ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่บริเวณทางเข้าของที่พักผู้โดยสารขาออกด้วยอาการละล้าละลัง เขาชะแง้คอเหมือนคอยใครบางคนที่อาจจะปรากฏตัวมาเมื่อไหร่ก็ได้ เสียงประกาศเรียกชื่อของเขาดังขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สอง เขาก้มหน้าคอตกแล้วลากกระเป๋าในมือเพื่อเข้าสู่ช่อง
"เทพ"
คำเรียกของผมทำให้เขาหันมาอีกครั้ง รอยยิ้มด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุดกระจายทั่วใบหน้าของเขา...
ผมก้าวเข้าไปใกล้เขาเรื่อย ๆ เราสบตากันแน่แน่ว
"ผมมีเรื่องอะไรที่อยากจะบอกเทพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่นายจะไป.."
ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อนหน้า...
ผมกดปุ่มบนโทรศัพท์สาธารณะด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นไปหมด
เสียงรอสายดังขึ้นและผมก็สูดลมหายใจลึกยาวเข้าออกหลายครั้ง
สักครู่ เสียงของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เป็นผู้รับสาย
"นัส นัสใช่มั้ยลูก เป็นอะไรทำไมไม่โทรหาซะนาน แม่คิดถึงนัสจนจะร้องไห้อยู่แล้วเนี่ย"
ผมนิ่งอึ้ง น้ำตาเหมือนจะคลอเบ้าอีกครั้ง
"นัสก็คิดถึงคุณแม่เหมือนกันครับ.. สบายดีหรือเปล่าครับ"
"สบายดีลูก แล้วนี่โทรมามีปัญหาหรือมีอะไรจะบอกแม่หรือเปล่า"
ผมชั่งใจเป็นครั้งสุดท้าย..ก่อนกรอกเสียงลงไป
"นัสหลงรักเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเขากำลังจะจากไปไกล เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก.."
"เพื่อนคนไหนน่ะลูก นัสมีเพื่อนไม่กี่คนเองนี่"
"เขาคือ.." ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนหลุดคำพูดที่เป็นคำสารภาพกลาย ๆ "..เทพครับ"
ปลายสายอีกด้านเงียบสนิทไปพักใหญ่ ๆ ผมทำใจที่จะรับผลทุกอย่างจากคำคำนี้ของผมแล้ว และยังคงถือสายรอ
"...อืม เทพเหรอ ก็หน่วยก้านไม่เลวนะลูก บอกเขาไปสิ บอกเขาไปว่าลูกคิดอะไรกับเขา จำเพลงที่แม่ชอบได้มั้ย รักกันวันนี้ดีกว่า เผื่อว่าพรุ่งนี้มีอันเป็นไปฯ"
"คุณแม่ไม่โกรธนัสเหรอครับ นัสจะไม่มีหลานให้คุณแม่อุ้ม ไม่สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อได้"
"แม่จะโกรธนัสได้อย่างไรล่ะลูก ความสุขของลูกย่อมมาเป็นอันดับหนึ่ง พ่อแม่น่ะ ไม่ได้หวังที่จะเห็นตระกูลยืนยงตราบชั่วฟ้าดินสลายหรอกนะ แต่อยากเห็นลูกมีความสุขกับปัจจุบัน ใช้ชีวิตตามที่ต้องการ แม่และพ่อ ก็จะยิ้มส่งให้กับทางที่ลูกเลือกดีแล้ว.."
เธอหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสดใส
"แล้วเรื่องหลานน่ะ ไม่มียิ่งดี ถ้าเอามาทิ้งไว้ให้นะ แม่ไม่เลี้ยงให้หรอก ดูซิตอนนี้ที่บ้านน้อง ๆ สองคนก็มา วุ่นเวเตนังไปหมด"
ผมหลุดหัวเราะ เมื่อคิดถึงลูกพี่ลูกน้อง ๆ ตัวแสบที่ซนยังกับลิง
"นัส เดี๋ยวแม่แพรวจะคุยด้วย ถือสายรอแปบ"
ผมรอสักครู่ จนแม่คนที่สองของผมกรอกเสียงมาตามสาย
"สวัสดีครับคุณแม่แพรว ได้ยินว่าน้อง ๆ ซนจนคุณแม่ปวดหัว"
"สวัสดี นี่ ไม่ต้องมาทำพูดดีเลย ตัวเองตอนเล็ก ๆ น่ะใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ แม่ยังจำได้เลย วันที่ไปขึ้นรถไฟแล้วนัสก็เอาแต่กระดึ๊บ ๆ ขึ้นเบาะ จนคว้าลงมาคืนตั้งไม่รู้กี่รอบ แต่ก็ยังไต่ขึ้นไปอยู่นั่นล่ะ
แล้วยังมีอีก ตอนที่นัสอายุได้สามขวบแล้วแม่พาไปอยู่ด้วยที่บ้าน นัสน่ะ เข้าไปขังตัวเองไว้ในห้อง ลงกลอนเสียเสร็จสรรพ ตะโกนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่เปิดให้ ได้ยินแต่เสียงเอิ้กอ้ากกับเสียงรื้อเสื้อผ้า จนแมงป่องต่อยถึงร้องให้จ้า ร้อนถึงแม่ต้องไปให้ภารโรงเขามาช่วยงัดเข้าไป.."
ผมยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงเรื่องเล่าวีรกรรมแสนซนวัยเด็กของผมซึ่งเคยถูกบอกเล่าหลายครั้งแล้ว แต่ผมก็ยังฟังไม่เบื่อ
"ฮ่าฮ่าฮ่า ซนจริง ๆ ด้วย แต่คุณแม่แพรวครับ นัสคงต้องไปแล้วล่ะ"
"จ๊ะ แล้วโทรมาหาบ่อย ๆ นะ ไม่ใช่ครึ่งปีครั้งแบบนี้ จนร่ำ ๆ จะไปแจ้งคนหายสาบสูญอยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้ว"
"คร้าบ แล้วจะโทรหาบ่อย ๆ ครับ สวัสดีครับ"
ผมวางหูโทรศัพท์ด้วยความโล่งใจเสมือนยกภูเขาออกจากอก...
เทพถามผมด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามทำให้มันดูสดใสร่าเริง
"เรื่องอะไรเหรอนัส ?"
ผมรวบรวมกำลังใจอีกครั้ง ก่อนบอกมันออกไป
"เทพ เรารักนายนะ"
สีหน้าของเทพเกลื่อนด้วยความปีติยินดี
"เออ ก็แค่เนี้ย งั้นดูจมูกเราดิ แห้งหรือเปล่า"
เขาหลับตาลงและยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ผม ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ลังเลหรือเบี่ยงใบหน้าหลบอีกต่อไป
จูบแรกของเราสองคน เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารนับร้อยนับพัน
เทพกอดร่างผมไว้แน่นพร้อมกับใช้มือขวากดหัวของผมให้แนบชิดกับเขา
เราสัมผัสริมฝีปากแนบแน่นกันนานมาก นานเสมือนแทบไม่ได้หายใจ นานด้วยความที่ระบายความอัดอั้นตันใจมานาน ผมเป็นฝ่ายค่อย ๆ ยันกายถอยออกมาก่อน
"จูบนี้ เป็นจูบแรกและจูบลาของผม ผมได้บอกความรู้สึกที่เคยมีต่อเทพไปแล้วนะ
แต่บัดนี้ หัวใจของผมไม่เป็นอิสระต่อไปแล้ว ผมเพียงแต่อยากหายคาใจ.."
"เรารู้ ไม่ต้องพูดหรอก ตั้งแต่ที่เห็นนายกับพันไพรเมื่อครั้งนั้นแล้วเราก็พยายามทำใจแล้วล่ะ
แล้วไหน นายได้พาเจ้าของพันธนาการหัวใจของนายมาด้วยหรือเปล่า"
ผมคลี่รอยยิ้มกว้าง ก่อนเรียกพี่แนคที่ยืนมองห่าง ๆ เข้ามาใกล้
"นี่ไง นี่พี่ชายที่รักยิ่งผม และนี่เพื่อนที่รักยิ่งเหมือนกันของผม"
ผมชี้ไปทีละคน ทั้งสองยิ้มให้แก่กันด้วยไมตรี เสียงประกาศเรียกชื่อของดั่งเทวาดังเป็นครั้งที่สาม
เทพกล่าวลาพวกเราทั้งคู่ และหันร่างเตรียมจะจากไป ทว่า ผมที่ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างจึงเรียกเขาเอาไว้
"เดี๋ยวสิ พันไพรใช่ลูกพี่ลูกน้องนายแน่เหรอ?"
เทพคลี่ยิ้มลึกลับ รอยลักยิ้มเด่นข้างแก้มยิ่งทำให้เขาดูเจ้าเล่ห์
"นั่นสิ จะใช่หรือเปล่านะ?"
เขากล่าวแต่เพียงเท่านี้ ก่อนก้าวเท้าต่อจนหายลับไปในช่องทางผู้โดยสารขาออก
มืออุ่นข้างหนึ่ง ยื่นมาเกาะกุมผมไว้ แล้วนำไปทาบที่ดวงใจของเขาแนบสนิท
ผมหันมา แล้วยิ้มให้แก่คู่ชีวิตในอนาคตของผม ...พี่แนค
บทส่งท้าย
ผมกลับมาถึงที่พัก ด้วยแรงบันดาลใจบางประการทำให้ผมปลีกตัวแยกจากพี่แนคไปดูกล่องจดหมาย
ที่นั่น ผมพบซองสีขาวดูเก่า ๆ ที่คล้ายกับถูกส่งมาได้หลายอาทิตย์แล้ว นอนนิ่งอยู่ก้นตู้
ผมนำมันมา แล้วเปิดดูที่เก้าอี้พับใต้ร่มสน
เนื้อความในจดหมาย เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย...
แม่ยังไม่สามารถติดต่อนัสได้ จึงส่งจดหมายฉบับนี้มาให้
เมื่อหลายวันก่อนแม่อ่านบันทึกของนัสแล้วใจหาย เสียใจมากแม่เจ็บ นัสเจ็บ บนความโง่เขลา
แต่ว่า นัสจะปล่อยมันผ่านไปได้ไหมในเมื่อสิ่งที่อยู่เต็มตื้นในหัวใจแม่คือนัส ซึ่งมีความสำคัญ มีความหมายต่อแม่เสมอ ถึงแม้ว่าลูกจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม
แม่ก็เคยบอกนัสแล้วนะ อย่าทำร้ายตัวเองต่อไปอีกเลย ลุกขึ้นเถิด
อย่างไรในเมื่อต้องอยู่ อะไรที่มันรกรุงรังโยนมันทิ้งไปเสียบ้าง
นัสเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนในตระกูลของพ่อและแม่
นัสมีความหมาย เป็นความหวังเป็นความห่วงใย นัสไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะลูก ทุกคนยังคิดถึงยังถามข่าวกับแม่บ้าง ทางโทรศัพท์บ้าง อย่างที่เคยบอกว่าคุณยายทุก ๆ คน และคนอื่น ๆ อีกหลายคน อาจารย์ที่เคยสอนนัส ทุกคนยังรักและห่วงใย ยังเชื่อมั่นในตัวนัส
ลุกขึ้นมาทำสิ่งดี ๆ เพื่อชีวิตของตัวเองเถิดลูก ลองคิดถึงวันที่ไม่มีพ่อแม่ ขาดคนอื่น ๆ ที่รักเรา เราจะต้องอยู่ให้ได้อย่างมั่นคงและมีความสุข แม่สะเทือนใจมาก ที่พบข้อความว่านัสไม่เคยได้รับความรักมาสิบกว่าปีแล้ว ในความเชื่อของแม่ ไม่มีใครอยู่ได้โดยปราศจากความรัก โลกนี้มีความรัก ความปรารถนาดีครอบคลุมไปทั่ง คนไม่เคยรู้จักกันก็ยังมีไมตรีมีความปรารถนาดีต่อกัน คิดว่านัสคงจะเคยพบบ้าง โลกนี้ไม่แห้งแล้งอย่างที่คิดหรอกนะลูก พ่อ - แม่และทุกคนพร้อมจะโอบกอดและซับน้ำตายามเมื่อลูกล้มหรือเจ็บ ธรรมดาที่เราจะเหงา เมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ได้เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก ใคร ๆ อีกเป็นจำนวนมากก็เป็นอย่างนี้ แม่ก็เคยเป็น อย่างที่แม่เคยบอกว่าไม่มีใครจะจริงใจและปรารถนาดี เสียสละเพื่อเราได้เท่ากับคนในครอบครัว ขอให้มีใจเชื่อมั่นต่อกันแม้ตัวไกล แต่ใจใกล้กัน บางครั้งไม่ต้องพูดอะไรมาก ต่างรู้ความรู้สึกของกันและกันและเราจะยื่นมือไปเมื่อเขาต้องการโดยไม่ต้องร้องขอ
เข้าใจชีวิตให้มากนะลูก อยู่กับความเป็นจริง คิดถึงสิ่งที่เราจะต้องเผชิญในวันข้างหน้า วันเวลาผ่านไปทุกวันบางครั้งความคิดบางอย่าง สิ่งเร้าบางอย่างจะฉุดให้เราหยุดอยู่ ขอให้เข้มแข็งและมองไปให้ไกล
ยังจำได้ไหมลูกที่แม่เคยบอกว่านัสมักจะหยุดข้างทาง คลุกเคล้าจนหนำใจแล้วจึงเดินทางต่อ แม่ก็ได้แต่หวังว่าลูกจะเอาตัวรอดและยอมรับได้กับสิ่งที่ได้รับ แม่เชื่อในความคิดอ่านของนัส เชื่อมั่นว่านัสจะเอาตัวรอดได้ นัสเป็นตัวของตัวเอง มีพรสวรรค์หลายด้าน มีสิ่งที่คนอื่นไม่มีแม้แต่แม่เองอยากมีอยากเป็นอยากทำได้แต่แม่ก็ไม่สามารถ ลูกกำลังถูกทดสอบฝึกฝนเมื่อสำเร็จลุล่วงผ่านไป เท่ากับปลดพันธนาการทั้งหลาย ลอยลำอย่างสง่างาม มีอิสระและสามารถเก็บเกี่ยวทิวทัศน์อันงดงาม เสพสุขอย่างหมดกังวล จำไว้ว่าในความรู้สึกของแม่ แม่ยังโอบกอดนัสไว้ที่อกแม่เสมอ จำได้นะถ้าเราอยู่ด้วยกันต่างก็จะมีเรื่องราวอันเป็นบทเรียนในชีวิตมาเสวนากันอยู่เสมอ แม่คิดว่านั่นน่ะคงจะทำให้ลูกได้ความรู้ ประสบการณ์อับจะนำไปคิด ตัดสินใจและเกิดผลดีต่อลูกเอง ช่วงนี้หากว่าเหนื่อยนักจะพักก่อนก็ได้
แต่หวังว่าลูกจะคาดเดาประเมินสถานการณ์และยอมรับในสิ่งที่จะได้พบ ไม่ต้องห่วงความรู้สึกของแม่ จงห่วงอนาคตในวันข้างหน้าของนัสเอง พ่อแม่จะอยู่กับนัส ให้นัสพึ่งได้ก็เมื่อยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น
รักและคิดถึง
แม่เอง
ผมนิ่งอึ้ง อึ้งกับความรักอันผมสัมผัสได้จากทุกย่อหน้า ทุกบรรทัด และทุกทุกตัวอักษร
ผมเสียใจ ที่มัวเสียเวลาจมปลักกับความเศร้ามาเนิ่นนาน
ผมเสียใจ ที่เคยพยายามทำลายชีวิตของตนเอง ทำลายความรักของผู้คนรอบข้าง
ผมเสียใจ ที่ผมเคยมองข้ามพวกเขาไป โหยหาอ้อมกอดและความอบอุ่นจากผู้อื่น..
แต่สุดท้าย ผมดีใจนะ ที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้...
ชีวิตคนก็ต้องเดินต่อไป ใช่ ดังที่แม่ของผมกล่าว
ผมเองก็ต้องก้าวต่อ เพียงแต่ว่า...
..ผมไม่ได้เดินตามลำพังอีกต่อไปแล้ว-----------------------------------
ในที่สุดผมก็โพสต์จบจนได้ อิอิ
nOn†ღ : ในนิยายนัสเลือกพี่แนคครับ แต่ความเป็นจริง นัสเลือกตนเอง
Taurus : ครับผม เกาะติดตลอดเลย อิอิ ขอบคุณนะครับ
mumoo : พี่แนคตอนนี้สบายดีครับ เหลืออีกปีหนึ่งจะจบดอกเตอร์แล้ว ล่าสุดที่ได้คุยกันก็เมื่อสองสามเดือนก่อน นานน่าดู แหะแหะ ตอนนั้นผมก็อกหักจากคนที่สามคนที่สี่พอดี ก็ได้พี่แนคนี่แหละที่ช่วยให้สติ พูดเขารักษาคำพูดจริง ๆ ที่ว่าจะดูแลผมตลอดไป
ส่งท้ายอีกครั้ง
สุดท้าย ผมอ่านจดหมายฉบับนี้ทีไรก็จะร้องไห้ทุกที
บันทึกที่แม่ผมอ่าน คือนิทานของเนลและเนกซัส
และข้อความเขียนตามรู้สึกที่ผมเขียนไว้ในไดอารี่ ในช่วงที่ผมรู้สึกมืดหม่นที่สุดในชีวิต
และนิยายเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของผมเอง
เพราะว่า แม่ผมได้อ่านเรื่องนี้ และท่านถามผมว่า
ทั้งหมดที่ผมเขียน เป็นเรื่องจริงใช่ไหม
ในที่สุด ผมยอมรับ และตอนนั้นแม่ถึงรู้ว่าผมเป็นเกย์
ถึงตอนนี้ท่านยังพูดติดตลก
ว่าถ้าพิมพ์เรื่องนี้เมื่อไหร่ จ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้แม่ด้วยนะ
ค่าจดหมายยังไงล่ะ ^ ^
แล้วพบกัน..ในนิยายเรื่องอื่น ๆ ครับ