้าขยับขาตัวเองเร่งให้ไอ้จำปีเดินตามเด็ดเดี่ยวไป แต่ขยับก็แล้วกระตุกเชือกเร่งก็แล้ว ไอ้จำปีสุดหล่อมันก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมเดิน แถมมองตามเด็ดเดี่ยวแล้วก็ก้มลงเล็มหญ้าแถวนั้นหน้าตาเฉย ทั้งที่ตอนแรกยังดูท่าว่าจะรู้ความอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้ดื้อขึ้นมาได้ก็ไม่รู้ ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวที่เดินนำไปก่อนแล้วหันกลับมากระตุกเชือก เร่งขยับเท้าให้ไอ้จำปีเดินตามไป แต่มันก็ยังเล็มหญ้าเฉยอยู่เหมือนเดิม “ทำไมไม่เดินไปล่ะเนี่ย ไปสิจำปีเดินสิเร็ว”
“มามั้ย” เด็ดเดี่ยวตะโกนกลับมาถาม เมื่อหันมาเห็นว่าต้นกล้ากับไอ้จำปียังอยู่ที่เดิม
“มันไม่ยอมไปน่ะ เฮ้ย” ! ต้นกล้าร้องเสียงหลง เมื่อไอ้จำปีหันรีหันขวางเหมือนตื่นตกใจ หนุ่มน้อยจับเชือกกระชับมั่น ขาทั้งสองข้างหนีบตัวไอ้จำปีแน่นเพราะกลัวตก
“จับแน่น ๆ “เด็ดเดี่ยววิ่งเข้ามาหาเมื่อเห็นท่าไม่ดี เหมือนไอ้จำปีกำลังตกใจอะไรบางอย่าง พอมาถึงก็รีบจับเชือกดึงเอาไว้ ไอ้จำปีดูท่าทางสงบลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเด็ดเดี่ยววิ่งเข้ามาใกล้ แต่ที่ไม่สงบกลับเป็นคนที่อยู่บนหลังควายต่างหาก
“เราจะลง ๆ เด็ดเดี่ยวเราจะลง”
“เดี๋ยว ๆ อย่าพึ่งลงอยู่นิ่ง ๆ ก่อน เกาะแน่น ๆ ”
“เราจะลงเดี๋ยวนี้ รับด้วย”
“เฮ้ย อย่าพึ่ง โอ๊ย”
!!
มันเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากที่ต้นกล้าบอกว่าจะลงก็กระโดดมาทางเด็ดเดี่ยวเลยทันที ชายหนุ่มรีบปล่อยเชือกไอ้จำปีที่ถืออยู่เพื่อมารับร่างโปร่งที่กระโดดเข้าหา เอาสองมือโอบรอบคอเขาเอาไว้ แต่จากความสูงของไอ้จำปีควายหนุ่มเต็มวัยที่ร่างกายของมันสูงเกือบสองเมตร แม้ว่าเด็ดเดี่ยวจะหันมาตั้งรับร่างของต้นกล้าเอาไว้ได้ทันพอดี แต่ก็เล่นเอาเสียหลักก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วสะดุดก้อนดินก้อนใหญ่หงายหลังลงไปเลยทีเดียว ดีที่มีพื้นหญ้านุ่มรองรับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นร่างใหญ่โตที่มีร่างโปร่งบางทับอยู่อีกชั้นคงได้เจ็บตัวไม่น้อยเลย
“โอย เจ็บนะเนี่ย”
“ก็เราบอกจะลงแล้วทำไมไม่ตั้งรับดี ๆ”
“พี่ก็บอกว่าอย่าพึ่งลงแล้วทำไมไม่ฟัง”
“ก็ไอ้จำปีมันพยศนี่”
“อืม..”
“เอ่อ..” ต้นกล้าที่เห็นสายตาของเด็ดเดี่ยวก็พูดไม่ออก “เฮ้ย “ยิ่งพึ่งจะนึกได้ว่าตัวเองคร่อมทับอยู่บนตัวของเขา แถมยังโอบรอบคอเอาไว้แน่นยิ่งทำตัวไม่ถูก เลยรีบดันตัวเองออกจากความใกล้ชิดน่ากลัวนี้อย่างรวดเร็ว จนคนรองรับน้ำหนักนึกเสียดาย
“หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวใช้สองมือประสานรองเอาไว้ใต้ท้ายทอย ทิ้งตัวนอนลงบนพื้นหญ้าเขียว ๆ มองคนหัวแดงที่หน้าแดงไปด้วย ต้นกล้าพยายามหลบสายตาล้อเลียนของคนตัวโตที่กำลังจ้องมอง แต่ทำไมหลบตาแล้วความร้อนวูบวาบที่แผ่ไปทั้งตัวมันยังไม่หายไปอีกนะ
“นอนเล่นหน่อยมั้ย เย็นสบายกำลังดีนะ”
“นอนคนเดียวไปเถอะ” ตอบเสียงเบาสายตาก็มองไปทางอื่นที่ไม่มีคนหน้ามึนกับรอยยิ้มล้อเลียน ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ทำไมต้องทำตัวไม่ถูก ต้นกล้าก็ไม่รู้ แต่เขาไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ฮึ่ย! บ่อยไปแล้วนะ
“งั้นไปดูไร่มั้ย หรือจะไปลงปลาเลย พี่จะได้โทรตามพวกเด็ก ๆ มาช่วยกัน”
“ไม่รู้สิ เอาไงล่ะ เด็กไหนจะมาช่วย”
“พวกไอ้ดำน่ะ กลุ่มเดียวกับไอ้จ๋านั่นแหละ เดี๋ยวโทรเรียกไอ้จ๋ามาด้วยสิ”
“เออ ว่าแต่ไอ้จ๋ามันจะจัดการเก็บเด็กนั่นยังไงนะ”
“ไม่รู้สิ หึ ๆ แต่ถ้า..”
“ถ้าอะไร”
“เปล่า”
“อย่ามาลับลมคมใน”
“เปล่าจริง ๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“แน่นะ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไปแต่ถ้าแกล้งไอ้จ๋าละก็....” ต้นกล้าเว้นจังหวะพูดเอาไว้เท่านั้นตาหรี่มองอีกคนแพรวพราวเหมือนจะคาดโทษ เล่นเอาเด็ดเดี่ยวเสียวสันหลังวาบไปเลยทีเดียว เพราะมีแผนแกล้งไอ้จ๋าอยู่พอดี หากแผนลงล็อกไอ้จ๋าตกหลุมพรางงานนี้มีเฮแน่ แต่ท่าทางเหมือนรู้ทันของไอ้หัวแดงจอมรั้นของเขามันคืออะไร จะขัดขวางแผนการของเขาหรือยังไง
“ละก็อะไร”
“เราจะร่วมด้วย คึ ๆ ๆ ” เด็ดเดี่ยวแอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ และยิ่งโล่งอกมากขึ้นไปอีกที่มีคนร่วมอุดมการณ์อย่างต้นกล้า งานนี้สนุกขึ้นอีกแน่ หึๆ ๆ
%%%%%%%%
“เสร็จหรือยังยัยส้มเน่า”
“เสร็จแล้ว”
“เสร็จแล้วก็ออกมาจะได้กลับบ้านสักที”
“เร่งจัง แล้วก็นะฉันไม่ได้ชื่อส้มเน่า” ออเรนจ์เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเป็นเสื้อเชิ้ตตัวที่เล็กที่สุดของไอ้จ๋า แต่เมื่อมาอยู่บนร่างกายบอบบางก็ถือว่าใหญ่มากอยู่ดี คนตัวบางใส่กางเกงตัวเก่าที่ใส่มาเมื่อวาน ส่วนชั้นในนั้นซักไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ที่เป็นช่วงสายของอีกวันก็แห้งพอดี
“จิ๊ มานี่ดิ๊”
“มีอะไรเหรอจ๋า” ไอ้จ๋าไม่ตอบแต่เดินหน้านิ่งเข้ามาติดกระดุมเม็ดบนสุด ที่ออเรนจ์เว้นเอาไว้ไม่ได้ติดตั้งแต่ตอนแรก เพราะมันรู้สึกขัดหูขัดตาที่อีกคนไม่รู้จักระวังตัว ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเสื้อมันตัวใหญ่ ถ้าติดกระดุมไม่หมดผิวขาว ๆ นั่นเป็นได้ออกมาอวดสายตาชาวบ้านกันพอดี อยู่ ๆ ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะไอ้จ๋าคิดว่าถ้าจะมีใครมาจ้องมองยัยส้มเน่า ที่มันตั้งฉายาให้แบบนี้คงไม่ดีแน่ พอติดกระดุมเสื้อให้เสร็จก็จับแขนเล็กบอบบางขึ้นมาแกะกระดุมที่ข้อมือออก ก่อนจะพับแขนขึ้นให้ทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก จะได้ไม่ดูรุ่มร่ามให้รำคาญตาของมัน
“เสร็จแล้ว”
“เอ่อ ขอบใจนะ” ออเรนจ์บอกแต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋าที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้ล่ะนะว่าอีกคนกำลังจ้องอยู่ และนั่นล่ะที่ทำให้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ไหนจะการกระทำของไอ้จ๋าอีก ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำให้ใจดวงน้อยในอกของออเรนจ์เต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะขนาดไหน ใบหน้าหรือก็ร้อนวูบวาบไปหมด แล้วยิ่งอีกคนขยับมายืนเสียชิดโดยไม่พูดอะไรสักคำนี่อีก ยิ่งทำให้ออเรนจ์เดาใจไม่ถูก เพราะเมื่อเช้ายังต่อว่าหาว่าออเรนจ์เนียนตั้งใจมานอนกอด แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะ ว่าหันไปกอดไอ้จ๋าจริง ๆ เพราะเป็นคนติดหมอนข้างมาแต่ไหนแต่ไร เวลานอนหากไม่ได้นอนกอดหมอนข้างจะนอนไม่หลับ ถึงหลับไปแล้วหากไม่มีหมอนอยู่ในอ้อมกอด ก็ต้องคว้าอะไรเข้ามากอดโดยไม่รู้ตัวตลอดอยู่ดี แค่เมื่อคืนคว้าตัวไอ้จ๋ามากอดแทนหมอนก็เท่านั้นเอง ออเรนจ์ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย มันเป็นความเคยชิน แต่ถ้าบอกไปก็คงถูกอีกคนหาว่าแก้ตัวแน่ ๆ เลย
“จ๋า มีอะไร”
“ไม่มี”
“ไม่มีก็ถอยออกไปหน่อยสิ”
“แล้วพูดทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมาห๊า จะก้มดูเป้าฉันหรือไง”
“บ้า ใครจะไปอยากดู”
“เธอไงก้มอยู่ได้ อยากดูก็บอกดี ๆ เดี๋ยวเปิดให้ดูเลยก็ได้”
“บ้า” เมื่อไอ้จ๋าทำท่าจะแอ่นตัวให้ดู ออเรนจ์จึงได้เงยหน้าขึ้นด่าแต่ไม่จริงจังนัก เอาจริง ๆ ไอ้จ๋ามันก็ไม่ได้หน้าด้านหน้ามึนอะไรนักหรอก เพียงแค่เห็นคนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้า แก้มใส ๆ นั่นก็แดงแล้วแดงอีกจนสุกปลั่งน่ามอง มันก็เลยสงเคราะห์ให้ด้วยการแกล้งจริง ๆ แบบเล่น ๆ ก็เท่านั้นแหละ ไอ้จ๋าไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ นะ ถึงแม้ว่าภาพผิวขาวราวกับน้ำนมนั่นมันยังติดตาอยู่ก็ตามเถอะ แต่ยังแกล้งได้ไม่เท่าไหร่ พี่ฮีโร่เครื่องเก่าในกระเป๋ากางเกงก็ทั้งส่งเสียงทั้งสั่น เป็นสัญญาณบอกให้มันรีบรับสายโดยไวก่อนที่คนโทรมาจะขบหัวเอา
“ครับลูกพี่” ไอ้จ๋าทำท่าทางบอกให้ออเรนจ์เงียบเสียงก่อนจะกดรับสาย เมื่อเห็นว่าเป็นต้นกล้าที่โทรเข้ามา “ครับ .... ยังครับ ไปทำไมครับ จะดีเหรอครับลูกพี่ ....แต่ว่า...ครับ ๆ ”
“มีอะไรเหรอจ๋า” ออเรนจ์ไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่ไอ้จ๋าคุยโทรศัพท์ แต่เพราะอีกคนวางสายแล้วเอาแต่จ้องใบหน้าหวานนิ่ง ๆ จึงจำต้องถามออกมา
“เธอรีบกลับบ้านใช่มั้ย”
“ก็ไม่รีบเท่าไหร่ สองสามวันนี้พ่อไม่อยู่กลับตอนไหนก็ได้”
“ต้องรีบสิ”
“ก็ฉันไม่รีบนี่ มีอะไรล่ะ”
“ฮึ่ย ทำไมไม่รีบวะ”
“ก็ฉันไม่รีบ แล้วนายล่ะมีอะไร”
“ก็ลูกพี่กล้านะสิโทรมาบอกให้ฉันไปหาที่นาลูกพี่เดี่ยว”
“นายก็ไปสิ ฉันนั่งรถสองแถวกลับเองได้”
“อย่ามาทำเป็นเก่ง ลูกพี่กล้าสั่งให้ฉันพาเธอไปด้วย”
“จะให้ฉันไปทำไม”
“ไม่รู้โว้ย”
“นายจ๋าพูดไม่เพราะเลยนะ”
“เออ ๆ แล้วจะไปมั้ย”
“ไปก็ไปสิ”
“ฮึ่ย” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมพี่ใหญ่อย่างลูกพี่กล้าถึงได้สั่งให้มันพาคนตัวบางไปด้วย แล้วนี่ก็เป็นคำสั่งของลูกพี่กล้ามีหรือที่ไอ้จ๋ามันจะขัดได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องหงุดหงิดที่ต้องพาอีกคนไป ทั้งที่บอกว่าไม่มีรถแล้วลูกพี่เดี่ยวยังจะส่งไอ้ดำมารับอีก พอหันมาถามยัยส้มเน่านี่นึกอยากได้คำตอบว่ารีบกลับ จะได้มีข้ออ้างกับลูกพี่ว่าทำไมไม่พาอีกคนไปด้วย แต่ยัยส้มเน่าดันบอกไม่รีบเสียนี่ ถ้าอย่างนั้นก็โทรชวนพวกไอ้ว่าวไปเป็นแนวร่วมอีกแรงท่าจะดี ว่าแล้วไอ้จ๋าก็โทรหาเพื่อนเกลอทันทีและบอกจุดประสงค์ พอวางสายไอ้ดำลูกน้องเด็ดเดี่ยวก็ขับรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของมัน เข้ามาจอดตรงหน้าพอดี
“ไงมึง พาลูกสาวใครมาด้วยละเนี่ย”
“ยุ่ง”
“ฮ่า ๆ มา ๆ ขึ้นมา” ไอ้ดำเรียกเพื่อนขึ้นรถแต่สายตาจับที่ร่างบอบบาง และผิวขาวนวลของออเรนจ์ไม่วางตาจนไอ้จ๋าให้รู้สึกรำคาญหัวใจยุบยิบ
“ขึ้นดิ” มันบอกเมื่อเห็นออเรนจ์ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนวางตัวไม่ถูก และไม่รู้จะขึ้นนั่งยังไงหรือนั่งตรงไหน “ไม่เคยนั่งหรือไงมอ’ ไซด์น่ะ”
“เคย แต่ว่าให้นั่งตรงนี้เหรอ ฉันนั่งข้างหลังนายดีกว่า” ออเรนจ์ว่าเมื่อไอ้จ๋าทำเหมือนจะให้นั่งตรงกลางระหว่างมันกับคนขับ
“นั่งข้างหลังเดี๋ยวได้ปลิวตกพอดีผอม ๆ แบบนี้น่ะ”
“เอ้า เอาไงสองคนนี้ตกลงกันดี ๆ “ไอ้ดำบอกเมื่อเห็นสองคนตกลงกันไม่ได้สักที
“งั้นมึงลงมาก่อนไอ้ดำ เดี๋ยวกูขับเอง”
“เออเอาไป” ไอ้จ๋าขึ้นนั่งขับแทนไอ้ดำแล้วหันมามองหน้าออเรนจ์ที่ยืนทำหน้างง ๆ อยู่ที่เดิม
“ขึ้นมาสิ ไอ้ดำขึ้นรถเลยมึง”
“เออ” พูดจบไอ้ดำก็วาดขาขึ้นนั่งซ้อนท้ายข้างหลังไอ้จ๋าทันที นั่นจึงทำให้ออเรนจ์ไม่รู้ว่าจะทำยังไงนอกจากเดินไปจะขึ้นนั่งข้างหลังไอ้ดำอีกทีแต่.....
“เธอจะไปไหน มานั่งนี่” ไอ้จ๋าตบปุ ๆ ที่เบาะข้างหน้าตัวเอง ที่มันเว้นที่พอให้คนตัวเล็กอย่างออเรนจ์นั่งได้พอดี
“เอ่อ ให้เรานั่งตรงนี้เหรอจ๋า”
“เออสิ ขึ้นมาจะได้ไปสักที”
“กะ ก็ได้” ค่อย ๆ เดินตัวลีบเข้าไปนั่งข้างหน้าไอ้จ๋าอย่างตื่นเต้น เพราะเท่ากับว่าต้องอยู่ในอ้อมอกของมันโดยปริยายนะสิ งื้อ เจ้าส้มความตื่นเต้นนี้มันคืออะไร มือสั่น ๆ นี่มันคืออะไร ลมหายใจที่ผิดจังหวะนี้มันคืออะไร ก้อนเนื้อในอกที่เต้นกระหน่ำนี้มันคืออะไร ทำไมจ๋าไม่ยอมให้ไปนั่งข้างหลัง ทำไมต้องตรงนี้ข้างหน้าคนคนนี้ ออเรนจ์ไม่เข้าใจทำไมต้องมาตื่นเต้นมากมายแบบนี้ด้วย ทั้งที่นอนกอดก็เพิ่งจะนอนกอดมาแล้วทั้งคืน
ไอ้จ๋าขับรถออกตัวไปแล้วคนตัวบางก็ยังตื่นเต้นไม่หาย เพราะยังคงอยู่ในความใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าชิดใกล้ แค่นั่งข้างหน้านี่ก็เขินจนไปไม่ถูกแล้ว พอไอ้จ๋าขับรถออกไปตัวหนา ๆ ของมันก็โน้มมาข้างหน้า ซึ่งในตอนแรกออเรนจ์ก็โน้มไปทางเดียวกัน แต่พอนั่งไปได้สักพักเริ่มเมื่อยจึงต้องเอนตัวกลับมาข้างหลัง ทำให้แก้มนวลได้ใกล้ชิดกับแก้มสาก ใบหน้าคร้ามแดดเอียงเกือบแนบชิดกันกับใบหน้าขาวนวล ไอ้จ๋าเหล่ตามองคนที่นั่งไม่อยู่สุข เพราะยิ่งคนที่ยู่ในอ้อมแขนขยับตัว ก็ยิ่งทำให้ไออุ่นชัดเจนขึ้น ยิ่งเมื่อออเรนจ์เอนตัวมาข้างหลัง แผ่นหลังบางจึงแนบแผ่นอกกว้าง นั่นจึงทำให้เกิดความใกล้ชิดแบบแนบสนิทกันมากขึ้น แก้มนวลปลั่งที่อยู่ห่างกับแก้มสากกร้านไม่เกินคืบ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวอีกคนที่กวนใจ ไอ้จ๋าสามารถขับรถมอเตอร์ไซด์มาถึงนาลูกพี่ได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว ส่วนไอ้ตัวประกอบที่ถูกลืมอย่างไอ้ดำ ก็ได้แต่นั่งสังเกตการณ์เงียบ ๆ อย่างรู้งานจนถึงจุดหมายปลายทาง
***************
อุ้ย! พี่เดี่ยวพาน้องมาเปิดตัวเหรอ เจอกันตอนหน้าคร้าาาาาาาาาา