- จีบที่20 -
ผมผละออกมาเข้าห้องน้ำโดยมีพี่เซียนเดินออกมาติดๆ เพื่อคุยโทรศัพท์กับพี่เซนต์ฝาแฝดตัวเองเห็นว่าก่อนหน้านี้แชทคุยกันผ่านโปรแกรมไลน์แล้วพี่มันบ่นว่าคนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งพิมพ์ตอบช้าไม่ทันใจ ก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องน้ำทันได้ยินเสียงทุ้มคุยกับปลายสายเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษรัวๆ จับใจความว่าพี่มันฝากซื้ออะไรสักอย่าง ผมเองฟังไม่ทันหรอกเพราะเซียนพูดเร็วมากแต่ผมชอบสำเนียงที่หลุดจากปากนั้นมากเลยถือวิสาสะยืนฟัง พอพี่เซียนหันมาเห็นเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พอถูกจับใจว่าแอบฟังผมจึงส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วบ่ายหน้าเข้าห้องน้ำไป
ผมทำธุระไม่นานหรอกตอนที่เดินออกมาพี่เซียนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว และนอกจากพี่เซียนแล้วบริเวณนั้นยังมีพี่เดี่ยวกับเพื่อนวิศวะฯอีกคน ทั้งสามกำลังยืนถกอะไรกันสักอย่างท่าทางดูเคร่งเครียด
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมเห็นสีหน้าพี่เซียนดูหงุดหงิดเลยถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้คลายความเคร่งขรึมลง
“มีด่วนงานที่คณะน่ะ”
พี่เซียนพูดสั้นๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปยังเพื่อนวิศวะฯที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน
“เดี๋ยวต้องเอาแฟรชไดรฟ์ที่ไอ้ห่านี่หยิบติดมาไปคืนอาจารย์และกูต้องแวะไปดูแบบที่จะใช้ประกวดกับอาจารย์แป๊บนึง พรุ่งนี้ต้องขึ้นโครงเหล็กจำลองแล้ว”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“รอกูอยู่ที่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมา”
พี่เซียนโยกศีรษะผมก่อนจะหันไปพูดไปกับพี่เดี่ยว วันนี้เหมือนพวกพี่มันนัดดูฟุตบอลที่มีถ่ายทอดสดจากช่องฟรีทีวีซึ่งใกล้จะได้เวลาแตะแล้วด้วย ดูทรงว่าจะปักหลักอยู่ที่ร้านนี่จนกว่าจะแข่งจบล่ะมั้ง
“ฝากดูมันหน่อยนะ”
พี่เซียนหันไปพูดกับพี่เดี่ยวแล้วบุ้ยปากมาที่ผม
“เออ”
เพื่อนพี่มันรับคำยิ้มๆ
“วิศวะฯกับสามย่านห่างกันแค่นี้เอง ห่วงอะไรนักหนาวะ ไอ้โต้งเพื่อนน้องมันก็อยู่”
พี่เซียนถอนหายใจเนือยๆ ก่อนจะผละออกไปพร้อมกับเพื่อนมัน ผมมองตามหลังพี่มันไปแล้วเดินตามพี่เดี่ยวกลับมาที่โต๊ะ ตอนนี้พวกเพื่อนพี่เซียนกำลังสนใจอยู่ที่จอโทรทัศน์ที่ติดอยู่ตามเสาซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลท่ามกลางเสียงเชียร์ของโต๊ะอื่นๆ ผมเองก็นั่งกินถั่วดูบอลไปเงียบๆ จนพี่เดี่ยวเลื่อนทอดมันกุ้งมาให้ตรงหน้า
“ขอบคุณครับพี่”
ผมยิ้มตาหยี
“มึงอยากกินอะไรสั่งเพิ่มได้นะ”
พี่มันพูดยิ้มแล้วยกแก้วสีอำพันในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ผมจ้องพี่มันตาปริบๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมเห็นพวกพี่แกยกกินไปหลายแก้วแล้วยังไม่มีใครมีอาการเมาสักคน
คอแข็งเป็นบ้า
“อยากลองชิมมั้ย”
ผมส่ายหน้าหวือจำนฝ่ายนั้นขำให้
“ดีแล้ว”
“...”
“หน้าอย่างมึงอย่าข้องเกี่ยวกับของมึนเมาเลย”
“จริงๆ ก็พอกินได้พี่ แต่ผมเมาง่าย”
“เออ ว่าแต่มึงอยากกินอะไรสั่งเลยนะ วันนี้ไอ้เซียนมันเลี้ยง สั่งให้แม่งกระเป๋าฉีกเลย”
พี่เดี่ยวขยิบตาให้ โธ่เอ้ยอาหารแต่ละอย่างแพงสุดแค่หลักร้อยเท่านั้น แค่นี้ไม่ระคายเคืองกระเป๋าเงินไอ้พี่เซียนหรอก พี่แกเล่นสะสมมอ’ไซค์ดูคาติตัวท๊อปราคาหลักล้านไม่ต่ำกว่าห้าคัน ซึ่งความจริงข้อนี้ผมเพิ่งรู้มาไม่นานนี้เองว่านอกจากดูคาติสีแดงเพลิงที่เห็นบ่อยๆ แล้ว พี่เซียนมันเล่าให้ฟังว่ามันมีมอ’ไซค์ยี่ห้อนี้จอดสะสมอยู่โรงรถที่บ้านจำนวนหนึ่ง สมกับที่พี่เดี่ยวเคยพูดว่าพี่เซียนมันชื่นชอบมอ’ไซค์มากๆ
ถามว่าซื้อมาแล้วใช้งานมั้ยก็เห็นใช้อยู่แค่คันเดียว ส่วนคันอื่นๆ นั่นจอดสวยๆ เอาไว้ให้พี่มันสบายใจที่ได้เห็นก็เท่านั้น ก็รู้ว่าชอบแต่บางทีผมมองสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุ แต่คิดอีกทีมันไม่ใช่เงินของผมจะให้ไปทุกข์ร้อนแทนเจ้าของเงินก็ยังไงอยู่ เอาเป็นว่าหากมันไม่ได้ทำให้เดือดร้อนใครหรือทำให้ตัวพี่มันเองเดือดร้อน ผมคงทำได้แค่รับรู้ เพราะความชื่นชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน อย่างที่ผมชอบกินมิ้นท์มากๆ หากวันหนึ่งพี่เซียนบอกให้เลิกกินผมคงทำไม่ได้เช่นกัน
จริงๆ แล้วหลังจากเปิดใจคบกันอย่างจริงจังนี่ทำให้รู้ว่าผมกับพี่เซียนยังมีหลายอย่างทีต่างกัน แต่มันเป็นความแตกต่างที่ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะเรียนรู้และเข้าใจกันให้มากขึ้น สถานะที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้เรื่องส่วนตัวของพี่มันมากขึ้น นอกจากอาหารที่ชื่นชอบหรือความชอบเกี่ยวกับมอ’ไซค์ ผมยังรู้ว่าพี่เซียนคนที่จริงจังกับการงานที่ได้รับมอบหมายมามากๆ ดูได้จากโปรเจ็กต์ออกแบบยานยนต์ของคณะที่จะส่งประกวดซึ่งอาจารย์ขอความร่วมมือมา พี่เซียนทุ่มเทกับมันจริงๆ บางครั้งโทรมาดึกๆ ผมได้ยินว่าอีกฝ่ายนั่งดรออิ้งแก้แบบประจำ ทั้งๆ ที่ช่วงนี้เข้าโค้งสุดท้ายของงานฟุตบอลประเพณีแล้วทำให้ต้องซ้อมคทากรหนักขึ้น
ถ้าผมเป็นพี่เซียนแค่ซ้อมคทากรอย่างเดียวก็กินเวลาชีวิตไปเกือบหมดแล้ว แต่นี่กว่าจะได้นอนยังต้องนั่งแก้แบบอีก ถ้าเป็นผมคงหมดพลังชีวิตแล้ว ผมรู้ว่าพี่มันยุ่งๆ พักนี้เลยพยายามหาเวลาว่างมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ทั้งที่ตอนนี้ผมเริ่มง่วงนิดๆ แล้ว แต่เพราะอยากอยู่กับอีกฝ่ายนานขึ้นอีกสักนิดถึงยอมนั่งรออีกฝ่าย
ความรักนี่ก็แปลกนะ ทำให้เราทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และบางคนอาจจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ แต่ผมโชคดีอยู่หน่อยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมากนัก เวลาอยู่พี่เซียนผมสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์อะไร ไม่ต่างจากพี่มันหรอก ใครจะไปคิดว่าพี่เซียนมีมุมเด็กๆ หากว่างจริงๆ ก็จะนั่งเล่มเกมเป็นบ้าเป็นหลัง บางครั้งก็ร้องโวยวายเพียงเพราะ้เล่นเกมแพ้ และหัวเสียเป็นวันหากวันไหน่พี่เซนต์โทรมาหาแล้วขอคุยกับผมบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าโดนแหย่ แต่พี่เซียนก็ทะเลาะกับแฝดตัวเองได้เป็นวรรคเป็นเวร ยิ่งแฝดพี่มันรู้ว่าคบกันแล้วพี่เซียนลงทุนไปนั่งเจียหัวเทียนจำลองให้ผม
หลังๆ หากพี่เซนต์รู้ว่าผมอยู่ใกล้ๆ พี่เซียนพี่มันจะขอคุยกับผมประจำ จนพี่เซียนทะเลาะกับฝ่ายนั้นทำเอาผมเริ่มชินเสียแล้ว พูดถึงหัวเทียนนั่น ผมจึงเลื่อนมือไปลูบของดังกล่าวที่ผมยังสวมติดตัวอยู่ทุกวัน
“ยิ้มอะไรวะ”
“...”
“นั่งจับสร้อยแล้วก็ยิ้มพิลึกคน”
ประเด็นที่พี่เซียนให้หัวเทียนจำลองกับผมนี่ก็ยังถูกพี่เดี่ยวหยิบยกมาแซวทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งนี้ก็เช่นกันพี่มันพูดยิ้มๆ แน่นอนว่าทุกครั้งมันทำให้ผมเขินไปด้วยจนต้องแสร้งทำเนียนคว้าเอาของใกล้ตัวอย่างน้ำเปล่ามาดื่มแก้เก้อ
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งว่ะ
ผมเบะปากทันทีที่เครื่องดื่มในมือไหลลงคอ ความรู้สึกร้อนผ่าวบาดคอแทบขย้อนออกนั่นแหละถึงรู้ตัวว่าหยิบผิดแก้ว ยิ่งตอนที่เจ้าของแก้มตัวจริงทำหน้าตาโตแล้วปล่อยเสียงหัวเราะขบขันผมแบบนั้น ขณะที่ผมไอค่อกๆ แค่กๆ เพราะไม่ทันตั้งตัวนึกว่าเป็นน้ำเปล่าจึงซัดไปเต็มที่
“เป็นไง”
ผมไม่ถึงกับไม่ถูกโรคกับแอลกอฮอลล์ มันพอกินได้แต่ผมเป็นประเภทคนอ่อนเลยพยายามหลีกเลี่ยงของมึนเมาหากไม่จำเป็น ซ้ำเมื่อกี้ยังไม่ทันตั้งใจ สภาพตอนนี้ถึงได้ไอหน้าดำหน้าแดงจนไอ้โต้งที่ก่อนหน้านี้นั่งลุ้นบอลอยู่ต้องรีบยื่นน้ำเปล่าให้ดื่มกลั้วคอ
“เข้มมาก”
พูดไปก็ไอไป
“เซ่อซ่าคว้าไม่ดูก่อน”
“ก็มันวางอยู่ใกล้ๆ กันนี่หว่า”
ผมทำหน้ายุ่งหลังจากกินน้ำจนเต็มท้อง ไอ้โต้งลูบหลังผมเบาๆ พอดีกับที่มือถือมันสั่นเพราะมีการแจ้งเตือนจากโปรแกรมเฟซบุ๊ค ไอ้โต้งคว้ามือถือมันมาดูก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นไปให้พี่เดี่ยวดู
“อะไรวะ”
“สโมฯคณะอัพรูปวันนี้ครับ”
“รูปอะไร”
“โปรเจ็กต์ยานยนต์นั่นแหละพี่”
“อ๋อ”
คราวนี้เพื่อนๆ พี่เซียนเบือนหน้าจากโทรทัศน์หันมาสนใจกับภาพในมือถือไอ้โต้ง
“อาจารย์มัสลินนี่สวยจริงๆ ว่ะ”
ใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“จริงพี่”
ไอ้โต้งสำทับ
“แต่โหดโคตรๆ” เพื่อนสนิทผมทำท่าขนลุก “สั่งงานทีพวกผมเกือบตาย”
“แกเป็นศิษย์เก่าคณะเรานี่ สมัยที่เรียนอยู่ ข่าวว่าเป็นหัวกระทิด้วยใช่มั้ยวะไอ้เดี่ยว”
พี่เดี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก
“อืม”
“อืมอะไรวะขยายความด้วย นอกเวลาเรียนแล้ว ไหนรีวิวลูกพี่ลูกน้องมึงให้ฟังหน่อยดิ”
ผมหูผึ่งทันทีที่ได้ยินว่าพี่เดี่ยวเป็นญาติกับอาจารย์คนดังกล่าว
“จริงดิพี่”
ไอ้โต้งทำหน้าตื่น
“อาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่เหรอวะ”
“ลูกสาวป้ากูเอง”
“โอ้โห แล้วไม่บอกก่อนวะพี่ เมื่อกี้เผลอนินทาอาจารย์แกไปเยอะเลย”
“กูฟ้องไหมแน่ไอ้โต้ง”
“ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ”
หือ?
ชื่อของพี่เซียนที่หลุดเข้าไปหัวข้อสนทนานั่นทำให้สนใจขึ้นมาทันที พี่เดี่ยวทำหน้าตื่นหันมามองผมก่อนจะหันไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวเองจนฝ่ายหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มเจื่อนๆ ให้
“เอ่อ”
คนเปิดประเด็นแทบจะยกมือไหว้ผม
“น้องเปียวคงไม่ได้ยินเนอะ”
“เต็มๆ หูพวกกูเลยสัด”
เพื่อนพี่มันพากันตบกะโหลกเพื่อนปากสว่าง
“ไม่มีอะไรหรอก”
พี่เดี่ยวยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู ในภาพนั้นมีกลุ่มนิสิตวิศวะฯ ไม่ต่ำกว่าสิบคนและหลายๆ คนในรูปนั่นก็คุ้นหน้ากันดีทั้งพี่เซียน พี่เดี่ยวและแก๊งพี่มันรวมถึงไอ้โต้งและกลุ่มเพื่อนที่คณะมันและที่ทำให้ผมสะดุดใจมากที่สุดก็คือภาพใบหน้าของผู้หญิงหนึ่งเดียวในรูป
“วันนี้มีช่วยงานที่คณะน่ะ”
ไอ้โต้งมันคงเห็นผมเงียบไปเลยรีบช่วยอธิบาย
“พวกกูก็ถูกเกณฑ์ไปช่วยปีสาม สโมฯเลยถ่ายรูปรวมมาลงน่ะ”
“อืม”
ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วพิจารณาใบหน้าหญิงหนึ่งเดียวในรูป คุ้นมาก คุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“อาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องพี่เอง”
พี่เดี่ยวอธิบาย
“รู้จักกับไอ้เซียนมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว”
ภาพในห้องนอนพี่เซียนสว่างวาบขึ้นมาในหัวผมทันที
“ไม่มีอะไรหรอก สนิทกันตั้งแต่ผมพี่ยังหัวเกรียนๆ กันโน่น ไหมเอ่อ อาจารย์มัสลินเคยสอนพิเศษให้พี่กับไอ้เซียนตอนม.ปลายน่ะ ไอ้เซียนมันชอบมอ’ไซค์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เคยแอบขี่ตั้งแต่ยังไม่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำ มันชอบมันก็เลยเลือกเรียนยานยนต์”
พี่เดี่ยวเหลือบตาไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวเอง
“ไม่ได้เกี่ยวกับการตามมาเรียนเพราะใครหรอก ไอ้ห่านี่มันก็พูดไปเรื่อย”
อาจารย์มัสลินคือคนเดียวกับที่อยู่ในรูปนั้น
ภาพนั้นกับภาพตรงหน้าห่างกันหลายปี แต่ใบหน้านั้นยังงดงามเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่เปลี่ยนแปลงเลย
‘ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ’ แวบหนึ่งทำไมไม่รู้ถึงได้วูบโหวงในอกแปลกๆ
“ไม่มีอะไรหรอกเปียว”
พี่เดี่ยวหันไปชี้นิ้วใส่เพื่อนที่เหลือที่ทำหน้าลุแก่โทษหน้าเสียที่เห็นผมเงียบไป เห็นสีหน้าแต่ละคนแล้วผมเลยแกล้งทำหน้านิ่งไปพักหนึ่ง แต่มันเมื่อยที่ต้องเกร็งใบหน้าสุดท้ายผมเลยหลุดขำออกมา
“เครียดอะไรกันครับ”
“โธ่น้องเปียว”
พวกพี่มันโอดครวญ ไม่ต่างจากไอ้โต้งที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วโยกศีรษะผมอย่างมันเขี้ยว พวกพี่มันขอโทษขอโพยผมอีกทีแล้วหันไปสนใจบอลที่แข่งต่อหลังจากผมยิ้มแป้นส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นไร แต่ไอ้โต้งยังมองผมอยู่
“กูตกใจหมดไอ้ห่า”
ผมยิ้มอ่อนๆแล้วเอื้อมมือไปคว้าแก้วของไอ้โต้งมาดื่มอีก
“เฮ้ย”
“ขอกินหน่อย”
“เปียว”
เสียงไอ้โต้งแปร่งไป มันคงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างของผมเข้าแล้ว ผมเลยขยับไปใกล้มันแล้วเอียงหัวไปถูบ่าอ้อนๆ
“อยากหัวโล่ง”
“เดี๋ยวเมา”
“ไม่เมาหรอก กินนิดเดียว”
ไอ้โต้งส่ายหัว
“กูไม่อยากคิดมากว่ะ”
“...”
“แต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆ”
ผู้หญิงคนนั้นคือคนเดียวกับที่อยู่ในภาพซึ่งวางอยู่ในห้องนอนพี่เซียน
ห้องนอนคือห้องส่วนตัว ฉะนั้นของที่อยู่ในห้องนั่นต้องเป็นของพิเศษ หรือของสำคัญมากๆ สำหรับเจ้าของห้อง ผมนิ่งไปเมื่อนึกถึงโมเดลกีต้าร์อันจิ๋ว โปสเตอร์นักดนตรีคนโปรด กีต้าร์ตัวโปรด โมเดลจำลองรถมอ’ไซค์ ทุกอย่างในห้องคือตัวตนและความชื่นชอบของพี่เซียน
นอกจากนั้นยังมีรูปใบหนึ่งรวมอยู่ในห้องพี่เซียน มันรวมอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของพี่เซียน น่าแปลกที่ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกปวดหน่วงๆ หายใจลำบากขึ้นมาเฉยเลย
- J E E B -
[อ๋อง]
“เดี๋ยวก่อน”
ผมชะงักกึกตอนที่มือข้างหนึ่งถูกกระตุกให้หยุดเดิน พี่ดลเดินวนรอบกายผมก่อนจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพร่างกายที่บาดเจ็บของผม ผมทำสีหน้ามึนงงทันทีแต่ก็ยอมยืนนิ่งๆ ให้พี่มันถ่ายจนพอใจ
“ทำอะไรเหรอครับ”
“เก็บหลักฐาน”
“หลักฐาน?”
“เอาไว้แจ้งความน่ะ”
สีหน้าพี่ดลดูจริงจังกับสิ่งที่พูดมากๆ
“แถวนั้นมีร้านอาหารเยอะ ต้องมีกล้องวงจรปิดบันทึกถาพเหตุการณ์วันนี้ได้แน่ เดี๋ยวพรุ่งนี้หลังแจ้งข่าวแล้วน่าจะเอาใบแจ้งความไปขอให้เจ้าของร้านเปิดกล้องวงจรปิดดูได้”
ผมยืนอึ้งคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรอบคอบขนาดนี้ สีหน้าพี่ดลไม่มีแววล้อเล่นเลย
“แต่พี่”
ผมคว้าแขนพี่มันเอาไว้
“ไม่อยากแจ้งความ?”
พี่ดลคาดเดาความคิดผมได้อย่างแม่นยำ
“ทำร้ายร่างกายมันเป็นคดีอาญานะ โดนทำร้ายขนาดนี้ยังจะปล่อยคู่กรณีไปง่ายๆ อีกเหรอ”
มันก็ไม่เชิงหรอก แต่ผมไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เพราะมันไม่ใช่แค่ผมที่ได้รับผลกระทบ หากเรื่องนี้เป็นคดีความ แน่นอนว่าเรื่องราวต้องบานปลายรู้ไปถึงหูของพ่อกับแม่ เมื่อนั้นชีวิตอิสระที่ผมโหยหาคงต้องถูกริดรอน ผมเดาได้ไม่ยากว่าพ่อคงบังคับให้ผมกลับไปอยู่บ้าน ส่วนแม่คงจะร้อนรนกังวลใจและสุดท้ายอาจขอร้องให้ผมเลิกใช้ชีวิตอยู่หอเพียงลำพัง
“ผมไม่อยากให้ใครรู้”
พี่ดลเงียบไป
“โดยเฉพาะพ่อ”
“...”
“ผมไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว”
ผมก้มหน้ามองพื้น
“อยู่ที่นั่นผมหายใจไม่ออก มันอึดอัด”
“...”
“ที่นั่นไม่มีพื้นที่สำหรับผมแล้ว”
ผมยืนอึ้งเมื่อมือหนาของฝ่ายตรงข้ามเอื้อมมาโอบบ่าผมเอาแล้วลูบเบาๆ
หัวใจผมอุ่นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ไปหาหมอก่อน”
พี่ดลโอบบ่าผมเอาไว้แล้วดันให้ออกเดิน ผมรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาหวิวเดินตามแรงจูงอีกฝ่ายไปอย่างเหม่อลอย ยิ่งสายตาเหลือบไปมองแขนแข็งแรงซึ่งโอบไว้เหมือนกำแพงหนาคอยคุ้มภัย
ผิดมั้ย...ถ้าผมรู้จะสึกปลอดภัย
“เรื่องแจ้งความเอาไว้คุยทีหลัง ไปหมอก่อน”
“...”
“ถ้าอ๋องจะตัดสินใจยังไง พี่จะไม่โต้แย้ง แต่จะเชื่อมั่นในการกระทำของเรา”
.
.
.
ผมเดินออกมาจากห้องตรวจหลังที่หมอเห็นสภาพผมแล้วถึงกับอุทานก่อนจะเรียกให้พยาบาลมาพาผมไปทำแผล นางฟ้าชุดขาวรุมทำแผลให้ผมสี่ห้าคน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสภาพผมมันบอบช้ำจนน่ากลัว ตอนแรกหมอจะให้ผมแอดมิทดูอาการสักคืน แต่ผมยืนกรานไม่ยอมนอน สุดท้ายหมอเลยจัดยามาให้ผมชุดใหญ่และกำชับให้ผมมาล้างแผลตามนัด ดีว่าผมแค่ฟกช้ำไม่มีส่วนไหนแตกหักหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต
พี่ดลหลุดขำเล็กน้อยตอนที่ผมเดินออกมา ทั่วร่างกายมีผ้าก๊อชพันเต็มไปหมด ถึงอย่างนั้นก็ยังมีน้ำใจเดินมาพยุงผม
“ถ้าจะกลั้นขำขนาดนี้ พี่หัวเราะผมดังๆ ก็ได้ครับ”
ผมเบะใส่อีกฝ่าย
“โทษทีนะ”
พี่ดลพูดยิ้มๆ แล้วเดินไปจัดการค่าใช้จ่ายให้ ไม่นานหลังจากนั้นพี่มันก็หอบถุงยาถุงโตมาให้ผม
“เดี๋ยวผมคืนให้นะ”
ตอนที่เดินกลับมาที่รถผมพูดขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายนั้นพี่ดลจ่ายให้โดยไม่ได้พูดถึงเลย แน่นอนว่าหากผมไม่พูดขึ้น พี่มันก็ไม่มีทางเอ่ยทวงซ้ำยังยินดีจ่ายให้ผมฟรีๆ ด้วย นั่นทำให้ผมเกรงใจมากๆ แค่อีกฝ่ายมาให้ความช่วยเหลือและพามาหาหมอนั่นก็มากเกินพอแล้ว
“ค่อยว่ากัน”
“ถ้าผมเนียนไม่คืนให้จะทำยังไงครับ”
พี่ดลยักไหล่
“ก็ไม่เป็นไร”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พี่ทำแบบนี้ยิ่งทำให้ผมเกรงใจมากกว่าเดิม”
“...”
“ห้ามพูดว่าเพราะผมเป็นลูกเพื่อนแม่พี่นะ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี เพราะผมรู้สึกเป็นภาระพี่กับคุณป้า เหมือนเอาเปรียบพี่จากความห่วงใย”
“เรานี่ก็เป็นคนคิดมากเหมือนกันนะ”
“ก็มันจริงนี่”
ผมทำหน้ายุ่ง
“อ๋องไม่ใช่ภาระ ถ้าคิดแบบนี้อยู่ พี่อยากให้เราเลิกคิดซะ”
“...”
“พี่ช่วยเราไม่ใช่เพราะเราเป็นลูกน้าดุจ”
“แล้วทำไม”
พี่ดลผละสายตาจากถนนแล้วหันมามองผมแวบหนึ่ง
“ห่วง”
“ห่วงเพราะเห็นผมเป็นน้องใช่มั้ย”
จังหวะนั้นรถจอดติดไฟแดงพอดี พี่ดลหันมามองผมนิ่งๆ
“เมื่อก่อนใช่”
“...”
“พี่”
“รู้มั้ยว่าน้องเปียวเคยเชียร์เรากับพี่ด้วย”
“หา”
ผมทำหน้าตื่นคาดไม่ถึงว่าเพื่อนสนิทจะทำแบบนั้น
“รู้มั้ยว่าพี่ตอบเพื่อนเราไปว่ายังไง”
ผมส่ายหน้าหวือ
“พี่บอกว่าเรื่องระหว่างพี่กับเราไม่มีอะไรในกอไผ่ พี่เอ็นดูอ๋องเหมือนน้องชาย”
ผมเม้มปากแน่นรู้สึกวูบโหวงในอกบอกไม่ถูก
“แต่พี่ผิดคำพูดของตัวเองวันนั้นแล้ว”
ผมหันขวับมาสบตาอีกฝ่าย
“มันไม่ใช่ความห่วงใยในฐานะแค่พี่น้อง”
“...”
“ส่วนฐานะอะไร พี่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่” พี่ดลยิ้มมุมปาก
ยิ้มนั่นทำให้ผมร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที
- J E E B -
ผมเมาแล้ว
ผมรู้สึกมึนเบลอเวลามองไปรอบๆ พอยกหัวขึ้นความรู้สึกโคลงเคลงเหมือนร่างกายทรงตัวไม่ได้จนต้องเอนศีรษะซบบ่าเพื่อนสนิทตัวเองที่บ่นผมไม่หยุด ไอ้โต้งทำเสียงระอาหลังจากยื้อแก้วเหล้าไปจากมือผม ระหว่างนั้นหูได้ยินเสียงเพื่อนๆ พี่เซียนพูดเสียงเครียดทำนองเดียวกันว่า ‘ซวยแล้ว’
ผมหลับตามุ่นหัวคิ้วเพราะหนักหัวมากๆ ถึงอย่างนั้นสติก็ยังรับรู้ว่าเสียงเชียร์บอลเย้วๆ ของกลุ่มเพื่อนพี่เซียนเงียบหายไปแล้ว ความเงียบนั่นทำให้ผมต้องหรี่ตาขึ้นมาก่อนจะขยี้ตาตัวเองเมื่อรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันมัวๆ เหมือนแสงไม่เพียงพอ คล้ายกับมีกำแพงสูงใหญ่ยืนบังแสงอยู่เหนือศีรษะ
“มืดอ่ะ”
ผมงึมงำพยายามเปิดเปลือกตาอีกครั้ง
“เหมือนอ่ะ”
“เหมือนอะไร”
“เหมือนพี่เซียน”
กำแพงที่บังแสงทำให้รู้สึกมัวๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่กำแพงนั้นจะกลายเป็นใบหน้าคมคายของคนรักรุ่นพี่ที่ทำหน้าบึ้งจ้องหน้าผมอยู่
“ฮือพี่เซียน”
ผมผละออกจากบ่าไอ้โต้งตอนที่พี่เซียนขยับมาใกล้แล้วย่อตัวให้ใบหน้าเราอยู่ระดับเดียวกัน
“ไงเด็กขี้เมา”
“ไม่เมา”
“นั่งยังไม่ตรงแล้ว นี่เหรอไม่เมา”
ผมโอนเอนไปมาดีว่าอีกฝ่ายประคองตัวผมเอาไว้
“พี่ไปแป๊บเดียว ทำไมกลับมาถึงได้แอบกินเหล้าจนเมาฮึ”
“ไม่ได้แอบ กินแก้วไอ้โต้งเลย”
ไอ้โต้งสะดุ้งโหยงตอนที่พี่เซียนเหลือบตาไปมอง มือหนาบีบจมูกผมเหมือนมันเขี้ยว
“หายใจไม่ออก”
“เมาแล้วยังเถียง”
“ยังคุยรู้เรื่องเหอะ”
“ไหนบอกพี่สิ นี่กี่นิ้ว”
ผมหรี่ตามองภาพตรงหน้าเหมือนเห็นนิ้วมือของพี่เซียนขยับหนีไปเรื่อยจนต้องคว้าเอาไว้
“อย่าดิ้นสิ”
“ก็อย่าขยับหนีสิ”
ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พี่ยังไม่ได้ขยับไปไหนเลย”
“เนี่ยคว้าไปไม่โดนสักที”
“เราไล่จับแสงอยู่ไอ้เด็กขี้เมา”
ไม่จริงอ่ะ
ผมเห็นนิ้วพี่เซียนขยับหนีจริงๆ นะ แต่ดูเหมือนคำตอบของผมจะไม่ถูกใจพี่มันนัก เมื่อพี่เซียนฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วหันไปบอกเพื่อนตัวเองว่าจะพาผมกลับ เหมือนได้ยินเสียงพี่เซียนด่าเพื่อนมันด้วยที่ปล่อยให้ผมกินเหล้า ผมยืนโงนเงนไปมาไม่ยอมขยับตัวตามพี่มันก่อนจะปล่อยให้ตัวทรุดนั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิมแล้วทำตัวไร้กระดูกไม่ยอมขยับจนพี่เซียนต้องทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กัน
สีหน้าพี่เซียนดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นั่นทำให้ผมใจวูบโหวง การกระทำของผมคงทำให้อีกฝ่ายเบื่อหน่ายเสียแล้วมั้ง ผมเบะปากทันทีก่อนจะเอื้อมมือไปจับใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้
“นี่”
“ทำไมถึงดื้อแบบนั้น”
แปะ
เอามือตีประกบใบหน้าแม่ง ใบหน้าพี่เซียนยู่ย่นน่าขำแต่อีกฝ่ายก็ยอมให้ผมบี้หน้าอยู่อย่างนั้น
“ตอบมา”
‘ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ’ “อาจารย์มัสลินสวยมั้ย”
พี่เซียนทำหน้างง ท่ามกลางเสียงอุทานของเพื่อนพี่มัน ผมหันขวับไปมองหน้าแต่ละคนแล้วชี้นิ้วขึ้นมาทำท่าจุ๊ๆ ส่งสัญญาณไม่ให้ใครพูดอะไร
น้ำเมานี่เปลี่ยนนิสัยจริงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรกล้า ก่อนจะหันมาหรี่ตามองพี่เซียนแล้วทวนคำถามนั้นอีกครั้ง
“ตอบมาเลย”
“สวย”
แปะ
ใช้มือตีหน้าแม่งอีกที
พี่เซียนคว้ามือที่แปะใบหน้ามันอยู่แล้วบีบเบาๆ
“แล้วผมอ่ะ”
“มึงทำไม”
“ผมน่ารักป่าว”
พี่เซียนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างมาประคองแก้มผมทั้งสองข้าง
“น่ารักครับ”
“จริงป่าว”
“อือฮึ”
“แล้วชอบอันไหนมากกว่า”
“หือ”
“เลือกเลย”
บิดแก้มพี่มันซักทีดิ
“โอ้ย”
“น่ารักหรือสวย”
“...”
“ตอบมา”
“เลือกอะไรดีหือ”
แปะ...ตีอีกสักทีดิ
พี่เซียนส่ายหัวขำๆ
“ตอบเร็ว”
“น่ารัก”
พี่เซียนยื่นหน้ามาใกล้ๆ
“หึงพี่เหรอ”
ผมเบะปากทันที
“หึงน่ารักเกินไปแล้ว”
“พี่แม่ง”
พี่เซียนเกลี่ยแก้มผมเบาๆ
“น่ารัก”
“...”
“ไอ้ตัวน่ารัก”
“ตอบดี”
ผมหัวเราะคิกคัก ทั้งที่รู้สึกว่าหัวโคลงเคลงไปมา ฮือ ปวดหัวว่ะ
“แล้วไม่มีรางวัลที่พี่ตอบดีเหรอ”
“มีๆ”
ผมยิ้มตาหยี
“เอาหัวใจผมไปเล้ย”
เสียงคนทั้งโต๊ะแม่งโห่อะไรกันวะ รำคาญโว้ย เบาเสียงหน่อย ผมหลับตานิ่ง
“พี่อยากได้อย่างอื่น”
“อะไรอ่ะ”
“ขอหอมทีดิ”
พี่เซียนพูดเหมือนจะแหย่
“ได้ๆ”
คนตรงหน้าดูอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะหลุดขำออกมา
“จะเอาแก้มซ้ายหรือแก้มขวา”
“...”
“อ่ะๆ”
ผมเอียงแก้มให้พี่มันไม่พอยังพองลม่แก้มด้านที่ยื่นให้พี่มันหอม คราวนี้ผมได้ยินเสียงไอ้โต้งขำหนักมาก แม่งขำอะไรวะ เสียงดังจังโว้ย หลังจากนั้นผมรู้สึกว่าตัวโคลงเคลงไปมาคล้ายพี่เซียนฉุดให้ผมลุกขึ้นแล้วพาเดินไปไหนไม่รู้ ผมเดินมาได้แป๊บเดียวก็รู้สึกว่าใครบางคนเอาผมขี่หลัง
สบายจัง
ผมกอดคอแล้วซุกใบหน้าไปที่แผ่นหลังของพี่เซียน
“พี่เซียน”
กระซิบข้างหูไปมัน
“ครับ”
“เห็นนั่นป่าว”
ผมชี้มือไปมั่วๆ
“อะไรครับ”
ผมขำคิกนึกถึงมุกเสี่ยวๆ ของเพื่อนสนิทที่มันเคยเล่นแล้วทำให้ผมขำจนปวดท้อง
“อนาคต”
“หือ?”
“อนาคตของเรา ก้ากกกกก”
ผมหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะกุมศีรษะตัวเองเพราะหัวเราะแรงจนปวดขึ้นมา แว่วเสียงได้ยินเสียงพี่มันทำเสียงคล้ายกับกำลังหัวเราะในลำคอ
“กูไม่รู้ว่าพูดไปตอนนี้มึงจะจำได้มั้ย”
“...”
“แต่จำไว้เอานะเด็กขี้เมา”
“...”
“อนาคตกูไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง”
ฮือ ปวดหัวว่ะ
“แต่อนาคตของกูต้องมีมึง...นะเปียว” ฮือ
เสียงพี่เซียนละมุนจัง
- J E E B -
กลับมาแล้ววววว
อ่านแล้วฝากเมนต์และติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะฮะ