ตอนที่ 22 “เฮ้ยไอ้กัน ไปหาข้าวกินกันเหอะ กูหิวแล้ว”
ร่างแกร่งเจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก ดวงตาดุมองหน้าเพื่อนเพียงแวบเดียวแล้วเบือนกลับมาที่เดิม ถ้าปกติเขาคงตอบตกลงและเดินตามไปโดยไม่ขัดอะไร แต่ในตอนนี้ ตอนที่เขามีเรื่องให้คิด มันทำให้เขาไม่อยากอาหารขึ้นมาดื้อๆ “มึงไปชวนไอ้อาร์คแทนแล้วกัน กูยังไม่หิว”
เอ่ยปฏิเสธเพื่อนเสร็จก็เดินแยกออกมา ทิ้งให้ชานยืนมองตามแผ่นหลังกว้างไปด้วยความสงสัย วันนี้ดูเพื่อนของเขาจะแปลกกว่าทุกวัน ดูเงียบดูขรึมขึ้น เหมือนมีอะไรในใจ
ขายาวก้าวพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าบ่อปลาซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาชอบมานั่งบ่อยๆ เพราะมันเงียบ ไม่ค่อยมีคน สำหรับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายแบบเขาถือว่าเป็นที่ๆ ดีทีเดียว
แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็โดยทำลายความสงบจากใครบางคน
กายสูงทิ้งตัวลงนั่ง ใบหน้าหล่อดุน่ามองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม
“ก่อนวันหยุดยาว…อาทิตย์นึงพอดี กูให้เวลามึงกลับไปถามใจตัวเองดู คิดดูให้ดีๆ ว่ามึงชอบกูจริงๆ หรือแค่…แค่หวงของ เพราะกูตามตื๊อมึงอยู่บ่อยๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ ถ้าคำตอบของมึงคือไม่…กูจะถอย”
“กูจะไปเอาคำตอบที่บ้านของมึง ตอนสองทุ่ม ถึงเวลานั้นมึงคงมีคำตอบให้กูนะ”
“ฮึก…กูก็จะรอ รอให้มึงกลับมา”
“แต่ถ้ามันนานเกินไป มึงไม่กลับมา หรือไม่มีคำตอบให้กู…กูจะไม่รอแล้ว”
คำพูดเล่านี้กำลังวนเวียนอยู่ในหัวเขา พยายามสะบัดไล่มันออกไปแล้ว แต่ก็เป็นต้องเผลอนึกถึงตลอด และยิ่งเจ้าของคำพูดพวกนี้พูดออกมาด้วยท่าทางน่าสงสารราวกับว่ากำลังจะถูกทิ้งด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขาไล่คำพูดเล่านั้นออกไปไม่ได้
ในคืนนั้น…ร่างแกร่งเดินกลับบ้านด้วยความหัวเสีย สบถคำหยาบออกมาหลายครั้ง เปล่าเลย เขาไม่ได้ด่าไอ้ลูกหมาตัวเล็กนั่น แต่ด่าตัวเองต่างหาก! ด่าที่ตัวเองเผลอทำอะไรแบบนั้นออกไป
อยากจับหัวตัวเองโขกกำแพงนัก ทั้งๆ ที่พยายามห้ามตัวเองไว้แล้ว แต่พอเขาไปเห็นภาพของร่างเล็กกับเพื่อนสนิทกำลังกอดกันอยู่บนเตียงมันก็ทำให้ความอดทนเขาหมดลง
ทั้งๆ ที่บอกเอาไว้แล้ว ว่าเพื่อนอยากจะทำอะไรก็เชิญ เขาจะไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่บอกออกไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ชอบ แต่กลับต้องหลุดบ้าออกไปอย่างนั้น
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนั้นคืออะไร แต่เพราะรู้ไงมันถึงได้พาลหงุดหงิดไปเสียทุกทีที่นึกถึง ไม่อยากยอมรับความรู้สึกในใจตนเอง
เรียกว่าไม่อยากเสียฟอร์มก็ได้มั้งล่ะ
เล่นพูดอยู่ตลอดว่าไม่ได้ชอบ
“เฮ้อ…” นี่ก็สามวันแล้วหลังจากเกิดเรื่องในคืนนั้น และเป็นสามวันที่เขาไม่เจอคนตัวเล็กเลย ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายหลบหน้าด้วยหรือเปล่า
แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็เป็นตัวบอกได้ดีเลยว่าทุกครั้งที่เขาได้เจอกับคนตัวเล็ก ทุกครั้งคืออีกฝ่ายตั้งใจมาหา เพราะถ้าใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่มีทางได้เจอกันได้ง่ายๆ
ที่เขาต้องคิดมากอยู่อย่างนี้ก็เพราะกำลังหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่ ก็ใช่ รู้ว่าในใจคิดกับยังไงกับร่างเล็ก แต่เขาอยากมั่นใจจริงๆ ว่าต้องการให้อีกฝ่ายมาอยู่ข้างกายหรือเปล่า หรือแค่ชอบนิดๆ หน่อยๆ ถ้าห่างหายไปก็จะไม่สนใจ
ก็เริ่มจะรู้สึกก็ตอนที่เพื่อนของเขาเข้ามา หงุดหงิดทุกครั้งที่ทั้งคู่อยู่ใกล้กัน หงุดหงิดที่เห็นร่างเล็กยิ้มให้อีกคน หงุดหงิดที่สายตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่เขา
ถึงจะทำเป็นหงุดหงิดหรือรำคาญเวลาที่วิปเข้ามาใกล้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเขาเริ่มจะชินขึ้นเรื่อยๆ กับการที่มีตัววุ่นวายมาป่วนในทุกๆ วัน ชินจนบางทีที่ว่า…ถ้าไม่เห็นก็เผลอมองหา
รำคาญความฟอร์มจัดของตัวเองเหมือนกัน ปากแข็งจนน่าต่อย ต้องพูดทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายตลอด แต่วิปก็ไม่เคยถอย มองผ่านคำพูดของเขาไปไม่เก็บเอามาคิด แต่เพราะมั่นใจว่าตัวเขาเองคงไม่รู้สึกอะไรกับวิปไปมากกว่านี้ เพราะงั้นเลยไม่รับความรู้สึกของอีกฝ่าย
ก็แค่เริ่มสนใจ จากรำคาญเป็นความเคยชิน คิดว่าคงไม่มากไปกว่านี้
แต่เพราะเพื่อนตัวดี มันเข้ามาทำให้ความรู้สึกเริ่มสนใจมันไม่นิ่งอยู่แค่ตรงนั้น จนเผลอแสดงท่าทางไม่พอใจออกไปในเวลาที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน
ร่างสูงส่ายหัวเบาๆ ยังคิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไงดี ควรจะให้คำตอบแบบไหนกับร่างเล็กดี ถ้าตอบตกลง มันจะดีจริงๆ เหรอ และถ้าตอบไม่…เขาจะไม่เสียใจทีหลังใช่มั้ย
เมื่อยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ร่างสูงก็ล้มเลิกความคิดที่จะนั่งไปเรื่อยๆ แบบนี้ ยันตัวลุกขึ้น เขานั่งรถกลับมาที่บ้าน ระหว่างที่เดินเข้าซอยก็พาลคิดไปถึงเวลาที่ได้เดินกับไอ้หมาน้อยนั่นอีกแล้ว ความป่วนของวิปทำเอาเขาปวดหัวตลอด แต่พอมาย้อนคิดในตอนนี้ กลับทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาซะงั้น
พอเดินมาถึงหน้าบ้านของคนตัวเล็ก ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องหยุดมอง มองประตูบ้านของเขาแล้วก็พาลนึกถึงเจ้าตัว วูบหนึ่งในความคิดของเขาคือ…ป่านนี้วิปกำลังทำอะไรอยู่นะ
ร่างสูงส่ายหน้าให้กับตัวเอง ท่าจะเป็นเอามาก ทำไมต้องไปนึกถึงด้วย ทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้สิ ตอนนั้นยังทำได้ ตอนนี้ก็ต้องทำได้เหมือนกัน
กันสะบัดไล่เรื่องของคนตัวเล็กออกไปจากหัวแล้วเดินกลับบ้าน หาอะไรทำเพื่อไม่ให้นึกถึงเรื่องของวิป แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็วนกลับมาคิดถึงตลอด นั้นทำให้เขาหัวเสียอยู่พอตัว
“มึงมันวุ่นวายจริงๆ วิป”
………………………….
ยิ่งวันเวลาผ่านไป เข้าใกล้วันนั้นมากเท่าไหร่ ภายในใจของเขายิ่งร้อนรน คำตอบที่จะให้ก็ยังหาไม่ได้ แถมไม่ได้เจอหน้ากันอีก เขายิ่งตัดสินความรู้สึกของตัวเองไม่ได้
นั่งเรียนอยู่แต่ก็ไม่มีสมาธิเลย มือหนากำปากกาในมือแน่น คิ้วเข้มขมวดเป็นปมดูท่าทางเครียด ในใจมันร้องบอกว่าไม่อยากให้คนๆ นั้นหายไป แต่…มันก็ยังไม่คิดที่จะตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย
แล้วยิ่งพอเรียนเสร็จ เดินลงมาจากตึก เจอหน้าเพื่อนที่เขาเพิ่งฟัดกับมันมาเมื่อไม่นานนี้ก็พาลคิ้วกระตุก ความหงุดหงิดพุ่งขึ้นมาในอก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหันมายักคิ้วกวนเบื้องล่างยิ่งทำให้อยากถลาเข้าไปซัดมันอีกสักรอบ
เฮอะ! กวนตีนไปเถอะ กูไม่ยกไอ้วิปให้มึงหรอก
กึก!
กันชะงักไป จู่ๆ ความคิดนั้นก็พุ่งขึ้นมาแบบที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน ฟันคมขบกัดริมฝีปากสวย ไม่ชอบใจเอาเสียเลย ไม่อยากยอมรับ แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาจะทำอย่างที่คิดเอา ไม่ยอมยกให้หรอก! มึงอย่าฝัน!
หมับ
“มึงมายืนจ้องหน้าไอ้อาร์คมันทำไมวะ เข้าไปนั่งดิ”
กันหันไปมองเพื่อนอีกคนที่เดินเข้ามากอดไหล่พร้อมกับพยักพเยิดไปที่อาร์ค ร่างสูงถอนหายใจ เขาไม่อยากจะเข้าไปหามันเลยสักนิด แต่ก็ต้องยอมเพราะโดนลากไปด้วย นั่งลงที่โต๊ะเดียวกันอาการหน้าตึงก็แสดงออกมาเลย
“ไงมึง ไม่เจอหลายวันเลยนะ” คงมีแต่มันนี่แหละที่ยังยิ้มแย้มได้อยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ติดใจอะไร แต่ในตอนนี้…มันเพิ่งมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ให้มองอย่างเดิมคงทำไม่ได้ ตอนนี้เขาเห็นแต่ว่ามันกำลังกวนตีนเขาอยู่
“หึ” เขาส่งเสียงไม่พอใจในลำคอแล้วเบือนหน้าหนี
“มึงเป็นอะไรของมึงวะกัน”
“ช่างมันเถอะ กูพอรู้อยู่ อย่าใส่ใจเลย” อาร์คตบไหล่ชานเบาๆ ดวงตาอ่อนโยนภายใต้แว่นอันสวยก็ลอบมองเพื่อนแล้วยิ้มๆ เท้าคางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมดุก่อนจะเอ่ยพูด
“พรุ่งนี้แล้วสินะ”
กึก
ร่างสูงชะงักแล้วหันขวับมาจ้องหน้าเพื่อนเขม็ง พูดแบบนี้แสดงว่ามันรู้เรื่องที่เขาคุยกับวิปเอาไว้ เห็นมั้ย ว่าไอ้หมาตัวเล็กนั่นชอบทำอะไรให้เขาหงุดหงิดอยู่เรื่อย แล้วเรื่องนี้เอาไปบอกไอ้อาร์คมันทำไม ตกลงมีใครถามอะไรก็จะบอกเขาหมดเลยใช่มั้ย ไอ้พูดมาก!
“มีอะไรกันวะ” ชานทำหน้างงมองเพื่อนสองคนสลับกันไปมา
“เปล่า แค่ช่วงเวลาดีๆ” อาร์คยักไหล่ตอบยิ้มๆ
“กูกลับก่อนนะ” ร่างสูงทนมองหน้าเพื่อนไม่ได้ ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเลย ไอ้ชานจะงงหรือเปล่าเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้หัวร้อนมาก ขืนอยู่นานอีกนิดรับรองได้ว่าเขาได้ต่อยหน้าเพื่อนตัวเองอีกรอบแน่
แล้วมึงด้วยไอ้วิป…พูดมากเหลือเกิน!
………………………
แล้วคืนนั้น เขานอนไม่หลับทั้งคืน ไม่มีความง่วงเลยแม้แต่น้อย เอาแต่คิดเรื่องของคนตัวเล็ก เขาพยายามไม่ปิดใจ พยายามเอาความรู้สึกของตัวเองออกมาก่อน แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปว่า…เขาชอบมันจริงๆ นั่นแหละ
ถึงจะหวงความเป็นส่วนตัว หวงความเงียบสงบของตัวเองอยู่บ้าง แต่ลองๆ คิดดูแล้ว…ถ้ามีวิปเข้ามาอันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด อาจจะวุ่นวายไปบ้าง แต่…ถ้าเขาปล่อยให้อีกคนหลุดมือไป เขาอาจจะต้องเสียใจก็ได้
และที่สำคัญ…ไม่ยกมันให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!
คำตอบที่จะให้นั้นมีอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่พอลองนึกเล่นๆ ดู…มันกลับรู้สึกอายนิดๆ มือหนายกขึ้นมาถูจมูกตัวเองเบาๆ แก้เขิน แล้วแอบบ่นร่างเล็กในใจไปด้วย…กล้ามากที่มาทำให้เขาเขินแบบนี้
เมื่อคืนนี้เขาคิดจนหัวแทบแตก แต่ก็นะ…ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ คงไม่เริ่มชอบ เพราะถ้าแค่เริ่ม ก็แสดงว่าชอบแล้ว แสดงว่ามีความรู้สึกต่อเขาคนนั้น ถึงแม้จะเถียงกับตัวเองว่าแค่นิดๆ ก็เถอะ
แต่ถ้าปล่อยไป…เขาคงเสียใจ
เพราะงั้น…คืนนี้รอกูก่อนนะวิป
วันนี้ร่างสูงออกไปเรียนด้วยท่าทางอารมณ์ แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ได้ เพราะใบหน้าของเขาที่เรียบนิ่งตลอด ถ้าไม่ได้สนิทกันจริงๆ คงไม่รู้
จริงๆ จะไปบอกกับร่างเล็กตอนนี้เลยก็ได้ แต่ไหนก็นัดมาแล้ว เพราะงั้นก็เอาตามเดิมนั้นแหละ เขาแทบรอให้ถึงเวลานั้นไม่ไหว คนตัวเล็กจะทำหน้ายังไง จะดีใจแค่ไหนกันนะตอนที่เขาบอก แต่คิดก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
.
.
เที่ยง
ร่างสูงไม่เข้าใจ ทำไมเวลาเร่งรีบชอบมีมารมาขัดตลอด ณ เวลานี้ พอเขาเดินลงจากตึก ก็เจอร่างสูงของเพื่อนรักยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว จะไม่คิดว่ามันคอยแล้วนะ ถ้ามันไม่มองตรงมาที่เขาแล้วส่งสายตาเรียกให้เดินเข้าไปหา
กันโคลงหัวหน่อยๆ อยากรีบกลับให้ถึงบ้านเร็วๆ ก็ต้องมาเสียเวลากับไอ้เพื่อนคนนี้ ขายาวก้าวเข้าไปหา สีหน้าเบื่อหน่ายไม่อยากคุย แต่อีกฝ่ายทำเมินไม่สนใจ
“คุยกันแป๊บดิ”
“มึงมีอะไร”
“ก็บอกให้คุยกันแป๊บไง” อาร์คย้ำคำเดิม กันจิ๊ปากไม่สบอารมณ์แต่ก็ยอมเดินไปนั่งลงที่โต๊ะที่ว่างอยู่ อาร์คเดินเข้ามานั่งที่ฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเพื่อน
“มึงมีคำตอบให้วิปมันหรือยัง”
“กูไม่จำเป็นต้องบอกมึง”
“เฮ้ยๆ ไม่เอาน่า กูกับมึงเพื่อนกันนะเว้ย แค่ผู้ชายคนเดียวจะทำให้กูกับมึงตัดเพื่อนกันเลยเหรอวะ” กันนิ่งไปหน่อยแล้วคลายท่าทีของตัวเองลง จริงๆ ก็ไม่ได้คิดจะตัดเพื่อนหรอก เพียงแค่เวลาเห็นหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดก็เท่านั้น ก็ดูมันปั่นเขาสิ เขาไม่ใช่คนมีความอดทนขนาดนั้น
“กูชอบมันก็จริง แต่มึงก็ยังเป็นเพื่อนกูนะ”
“แล้วไง”
“มึงอย่ามาทำนิ่งไม่สนใจ กูคุยกับมึงจริงจังอยู่นะ” อาร์คเอ็ดเพื่อนหน่อยๆ อยากฟาดหัวให้สักรอบ ข้อหาทำเมินไม่อยากคุย
“…”
“มึงชอบไอ้วิปเหมือนกันใช่มั้ย” อาร์คจ้องตาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ที่ต้องมาจี้ถามแบบนี้เพราะเขาเองก็ห่วงคนตัวเล็กด้วย กลัวว่าต้องเสียใจอีกครั้ง แต่ท่าทางนิ่งๆ ของคนตรงหน้าก็เดาไม่ได้เหมือนกันว่าคิดยังไง
“กูไม่จำเป็นต้องบอกมึง”
“แต่กูอยากรู้”
“ไว้มึงรอถามกับไอ้วิปเอาแล้วกัน มึงอาจจะมีความสุขก็ได้นะ” ร่างสูงลุกขึ้น ทิ้งคำพูดเอาไว้ให้อีกฝ่ายคิดไปเองเล่นๆ เขาไม่รู้ว่าเพื่อนรักมีสีหน้าแบบไหน แต่ก็อย่างที่บอก เขาไม่จำเป็นต้องบอกมัน เรื่องนี้เขาควรพูดกับวิปมันมากกว่า
ร่างสูงไปหาข้าวกิน เสร็จแล้วก็ว่าจะกลับบ้านเลย แต่ในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น มือเขาก็ถูกดึงเอาไว้ หันกลับไปมองก็เจอสาวสวยที่เป็นเพื่อนในขณะกำลังหอบหน่อยๆ เหงื่อเกาะใบหน้า
“ไอ้กัน”
“…”
“จะไปไหน”
“กลับบ้าน”
“มึงอย่าเพิ่ง มาช่วยงานก่อน” คุณเธอสั่งเสียงโหด แต่ก็ทำอะไรร่างสูงผู้ที่มีความโหดกว่าไม่ได้ คิ้วเข้มขมวดมุ่น ใจเขาอยากกลับบ้านใจจะขาด ทำไมต้องมีมารมาขัดตลอดเวลาด้วยนะ
“ไว้…”
“มึงอย่า! คราวที่แล้วมึงก็บอกไว้ก่อน คราวนี้มึงต้องช่วย งานของขณะมึงไม่เคยโผล่หัวเลย เร็วๆ ไอ้บินก็หนีไปคนนึงแล้ว มึงนั่นแหละมา” ไม่รอให้ร่างหนาได้ปฏิเสธ คนสวยตัวเล็กก็จัดการลากกันให้เดินตาม ร่างหนาขมวดคิ้วไม่พอใจ จะปฏิเสธแม่คุณก็ไม่ยอมฟังอะไรเลย
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ คงไม่นานเท่าไหร่ น่าจะกลับไปทัน
แต่เหมือนฟ้าจะกลั่นแกล้งเขาเข้าเสียแล้ว อาจจะเอาคืนที่เขาทำให้เจ้าหมาตัวเล็กนั่นเสียใจอยู่บ่อยๆ เพราะจากที่คิดเอาไว้ว่าคงไม่นาน มันลากยาวมาจนถึงเกือบสองทุ่ม
ยิ่งเข้าใกล้เวลานัดเข้ายิ่งร้อนใจ ดวงตาคมหันมองนาฬิกาอยู่หลายครั้ง จะแยกตัวออกไปก่อนเพื่อนก็ต่างรั้งเอาไว้ให้ช่วย ความจริงเขาก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้น เพียงแต่วันนี้เขามีเรื่องต้องทำจริงๆ
ไม่รู้ป่านนี้คนที่กำลังรอจะทำหน้ายังไง จะใจเสียไปแค่ไหน คราวนี้เขาจะไม่ทำให้คนๆ นั้นต้องเสียใจอีกแล้ว
“จะให้ฉันกลับได้หรือยัง” เอ่ยเรียบเอ่ยถามกับคนที่ลากเขามา ร้อนใจจนอยู่เฉยไม่ได้ ถึงแม้คนตัวเล็กจะบอกว่าจะรอจนกว่าเขาจะกลับไป แต่ก็ใช่ว่าจะรอตลอด
ถ้าเขากลับไปไม่ทันคราวนี้…เขาอาจจะไม่ได้เห็นความวุ่นวายที่น่ารักจากร่างเล็กอีกแล้ว
“มึงถามกูบ่อยไปนะ”
“ฉันรีบ” กันหน้าเครียด เธอเห็นสีหน้าของร่างหนาแล้วก็ไม่มีคำพูดเอ่ยรั้ง พยักหน้าตอบตกลงให้ไปเบาๆ เท่านั้น ร่างแกร่งก็ลุกขึ้นก้าวยาวๆ ออกมาเลย
เดินมาถึงป้ายรถเมล์แล้วก็ต้องหัวเสียเพราะรถที่ติดกันยาวแทบไม่ขยับ จะนั่งวินกลับก็ไม่มีสักคัน เขาเลยตัดสินใจที่จะขึ้นแท็กซี่กลับ อย่างน้อยๆ ก็เร็วกว่ารถเมล์ที่ขึ้นประจำแน่ๆ
ยิ่งเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไหร่ ในใจเขายิ่งอยู่ไม่สุข ร้อนรนไปหมด สีหน้าฉายแววเครียดอย่างชัดเจน มองดูรถที่ติดแล้วก็สบถคำหยาบอยู่หลายครั้ง ป่านนี้ไอ้วิปมันจะหนีกลับบ้านไปหรือยังนะ จะร้องไห้หรือเปล่าที่เขาไม่กลับไปสักที
พอมองนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้วร่างสูงก็ยิ่งบ้า มองออกไปนอกกระจกก็เห็นว่าใกล้ถึงบ้านแล้ว อีกประมาณสองป้ายรถเมล์เห็นจะได้
แต่บนถนนที่รถไม่ขยับเลยแบบนี้ ให้รอต้องไปคงไม่ทัน
“พี่ครับ เดี๋ยวผมลงตรงนี้แหละ”
บอกไปก็หยิบเงินออกมาจ่าย ไม่รอเงินทอน ร่างสูงเปิดประตูลงไปเลย ก้าวขึ้นฟุตบาทแล้วออกวิ่ง ไม่สนระยะทาง ไม่สนว่ามันจะต้องเหนื่อย เขารู้เพียงแค่ว่า ต้องกลับไปให้เร็วที่สุด
ขอล่ะ อยากเพิ่งกลับไปเลยนะ อย่าเพิ่งคิดว่าเขาไม่อยากเจอ อย่าเพิ่งคิดว่าเขาไม่อยากให้คำตอบ คำตอบน่ะมีแล้ว มึงรอกูก่อนนะวิป
ระยะทางที่วิ่งกลับบ้าน ทำเอาคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างเขาหอบแฮกๆ ได้ ใบหน้าคมเหงื่อชุ่ม เสื้อนักศึกษาเปียกไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมา แต่เขาไม่ได้สนใจสักนิด คิดเพียงแต่ว่าต้องกลับไปให้ทันเท่านั้น
คนที่เห็นอาจจะคิดว่าเขาไปทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ก็ได้ เพราะดึกดื่นแบบนี้แต่กำลังวิ่งไม่คิดชีวิต ไม่ว่ายังไงก็น่าสงสัย ไม่รู้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะมายืนอยู่บ้านหน้าตัวเองอย่างนี้ มือหนาเท้ากระประตูรั้วหอบหายใจรัวๆ
ดวงตาคมจ้องมองเขาไปในบ้านก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ลุงชมที่เป็นคนสวนก็วิ่งเหยาะๆ ออกมาทันที
“คุณกัน เพื่อนคุณมารอ…”
พรึ่บ
ไม่รอให้ลุงได้พูดจบ ร่างสูงก้าวพาไปอย่างรวดเร็ว ขายาววิ่งขึ้นบันไดมาที่ห้อง เพราะเขามองหาจนทั่วบ้านแล้วก็ไม่เจอร่างเล็ก เพราะงั้นก็น่าจะรออยู่บนห้อง แถมที่ลุงชมบอกมาก็แสดงว่าไอ้วิปมารอเขา
กายสูงหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของตนเอง ก้อนเนื้อในอกสั่นรัวๆ ด้วยความหวาดกลัวปนตื่นเต้น มือหนาสั่นนิดๆ เมื่อเอื้อมออกไปเพื่อเปิดประตู ขายาวก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาคมกวาดสายมองหาร่างเล็ก แต่ก็ไม่พบ!
วินาทีนั้นเหมือนหัวใจเขาหล่นวูบ ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้น ร่างกายชาไปทุกส่วน ในใจกำลังร้องถาม…เขากลับมาไม่ทันเหรอ ร่างเล็กไม่รอแล้วใช่มั้ย
ร่างสูงเลื่อนสายตาไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ เห็นเวลาที่เลยเวลานัดมามากก็ปวดในใจ ฟันคมขบกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซิบ
ตุบ
ร่างสูงถึงกับหมดแรงยืนเอาดื้อๆ ทิ้งตัวทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ใบหน้าคมก้มลงมองมือที่สั่นระรัวของตน ความเสียใจพุ่งโถมเข้าใส่ ภายในใจก็ก่นด่าตัวเองไป
เพราะมึง! มึงมันช้าเอง มัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง! เพราะมึงตัดสินใจช้า ทำให้เขาเสียใจแล้วไม่รอมึงแล้ว
“วิป…” เสียงเข้มสั่นเครือ ก่อนที่ใบหน้าคมจะเงยขึ้นอย่างนึกอะไรได้ ร่างสูงผุกลุก แล้ววิ่งออกจากห้อง
ใช่! ต้องไปหามันที่บ้าน!
ร่างสูงวิ่งมาที่บ้านของวิป หยุดยืนอยู่หน้าบ้านแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองที่หน้าต่างห้อง เห็นไฟปิดสนิทก็ใจไม่ดีเท่าไหร่ และตอนนี้มันก็ดึกแล้วด้วย ตัวเขาก็เกรงใจปู่ที่อยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ว่า…ตอนนี้มันด่วนจริงๆ
มือหนากดออดย้ำๆ หลายทีด้วยความร้อนใจ
“วิป! ไอ้วิป!”
ร้องเรียกร้องเล็กไปด้วย เขาไม่เคยร้อนใจมากขนาดนี้มาก่อนเลย เพราะไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้ากันแล้ว อีกฝ่ายจะใจแข็งใส่เขาหรือเปล่า จะโกรธมากแค่ไหนที่เขากลับมาไม่ทัน ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหน่วงในใจ เมื่อก่อนเป็นยังไงไม่รู้ แต่ตอนนี้พอทำให้ร่างเล็กเสียใจแล้วใจเขารู้สึกแย่มาก
“วิป! ออกมาคุยกันก่อน”
ร่างสูงตะโกนเรียกอีกครั้ง เขาไม่สนใจแล้วว่าข้างบ้านจะเปิดประตูออกมาด่าหรือเปล่า ที่รู้อย่างเดียวคือตอนนี้เขาต้องการเจอหน้าคนตัวเล็กมากกว่าสิ่งอื่นใด
แกร๊ก
ประตูบ้านถูกเปิดออก แต่คนที่ก้าวออกมาไม่ใช่คนที่เขาอยากจะเจอ กันขมวดคิ้วมองปู่ของร่างเล็กที่เดินตรงมาหา เขาไม่เอ่ยทักทายผู่ใหญ่ ยอมเป็นเด็กเสียมารยาทในครั้งนี้
“วิปล่ะครับ”
“ไม่อยู่แล้ว”
“ไม่อยู่? หมายความว่ายังไงครับ” ร่างสูงใจหายไปแวบหนึ่งเมื่อได้ยินว่าวิปไม่อยู่แล้ว แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะหนีไปไหน พยายามปลอบใจตัวเองก่อนว่าคงไม่มีอะไรมาก ปู่มองใบหน้าที่ร้อนรนนั่นด้วยความรู้สึกเรียบเฉย แล้วพาลนึกไปถึงหลานตัวเองที่เดินร้องไห้กลับบ้านมา
เขาไม่รู้ว่าหลานรักของตัวเองเป็นอะไร แต่ดูจากท่าทางแล้วคงเสียใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้เด็กนี่มันคิดยังไงกับหลานเขา
แต่พอเห็นท่าทางร้อนรนอย่างนี้ก็พอจะเดาได้หน่อยๆ แล้ว
“พ่อมันมาเอาไปแล้ว”
“พ่อ?” ร่างสูงทวนคำ
“ใช่ กลับมาเห็นลูกร้องไห้ก็ทนไม่ได้ พาไอ้วิปไปแล้ว” ปู่บอกเพียงแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านเลย ร่างสูงยืนอึ้งค้างอยู่กับที่ ในตอนนี้เหมือนมีใครเอาของแข็งมาฟาดใส่หัวเขาอย่างแรง มันมึนไปหมด เหมือนโดนน็อคในเวลาเพียงเสี้ยววินาที พ่อมาเอาไปแล้ว? ไม่อยู่แล้ว?
หมายความว่ายังไง
ร่างเล็กเสียใจมากถึงกับหนีไปอยู่กับพ่อเลยเหรอ เขาจำได้ วิปเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อของตนนั้นอยู่ป่า นานๆ ทีจะติดต่อกลับมา และเห็นบอกว่าไม่ได้เจอกันนานแล้วด้วย
มึงหนีไปแล้วจริงๆ เหรอวะวิป
“กู…ขอโทษ…” คำขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงที่ส่งไปไม่ถึงหลุดออกมา ริมฝีปากสวยเหยียดยิ้มให้ตัวเอง พร้อมกับก่นด่าตัวเองในใจไปด้วย มึงมันโง่เองกัน มัวแต่ห่วงฟอร์ม สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ เขาหนีมึงไปแล้ว
กันเดินกลับบ้านแบบอ่อนแรง ปฏิเสธที่จะกินข้าวแล้วเดินขึ้นมาบนห้อง มองรอยยับที่เตียงค้างอยู่แบบนั้น แสดงว่าร่างเล็กมานั่งรอเขาอยู่ตรงนี้ นั่งรอให้เขากลับมา แต่เขาก็ทำให้วิปต้องเสียใจอีกครั้ง
ตุบ
กายสูงทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองกดโทรออกเบอร์ที่เขาไม่คิดที่จะโทรมาก่อน และเมื่อก่อนนี้…เขาก็ไม่อยากรับสายเบอร์นี้ที่สุด
ร่างสูงหวังว่าอีกฝ่ายจะรับแล้วยอมคุยกับเขา แต่มันแย่ยิ่งกว่านั้น เพราะไม่เพียงแต่ไม่รับ เขายังโทรไม่ติดเลย อีกฝ่ายปิดเครื่องนี้ ริมฝีปากแค่นยิ้มให้ตนเอง แบบนี้มันโทษใครไม่ได้ ต้องโทษที่ตัวเขาเองนี่แหละ
เขาเหมือนคนบ้า รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องแต่ก็ยังกระหน่ำโทรไม่หยุด มือหนากดโทรออกเรื่อยๆ ไม่สนใจว่าจะโทรติดหรือไม่ เขาคิดแค่ว่า…ถ้าร่างเล็กเปิดเครื่องเมื่อไหร่ เขาจะได้คุยทันที
แต่สุดท้าย…ทั้งคืนนั้นเขาก็ติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ ร่างสูงพลิกตัวนอนคว่ำ ฝังหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ รู้สึกเจ็บใจที่กลับมาไม่ทัน อยากชกตัวเองหลายๆ ทีให้รู้สึก ให้เจ็บได้เท่าที่อีกฝ่ายต้องเจ็บ
“มึงอย่าร้องไห้นะวิป กูขอโทษ…”
[มีต่อ]