[รวมเรื่องสั้นชุด High School Lover] เรื่อง I'm not alone in the school
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [รวมเรื่องสั้นชุด High School Lover] เรื่อง I'm not alone in the school  (อ่าน 1535 ครั้ง)

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


 :n1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2017 13:59:20 โดย 星星 »

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
กินแล้วนะครับ

เรื่องโดย BloodyBambooSword
________________________________________

   ผมชื่อนัท กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ห้องห้า แผนการเรียนคณิต-ศิลป์ ผมชอบว่ายน้ำ ชอบฟังเพลง ชอบดูการ์ตูน ชอบทำอะไรตามใจที่อยากจะทำ ผมไม่ชอบสถานที่คนเยอะ ๆ ไม่ชอบแม้กระทั่งการมาโรงเรียนเพราะคนมันเยอะ แต่ในหนึ่งสัปดาห์จะมีหนึ่งวันที่ผมอยากไปโรงเรียนมาก ๆ ถึงขนาดกาปฏิทินวงกลมวันที่ในแต่ละเดือนเพื่อให้ถึงไว ๆ แม้จะได้ไปทุกวันก็ตาม วันนั้นคือวันศุกร์ครับ วันศุกร์จะเป็นวันที่ผมรอคอยให้ถึงคาบสุดท้ายไว ๆ ไม่ใช่อยากกลับบ้านแต่เป็นเพราะวิชาคหกรรมที่จะเริ่มเรียนตอนเวลาบ่ายสองโมงถึงบ่ายสามโมงครึ่ง หนึ่งชั่วโมงครึ่งกับการเรียนทำอาหารและขนม รวมถึงการประดับตกแต่งต่าง ๆ ที่ใช้บนโต๊ะอาหาร เรียนรวมกับห้องแปด แผนการเรียนคหกรรม และเทอมนี้เราเรียนการทำขนม ของหวาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบทำและไม่ชอบกิน แต่พักนี้ผมรู้สึกว่าผมชอบขนมหวานเลี่ยน ๆ พวกนี้นะ
   “นัท ชิมหน่อยสิ” ที่ผมเริ่มชอบของหวานคงเพราะคน ๆ นี้ เค้กเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กกว่าผม ผมสูงกว่าเค้กเจ็ดเซ็นติเมตร บ้านของเค้กเปิดร้านขายขนมและโรงเรียนสอนทำขนม อยู่ตรงข้ามกับบ้านผม ข้ามสะพานลอยไม่ถึงห้านาทีก็ได้เจอกันแล้ว
   “เค้กชาเขียวหรอ อย่างนั้นไม่เกรงใจ กินแล้วนะครับ” รสชาติของชาเขียวที่ผสมอยู่ในเค้กนั้นคลุ้งทั่วปาก ยิ่งความนุ่มลิ้นของเนื้อเค้กที่ผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ ทำให้กัดหนึ่งคำแล้วคำต่อ ๆ ไปต้องรีบกัดเข้าไป รสชาติและความหอมที่แม้จะถูกส่งไปสู่ระบบย่อยอาหารแล้วก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นและคลุ้งขึ้นมาถึงจมูก อร่อยมากจริง ๆ
   “เป็นอย่างไรบ้าง” ผมเหล่ตามองคนที่เกาะแขนผมมองอย่างคาดหวังจนผมอดจะแกล้งเล่นเล็ก ๆ ไม่ได้ อย่างเช่นการถอนหายใจเล็ก ๆ ก็สามารถทำให้เจ้าตัวหน้าซีดไปแล้ว ลืมบอกสินะครับเค้กเป็นมนุษย์ที่กังวลกับรสชาติขนมของตัวเองเอามาก ๆ ใครบอกว่าขนมของเค้กไม่อร่อยแม้เพียงครั้งเดียวเจ้าตัวก็จะจดจำชนิดที่ว่าผ่านไปสิบปีก็ยังจำได้เลยล่ะ
   “อย่าคิดมากสิ อร่อยอยู่แล้ว” ผมยีผมของคนขี้กังวลเล็ก ๆ และก็ได้รอยยิ้มของเค้กกลับมา รอยยิ้มของเค้กสวยจริง ๆ นะ มันสดใสเสมือนทำให้มอดไหม้ได้เลย
   “อย่างนั้นเดี๋ยวเอาไปให้ครูชิมก่อนนะ” เจ้าตัวบอกแค่นั้นและก็เดินยิ้มกลับกลุ่มของตัวเองไป ถามว่าทำไมผมไม่จับกลุ่มกับเค้กน่ะหรือ ง่ายมากเพราะเพื่อนผมครบแล้ว จะให้ทิ้งเพื่อนไปอยู่กับคนตัวเล็กก็ไม่ได้ด้วย
   “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ไม่ช่วยเพื่อนทำนี่คืออะไรคะ คุณณัฐกรณ์” อ้อที่ผมอยู่กลุ่มเดียวกับเค้กไม่ได้เพราะเพื่อนสาวข้างบ้านคนนี้นี่แหละ ไอซ์เป็นผู้หญิงที่สูงกว่าเค้กประมาณห้าเซ็นติเมตรได้ สวย ฉลาด และเป็นสาวที่มั่นใจในตัวเองมาก จนผมไม่คิดว่าไอซ์จะมาคลุกคลีอยู่กับพวกผมด้วยซ้ำ
   “ฉันทำของฉันเสร็จแล้ว ที่เหลือเธอก็ทำต่อไปสิ” กลุ่มผมทำมาการอง เพราะไอซ์ที่ไปเจอสูตรทำในอินเทอร์เน็ตแล้วอยากทำ ดังนั้นกว่าจะได้มาทำในห้องเรียนแบบนี้พวกผมไปซ้อมทำที่บ้านของเค้กมาแล้ว โดยมีพี่มิ้นต์พี่สาวของเค้กเป็นคนสอน
   “โอ้โห น่ารักจริงเชียว ไอ้ตี้แกคิดไหมว่าถ้าเป็นหนูเค้กมาพูด คงมีใครสักคนแถวนี้พลีกายถวายชีวิตรีบทำให้จนหนูเค้กไม่ต้องทำอะไรแม้แต่ขยับตัว” ตี้เป็นผู้ชายที่มองแล้วสบายตาครับ เป็นพวกไม่คิดอะไรซับซ้อน พูดจาโผงผาง และที่สำคัญชอบหัวเราะกับไอซ์ ตี้จะตัดผมสกินเฮดและชอบเล่นฟุตบอล
   “ก็หนูเค้กเป็นคนสำคัญนี่นา ถึงขนาดทิ้งรายงานกลุ่มขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับหนูเค้กที่หน้าอำเภอ” ที่เพื่อนของผมเรียกเค้กว่าหนูเค้ก เพราะตอนตี้กับไอซ์มาทำรายงานกลุ่มที่บ้านผมและเค้กมาหาผมพอดี คุณแม่ก็เลยขอให้เค้กช่วยทำขนม เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูแม่ผมจะเรียกเค้กว่าหนูเค้กตลอด และเพราะความลับของผมที่แอบชอบเค้กถูกสองคนนี้รับรู้ ก็เลยมักถูกล้อเลียนทำนองนี้อยู่เรื่อยไป
   “เลิกล้อได้แล้วน่า ที่เหลือมันแค่เอาใส่กล่องไปให้อาจารย์ป่ะวะ” มาการองพวกผมทำไม่นานเท่าไร ผมตีครีม ตี้ผสมแป้ง ไอซ์เอาไปอบ และพวกเราก็แบ่งกันประกบกับครีมที่เตรียมเอาไว้เป็นไส้ จากนั้นก็เอาใส่กล่องไปส่งอาจารย์ หน้าตาอาจจะสวยแต่รสชาติคงไม่อร่อยเหมือนที่พี่มินต์สอนทำหรอก เพราะกลุ่มผมจะได้คะแนนอยู่ที่หกหรือเจ็ดคะแนนตลอด
   “ไม่มีโมโหกลบเกลื่อนด้วย คุณพระ เค้กชาเขียวสยบมาร” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มทำตัวตกใจได้น่าหมั่นไส้ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาแล้ว ไอ้การเอามือถามอกแล้วทำสีหน้าเหลือเชื่อแบบนั้น สู้ให้ไอซ์เดินไปบอกเค้กว่าผมชอบเค้ก มันยังดูน่าตื่นตาตื่นใจกับเธอเสียมากกว่าอีก แต่อย่าทำเลยครับ ผมยังไม่พร้อม
   “ฉันเอาไปส่งก่อนนะ” ผมตัดปัญหาโดยการรีบเอามาการองใส่กล่องผูกโบว์เล็ก ๆ วิ่งไปส่งครูประจำวิชา บางครั้งในห้องเรียนเวลามีคนที่ชอบเราก็อยากได้ทำอะไรพร้อมเขาบ้างสักอย่างนี่ครับ
   “นัทก็เพิ่งเสร็จเหมือนกันหรอ ของเค้กเพื่อนอยากแต่งเพิ่มก็เลยเพิ่งเอามาส่ง” อ่า เค้กเป็นคนที่น่ารักนะครับ แค่ตอนที่วางกล่องพลาสติกใสผูกโบว์สีฟ้าส่งถึงมืออาจารย์ ผมยังมองเหมือนเหมือนเทพธิดาสักองค์ให้ของขวัญกับมวลประชา บ้าจริงเค้กเป็นผู้ชายนะ แต่ผมก็มักเปรียบเทียบเค้กกับเทพธิดาอยู่เรื่อยเสียจริง
   “ณัฐกรณ์ หวังว่าคราวนี้กลุ่มเธอคงไม่วางยาอะไรครูอีกนะ หัดเอาอย่างกลุ่มของกนต์ธรบ้างสิ” ผมก็เห็นว่าครูบ่นแบบทุกนี้ทุกคาบ แต่พวกผมก็ไม่คิดอะไรหรอกเพราะพวกผมก็คิดว่ามันไม่อร่อยนั่นแหละ ชื่อของเค้กฟังกี่ทีก็น่ารักสมตัวนะครับ ผู้ทรงไว้ซึ่งสิ่งที่เป็นที่รัก สำหรับผมแล้วเค้กก็คือสิ่งที่เป็นที่รักสำหรับผมนะ เพราะเค้กเหมือนสามารถดึงดูดคนได้ทุกเมื่อเพียงแค่ยิ้ม รอยยิ้มอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหลงรัก
   “จริงสิครูคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว ไหน ๆ พวกเธอก็ชอบมาส่งงานพร้อมกัน บ้านก็อยู่ใกล้กันทำขนมมาให้ครูสักอย่างสิ เอาแบบไม่เหมือนใครนะ ถ้าอร่อยให้เพิ่มห้าคะแนน และจะเอาไปจัดนิทรรศกาลงานขนมของโรงเรียนด้วย” สิ้นประโยคยาว ๆ ของอาจารย์หัวผมเหมือนมีระฆังดังลั่น เสียงนกพิราบ เสียงผู้คนโห่ร้องดังก้องในหัวผมเลย แม้จะได้ยินเสียงโวยวายแว่ว ๆ ของเพื่อนในห้องเรียนก็เถอะ
   “อะไรอะครู หนูไม่ยอมนะคะ ให้นัทคู่กับเค้ก แบบนี้คนฝีมือห่วย ๆ อย่างนัทก็ได้เปรียบสิคะ” พอไอซ์พูด เพื่อนคนอื่นก็เริ่มโวยวายแล้วครับ ก็นะใคร ๆ ก็ต้องได้เจอในห้องเรียนเวลาทำงานเป็นคู่ก็ต้องมีดาวเด่นที่ใคร ๆ ก็อยากทำงานด้วยเป็นพิเศษ และวิชาคหกรรมนั้นเค้กเป็นดาวเด่นที่เพื่อนในชั้นเรียนอยากจับคู่ทำงานด้วยมากที่สุด อ่า จะว่าไปแล้วนี่เป็นงานคู่ครั้งแรกของผมกับเค้ก รู้สึกเหมือนออกเดทเลย
   “นั่นน่ะสิ เค้กอาจต้องเหนื่อยเป็นสิบเท่า ครูลองคิดดี ๆ นะคะ” อันนี้เพื่อนในกลุ่มเค้กครับชื่อน้ำฝน เธอไม่ชอบผม เรียกว่าเกลียดเลยดีกว่า บ้านน้ำฝนอยู่ถัดจากบ้านของเค้กไปหนึ่งซอยกับสี่ช่วงตึก เหตุผลที่เธอเกลียดผมก็คือผมทำเค้กป่วยและเคยทิ้งเค้กไปช่วงหนึ่งน่ะครับ ละเลยการดูแลเค้กอะไรแบบนี้
   “ครูครับ ผมก็ไม่ยอมนะครับ ณัฐกรณ์ไม่ค่อยช่วยงานเพื่อนด้วย อย่างนี้กนต์ธรต้องเหนื่อยแน่เลยครับ” อันนี้ไอ้เต้ เพื่อนอีกคนของผมแต่เวลาเรียนคหกรรมอยู่คนละกลุ่ม เพราะไอซ์ไม่ยอมจะอยู่กลุ่มเดียวกับผม เต้เลยต้องไปอยู่กับเพื่อนของไอซ์แทน เต้มันชอบเค้ก มันแสดงตัวออกมาเลยว่าชอบเค้กตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกของมัธยมปลาย ภายใต้ความเป็นสุภาพบุรุษของมันนั้นไม่มีอะไรน่าค้นหาสักนิด เพราะตัวจริง ๆ ของมันไม่ต่างจากผมเท่าไรหรอก แต่ชอบแสร้งเป็นคนดีรักษาภาพพจน์เพิ่มความนิยมของสาว ๆ ในโรงเรียนไปอย่างนั้น
   “พอ ๆ ถึงณัฐกรณ์จะขี้เกียจ ทำอาหารก็ห่วย ทำขนมก็ไม่ได้เรื่อง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ดีสักหน่อย ลองถามความสมัครใจของกนต์ธรดูไหมล่ะ ว่าเขาอยากทำงานคู่กับณัฐกรณ์หรือเปล่า” เหมือนข้อเสนอนี้จะทำให้เพื่อนทุกคนดูพออกพอใจเป็นพิเศษ เพราะแต่ละคนแสดงออกอย่างออกหน้าออกตาว่าเค้กจะปฏิเสธคู่กับผม อ่า พอหันไปมองเห็นหูแดง ๆ ของคนที่ผมแอบชอบมานานแล้วก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ผมกลัวจริง ๆ นะว่าเค้กจะไม่อยากทำงานคู่กับผมอีก
   “ผมทำงานคู่กับณัฐกรณ์รับ” ผมรู้สึกเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่โถมใส่บนหน้าผาที่ผมยืนอยู่ นี่มันคือชัยชนะที่ผมมีความสุข เพราะไอ้เต้ถึงขนาดเบ้ปากใส่ผมเลยนะ
   “เป็นอันจบ แยกย้ายกลับที่ได้ และใครที่ยังไม่เสร็จก็ไม่ต้องรีบมีเวลาอีกสิบห้านาที กลุ่มสุดท้ายทำความสะอาดห้อง แล้วก็รีบจับคู่กันเสียล่ะ เดี๋ยวได้มีโวยวายกันอีก พวกเธอนี่นะ” ครูถอนหายใจเล็ก ๆ ผมหันไปยิ้มให้เค้กก่อนจะเดินกลับเข้ากลุ่มตัวเอง เห็นไอ้เต้หันมามองผมพร้อมยกกำปั้นมาให้ ผมก็ทำแค่ยักคิ้วกวน ๆ คืนไป
   “น่าหมั่นไส้ ม.2 ใครสักคนทำงานคู่กับเค้ก แต่เสนอหน้าหลับคาโต๊ะปล่อยให้เค้กทำงานคนเดียวจนดึกดื่น” นี่แหละครับเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงกลัวเค้กจะปฏิเสธผม ตอนนั้นเราทำรายงานวิชาภาษาไทยครับ และต้องถอดคำประพันธ์เรื่องขุนช้างขุนแผน ผมถอดไปได้ประมาณสองหน้าก็เกิดหลับคาโต๊ะ ตื่นเช้ามาพร้อมผ้าห่มที่คลุมตัวไว้กับกระดาษโน๊ตสั้น ๆ ของเค้กเท่านั้น และเรื่องนี้ที่เพื่อนของผมรู้เพราะวันรุ่งขึ้นเค้กป่วย
   “และใครสักคนที่ห่วงแต่เล่นเกมจนรายงานต้องเร่งทำวันสุดท้าย” อันนี้นึกถึงทีไรก็รู้สึกผิดนะครับ ช่วงนั้นผมติดเกมเอามาก ๆ เรียกได้ว่าลืมเค้กไปช่วงหนึ่งเลย แต่พอเค้กป่วยผมก็ลดเรื่องเกมลงมาและก็ให้เวลากับเค้กมากขึ้น ก็พวกเราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา
   “ก็ขอโทษไปแล้ว ไม่ทำแล้วเข้าใจไหม” ผมก้มหัวให้เพื่อนหลาย ๆ ทีเป็นการขอโทษ ขอเสียของการคบมานานของพวกเราก็คือสามารถเอาความผิดในอดีตมาย้ำได้เสมอนี่แหละ และผมที่มีความผิดอันไม่น่าให้อภัยเยอะไปหน่อยเพื่อนเลยมีเรื่องให้พูดเยอะตลอด
   “แล้วพวกแกจะทำงานคู่กันหรือ” ผมถามไอซ์กับตี้ แต่ก็ได้รับการส่ายหัวกลับมา เดาเอาว่าทั้งสองคนคงไปจับคู่กับเด็กห้องแปดสักคนเป็นที่เรียบร้อยแล้วแน่ ๆ ก็อย่างว่าพวกเราเกือบห้าสิบคนนั้นแทบจะสนิทกันหมดเลยนะ การจะส่งข้อความจับคู่ก็ไม่ได้ยากหรอก แต่ว่าผมกับเค้กไม่มีโทรศัพท์มาโรงเรียนหรือใช้ส่วนตัวนะครับ พวกเราติดต่อกันทางจดหมายน้อย และโทรศัพท์บ้าน
   “นัท ครูปล่อยแล้ว วันนี้เค้กกลับบ้านด้วยนะ พี่ครีมติดประชุมน่ะ” ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาล้อเลียนของเพื่อนก่อนจะพยักหน้าให้เค้กเป็นการเข้าใจและบอกให้เค้กไปรอหน้าห้องก่อน เพราะกลุ่มพวกผมยังไม่เก็บอุปกรณ์ไปล้างกันเลย
   “ออกไปรอข้างนอกก่อนนะเค้ก นัทขอเก็บอุปกรณ์ก่อน กับหนูเค้กนัทอย่างนั้น เค้กอย่างนี้ กับพวกฉัน แกอย่างนั้น ฉันอย่างนี้ สองมาตรฐานชัด ๆ” ไอซ์เจ้าเดิมเพิ่มเติมคือน้ำเสียงที่ล้อเลียนยาน ๆ ใส่ผม อันที่จริงผมเคยคิดนะว่าบางทีถ้าไอซ์ว่างขนาดจดจำเรื่องที่ผมใส่ใจเค้กได้ขนาดนี้ เธอควรไปเรียนสายวิทย์เพราะความช่างสังเกตของไอซ์นั้นมีระดับที่สูงเลยทีเดียว
   “ตี้ไปล้างอุปกรณ์กันเถอะ รำคานเสียงนกเสียงกาจริง” ผมพูดแบบนั้นก่อนจะส่งถาดที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำขนมให้ตี้ถาดหนึ่ง และของผมอีกถาดหนึ่งเดินไปที่ที่ล้างจานหลังห้อง หน้าที่สุดท้ายของวิชานี้ของผมและตี้คือล้างอุปกรณ์ครับ ที่ล้างจานของห้องคหกรรมจะก่อปูนขึ้นมาเต็มความยาวของผนังห้อง มีก๊อกน้ำเว้นระยะไว้เท่า ๆ กัน ทำให้ล้างอุปกรณ์ได้ทีละเยอะ ๆ และก็เอาไปวางผึ่งไว้ที่โต๊ะสำหรับคว่ำจานชามต่าง ๆ และวันจันทร์ตอนเช้าพวกผมก็จะมาเก็บเข้าตู้เก็บอีกที
   “ไปก่อนนะเว้ย เจอกันวันจันทร์” ผมโบกมือลาเพื่อนทันทีก่อนจะเดินไปที่ตู้เก็บกระเป๋า แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ขมวดคิ้วอยู่สักพักเพื่อนรักของผมก็มาเฉลย
   “กระเป๋าแก เค้กเอาออกไปให้แล้ว น่าหมั่นไส้” ไอ้เต้ครับ มันบอกว่าไม่ชอบผมเวลาเค้กทำอะไรทำนองนี้ให้เท่าไร มันคิดว่าจีบมาตั้งแต่ม.4 เค้กยังไม่เคยให้อะไรมันเลยสักชิ้นเดียวนอกจากคำว่าขอบคุณ ผมนี่รู้สึกยืดเลย
   “เค้กนัทเสร็จแล้ว” ผมเรียกเค้กที่กำลังมองไปที่ทางเดินนอกตึกเรียน เค้กเป็นพวกชอบดื่มด่ำกับสภาพแวดล้อมครับ ไม่ว่าจะความวุ่นวายของคน หรือทิวทัศน์ทั้งหลาย ผมเคยถามเมื่อนานมาแล้ว เค้กบอกว่าเพลินดี ได้เห็นอะไรแปลก ๆ เยอะ
   “กลับบ้านกัน” เสียงของเค้กจะไม่แตกทุ้มเหมือนผู้ชายทั่วไป จะติดออกใส ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้เสียงเล็กเหมือนผู้หญิง ติดจะเป็นเสียงของเด็กผู้ชายวัยประถมเสียมากกว่า แต่ผมชอบนะฟังได้เพลินดี ยิ่งมากับรอยยิ้มที่สว่างไสวนั่นอีก วันนี้เป็นวันที่ดีมากของผมจริง ๆ
   “เราไม่ได้กลับบ้านพร้อมกันนานแค่ไหนแล้วนะ” ระหว่างเดินผมก็ต้องชวนคุย อย่างที่บอกเค้กชอบดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัวดังนั้นเจ้าตัวจะไม่ค่อยพูดหรอกครับ ส่วนผมปกติไม่พูดมากหรอก แต่พออยู่กับเค้กผมจะกลายเป็นคนพูดมากทุกทีเลย
   “ก็นานพอ ๆ กับที่เค้กรู้ว่ากระเป๋ามันหนักนั่นแหละ” เสียงหัวเราะของเค้กทำให้ผมรู้สึกเขินไม่เบาเลย เพราะตอนเด็ก ๆ เราจะกลับบ้านพร้อมกันและผมเป็นคนถือกระเป๋าให้เค้กตลอด จนม.2 นั่นแหละเค้กถึงได้สะพานกระเป๋าเอง รู้สึกผิดอีกแล้ว
   “เอางี้ ต่อไปนี้นัทจะถือกระเป๋าให้เค้กทุกวันเลยดีไหม” ผมคิดว่าถ้าทำได้แบบนี้จริง ๆ มันจะดีมาก ลองคิดดูสิครับตอนเช้าได้มาโรงเรียนพร้อมกับคนที่เราชอบ ตอนเย็นก็ได้กลับบ้านกับคนที่เราชอบมันให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากเลยนะครับ
   “บ้าไปแล้ว เค้กโตแล้วนะ” ไอ้การพองแก้มแบบงอน ๆ นี่คงไม่มีผู้ชายที่ไหนเขาทำกันหรอกว่าไหมครับ แต่เค้กทำนะ บ่อยด้วย ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหยิกแก้มอีกฝ่ายจนเจ้าตัวบ่นว่าเจ็บนั่นแหละ เค้กก็เป็นผู้ชายน่ารัก ๆ คนหนึ่งที่ผู้หญิงเห็นแล้วชอบ ตาโต ๆ แก้มกลม ๆ และปากแดง ๆ มันดูน่ารักจะตาย
   “ไม่คิดจะเปลี่ยนที่นั่งรอคุณแม่หน่อยหรือ” เราเดินกันจนมาถึงสวนหย่อมหน้าห้องธุรการที่โรงเรียนจัดทำไว้ให้นักเรียนรอผู้ปกครองตอนเย็น ผมจะรอคุณแม่มารับตรงริมบ่อเลี้ยงปลาเล็ก ๆ มีน้ำพุ กับม้านั่งรูปยีราฟ เมื่อก่อนผมกับเค้กจะนั่งรอคุณแม่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมารับตรงนี้ครับ เป็นความทรงจำที่ดีมากเลยล่ะ ดังนั้นวันไหนที่ผมไม่ได้รอแม่ที่ม้านั่งรูปยีราฟผมจะค่อนข้างหงุดหงิดเลยทีเดียว
   “ก็นะ” ผมพูดพลางเอานิ้วชี้ถูจมูก ผมกับเค้กไม่ได้นั่งใกล้กันแบบนี้มานานมากแล้วตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย แม้ว่าเราจะได้ไปเที่ยวกันบ้างในบางครั้งกับเพื่อนคนอื่น หรือการไปมาหาสู่ของสองบ้านที่มีถนนเส้นใหญ่เป็นเส้นแบ่งกั้น แต่สำหรับตอนนี้มันต่างออกไป เพราะแม้จะมีคนอื่นมารอผู้ปกครองในสวนหย่อมแต่ผมรู้สึกเหมือนมีแค่เราสองคน มันตื่นเต้น เขินอาย รู้สึกมวนท้องแปลก ๆ
   พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเยอะไปหมดในช่วงที่ไม่ค่อยได้เจอกัน ผมได้รู้อีกเรื่องว่าพี่ครีม พี่ชายของเค้กได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่งแล้วทำให้ยุ่งมากเวลาใกล้จะสิ้นเดือน พี่ครีมกับเค้กห่างกันสิบสองปีครับ คุณแม่ของเค้กบอกว่าเค้กเป็นลูกหลงมีตอนพี่ ๆ โตกันหมดแล้ว ทำให้เค้กเป็นที่รักของคนในบ้านเอามาก ๆ ส่วนพี่มิ้นต์เป็นครูสอนทำขนมในโรงเรียนสอนทำขนมของตัวเองนั่นแหละ และเรื่องสำคัญที่ผมเพิ่งรู้จากเค้กก็คือขนมที่เค้กทำขึ้นร้านขายได้แล้ว ผมดีใจกับเค้กมาก ๆ เพราะเค้กเคยพูดว่าอยากทำขนมขายได้ก่อนจบมัธยมปลายและวันนี้เค้กทำได้แล้ว เราคุยสัพเพเหระไปเรื่อยจนคุณแม่ของผมมารับและแยกย้ายกันที่หน้าบ้านของเค้กนั่นแหละ เวลาที่ได้เจอเค้กนั้นสั้นจริง ๆ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าตะกอนความสุขมันอัดแน่นไปหมดก็ไม่รู้


( มีต่อด้านล่างนะครับ )
V
V
V

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
( อ่านต่อกันเลยครับ )

         “เมื่อไรแกจะเปิดตัวหนูเค้กกับพวกเราว่าเป็นแฟนกันสักที” ไม่มีใครบอกพี่สาวของผมเลยหรืออย่างไรนะว่าห้ามพูดบนโต๊ะอาหารระหว่างกินข้าวน่ะ และวันนี้พ่อที่ไม่มีงานจนทำให้กลับดึกก็อยู่บนโต๊ะด้วย แต่เห็นพ่อเงียบไม่พูดอะไรผมก็เบาใจ พ่อผมค่อนข้างหัวโบราณน่ะครับ ผมกลัวว่าท่านจะรับไม่ได้ที่ผมชอบผู้ชาย
   “นั่นน่ะสิ วันนี้หนูเค้กก็กลับมากับลูกด้วย นาน ๆ ทีหนูเค้กจะนั่งในรถให้แม่สบายตาเล่น” แม้แต่แม่ของผมก็ยังเป็นไปกับพี่สาวเลย ทั้งสองคนชอบคิดว่าผมเป็นแฟนกับเค้กครับ ไม่ต้องรู้ความลับแบบเพื่อนของผมพวกเขาก็สามารถคาดเดากันได้เยอะพอสมควรเลย
   “ก็เป็นเพื่อนกันนี่” จริง ๆ นะ ตอนนี้ผมกับเค้กเป็นเพื่อนกันนี่นา ผมไม่กล้าบอกความรู้สึกหรอก กลัวเค้กรังเกียจ เกิดบอกไปแล้วเค้กไม่คิดแบบผมขึ้นมาทำไงล่ะ
   “ตายแล้ว นี่ลูกมัวแต่ใจเย็นไม่ได้นะเกิดมีคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อน มาร้องห่มร้องไห้กับแม่ไม่ได้นะคะ” ผมอยากบอกแม่นะว่าคงไม่มีใครตัดหน้าผมได้หรอก เพราะขนาดเต้จีบของมันมาเป็นปีแล้วยังจีบไม่ติดเลย ดังนั้นผมเลยใจเย็นได้แบบสบายใจเล็ก ๆ
   “ลูกผู้ชายชอบเขาก็ไปบอกว่าชอบ จะสมหวังผิดหวังอย่างน้อยก็ได้บอก ถ้าเขาปฏิเสธก็จีบ ถ้าพอใจแค่เป็นเพื่อนก็อย่ารู้สึกชอบเขาในเชิงชู้สาว” ผมถึงกับต้องวางช้อนมองหน้าพ่อที่พูดจบก็กินข้าวต่อเงียบ ๆ ปฏิกิริยาหลังจากคำพูดของพ่อก็มีแค่ผมมองหน้าพ่อนิ่ง ๆ ส่วนแม่ก็ยิ้ม แต่พี่สาวของผมนี่เอามือทาบอกข้างหนึ่งปิดปากข้างหนึ่ง
   “คุณพ่ออยากได้หนูเค้กเป็นลูกสะใภ้ ! แกต้องทำให้สำเร็จนะนัท” บางทีพี่สาวของผมก็ควรเอามือทาบอกปิดปากตลอดกาลไปเลยยิ่งดี
   มื้อเย็นกลายเป็นบทสนทนาของแม่กับพี่สาวเรื่องของว่าที่ลูกสะใภ้ที่ผมฟังแล้วถึงกับเครียด ผมสังเกตนะว่าพ่อมองผมแปลก ๆ ด้วย หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็ขอตัวขึ้นห้องนอนเลยเพราะวันนี้ไม่ใช่เวรล้างจานของผม ผมนั่งคิดถึงหัวข้อการบ้านวิชาคหกรรมจนไม่ได้สนใจการบ้านวิชาอื่นเลย ผมอยากให้ขนมของผมกับเค้กออกมาดีที่สุด และคิดว่าเค้กก็คงคิดแบบผม
   “นัท พ่อเข้าไปนะ” เสียงเคาะประตูและเสียงเรียกของพ่อทำให้ผมหมุนเก้าอี้หันออกไปมองคุณพ่อที่อยู่ในชุดนอนลายทางสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามา นี่ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนพ่ออาบน้ำเสร็จเลยหรือนี่
   “พ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ” ไม่รู้จะพูดอะไรก็ชิงถามก่อนเลย ปกติพ่อเข้ามาแบบนี้ที่ไหนล่ะ ส่วนใหญ่พวกเราจะคุยกันในห้องนั่งเล่น ถ้าคุยกันสองคนตามประสาผู้ชายก็จะมีแค่ตอนเซอร์ไพรซ์วันเกิดแม่กับพี่สาวเท่านั้นแหละ
   “นัทชอบหนูเค้กจริงหรือเปล่า” ว่าแล้วเชียวว่าพ่อต้องคิดเรื่องนี้เห็นมองผมแปลก ๆ บนโต๊ะหลังพูดจบ
   “ก็ครับ”
   “ชอบมานานหรือยัง พ่อได้ยินจากไนซ์บ่อย ๆ จนวันนี้พ่อคิดว่าควรคุยกับลูกเรื่องนี้” พ่อผมเดินไปนั่งปลายเตียงและมองผมนิ่ง ๆ มันนิ่งมากจริง ๆ นะ ผมกลัวว่าพ่อจะห้ามถึงพ่อจะพูดแบบนั้นบนโต๊ะอาหารผมก็กังวลอยู่ดี คุณลองคิดสิครับคนเป็นพ่อคงไม่มีใครดีใจที่เห็นลูกชายมีแฟนเป็นผู้ชายหรอกจริงไหม?
   “น่าจะตั้งแต่ม.2 ตอนเค้กป่วยมั๊งครับ” อันที่จริงผมก็เปลี่ยนตัวเองไปเยอะเลยตั้งแต่เค้กป่วยครั้งนั้น ก็คงเป็นอะไรที่สะสมมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็ยอมรับกับตัวเองตอนขึ้นม.3 ว่าชอบเค้กจริง ๆ อาจจะเป็นความรักเลยด้วยซ้ำ
   “นานขนาดนั้นแล้วไม่คิดจะทำอะไรหน่อยหรอ” ทำไมผมคิดว่าพ่อดูเสียงแข็งแปลก ๆ
   “ผู้ชายน่ะเวลาชอบใครสักคนเขาไม่ปล่อยเวลาทิ้งไว้แบบนี้หรอกนะ ยิ่งเป็นความรู้สึกที่เริ่มจากเพื่อนน่ะ ถ้าลูกปล่อยเวลาไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งเค้กเกิดมีแฟนขึ้นมาลูกจะทำอย่างไร หรือถ้าเกิดตอนนี้หนูเค้กรอให้ลูกไปสารภาพรักล่ะ และรอเรื่อย ๆ จนในที่สุดเลิกรอ ลูกจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะ ถ้าอยากจะเป็นแค่เพื่อนก็ตัดใจเสีย แต่ถ้าจะขอหนูเค้กมาเป็นลูกสะใภ้ให้พ่อ เอานี่ให้หนูเค้กสิ” ผมทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นจนแยกอารมณ์ไม่ถูก ลองคิดดูนะพ่อมาบอกให้ไปขอผู้ชายเป็นแฟนนี่ความกังวลที่ผมเคยมีมันหายไปเลย และกล่องของขวัญสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กประมาณนิ้วครึ่งคูณห้านิ้วพอดีมือ แถมเป็นแบบเปิดได้แบบง่ายเสียด้วย
   “สีมันอาจเก่าไปนิด แต่ก็เป็นของที่พ่อให้แม่วันขอคบเป็นแฟนน่ะ” คำอธิบายทำให้ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ที่กล่องสีน้ำตาลซีด ๆ มีโบว์ผ้าสีน้ำตาลเข้มเส้นเล็กพาด แต่ข้างในกลับว่างเปล่า
   “ตอนพ่อขอแม่เป็นแฟนพ่อใส่ความรักและคำสัญญา และพ่อไม่เคยผิดสัญญาเลยสักครั้ง ส่วนลูกจะใส่อะไรลงไปเพื่อขอหัวใจหนูเค้ก ก็แล้วแต่ลูก อย่าเอากล่องนี้กลับมาที่บ้านล่ะ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าบอกใครว่าเป็นลูกพ่อ” พ่อผมทำเพียงตบไหล่ผมเบา ๆ และเดินออกไป
   “ขอบคุณครับ” ผมหันไปบอกก่อนที่พ่อจะเปิดประตูออกไป ทำไมไม่รู้ผมคิดถึงของสิ่งหนึ่งที่จะใส่ลงไปให้เค้กได้แล้วล่ะ จบงานนี้จะขอบคุณพี่สาวแสนแสบของผมเลยล่ะ ต้องไปพูดให้พ่อฟังมากขนาดไหนพ่อถึงมาพูดกับผม หลังจากนั้นผมก็ไม่ทำอะไร รีบล้มตัวลงนอนทันที เพราะพรุ่งนี้ผมมีนัดกับเค้กที่บ้านของผม เตาอบที่พี่สาวผมใช้ย่างหมูจะได้ทำขนมแล้ว หลังจากห่างไปนาน
   
   เช้านี้เป็นเช้าที่สดใสมากครับ เพราะคนที่เดินข้าง ๆ ผมดูน่ารักกว่าทุกวัน เค้กในชุดเสื้อยืดลายโดราเอม่อนสีฟ้า กางเกงขาสามส่วนสีครีมกับผ้าใบสีขาว สะพายกระเป๋าเป้สีเหลือง ดูน่ารักมากเลยนะครับ อาจเพราะผมชอบเค้กไม่ว่าเค้กจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด ผมบอกให้เค้กใส่ร้องเท้าแตะแบบผมเจ้าตัวก็ไม่ยอมบอกว่าเดินไกลใส่ผ้าใบดีกว่า ผมก็ตามใจเขา ตอนนี้เรากำลังเดินลงจากสะพานลอยเพื่อไปบ้านผมครับ ผมเดินออกมารับเค้กตั้งแต่แปดโมงเช้า และเพราะบ้านผมห่างจากหน้าปากทางแค่ร้อยเมตรทำให้การเดินไปหาเค้กที่บ้านอยู่ติดถนนเป็นเรื่องง่าย ส่วนถัดจากบ้านผมไปอีกห้าสิบเมตรเป็นบ้านของไอซ์ครับ
   “วันนี้พี่ไนซ์ไม่อยู่หรอ” พอเข้าบ้านมาได้เค้กก็ถามถึงพี่สาวของผมเลย สองคนนี้เขาสนิทกันครับอยู่ด้วยกันแล้วผมกลายเป็นคนใช้ไปเลย เพราะต่อหน้าเค้กพี่ไนซ์จะโขกสับผมอย่างไรก็ได้เพราะเธอรู้ว่าผมต้องยอมทำแบบไม่ปริปากบ่น
   “พี่ไนซ์มีทำโปรเจคท์กับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยน่ะ ส่วนพ่อกับแม่ออกไปข้างนอกอีกพักคงมา” ผมให้เค้กนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะขึ้นไปเอาแผ่นกระดาษที่ร่าง ๆ ไว้ลงไปให้เค้กดู
   “ขอบคุณครับป้าจันทร์” ผมเอ่ยขอบคุณป้าแม่บ้านก่อนจะค้อมตัวเดินผ่านแกเข้าห้องนั่งเล่นก็เห็นของว่างกับน้ำผลไม้รสโปรดของเค้กวางอยู่ ป้าจันทร์เป็นแม่บ้านที่เก่งมาก ๆ และแกจะจดจำของชอบของทุกคนในบ้านได้หมดเลย แม้แต่เพื่อนของผมป้าแกก็จำได้ว่าใครชอบอะไร
   “ไม่ได้มาบ้านนัทนานเลย ป้าจันทร์ก็ยังจำได้ว่าเค้กชอบอะไร” เค้กหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะยกแก้วน้ำผลไม้ดื่ม ผมเลือกนั่งข้าง ๆ เค้กเพราะปกติผมก็นั่งข้างเค้กอยู่แล้ว แต่พอมานั่งในบ้านผมแบบนี้รู้สึกเกร็งอย่างไรก็ไม่รู้ อาจเพราะเราอยู่กันสองต่อสอง และผมคิดไม่ซื่อกับเขา
   “ใครจะลืมล่ะ นี่นัทลองวาดดูเมื่อเช้าเรื่องขนมของเรา” ผมส่งกระดาษที่ขีด ๆ เขียน ๆ เมื่อตอนเช้าให้เค้กดู วันนี้ตื่นเต้นมากเลยตื่นตอนหกโมงเช้ามีเวลาเหลือเยอะน่ะครับ เลยวาดรูปกับลงสีได้อีกนิดหน่อย เป็นขนมชิ้นแรกที่ผมอยากช่วยเค้กทำออกมาให้ดี แม้ผมจะเกลียดของหวาน ไม่ชอบกินขนม แต่ถ้ามีเค้กอยู่ให้ทำสิ่งที่เกลียดกับเค้กผมทำได้นะ อีกอย่างเค้กรู้ว่าผมไม่ชอบอะไรหวาน ๆ ทำให้ผมกินได้แต่ขนมของเค้กด้วยนั่นแหละ
   “ใจตรงกันเลย เค้กก็อยากได้ขนมรูปร่างแบบนี้ เค้กวาดทั้งคืนเลย” เค้กหันไปหยิบกระดาษในกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาแล้วผมก็ต้องตกใจเหมือนกันครับ เหมือนกันมากจริง ๆ แม้แต่สีที่อยากได้ก็เหมือนกัน
   “แต่นัทไม่รู้จะใช้ส่วนผสมอะไรเลย” เพราะผมพอวาดรูปได้ แต่ไม่เก่งเรื่องเข้าครัวดังนั้นผมจึงเลือกที่จะปรึกษาเค้กเรื่องส่วนผสมและวัตถุดิบ
   “ใจตรงกันแบบนี้เค้กว่านวดแป้งกันดีกว่า เพราะนัทจะได้ทำด้วยกันและจะได้ประกอบง่าย ใส่น้ำตาล เนย ผงอบเชยเล็กน้อย เป็นตัวให้รสชาติและกลิ่นในเนื้อแป้งน่าจะได้รสชาติไม่เลี่ยนไป อบให้คล้ายบิตกิตมันจะได้ดูแข็งและกรอบหน่อย ๆ และก็ทาด้วยช็อคโกแลตผสมเจลาตินแต่งสีบาง ๆ ส่วนตรงเส้น ๆ ก็ผสมช็อคโกแลตเข้าไปจะได้เข้มกว่าตัวแป้ง ด้านในเค้กว่าทำเป็นเหมือนมูสน่าจะอร่อยแต่โอกาสละลายก็น่าจะมี ทำเป็นครีมก็ดูเลี่ยน อย่างนั้นเราใส่เป็นเค้กที่เหมือนคุ้กกี้เนอะ แบบคุ้กกี้ขิง” ผมได้แต่มองสีหน้าและริฝีปากแดง ๆ ที่พูดอย่างมีความสุขนิ่ง ๆ เวลาเค้กพูดเรื่องขนมจะดูตั้งใจและมีสเน่ห์มาก ๆ ผมคิดว่าที่ผมชอบเค้กก็น่าจะเป็นเพราะความตั้งใจและสีหน้าเวลาพูดถึงขนมแบบนี้
   “และก็ทำให้หวานน้อย ๆ แต่กินโดด ๆ แล้วไม่จืดจนเกินไป นัทจะได้กินได้” อ่า ผมเขินนะนี่เพราะเค้กคิดถึงผมด้วย
   “อย่างนั้นก็ได้ เราจะลองทำเลยไหม” ที่ถามเพราะผมจะได้ดูส่วนผสมและโทรศัพท์หาพ่อกับแม่ที่ยังอยู่ข้างนอกน่ะ
   “ลองเลยสิ ป่ะคิดถึงครัวของนัทจะแย่แล้ว”
   “ไม่คิดถึงนัทหรอ” กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรผมก็ห้ามปากตัวเองไม่ทันเสียแล้ว แถมพอเค้กพูดไม่ทันจบดีผมก็พูดขึ้นมาเลยด้วยนี่สิ
   “คิดถึงสิ” เสียงที่พูดเบามาก ๆ แต่ผมได้ยินเต็มสองหูกับหัวใจอีกหนึ่งดวงเลยนะ เค้กเดินเข้าห้องครัวไปแล้วคงจะเขินเพราะผมเห็นหูเค้กที่แดง ๆ ก่อนเจ้าตัวจะรีบเดินไป
   นับว่าเป็นเรื่องดีที่สิ่งที่เค้กต้องการมีอยู่ในบ้านของผมทำให้ไม่ต้องโทรศัพท์ไปหาพ่อกับแม่ที่อยู่ข้างนอก เราลองทำกันเรื่อย ๆ ยิ่งตอนนวดแป้งนั้นผมเห็นหูเค้กแดงตลอดเลย ส่วนผมก็รู้สึกตื่นเต้นจนมือเย็นมือชื้นไปเลยล่ะครับ ลองคิดว่าได้นวดแป้งทำอะไรกับคนที่ชอบนั้นมีความสุขแค่ไหน แต่ผมกับเค้กนวดแป้งก้อนเดียวกันนั้นมันสุขจ้นล้นเลยครับ เพราะปกติผมจะเป็นฝ่ายรอกิน เวลาเค้กมาทำขนมที่บ้านผมจะมีพี่ไนซ์ที่ทำขนมด้วยกันกับเค้กเท่านั้น พอแป้งได้ที่เค้กก็เอาใส่พิมพ์ที่เข้าเตาอบได้จัดเป็นทรงที่เราต้องการและก็นำไปอบ ผมกับเค้กทดลองทำกันเยอะมากจนเรียกได้ว่าป้าจันทร์ต้องเอาถุงขยะมาให้ใส่ต่างหาก เพราะชิ้นแรกไฟแรงเกินไป อบนานเกินมันเลยแข็งและไหม้ ชิ้นที่สองนี่เรียกได้ว่าเกรียมเลย
   “เด็ก ๆ กินข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยทำต่อนะคะ” แม่ผมกลับมาในตอนเที่ยงพร้อมของกินเต็มเลย น่าเสียดายที่พี่สาวผมไม่อยู่ ถ้าพี่ไนซ์รู้ว่ามีของกินเยอะแบบนี้ต้องเสียดายแน่ ๆ
   พ่อกับแม่ก็คุยกับเค้กเรื่องทั่วไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะปล่อยให้ผมกับเค้กกลับไปทดลองทำขนมต่อ ผมจดข้อความลงสมุดตามที่เค้กบอกตลอด เราทิ้งขนมเยอะมาก มีบางชิ้นกินได้แต่ไม่อร่อยพอเราจะเก็บไว้กินกับช็อคโกแลตร้อน เค้กบอกว่ามันเข้ากับเครื่องดื่มอย่างช็อคโกแลตร้อนที่ผมชอบ กว่าเราจะได้ก็ใช้เวลาพอสมควร ขนมรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกล่องที่พ่อให้ผมมา แต่เราไม่ได้ทำฝาปิดทั้งหมดเปิดไว้สามส่วนสี่ของพื้นที่กล่อง ด้านในเรารองด้วยเนื้อเค้กฟองน้ำรสส้มที่เค้กเพิ่งคิดได้ตอนหลังว่าถ้ามีน่าจะดี ราดด้วยแยมส้มเล็กน้อยจากนั้นวางชิ้นเค้กชิ้นเล็ก ๆ สามชิ้นที่อบให้ได้สัมผัสเหมือนคุ้กกี้ ตกแต่งแต่ละชิ้นด้วยน้ำตาลเคลือบราดเป็นเส้น ๆ และก็ตกแต่งเล็กน้อยเป็นอันเสร็จ
   “นัทลองชิมนะ” ผมที่ปิดสมุดจดบันทึกข้อมูลของขนมวันนี้หันไปมองเค้กที่ยื่นขนมที่พวกเราทำกันตั้งแต่เช้าจนตอนนี้จะสี่โมงเย็นแล้ว ขนมที่ผมบอกว่าหน้าตาเหมือนกล่องที่คุณพ่อให้นั้นถูกย่อขนาดลงมานะครับจะได้กินได้แบบพอดีคำหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็สักสองสามคำ
   “อร่อยมากเลยเค้ก อร่อยมาก ๆ” รสขมของช็อคโกแลตไปได้ดีกับความหวานอมเปรี้ยวของเนื้อเค้กฟองน้ำและแยมของรสส้ม ยิ่งตัวแป้งด้านนอกมีกลิ่นอบเชยเล็ก ๆ มันทำให้ทุกอย่างดูแตกต่างแต่ลงตัว ขนมแค่ลองทำแล้วดูรสชาติที่ว่าอร่อยหรือยัง พลิกแพลงจากสูตรเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็ได้อะไรที่แปลกใหม่แม้รสชาติของเนื้อเค้กจะไม่ได้ต่างจากที่อื่นนัก แต่พอกินรวมกันแล้วมันอร่อยมากนะครับ
   “ดีจังที่นัทชอบ แล้วจะคิดชื่อว่าอะไรดี” ผมเองก็ยังคิดไม่ออกเลย กำหนดทำส่งครูคืออีกสองสัปดาห์แต่เราทำสำเร็จได้ในหนึ่งวัน น่าจะพอมีเวลาให้พวกเราได้คิด
   “ยังคิดไม่ออก ตอนนี้สูตรก็จดครบแล้ว วิธีทำก็จดครบแล้ว เดี๋ยวนัททำรายละเอียดเอง เดี๋ยววันจันทร์เอาไปให้ดูนะ” ผมไม่เคยทำการบ้านอะไรได้เสร็จไวขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ หรือเพราะผมตั้งใจทำมันก็เลยออกมาดูเร็วกันนะ
   “ตามนั้นก็ได้ สี่ชิ้นนี้เอาไว้ที่บ้านนัทนะ สามชิ้นนี้ของไอซ์ ตี้ และก็เต้ อีกชิ้นให้น้ำฝน ที่เหลือเอาไปแจก กับส่งครูวันจันทร์” เค้กจัดการขนมทั้งหลายเสร็จก็หันมาส่งยิ้มให้ผม ผมก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
   “กลิ่นอะไรทำไมหอม โห ขนม !” เสียงพี่สาวของผมที่กลับบ้านมาก็เสียงดังมาถึงห้องครัว ไม่ขออนุญาติอะไรพี่ไนซ์ก็หยิบขนมใส่ปากเคี้ยวและกลืนอย่างรวดเร็ว
   “อร่อยอะ อร่อยมาก ๆ ชอบ จอง !” บางทีผู้หญิงที่ชอบบ่นว่าอ้วนทุกวันก็ชอบกินขนมหวาน และก็วนเป็นวัฏจักรไปมาไม่รู้เบื่อ พี่สาวผมก็นะบ่นอ้วนแต่กินของที่ทำให้อ้วนได้ตลอด
   “พี่ไนซ์ชอบ เค้กก็ดีใจ ไว้รอเค้กกับนัททำใหม่นะจะได้กินเยอะ ๆ” เค้กก็เอาใจพี่ไนซ์ตลอดนั่นแหละ ผมลืมบอกใช่ไหมว่าพี่ไนซ์ชอบขอให้เค้กทำขนมให้กิน และคำติชมของพี่ไนซ์นั้นเป็นประโยชน์เอามาก ๆ ทำให้เค้กพัฒนาฝีมือได้เยอะเลยล่ะ ส่วนของผมนั้นเค้กจะพยายามลดความหวานให้มากกว่าดังนั้นเอาผมเป็นเกณฑ์ไม่ได้หรอก เพราะผมไม่กินขนมและของหวาน
   “ว่าแต่เจ้านี่เรียกว่าอะไรอะ” พอพี่แกกินชิ้นที่สองในส่วนของผมไปก็เอ่ยปากถาม ปกติเขาต้องถามก่อนกินไม่ใช่หรือ ?
   “ยังคิดไม่ออก พี่ไนซ์ออกไปนั่งรอข้างนอกไปนัทจะเก็บของ” พอเห็นผมแทนตัวเองด้วยชื่อทีไรพี่ไนซ์ชอบมองผมด้วยสายตาโรคจิตทุกทีเลย
   “อย่างนั้นนัทเก็บล้างและทิ้งขยะได้ไหม พี่ว่าตอนนี้ป้าจันทร์คงเหนื่อยแล้ว” อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด และผมจะทำอะไรได้ล่ะตอนนี้เค้กอยู่ก็ต้องพยักหน้ารับและก็ก้มเก็บของกับล้างอุปกรณ์จานชามต่าง ๆ ไปด้วย พออกมาจากห้องครัวก็เจอแม่ที่เร่งให้ผมพาเค้กไปส่งที่บ้านทันที
   “รีบไปส่งหนูเค้กได้แล้วลูก จะมืดแล้ว” แม่ของผมรีบดันตัวเค้กไปหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว ผมแปลกใจนะปกติอยากให้เค้กอยู่กินข้าวเย็นจะตาย แต่หันไปมองพ่อแล้วพ่อทำท่าเหมือนแม่มีอะไรสักอย่างผมก็เลยพยักหน้ารับและเดินออกไปส่งเค้ก
   “วันนี้สนุกมากเลยนะ ไม่ได้มาบ้านนัทตั้งนานเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย ขนมที่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ชิมก็บอกว่าอร่อยด้วยล่ะ” เค้กพูดอย่างอารมณ์ดี ผมชอบเวลาเค้กพูดแล้วยิ้ม มีความสุขไปกับสิ่งที่ทำมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีดวงอาทิตย์โคจรรอบตัวผมตลอดเวลา
   “นัทก็สนุกเหมือนกัน” หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผมรู้สึกว่าเค้กดูคิดอะไรอยู่ ไม่รู้จะคิดเกี่ยวกับผมหรือเปล่านะ เราเดินกันไปเงียบ ๆ จนถึงหน้าบ้านของเค้กนั่นแหละ แต่ผมก็ยังไม่เดินไปไหน เพราะเค้กดูประหม่าเล็ก ๆ ไม่เดินเข้าบ้านและไม่พูดอะไร ผมรอจนริมฝีปากที่เม้มแน่นคลายตัวออกในที่สุดเค้กก็พูดออกมา
   “ฝันดีนะ แล้วเจอกัน” ผมเห็นสีแก้มของเค้กแดงระเรื่อขึ้นมาด้วย ผมได้ยินแบบนี้ก็เขินเหมือนกันแฮะ
   “อื้ม ฝันดีนะ ไว้เจอกัน” พวกเราไม่ได้พูดประโยคนี้มานานมากแล้ว แม้ลูกค้าที่เดินออกมาจากร้านของเค้กจะมองพวกเราแปลก ๆ ที่บอกฝันดีกันทั้งที่เพิ่งห้าโมงเย็น แต่ผมก็ไม่สนใจโบกมือลาเค้กที่เดินเข้าบ้านไปผมก็เดินกลับบ้านทันที วันนี้มีความสุขสุด ๆ ไปเลยล่ะ

   “นี่อยู่เฉย ๆ ได้ไหม ทำหน้าให้มันสดชื่นหน่อย !” พี่สาวที่แทบจะกระชากหัวผมผมอยู่แล้วพูดขึ้นพลางแต่งทรงผมให้ผมใหม่ ส่วนแม่ก็จับผมเปลี่ยนชุดไปมาจนผมเริ่มตาลายข้าวก็ยังไม่ได้กิน ผมถูกปลุกตอนตีห้าในวันอาทิตย์ และผมเพิ่งทำรายละเอียดขนมที่เพิ่งทำกับเค้กไปเมื่อวานเสร็จตอนห้าทุ่ม !
   “ลูกต้องรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เวลาหนูเค้กเห็นจะได้สดชื่น” นี่แหละที่ผมงง เพราะแม่กับพี่ไนซ์พูดประโยคนี้มาตั้งแต่ตีห้าจนตอนนี้หกโมงเช้าแล้ว และผมก็อยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตสีฟ้าปลดกระดุมสองเม็ดด้านบน พับแขนเสื้อขึ้นมาประมาณสองทบ กางเกงที่ใส่ก็เป็นกางเกงขาสั้นสมัยนิยมสีครีม โชคดีที่ผมห้ามแม่กับพี่สาวและรั้นจะเลือกรองเท้าเองทำให้สองคนหน้ามุ่ยนิดหน่อย แต่ก็โดนพาลงมาข้างล่างก็เจอกับพอที่ยืนรอหน้าประตูบ้าน
   “ใส่ผ้าใบสีนี้ดูเข้ากันหน่อย” พ่อผมเลือกรองเท้าผ้าใบสีกรมท่าให้ผม วันนี้วันอะไรนะทำไมทุกคนดูตื่นเต้นกันแปลก ๆ
   “ของสำคัญห้ามลืมเด็ดขาด” แม่ยืนกล่องของขวัญที่พ่อมอบให้ผมไปเมื่อวันก่อนออกมาทำให้ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ นี่ทุกคนคงจะไม่ให้ผมไปสารภาพรักกับเค้กทั้งที่ผมเพิ่งยอมรับกับพ่อไปว่าชอบเค้กเมื่อวันศุกร์ ทำขนมด้วยกันวันเสาร์ และขอเป็นแฟนวันนี้หรอกนะ !
   “ไม่ได้หนูเค้กเป็นแฟนข้าวเช้าอด และพวกเราก็คงเป็นโรคกระเพาะ” พี่ไนซ์พูดกอดอกสั่งผม
   “พ่อให้เวลาถึงแปดโมงไม่ได้หนูเค้กเป็นแฟนไม่เปิดประตูบ้านให้” พ่อผมก็เป็นไปกับแม่และก็พี่ไนซ์ด้วยหรือนี่
   “แม่บอกป้าจันทร์แล้วว่าห้ามเปิดประตุให้ลูกทุกกรณีนะคะ” นี่ผมยังไม่พร้อมเลยนะ ขอทำใจสักวันสองวันไม่ได้หรอ
   “สู้ ๆ รีบพาสะใภ้เข้าบ้านเกษมสมุทรให้ได้ภายในสองชั่วโมง !” เสียงแม่กับพี่ยังคงหลอกหลอนกับผม นี่ต้องเป็นเพราะเมื่อคืนพี่ไนซ์เข้ามาในห้องและเห็นว่าผมใส่อะไรในกล่องของขวัญแน่ ๆ เลยไปบอกพ่อกับแม่ ผลเลยเป็นผมที่เดินข้ามสะพานลอยมาจนถึงหน้าบ้านของเค้ก เมื่อวานขากลับผมได้ของใส่ในกล่องมาแล้วครับ พ่อนะพ่อจะให้ผมทำใจหน่อยก็ไม่ได้
   “อรุณสวัสดิ์นัท มีอะไรหรอ” ผมเองก็ตกใจที่เค้กอยุ่ในชุดเสื้อยืดสีเหลืองกางเกงยันส์สีขาวรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลอ่อน นี่อย่าบอกนะว่าแม่ก็จัดการเตรียมกับครอบครัวเค้กไว้ด้วยน่ะ
   “อรุณสวัสดิ์ เอ่อ” พูดออกไปสิ นี่ผมทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นเลยนะ ทำไมการจะมีแฟนคนแรกมันถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ และเค้กก็เป็นผู้รอที่ดีไม่เร่งรัด ผมสังเกตว่าเค้กดูประหม่าและเกร็งแปลก ๆ มือขาว ๆ กำกันแน่นเลยล่ะ
   “นัทชอบเค้ก ชอบมานานแล้ว อาจจะรักด้วยซ้ำ ไม่สินัทรักเค้ก รักมานานแล้ว เค้กจะตกลงคบกับนัทเป็นแฟนได้ไหม” ผมพูดพร้อมยื่นกล่องของขวัญที่เตรียมมาไปให้คนตรงหน้า เค้กยื่นมือออกมาช้ามาก จนผมจินตนาการว่าเค้กคงปัดกล่องร่วงและปิดประตูบ้านกระแทกหน้าผม
   “คบสิ” อะไรนะ ! บอกที่ว่าผมหูฝาด ตาฝาด นอกจากเค้กจะไม่ปัดกล่องของขวัญทิ้งแล้วยังหยิบไปเปิดดูอีกต่างหาก
   “เค้กว่าอะไรนะ พูดอีกทีได้ไหม” ผมย้ำ ขอความมั่นใจชัด ๆ เลย
   “เค้กก็แอบรักนัทมานานแล้ว ตกลงคบกับนัทเป็นแฟน” ตอนนี้ผมไม่อายอะไรทั้งนั้นกระโดดดีใจศอกแขนเข้าตัวจนเค้กขำ ผมทั้งเครียดทั้งกังวลแต่ดูสิมันง่ายขนาดนี้เลยหรือ ถ้าง่ายแบบนี้ขอคบไปนานแล้ว ปรึกษาพ่อไปนานแล้ว
   “ทำไมให้ดินสอกดล่ะ มีไส้ดินสอด้วย” ผมคิดไว้แล้วว่าเค้กต้องถาม
   “เค้กชอบใช้ดินสอจดสูตรขนมใช่ไหมล่ะ และถ้าเป็นดินสอไม้มันก็จะต้องเหลาไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นดินสอกดพอไส้นี่หมดก็เติมไส้ใหม่ อ่า ไส้ดินสอก็เหมือนความรักของเราไง เติมเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น” พูดเองก็เขิน ตอนที่สายตาหันไปเห็นร้านเครื่องเขียนก็เลยเดินเข้าไปดูและก็ได้ความคิดนี้เข้ามาในหัว ก็เลยเลือกเป็นดินสอกดกับไส้ดินสอ
   “ขอบคุณนะจะเก็บรักษาอย่างดีเลย” ผมเคยดูในละครหรือในการ์ตูนเวลาฉากพระเอกสารภาพรักกับนางเอกต้องมีกอดหรือจูบกันไม่ใช่หรือ แต่ทำไมของผมแค่มองและยิ้มให้กันก็ดูมีความสุขแล้วล่ะ ไม่เห็นต้องกอดหรือจูบเลย
   “ไปกินข้าวเช้าที่บ้านนัทได้ไหม พ่อกับแม่บอกว่าถ้าไม่ได้ลูกสะใภ้กลับไปฝากจะไม่ให้เข้าบ้านน่ะ” ผมได้ยินเสียงพวกพี่ ๆ กับคุณพ่อคุณแม่เค้กตะโกนว่าให้ไป ๆ กันสักที จะเปิดร้านออกมาด้วย แถมยังได้ยินแว่ว ๆ ว่าวีดีโอตอนสารภาพรักจะเอาไว้ล้อในงานวันเกิดอีกต่างหาก
   “ไปสิ” เค้กตอบแค่นั้นก่อนจะขอตัวเอาของขวัญผมเข้าไปเก็บ และพวกเราก็เดินมาที่บ้านของผมโดยไม่ได้พูดอะไรกันนอกจากมือที่จับมาด้วยกันตลอดทาง
   “แม่เปิดประตูให้นัทหน่อย” ผมเคาะประตูเรียกแม่ที่อยู่ข้างใน ปกติผมจะแทนตัวเองว่า ผม นะแต่เค้กอยู่แทนด้วยชื่อก็น่ารักดีจะตาย
   “มีสะใภ้มาหรือเปล่า” เสียงที่ถูกดัดส่งถามออกมาเหมือนเราเล่นอะไรกับเพื่อนและมีเพื่อนมาเคาะประตูเราก็จะถามว่า “มีอะไร มาทำไม มาหาใคร” ด้วยเสียงยาน ๆ น่ะ
   “มีครับ อยู่ข้าง ๆ นัท” ผมก็โตนตอบกลับไป และเหมือนคนด้านในจะเล่นไม่เลิกด้วยเพราะถัดมาเป็นเสียงของพ่อนี่สิ
   “ขอเสียงสะใภ้หน่อย” ผมถอนหายใจหันไปมองเค้กที่ยืนหน้าแดงลามไปถึงหูถึงคอ เค้กคงเขินและอายมากแน่ ๆ
   “เค้กก็มาครับคุณพ่อ” พอเค้กตอบกลับไปประตูบ้านก็เปิดพร้อมเสียงพลุฉลองที่เรามักใช้ในงานฉลองแบบดึงตูดมันก็จะมีสายรุ้งออกมา
   “ยินดีตอนรับคู่บ่าวสาว” ทุกคนพูดพร้อมกัน ผมยังรู้สึกเขิน ๆ อาย ๆ เค้กไม่ต้องพูดถึงจับมือผมแน่นเลยแถมก้มหน้าอีกต่างหาก
   “รักกันนาน ๆ นะลูกแม่ก็ลุ้นมาตั้งนาน พากันไปในทางที่ดีนะคะ”
   “ต้องให้พ่อออกหน้าไม่อย่างนั้นลูกชายพ่อคงขอหนูเค้กเป็นแฟนตอนแก่พอดี” คำอวยพรของพ่อนี่ไม่เหมือนของแม่เลยแฮะ แต่ก็จริงนะไม่ได้พ่อนี่ผมคงไม่กล้าขอเค้กเป็นแฟนหรอก
   “เป็นสะใภ้แล้วทำขนมให้พี่กินเยอะ ๆ นะ ขอฟรีด้วย” พี่ไนซ์ทำให้แฟนหมาด ๆ ของผมหัวเราะได้ด้วยเก่งจริง ๆ วันนี้พวกเราก็มีแต่เสียงหัวเราะและหยอกล้อเต็มไปหมดในมือเช้าตอนแปดโมงกว่า ๆ กว่าจะอวยพรกันจบ ผมว่าเป็นความสุขมหาศาลมาก ๆ สำหรับผมที่ไม่กล้าบอกความรู้สึกกับเค้ก พอพ่อรู้ทุกอย่างก็ดูง่ายในสามวันไปเลย

   “หาเสร็จแล้ว ! เป็นแฟนกันแล้วด้วย !” เสียงเพื่อนทั้งสามของผมและอีกสองของเพื่อนเค้กพูดขึ้นในตอนเช้าของวันจันทร์ในห้องคหกรรมหลังจากเก็บอุปกรณ์เข้าตู้เสร็จเรียบร้อย ผมทำได้แค่ปิดหูส่วนเค้กก็พยักหน้ารับอย่างอาย ๆ
   “ไม่อยากจะเชื่อนายณัฐกรณ์ทำการบ้านที่ต้องส่งอีกสองอาทิตย์เสร็จแล้วแถมทำตัวกระดาษส่งครูเองด้วย คุณพระ” ไอซ์ที่ดูจะตกใจและทำหน้าไม่เชื่อมากที่สุด ส่วนเต้มันก็คาดโทษใส่ผมที่ไม่คิดว่าผมจะชอบเค้กและตัดหน้าได้เค้กเป็นแฟนทั้งที่มันจีบมาเป็นปี
   “ไม่ปอดแหกแล้วนะเพื่อนดีใจด้วยจริง ๆ เค้กด้วยนะ ยินดีด้วย” ทุกคนดูยินดูกับผม ขนาดน้ำฝนที่ดูไม่ชอบผมยังยิ้มบาง ๆ มาให้ ก็ดีนะครับ เป็นแฟนกับคนที่แอบชอบมาตั้งนาน ผมไม่มีวันเลิกกับเค้กหรอก วันใดที่ความรักพวกเราเจือจาง ผมจะทำให้มันเข้มข้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สัญญาเลย
   หลังจากนั้นสองอาทิตย์ก็เป็นวันส่งรายงานขนมชิ้นนี้ และก็เป็นช่วงนิทรรศกาลขนมของโรงเรียนพอดี ขนมของพวกผมตั้งชื่อว่า Ouler แปลว่า คู่ เพราะหลังจากทำขนมเสร็จพวกเราก็ได้เป็นแฟนกัน Ou เสียงสองในภาษาจีนแปลว่าคู่ ส่วน ler ผมเอาตัว r มาจาก Our มาใส่กับ le ที่เป็นคำลงท้ายเพื่อความไพเราะของภาษาจีนเลยได้เป็น Ouler โอ๋วเลอ เพราะขนมชิ้นนี้เป็นกล่องของความรักที่ผมกับเค้กตั้งใจใส่ลงไป พวกเราไม่ได้ห้าคะแนนพิเศษเพราะครูบอกว่ามันใหม่ไม่พอ ความหมายดี รสชาติดี แต่มันยังไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ขนาดที่ต้องพุ่งตัวเข้ามาหยิบทันที ทำให้ของเพื่อนอีกคู่ที่ทำขนมปังหุ้มด้วยน้ำตาลสลักเป็นรูปนกได้ไปโชว์ในนิทรรศกาลแทน ส่วนขนมของผมก็แค่แจกบรรดาเพื่อนและคนในโรงเรียนแทน ก็อย่างที่บอกเราทำด้วยความรัก เราทำด้วยใจ ต่อให้ไม่ได้อะไรยิ่งใหญ่ แต่พวกเราก็มีความสุขที่ได้ทำก็พอ
   ขนมทำให้ผมได้คบกับเค้ก และขนมเป็นสิ่งที่เค้กชอบ ขนมก็คงเป็นเหมือนสายใยความรักของผมและเค้ก แน่นอนว่าตราบใดที่เค้กยังทำขนมให้ผมกินได้เรื่อย ๆ ความรักของพวกเราก็จะยังคงไปเรื่อย ๆ ไม่หวือหวาแบบนี้ต่อไป อ้อ ผมยังคงเกลียดของหวานทุกชนิดบนโลก แต่กินได้เฉพาะที่เค้กทำนะครับ
   “นัทกินอันนี้ เค้กลองแช่เย็นแล้วมันอร่อย”
   “กินแล้วนะครับ”

-------------------------------------------------------------The End-------------------------------------------------------------

หวังว่าทุกท่านจะชอบกับเรื่องสั้นเรื่องแรกของรวมเรื่องสั้นชุด High School Lover รักวุ่น ก๊วนวัยเรียน นะครับ ในเรื่องต่อ ๆ ไป ก็จะคุมช่วงอายุไว้ในช่วงวัยมัธยมปลายแบบนี้ครับ เรท PG 13+ ที่อ่านได้ทุกวัย จั๊กจี้หัวใจ และเขินอย่างแน่นอนครับ

ขอให้สนุกกับการอ่าน และเจอกัยเรื่องสั้นเรื่องหน้านะครับ

BloodyBambooSword

********ขอความกรุณาไม่แก้ไข ทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตทุกกรณีนะครับ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
หวานใจนายข้าวผัด

เขียนโดย BloodyBambooSword
________________________________________

                  “กุยช่าย !”
                  “ข้าวผัด !”
                  “กุยช่าย !”
                  “ข้าวผัด !”
                  “กุยช่าย ๆ !”
                  “ข้าวผัด ๆ !”
                  เสียงของเด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม อีกคนตัวสูงใหญ่เหมือนนักกีฬากำลังถกเถียงกันหน้าทางแยกของร้านอาหารในเขตโรงเรียน โดยมีพยานการเถียงครั้งนี้เป็นหนึ่งสาวหนึ่งหนุ่มฝาแฝดมองตาไม่กระพริบ พลางคิดในใจว่า จะเรียกชื่ออีกฝ่ายกันอีกนานไหม พวกเขาก็หิวข้าวนะ !
                  “บอกว่าจะกินกุยช่าย !” เด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มไม่ยอมแพ้ เขย่งขาตะเบ็งเสียงใส่หน้า ทาหน้าตาหาเรื่องเต็มที่
                  “อย่าดื้อได้ไหม กินข้าวผัด” ไม่ว่าเปล่าเด็กหนุ่มตัวสูงกว่าก็ดันหลังเพื่อนตัวเล็กเข้าร้านอาหารตามสั่งไปทันที โดยมีสองแฝดศอกแขนตีเข่าใส่กันด้วยความดีใจ
                  “กุยช่าย” แม้จะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ กอดอกเชิดหน้าพูดสั่งอย่างถือดี จนแฝดสาวอยากตะโกนถามว่า                  เส้นเอ็นที่ยึดคอแข็งหรือ ? เชิดไม่ยอมก้มหน้าเลยสักนิด
                  “เอาข้าวผัดสองจานนะครับ สีสันกับสดใสกินอะไรดี” หันมาถามเพื่อนทั้งสองที่กาลังพลิกรายการอาหารไปมาจนกระดาษแทบขาด
                  “ข้าวผัด/ข้าวผัด !” สองเสียงประสานพร้อมกัน แต่ก็ได้รับเสียงแว๊ดใส่กลับมาจากคนที่กอดอกเชิดหน้าแทน
                  “อยู่กันแค่นี้จะตะโกนทำไม !”
                  “พวกฉันสั่งข้าวผัด ไม่ได้เรียกนายเสียหน่อย ไม่เชิดหน้าแล้วหรือ” สดใสเด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย แต่มีแววตาทะเล่นและขี้เล่นเป็นแฝดคนน้องของหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่ม สีสันหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับสดใสแต่เค้าโครงดูหวานกว่าและดวงตายังกลมโตแต่ดุดัน
                  “ก็ใครจะไปรู้” ข้าวผัดเด็กหนุ่มตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มพูดเสียงเบา ๆ คล้ายจะไม่อยากยอมรับว่าเสียงเหมือนชามกระเบื้องตกแตกเมื่อกี้เป็นของใบหน้าตัวเอง
                  “กุยช่ายไม่เบื่อบ้างหรือข้าวผัดน่ะ” สีสันถามเด็กหนุ่มตัวสูงที่นั่งเยื้องกับเธอที่ฝั่งตรงข้าม เพื่อนเธอนี่หน้าตาหล่อกว่าน้องแฝด แต่ดูแววตาอ่อนโยนและเป็นผู้ใหญ่ วันนี้ห้องเจ้าตัวมีเรียนพละทำให้อยู่ในชุดวอร์มของโรงเรียน ยิ่งขับบุคคลิคเหมือนนักกีฬาเข้าไปอีก
                  “เบื่อไหม ?” เด็กหนุ่มทวนคำถามเบา ๆ แต่สายตาก็จับสังเกตุปฏิกิริยาข้าวผัดที่นั่งข้าง ๆ ตัวเอง เห็นอีกฝ่ายกำมือแน่นก็อดจะอยากแกล้งไม่ได้ ที่สีสันถามคือข้าวผัดที่เพิ่งสั่งไป ไม่ใช่ข้าวผัดที่เป็นคนนั่งข้าง ๆ เสียหน่อย
                  “จะว่าเบื่อก็เบื่อนะ จะว่า”
                  “เออ เบื่อนี่ ทำอะไรก็เบื่อไปหมดนี่ !” พูดจบก็กระชากกระเป๋านักเรียนที่อยู่บนตักเพื่อนตัวสูงเดินออกจากร้านไปเลย ฟังไม่จบประโยคก็วิ่งออกจากร้านไปแล้ว สดใสหัวเราะคิกคักอยู่เบา ๆ ก็ใครใช้ให้วันนี้กุยช่ายไปกอดผู้หญิงรุ่นน้อง
ต่างห้องกันเล่า ไม่ใช่กอดธรรมดาด้วยนะ แนบสนิทแน่นมาก แถมได้ยินคำพูดแสลงใจว่า ‘รุ่นพี่คะ หนูชอบรุ่นพี่ค่ะ’ จึงเป็นเหตุให้เจ้าตัวเล็กนั่นอารมณ์ไม่ปกตินั่นเอง ปกติกุยช่ายอยากกินอะไรเคยขัดเสียที่ไหน จะว่าไปก็ขัดกันตลอดนั่นแหละ
                  “ฟังก็ไม่เคยจบ ถามจริงพวกนายสองคนคบกันยังนี่ ไม่ตามไปจะดีหรือ” สีสันเอาคางเกยฝ่ามือที่กุมไว้และใช้ศอกยันโต๊ะมองไปที่เพื่อนตัวสูง เธอไม่พลาดแน่ดูออกมาตั้งแต่เด็กแล้ว กุยช่ายน่ะรักเพื่อนชายตัวเล็กเธอแน่ ๆ !
                  “เหลวไหล กินข้าวเถอะ อีกจานห่อใส่กล่องด้วยนะครับ” ปัดมือปฏิเสธสีสันที่พยายามยัดเยียดเขากับข้าวผัดให้คบกันตั้งแต่มัธยมต้นปีหนึ่งจนตอนนี้มัธยมปลายปีสองแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่เลิกลา ใครใช้ให้เขาพลาดทำอะไรให้เจ้าตัวจับพิรุธได้เล่า !
                  “เป็นข้าวผัดนี่ดีจังนะ มีคนมาแอบชอบเยอะไม่พอ ใครบางคนก็มีของโปรดเป็นชื่อเจ้าตัว อย่างพี่โต๊ะนั้นก็สั่งแต่ข้าวผัดกันทั้งโต๊ะเลย” สดใสพูดอย่างขบขัน เวลาหยอกให้เสืออย่างกุยช่ายโกรธนี่ก็สนุกไปอีกแบบ รักเขาชอบเขาก็ไม่บอก ได้แต่กันท่าชาวบ้านเขาอยู่นั่นเมื่อไหร่จะได้สมหวังหนอ เลี้ยงดูมาตั้งแต่อนุบาลจนตอนนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่มีอะไรคืบหน้า อ้อ คืบหน้าสิ จูบราตรีสวัสดิ์เมื่อตอนไปตั้งแคมป์ที่กลางป่าเพื่อดูดาวเมื่อช่วงฤดูร้อนนั่นอย่างไรเล่า
                  “ดูเหมือนพี่เขาจะมองข้าวผัดในจานแล้วเคลิ้มแปลก ๆ ไม่รู้นะป่านนี้เจ้าของชื่อจะไปเดินเตร่อยู่ที่ไหน เลิกเรียนครึ่งวันแบบนี้ถ้าไม่เจอพี่ข้าวอบกับน้องข้าวทอด คงต้องเดินกลับบ้านพร้อมหนุ่มหน้ามนสักคนแน่ ๆ เลย” สดใสนำทางมาแล้ว เธอต้องสานต่อ ข้าวผัดเป็นลูกชายคนกลางของเพื่อนแม่เธอ และไม่รู้ว่าจีโนไทป์หรือนิวเคลียสเกิดการกลายพันธุ์พี่และน้องหล่อเหลาตัวสูง แต่เจ้าตัวกลับหวานสนิท เรียกได้ว่าน้องข้าวผัดเติมน้ำตาลทรายสิบช้อน !
                  “ใช่เด็กห้องเอคนนั้นไหม คนที่ใสแว่นตัวสูง ๆ ชอบเดินถือลูกฟุตบอลน่ะ วันก่อนก็ไปส่งข้าวผัดที่ห้องสมุดแถมยังอยู่เป็นเพื่อนด้วย กลับบ้านกันเย็นน่าดู เห็นว่าไปเที่ยวต่อด้วย ขนาดพวกเราขอไปด้วยยังไม่ยอม” ที่ไปห้องสมุดคือเรื่องจริง ที่เหลือสดใสเติมเองหมดเลย และก็ได้ผลเพราะกุยช่ายนั้นระบายอารมณ์ด้วยการตักข้าวใส่ปากแถมยังเคี้ยวข้าวด้วยหน้าตาอยากจะฆ่าใครสักคน สมน้ำหน้าวันนั้นอยากเลือกไปช่วยรุ่นพี่ชมรมนักข่าวโรงเรียนเอง
                  “ว่าแต่พวกเราจะไปไหนกันดี วันนี้ว่างยาว ถ้าไม่มีฉันจะกลับเล่นเกมต่อ” สีสันถามกุยช่าย เธอพอรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ไปหรอก เพราะต้องไปง้อเพื่อนตัวเล็กของเธอ ส่วนสดใสเป็นพวกอะไรก็ได้ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ดี
                  “ไปสิ อยากไปเดินเล่นอยู่พอดี” คำพูดจากเพื่อนตัวสูงทำให้สองพี่น้องฝาแฝดตาเหลือกมองหน้ากันอย่างเหมือนได้ยินอะไรผิดไป
                  “นายพูดว่าอะไรนะ ?” สดใสถามเสียงสั่น ตั้งแต่เกิดมาเล่นด้วยกันมา แค่ข้าวผัดพูดว่าไม่ เจ้าตัวยังลนลาน ข้าวผัดงอน เจ้าตัวก็รีบง้อ แต่นี่นอกจากไม่รีบไปง้อ กลับจะไปเที่ยว !
                  “ก็บอกว่าไปเที่ยวกัน เวลาว่างเหลือเยอะไปเดินเล่นตากแอร์เย็น ๆ ดีกว่าเยอะ” ตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ลิ้นไม่ได้รับรสชาติไปตั้งแต่ได้ยินเรื่องจากปากสองแฝดนี่แล้วล่ะ
                  “ก็ดี กินไอศกรีมกันเนอะ” สีสันและสดใสพูดขึ้นพร้อมกัน และก็ได้รับการพยักหน้าของกุยช่ายเป็นการตอบตกลง สองแฝดใช้เวลาจัดการข้าวที่เหลือภายในห้านาทีก่อนจะจ่ายเงินและเดินไปห้างใกล้ ๆ อีกสามซอย
                  ตลอดทางเดินสดใสและสีสันยังคงปั้นเรื่องต่อไปเรื่อย ๆ และเหมือนโชคชะตาเข้าข้างพวกเธอนิดหน่อยเพราะรถประจำทางที่ผ่านพวกเธอไปนั้นมีเพื่อนตัวเล็กที่นั่งริมหน้าต่างหน้าบูดกลับบ้านไปแล้ว และกุยช่ายไม่เห็นนั่นถือว่าก็ดีเพราะว่าเธอยังไม่อยากเห็นใครตายตอนนี้ อารมณ์หึงหวงของคนน่ะน่ากลัวรู้ไหม คนที่มีเหตุผลก็โชคดีไป แต่ถ้าใช้อารมณ์ก็เหนื่อยใจ กุยช่ายคือประเภทหลัง ตอนมัธยมต้นปีสามกุยช่ายมีเรื่องกับรุ่นพี่ในโรงเรียนจนเข้าห้องปกครองเพราะรุ่นพี่คนนั้นพยายามยัดเยียดช่อดอกไม้ให้ข้าวผัดและแตะตัวข้าวผัดไปนิดหน่อย
                  “เย็นจังเลย นี่ไปกินไอศกรีมกันก่อนนะ แล้วค่อยเดินเล่น” สดใสพูดจบก็เดินนำหน้าอีกสองคนไปเลยยังไม่ลืมขยิบตาให้พี่สาวฝาแฝดไปอย่างรู้กัน หน้าที่พ่อสื่อแม่สื่อน่ะแค่พวกเขาสองคนก็เกินพอแล้ว จะยุให้สมหวังหรือแตกหักก็อีกเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง
                  “จะว่าไปเมื่อคืนข้าวผัดบอกว่าอยากกินชีสเค้ก” เธอพูดบ่นงึมงำ อยู่คนเดียวแต่ระดับเสียงเธอมั่นใจว่าคนที่เธอตั้งใจให้ได้ยินต้องได้ยินอย่างแน่นอน เค้กที่ไหนมี ข้าวผัดกำลังลดความอ้วนอยู่ หรือเปล่านะ ?
                  เป็นดั่งที่สีสันคาดเอาไว้ว่าเพื่อนตัวสูงของเธอจะต้องเผลอสั่งไอศกรีมรสโปรดของข้าวผัด และสั่งมาสองถ้วยอีกต่างหาก อย่างนี้แหละหนาคนมีความรักมักจะทำอะไรที่เคยทำเป็นประจำเสมอ เวลาไปไหนหนูข้าวผัดไม่ต้องทำอะไรหรอกนะพี่กุยช่ายทำให้หมดเลยสั่งอาหาร สั่งของหวาน ถือของซื้อของ ทุกอย่างแค่หนูข้าวผัดมองมันแล้วมีแววตาอยากได้จะมาอยู่ในมือพี่กุยช่ายสุดหล่อเสมอเลย
                  “สั่งมาทำไมสองถ้วยกุ่ยช่าย ฉันขอนะอีกถ้วยน่ะ” สดใสคว้ามือหมายจะหยิบก็ต้องชักมือกลับเพราะความเจ็บ
                  “ของข้าว เอาไปสิ” สีสันและสดใสมองตากัน เมื่อครู่น่ะกุยช่ายก็แค่เผลอนั่นแหละ ปกติเวลามากินไอศกรีมด้วยกันข้าวผัดมักจะไปห้องน้าก่อนและกลับมาอีกทีก็พร้อมหนังสืออีกหนึ่งเล่ม
                  “คิดถึงเขาก็ไปง้อเขาสิ ทำเป็นวางท่ามาเที่ยว ถามจริงกุยช่ายไม่รักข้าวผัดหรือ”
                  “อย่าปฏิเสธนะ พวกเราน่ะสังเกตมาตั้งนานแล้ว” สดใดรีบดักคอก่อนที่กุยช่ายจะปฏิเสธใคร ๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่างสองคนนี้มีอะไรซ่อนอยู่ในแววตา เหลือแค่พี่ข้าวอบกับข้าวทอดน้องชายเจ้าตัวเขานะที่ไม่เคยรู้อะไรกันเลยว่าคนใกล้ตัวนั้นจ้องเขมือบน้องชายพี่ชายตัวเอง
                  “เห็นไหมสดใส ฉันบอกแล้ว !” เมื่อได้รับการพยักหน้าตกลงสีสันก็ร้องขึ้นเสียงดัง
                  “ไม่ต้องกินกันแล้วไอศกรีม สีสันรีบเขมือบเร็ว ปฏิบัติการง้อคุณหนูข้าวผัดเริ่มได้” เสียงของสดใสดังขึ้นไม่รอให้คนที่เพิ่งสารภาพไปตรง ๆ ว่ารักเพื่อนตัวเองได้แสดงความเห็นใด ๆ ก็รีบลากกุยช่ายไปเดินเลือกซื้อของเอาไว้ง้อข้าวผัดเสียมากมายอย่าวเช่น หนังสือวรรณกรรมแปลที่เจ้าตัวอยากได้ ขนมของโปรดเพื่อนตัวเล็ก กระเป๋าสตางค์ และของจุกจิกแสนชอบของข้าวผัดก็อยู่มือของกุยช่ายเรียบร้อยแล้ว
                  “ฟังนะ ขนมให้ก่อนเป็นอย่างแรก ถ้ายังไม่สำเร็จก็ค่อยให้หนังสือ รับรองข้าวผัดเสร็จนายแน่ !”
นี่คือเสียงสุดท้ายของเพื่อนสาวและการสนับสนุนจากแฝดน้อง เด็กหนุ่มมองถุงของทั้งหลายที่ซื้อมาจากการไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อตอนบ่าย ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วเขายังไม่ได้ไปง้อเจ้าตัว หลังจากสารภาพความในใจทั้งหมดไปกับเพื่อนแฝดที่คาดคั้นก่อนแยกย้ายกลับบ้านเขาก็ยังอายอยู่เลย ขนาดแฝดยังรู้เจ้าตัวจะรู้ไหม และคนอื่นอีก ยังไม่รวมพี่น้องตระกูลข้าวของบ้านข้าง ๆ นะ หวงข้างผัดอย่างกับอะไรดี ในขณะที่เขาตัดสินใจจะไปง้อเพื่อนตัวเล็กเสียงของมารดาก็ตะโกนดังขึ้นมาถึงชั้นสองก่อนประตูห้องเขาจะเปิดด้วยความเร็วพร้อมอะไรสักอย่างหนัก ๆ กระแทกหัวเขาแล้วก็หายไปเลย
                  “กุยช่ายหนูข้าวมาหาน่ะลูก !”
                  “เอาคืนไปเลย ไอ้คนไม่รักษาสัญญา ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย !”
                  สองประโยคสองคนแล้วก็หายไปเหลือทิ้งไว้แค่กล่องไม้ขนาดกระดาษเอสี่ที่กระแทกหัวเขาจนหัวปูด ก้มลงหยิบขึ้นมาดูก็พบเป็นกล่องไม้สมัยประถมที่เขาใช้ง้ออีกฝ่ายตอนทะเลาะกันนั่นเอง จำได้ว่าตอนนั้นเขาแอบโดดเรียนครั้งแรกกับเพื่อนอีกกลุ่มข้าวผัดรู้ร้องไห้จนเขาโดนแม่ตี แถมเจ้าตัวก็ไม่คุยกับเขาไปเป็นเดือนเลย ไปโรงเรียนพี่ข้าวอบก็ไปส่ง กลับก็ข้าวทอดไปรับ พี่น้องสามคนเรียนคนละโรงเรียนหมดเลย คนโตเรียนโรงเรียนขึ้นชื่อด้านการคำนวณ คนกลางเรียน โรงเรียนนานาชาติ คนเล็กเรียนโรงเรียนชายล้วน เคยถามว่าทำไมข้าวผัดได้เรียนนานาชาติและเขาต้องไปเรียนแม่เขากับคุณน้าก็บอกว่า อยากได้คนกลางเป็นลูกสาวและเรียนโรงเรียนที่คุณแม่ทั้งสองจบมา นั่นก็คือเหตุผลที่ ณ วันนี้เขาก็ไม่เข้าใจว่ามันไปเชื่อมโยงกันได้อย่างไรกับการที่ข้าวผัดและเขาเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เล็กจนโต
                  เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางเอากล่องไม้ไปวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบยาแก้ฟกช้ามาทารอบ ๆ ของดูต่างหน้าที่เพื่อนตัวเล็กฝากเอาไว้ให้ นิสัยไม่พอใจอะไรใครแล้วเอาของที่อีกฝ่ายให้มาเขวี้ยงใส่หัวนี่แก้ไม่หาย คุณพ่อข้าวผัดก็ตามใจรักมากหลงมาก คุณแม่ก็สงเสริม พี่ชายก็ประคบประหงมเหมือนไข่หิน น้องชายก็เหมือนผู้คุ้มกัน สรุปทั้งบ้านไม่เคยเลี้ยงข้าวผัดเหมือนเด็กผู้ชายเลย ตอนเด็ก ๆ เขาเคยพาข้าวผัดแอบไปวิ่งเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้านที่ข้างแม่น้า แล้วพ่อแม่อีกฝ่ายจับได้ข้าวผัดโดยกักบริเวณไปเป็นอาทิตย์ไปเรียนพ่อก็ไปส่ง เลิกเรียนแม่ก็ไปรับ วันหยุดก็ต้องนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ส่วนเขาน่ะหรือโดนแม่ตีไปหลายไม้เลย
                  มัธยมต้นปีหนึ่งข้าวผัดเป็นที่สนใจของบรรดาครูและเพื่อน ๆ หลายคน ใครเห็นก็เอ็นดู ใครเห็นก็รัก กิริยามารยาทเรียบร้อย พูดจาอ่อนหวาน เรียนเก่ง แต่เรื่องกีฬาหรือออกกาลังกายจนได้เหงื่อนี่เจ้าตัวหวิดตกอยู่หลายรอบ แบตมินตันก็เล่นไม่เป็น วิ่งผลัดก็วิ่งไม่ได้ สรุปทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ซักผ้าก็มีแม่บ้าน เตรียมชุดก็พี่เลี้ยง กินข้าวก็มีคนยกวางไว้บนโต๊ะ ใส่รองเท้าก็มีคนวางเอาไว้ให้ กลับบ้านจะมีพี่เลี้ยงคอยรับกระเป๋า สรุปเจ้าตัวเหมือนคุณหนูดี ๆ นี่แหละ ส่วนเขาก็ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะว่าไปเขาก็เต็มใจทำให้อีกฝ่ายนี่นา เขาเคยสงสัยนะว่าถ้าไม่มีเขาอยู่กับเจ้าตัว ข้าวผัดจะทำอะไรบ้างเคยไปแอบดูตอนทะเลาะกันคำตอบชัดเจนเลย สีสันกับสดใสทำให้ทุกอย่าง !
                  “แม่ผมไปบ้านข้าวผัดนะ” เดินลงบันไดมาได้ก็บอกมารดาที่กาลังจัดโต๊ะสาหรับมื้อเย็น และก็ต้องงงเพราะแม่เขาเอากุยช่ายทอดใส่จานเดินมาให้เขาน่ะสิ
                  “เอาไปให้หนูข้าวสิ จะได้ง้อสะดวก ๆ” เด็กหนุ่มหน้าแดงหูแดงไปหมดเมื่อมารดาขยิบตาให้ เขาก็ไม่เข้าใจทำไมแม่กับพ่อเขาถึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนบ้านอื่น ๆ ที่ลูกชายตัวเองนิยมชมชอบผู้ชายด้วยกัน และเขาก็ไม่กล้าถามเสียด้วยสิ ได้แต่พิจารณาสมัยเด็กว่าทำไมแม่หรือไม่ก็พ่อของเขาชอบพาเขาไปอยู่กับข้าวผัด ไปไหนก็แล้วแต่ต้องมีข้าวผัด ตอนเล็ก ๆ เขาก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกแม้แต่ตอนอนุบาลก็ยังไม่รู้เลยว่าการที่มองแต่คน ๆ เดียวมันคือความรัก มารู้ตอนประถมปลายนี่แหละตอนที่มีเรื่องกับรุ่นพี่ครั้งแรก พ่อเขานี่ชมจนเขาแปลกใจ ส่วนแม่ก็บ่นไปปลอบข้าวผัดที่ร้องไห้ไป แปลกดี
                  เดินออกจากบ้านมาไม่ถึงห้านาทีก็มาหยุดตรงรั้วบ้านของเพื่อนบ้านที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ตัวบ้านไม่ได้ทรุดโทรมลงไปเลยแม้แต่น้อยบ้านปูนสองชั้นสีขาวหลังคาสีเขียวอ่อนเห็นตอนเด็กอย่างไรตอนนี้ก็อย่างนั้น รถยนต์สองคันจอดอยู่แสดงว่าพ่อกับพี่ชายกุยช่ายกลับมาจากทำงานแล้ว พี่ข้าวอบห่างจากกุยช่ายแปดปีนั่นคือเหตุผลที่เจ้าตัวไปรับไปส่งข้าวผัดได้ในบางวันตอนเด็ก เจ้าสุนัขขนฟูตัวใหญ่นั่นพอเห็นเขาก็เห่าเสียเสียงดังจนข้าวทอดน้องชายเพื่อนเขาต้องเดินออกมา แต่เหมือนลางจะไม่ดีอะไรสักอย่างเจ้าตัวจ้องเขาเขมงแล้วก็ปิดประตูอย่างดัง
                  “ข้าวผัดไม่อยู่ !” เป็นอันรู้กันว่าข้าวผัดร้องไห้ซบอกพี่น้องสักคนไปแล้ว ข้าวทอดห่างกับข้าวผัดหนึ่งปีนั่งคือเหตุผลที่ข้าวทอดรักข้าวผัดมาก อาจจะมากกว่าพี่ข้าวอบด้วยซ้า แต่เรื่องความหวงก็พอกันนั่นแหละ ทะเลาะกับข้าวผัดทีไรเขาจะง้อยากมากถ้าเจ้าตัวเข้าบ้านไปแล้ว ถ้าเป็นพี่ข้าวอบจะได้แค่สายตาไม่เป็นมิตรและเชิญเข้าบ้านแต่ถ้าเป็นข้าวทอดหนักสุด ก็แลกหมัดกันหน้าบ้านนี่แหละ
                  “อ้าว กุยช่ายมาหาหนูข้าวหรือลูก เข้ามาสิแม่กำลังจะปิดประตูบ้านพอดี” เสียงของหญิงอวุโสที่เขามองกี่ทีก็ยังดูอ่อนเยาว์กว่าวัย รอยยิ้มเจือความเอ็นดูนั้นทำให้เขาละอายใจแปลก ๆ ให้พูดอย่างไรดีจะมาง้อลูกชายเขาก็ไม่เท่าไหร่ แต่คิดไม่ซื่อกับลูกชายสุดรักสุดหวงก็คงไม่ดีกระมัง ขนาดแฝดยังรู้บ้านนี้ไม่รู้คงไม่แปลก
                  “ผมเอากุยช่ายทอดมาให้น่ะครับ พอดีแม่เขา”
                  “ไม่ต้อง ๆ เขามา ๆ หนูข้าวร้องไห้เสียจนแม่ตกใจนี่ยังดีที่คุณพ่อกับพี่ข้าวกลับมาก่อนไม่อย่างนั้นแม่รับมือหนักแน่ ๆ” ไม่รอให้เด็กหนุ่มที่เธออ่านความคิดและความรู้สึกเจ้าตัวออกเธอก็เดินมาเปิดประตูรั้วเชิญแขกเข้าบ้าน ว่าที่ลูกเขยหล่อ มารยาทดี ดูแลลูกชายเธอได้จะไม่รับไว้พิจารณาก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย ส่วนจะผ่านสามหนุ่มของบ้านได้ไหมค่อยว่ากันอีกที
                  “หนูข้าว กุยช่ายมาหาแหนะลูก” เสียงของมารดาทำให้ข้าวผัดที่กำลังนั่งตักพี่ชายออดอ้อนอยู่สะบัดหน้าหันจนหัวทุย ๆ กระแทกคางพี่ชายอย่างจัง
                  “แม่ให้เขาเข้ามาทาไม ข้าวบอกไปแล้วว่าข้าวผัดไม่อยู่” เสียงไม่พอใจของข้าวทอดทำให้กุยช่ายคิ้วกระตุกแปลก ๆ ก็ใจว่ารักว่าหวงพี่ชายแต่ก็นะ เขามีพวกเป็นคุณแม่ยังสาวข้าง ๆ จะไปกลัวอะไร
                  “น้องข้าวไม่เอาสิคะ คุณพ่อมาช่วยคุณแม่ดีกว่านะคะ อาหารเย็นวันนี้กินอะไรดี” อันที่จริงเธอก็แค่ดึงผู้ชายเจ้าปัญหาให้เหลือน้อยลงเท่านั้นแหละ สามีเธอถ้าวันไหนเกิดไม่พอใจกุยช่ายมานี่ คะแนนในตัวว่าที่ลูกเขยของเธอจะลดแบบติดลบเลยนะ ตอนนั้นกุยช่ายทำอะไรกับข้าวผัดไม่รู้สามีเธอเหวี่ยงออกจากบ้านเลย
                  “กลับไปสิ ไม่เห็นหรือว่าไม่มีใครเขาต้อนรับ” เมื่อบุพการีไม่อยู่ ข้าวทอดในชุดเสื้อยืนกางเกงขอบยืดก็ประจันตรงหน้ากุยช่ายอย่างไม่เกรงกลัว
                  “พี่เอากุยช่ายมาให้ข้าวผัดน่ะ”
                  “ผมมีพี่แค่คนเดียวนะรู้สึก” คำตอบของข้าวทอดก็ทาให้เขาหน้าเสียหน่อย ๆ นะ ข้าวทอดไม่เคยเรียกข้าวผัดว่าพี่เลยสักครั้งตั้งแต่เด็ก เพราะข้าวผัดตัวเล็กกว่าข้าวทอดเจ้าเด็กนี่ก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นพี่มาตลอด มารู้ว่าเป็นน้องก็ตอนเข้าอนุบาลนั่นแหละ
                  “น้องข้าวอย่าพูดจาแบบนั้นกับพี่กุยช่ายสิคะ” เสียงมารดาที่ดังออกมาทำให้กุยช่ายลอบยิ้ม มารดาของสามข้าวจะเรียกคนโตว่า พี่ข้าว คนกลาง หนูข้าว และคนเล็กน้องข้าว ส่วนทั้งสามจะแทนตัวเองว่าข้าวกับบุพการี ส่วนบิดาของทั้งสามคนจะเรียกแค่หนูข้าวกับข้าวผัดเท่านั้น นอกนั้นก็เรียกชื่อเต็ม ๆ
                  “ข้าวทอดมาพาข้าวขึ้นห้องไปก่อน” ผู้อวุโสที่สุดในตอนนี้บอกกับน้องชายคนเล็กและพยายามแกะมือที่รัดคอตัวเองออก ก็ไม่ได้ชอบใจเด็กหนุ่มตรงหน้าเท่าไหร่หรอกนะตั้งแต่รู้ว่าเจ้าตัวมีใจให้น้องชายเขาน่ะ เขาเลี้ยงมากับมือ จะให้เจ้าเด็กที่ไหนไม่รู้มาแย่งไปใครจะยอม
                  “ไม่เอาพี่ข้าวอย่างทิ้งข้าวสิ” เสียงน้องชายดังข้างหูพร้อมการรัดคอที่แน่นขึ้น เขาเข้าใจว่าถ้าปล่อยเจ้าตัวไปอยู่กับข้าวทอดจะต้องโดนบ่นอีกหลายสิบอย่างน้องชายคนเล็กเขาน่ะนับวันยิ่งบ่นมาก และเริ่มวางกรอบชีวิตข้าวผัดไปทุกที แล้วนี่ข้าวผัดมาร้องไห้สะอึกสะอื้นใส่เขาแทนที่จะเป็นเจ้าตัวยิ่งทำให้เรื่องบ่นเยอะขึ้น ยังดีที่พ่อเขามองเฉย ๆ ไม่มีปฏิกิริยาเท่าไร หรือเพราะรู้อยู่แล้วว่าข้าวทอดจะจัดการทุกอย่างได้ก็ไม่รู้
                  “พี่จะคุยกับกุยช่ายเดี๋ยวเดียว จะอยู่ฟังก็ได้นะ” ได้ผลเจ้าตัวปล่อยแขนและวิ่งไปลากข้าวทอดขึ้นชั้นสองไปเลย ก็เจ้าตัวบ่นงึมงาข้างหูเขาตลอดว่าไม่อยากเห็นหน้ากุยช่ายแล้ว กุยช่ายชอบทำให้ข้าวเสียใจอย่างนั้นอย่างนี้ และสายตากุยช่ายก็เห็นเสี้ยวหน้าเพื่อนตัวเล็กของเขาที่มีคราบน้ำตาเหลืออยู่ ตาก็บวมดูก็รู้ว่าร้องไห้หนักแน่ ๆ
                  “กุยช่าย พี่ก็ไม่ได้มีอะไรไม่พอใจนายหรอกนะ แต่นายก็ต้องรู้นะว่าข้าวผัดพี่รักของพี่ สองครั้งแล้วนะที่ข้าวผัดมาร้องไห้กับพี่เพราะเรื่องของนาย” เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อหลุบตาต่ำ รู้สึกผิดนะแต่ครั้งนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้าว่าไปทาอะไรให้เจ้าตัวโกรธ พอเลิกเรียนก็เถียงเขาคอเป็นเอ็นเอาแต่ใจเพิ่มมากกว่าปกติเขาก็พอรู้ว่าเจ้าตัวกำลังโกรธแต่ยังไม่อยากถาม นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พี่ชายตัวสูงหน้าหล่อของเจ้าตัวพูดกับเขาทานองนี้
                  “กุยช่ายพี่ไม่ว่าหรือห้ามหรอกนะถ้านายจะรักจะชอบน้องพี่น่ะ แต่สองครั้งที่ข้าวผัดมาร้องไห้กับพี่เพราะเราเป็นต้นเหตุพี่ก็ทนไม่ได้หรอกนะ พี่รักข้าวผัดมากกุยช่ายก็รู้ ถ้าไม่จริงจังกับน้องพี่ก็ปล่อยน้องพี่ไปเถอะ”
                  “ผมจริงจัง !” ตวัดเสียงอย่างไม่พอใจที่ข้าวอบพูดเหมือนเขาเห็นข้าวผัดเป็นอะไรสักอย่างไม่ใช่คนสาคัญ ไม่โกรธหรอกที่อีกฝ่ายมาพูดแบบนี้ เพราะถ้าเขามีน้องแบบข้าวผัดเขาก็ต้องทาแบบนี้เหมือนกัน
                  “จริงจัง ? แค่ไหนล่ะ จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนแก่ตายเลยไหม ?” ชายหนุ่มกอดออกมองหน้าเด็กหนุ่มที่ตวัดเสียงใส่เขาเมื่อครู่ สถานะไม่มีให้น้องเขาไม่พอ ยังทำตัวเป็นคนดีกับคนที่เขามาสารภาพรักตัวเองได้จนน่าเบื่อ
                  “ไม่ แต่ผมแค่ยังไม่กล้า พี่ก็รู้ว่าน้องของพี่เอาแต่ใจจะตาย ผมพูดอะไรไม่เข้าหูก็โกรธ งอนไม่คุยกับผม จะให้ผมไปพูดตรง ๆ ผมก็กลัวว่าข้าวผัดไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับผม” เขานี่ดีจริง ๆ พูดประโยคคล้าย ๆ กันสองสามรอบในหนึ่งวัน ต่อไปต้องพูดกับพ่อเขาด้วยไหมนี่ !
                  “ถ้ามีความกล้าไม่พอก็ปล่อยข้าวผัดไปกับพี่ เทอมหน้าพี่จะพาข้าวผัดไปเรียนต่อที่อังกฤษกับพี่ พี่ให้เวลาสามวันกับโอกาสครั้งสุดท้ายของนายนะกุยช่าย พี่มองพฤติกรรมนายกับน้องพี่มาตลอด พี่ไม่ห้ามแต่ถ้าไม่กล้าจะบอกความรู้สึก ไม่กล้าขอก็อยู่กับที่เป็นหมาหวงก้างเหมือนเดิมไปเถอะ” พูดจบก็เดินขึ้นชั้นสองของบ้านไปทิ้งไว้แต่กุยช่ายที่กำลังคิดทบทวนความรู้สึกตัวเองกับคำพูดของข้าวอบ
                  “สู้ ๆ นะคะ กุยช่าย แม่เอาใจช่วย” นี่คือคำพูดที่เขาได้ยินก่อนจะขอตัวกลับบ้าน และก็ต้องเจอคำถามชวนแสลงใจจากพ่อเขาอีกว่า

( อ่านต่อด้านล่างนะขอรับ )
V
V
V

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
( อ่านต่อเลยนะขอรับ )

               “เป็นอย่างไร ง้อว่าที่ลูกสะใภ้พ่อได้ไหม” ตลอดมื้อเย็นเขาไม่สามารถรับรสชาดอาหารได้อีกเลย
ในขณะที่กุยช่ายรู้สึกเครียดและทุกข์ใจ ฝั่งหนูข้าวผัดก็ไม่น้อยหน้า เจอพี่ชายคนโตซักเสียใหญ่โตไม่พอ น้องชายก็ยุแยงต่าง ๆ นานาว่าให้เลิกไปยุ่งกับพี่ชายข้างบ้านได้แล้ว
               “พอเถอะข้าว พี่ถามจริง ๆ มานั่งร้องไห้นี่เพราะรักกุยช่ายหรือแค่โกรธเพราะกุยช่ายไม่สนใจเรา” น้องชายเขาก็ใช่ย่อยโดนตามใจจนเคยตัวจะเรียกว่ารักหรือไม่ก็ต้องถามเจ้าตัวเลยนี่แหละ เขาก็สงสัยถ้าไม่ก็ง่ายถ้าลังเลแบบนี้ก็ให้ข้าวทอดเป็นคนจัดการ แต่ถ้ารักเด็กข้างบ้านจริง ๆ ก็อีกเรื่อง
               “ข้าวผัดอย่าไปรักหมอนั่นนะ ฉันได้ยินมาว่าหมอนั่นไปกอดกับผู้หญิงนี่ แล้วก็ชอบไปไหนกับผู้หญิงบ่อย ๆ เจ้าชู้จะตาย ที่ทำดีกับข้าวผัดน่ะเพราะสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก” เรื่องอะไรจะยกข้าวผัดให้ใครง่าย ๆ เขาดูก็รู้ว่าหนูข้าวของคุณแม่ยังไม่รู้ใจตัวเองเลย เพราะฉะนั้นยุแยงตะแคงรั่วนี่ขอให้บอก จะยุจนไม่ต้องสมหวังกันเลย ต่อให้อีกฝั่งมีพี่สีสันกับสดใสก็ตาม
               “ข้าวผัดอย่าคิดนานสิ ฉันลุ้นนะ นายไม่ได้รักหมอนั่นหรอกแค่เพราะอยู่ด้วยกันมานานเท่านั้นเอง เชื่อฉันสิ ฉันน่ะหวังดีกับข้าวผัดที่สุดแล้วนะพี่ข้าวอบก็ด้วย” ซ้ำเข้าไปอีก ยิ่งเห็นสีหน้าและแววตาลังเลของข้าวผัดนี่เส้นเอ็นแถวข้อเท้าก็กระตุกยิก ๆ แล้วนะ
               “ข้าวไม่รู้ รู้แค่ว่าไม่ชอบที่กุยช่ายทำแบบนั้นกับคนอื่น กุยช่ายสัญญากับข้าวแล้วนะ” คำว่าสัญญาทาให้พี่และน้องมองกันอย่างใคร่รู้ สัญญาอะไรทำไมพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ต้องคิดนานข้าวทอดก็ถามออกไปทันที
               “สัญญาอะไร ทำไมต้องคิดจริงจังขนาดนี้” และยิ่งทำให้ข้าวอบร้อนใจเพราะหน้าน้องชายตัวเองเริ่มมีริ้วแดง ๆ แผ่กระจายน่ะสิ หูแดงขนาดนี้ ไอ้เด็กนั่นทำอะไรกับน้องเขากัน !
               “มันเป็นความลับ กุยช่ายไม่ให้บอก” พูดแล้วก็กัดปากอย่างแรง ใครจะกล้าบอกต่อให้กุยช่ายไม่บอกว่าเป็นความลับเขาก็ไม่บอกหรอก ก็มันน่าอายนี่ !
               “กัดปากทำไมข้าวผัด ทำไมต้องอายขนาดนี้ บอกมานะ !” ข้าวทอดจับตัวคนนั่งกัดปากหันมาสบตาตัวเอง ทาไมต้องอายและกัดปาก มันต้องมีอะไรแน่ ๆ หรือว่า
               “ไม่มีอะไรข้าวทอดจะไปไหน” จับแขนน้องชายแน่นครั้งนี้แน่นจริง ๆ เพราะจับด้วยสองมือ ขนาดข้าวอบยังขมวดคิ้วและเริ่มวิเคราะห์อาการน้องชายตัวเอง
               “จะไปง้างปากไอ้กุยช่าย มันทำตัวร้องไห้กี่รอบแล้ว แล้วดูสิตัวยังมาปกป้องมันอีกนะ” สรรพนามที่นานทีมีหนจะได้ใช้บ่งบอกได้เลยว่าข้าวทอดกำลังไม่พอใจ ถ้าขึ้นคำว่าตัวล่ะก็ หงุดหงิดระดับสาม ตอนมัธยมต้นปีสามข้าวทอดก็พูดแบบนี้พร้อมเข้าไปชกกุยช่ายเต็มแรงเลย
               “ตัวปล่อยเขาเลย มันทำอะไรตัวบอกสิ เดี๋ยวเขาไปอัดมันให้ กัดปากแบบนี้มันจูบตัวใช่ไหม !” ยิ่งหน้าข้าวผัดแดงข้าวทอดยิ่งสั่นไปหมด เขาโกรธมากจริง ๆ นะไอ้พี่ข้างบ้านนั่นโขมยจูบแรกข้าวผัดไปแล้วไม่ให้สถานะอีก ไม่ต้องถึงมีพี่ข้าวอบหรอก เขานี่แหละจะจัดการเอง
               “ไม่ใช่นะ ! แค่หน้าผากชนกันเฉย ๆ”
               “ข้าวผัด พี่ไม่เคยสอนให้เราปล่อยตัวนะ กุยช่ายเป็นผู้ชาย ข้าวผัดก็เป็นผู้ชายรู้ไหม พี่ไม่ว่าถ้าจะรักจะคบกัน แต่ถ้าอะไรที่มันเกินเลยไปแล้วไม่มีคำว่าแน่นอนมา ข้าวจะเสียใจ พี่ไม่อยากให้ข้าวร้องไห้เพราะถูกผู้ชายแบบกุยช่ายทิ้งในอนาคต แค่นี้พี่ก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว” เดินเข้ามาลูบหัวน้องชายคนกลางเบา ๆ จะแค่หน้าผากชนกันก็ไม่ได้ กุยช่ายไม่เหมือนข้าวผัดนะ ข้าวผัดวัน ๆ เรียน และเล่น ส่วนกุยช่ายพบเจอคนมากมาย ยังต้องเจอผู้หญิงอีกมาก แม้เจ้าตัวจะบอกว่าจริงจัง ตราบใดที่สถานะคำว่าคนรักยังไม่มีให้น้องชายเขา เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด !
               “ใช่ตัวอย่าปล่อยให้ไอ้กุยช่ายมันหากำไรมาก ตัวก็น่ารัก บอบบางมันโอบเอวตัวทีมันก็ต้องมีลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วก็กลับบ้านไปจินตนาการลามก ๆ ตัวน่ะไม่เคยรู้หรอกว่าโลกภายนอกมันโหดร้ายขนาดไหนแม้แต่คนใกล้ตัวก็ไว้ใจไม่ได้ ผู้ชายที่ตัวไว้ใจได้ก็มีเขา มีพี่ข้าว มีพ่อ เท่านั้นนะ”
               “ไม่ใช่นะ ! กุยช่ายไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย !” เถียงกลับทันควันจนข้าวอบต้องอธิบายต่อ
               “ข้าวผัด เราอาจไม่รู้ว่าเราน่ะบอบบางกว่าผู้หญิง น่ารักกว่าผู้หญิง ถึงเราจะเป็นผู้ชายก็ไม่เหมือนกัน พี่กับข้าวทอดรู้ดีเรื่องของผู้ชายน่ะ กุยช่ายต่อให้สุภาพบุรุษขนาดไหนตอนเขาอาบน้ำเขาทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ หรือในความคิดเขาอาจคิดไม่ดีกับเราก็ได้ ผู้ชายน่ะก็แบบนี้แหละ”
               “ไม่จริง พี่ข้าวอบกับข้าวทอดไม่ชอบกุยช่ายมากกว่า เพื่อนที่ห้องไม่เห็นเป็นแบบที่ทั้งสองคนบอกเลย และกุยช่ายน่ะตอนไปแคมป์กลางป่าอาบน้ำด้วยกัน ก็ปกตินี่ ข้าวอาบน้ำแบบไหนกุยช่ายก็อาบแบบนั้น สดใสก็ด้วย !” เรื่องนี้ยอมไม่ได้นะ ! แม้จะโกรธกุยช่ายอยู่แต่ให้ใครมาว่ากุยช่ายเสีย ๆ หาย ๆ เขาก็ยอมไม่ได้เหมือนกันนะ
               “เห้ย นี่โป๊ต่อหน้ามันหรือ ทำอย่างนี้ได้อย่างไรวะ !” ข้าวทอดสะบัดตัวเปิดประตูกระแทกปึงปังออกจากห้องไปแล้ว แต่ก็เหมือนจะได้ยินเสียงร้องของคนที่เพิ่งออกไปพร้อมเสียงพ่อที่ตะโกนขึ้นมาตามไปกินข้าว
               “ข้าวผัด พี่น่ะไม่อยากเสียเราไปรู้ไหม แม้แต่อาบน้ำก็ห้ามอาบกับกุยช่ายอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาได้ไม่คุ้มเสีย ตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับกุยช่าย และยังไม่ได้คบกันพี่ก็ทนไม่ได้หรอก” เอาหน้าผากชนกันพลางใช้มือลูบโครงหน้าน้องชายตัวเองไปพลาง ๆ แต่เล็กจนโตเขาเลี้ยงน้องทั้งสองคนกับแม่และพี่เลี้ยงมาตลอด โดยเฉพาะข้าวผัดต้องใช้ระยะเวลาในการดูแลมากเป็นพี่เศษ เขาจึงรักและหวงน้องมาก ที่เขาไม่มีแฟนเพราะไม่มีใครเลยที่เขาใจเขาเรื่องข้าวผัด เพราะหน้าตาไม่เหมือนกันทาให้แฟนเขาไม่เข้าใจ ส่วนข้าวทอดก็ทะโมนแต่เด็ก ห่วงแค่เรื่องของมึนเมากับการคบเพื่อนก็พอแล้ว
               “ถ้าข้าวบอกว่าข้าวรักกุยช่ายพี่ข้าวจะโกรธไหม” มองตาพี่ชายตอบ เขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกตอนนี้คืออะไรแต่เขาก็ไม่โง่ขนาดพี่ชายและน้องชายพูดเรื่องรัก ๆ เขาจะไม่รู้ว่าทุกคนคิดอย่างไร รักไหม ไม่รู้รู้แค่อยากอยู่กับเพื่อนตัวสูงข้างบ้านไปนาน ๆ จนแก่เลย
               “เอาไว้กุยช่ายไม่ทำให้เราเสียน้ำตาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไปกินข้าวก่อนนะครับ” ซ่อนแววตาที่หม่นหมองเอาไว้ เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าวันแต่งงานน้องชายเขาต้องแต่งงานไม่ว่าจะกับผู้ชายหรือกับผู้หญิงเขาก็ไม่อยากคิด ยิ่งตอนนี้แววตาน้องเขาก็บอกทุกอย่างแล้ว เขาเสียน้องไปแล้วจริง ๆ เสียให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนข้างบ้านนั่น ตอนสู่ขอพ่อจะเรียกให้ไม่กล้าแต่งเลย !
               “คุยกันถึงไหนกันคะ ลืมกินข้าวไปเลย” เธอและสามีจะไม่ยุ่งเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เด็ดขาดถ้ามันเกินความสามารถของลูกชายคนโตเธอถึงจะยุ่ง อันที่จริงไม่ยุ่งน่ะดีแล้วเพราะถ้าสามีเธอยุ่ง จะกลายเป็นพรากความรักของเด็ก ๆ ไป
               “ต้องรีบมาแบบข้าวทอดมันสิ วิ่งตึงตังลงมารีบกินข้าวเฉยเลย” ผู้เป็นพ่อเอ่ยแซวขึ้น ดูก็รู้ว่าลูกชายคนเล็กจะไปไหนอารมณ์หงุดหงิดระดับนี้มีอยู่คนเดียวนั่นแหละที่จุดฉนวนได้ขนาดนี้ แต่ภรรยาเขาก็เหมือนเดาทางออกขวางหน้าบันไดปุ๊ป บิดหูข้าวทอดปั๊ป สอดคล้องกันดี
               “กินข้าวกันดีกว่าครับ พ่อเดี๋ยวเสร็จมื้อเย็นผมมีเรื่องจะคุยด้วยนะครับ” สามวันเท่านั้น ถ้ากุยช่ายทำตามที่เขาขอไม่ได้เขาจะพาข้าวผัดไปอยู่อังกฤษจริง ๆ ด้วย !
              ‘ออกมาหาหน่อยสิ จะรอที่สวนหลังบ้านนะ’
               จดหมายน้อย ๆ ที่เขาได้รับที่ริมระเบียงห้องนอน เดาได้คร่าว ๆ ว่าเพื่อนตัวสูงต้องแอบปีนมาอีกแน่ ๆ ยังโกรธอยู่นะ แต่ถือเสียว่าไปหาเป็นการขอบคุณสาหรับหนังสือเล่มที่กำลังอยากได้แล้วกัน ไวเท่าความคิดคนตัวเล็กก็เดินออกจากห้องไปเพื่อไปที่สวนหลังบ้านที่เชื่อมไปบ้านข้าง ๆ นั่นแหละ ต้องย่องเบา ๆ นะสามทุ่มแล้วเดี๋ยวพี่ข้าวอบกับข้าวทอดอาบน้ำเสร็จก่อนแย่เลย เมื่อพ้นจากตัวบ้านก็เดินมาเรื่อย ๆ ตามแผ่นหินที่ปูเป็นทางเดิน วันนี้เป็นคืนเดือนมืดแม้ดาวจะไม่สวยเท่าบ้านของปู่เขาที่เสียไปแล้วแต่ก็น่าชมอยู่เหมือนกัน
               “นี่ เรียกให้มาพบน่ะ มาแอบหลับทำไม ?” สะกิดไหล่เพื่อนตัวสูงของตัวเองที่ฟุบหน้าหลับอยู่บนโต๊ะไม่หินอ่อนอยากรู้จังว่าพี่ข้าวอบพูดอะไรกับเจ้าตัวกันนะถึงได้ไม่ยอมมาง้อเขาต่อ
               “โอ๊ยเจ็บ ๆ ตื่นแล้ว ๆ” เพราะข้าวผัดคิดถึงเรื่องที่กุยช่ายไม่ยอมอยู่ง้อต่อก็ลงแรงฝ่ามือที่กลางหลังอย่างไม่ออมแรงทันที ผู้ถูกกระทำก็ต้องรีบตาตื่นเพราะมานั่งรอตรงนี้เป็นชั่วโมงแล้ว
               “มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา ง่วง !” ท่าทีของอีกฝ่ายที่ยืนกอดหนังสือเชิดหน้าดูก็รู้ว่ากาไลังโกรธเขาสักอย่างอีกแน่ ๆ แอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดถึงความต้องการของตัวเอง
               “มาง้อน่ะ กุยช่ายไม่รู้ว่าทำอะไรให้ข้าวผัดโกรธ ให้อภัยกุยช่ายคนนี้ที่ทำผิดสัญญาด้วยนะครับ” ลุกขึ้นยืนพูดออกมาเป็นอันดับแรก สัญญาข้อแรกของพวกเขาคือ กุยช่ายต้องง้อก่อนไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด และต้องรีบง้อด้วยห้ามรอนาน
               “ก็กุยช่ายไม่รู้ข้าวผัดจะรู้ไหมล่ะ บางทีไปถามผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรเล่า คนที่กุยช่ายกอดน่ะ”เอ่ยวาจาประชดประชันออกไปเตือนสติคนตรงหน้า และก็ได้ผลเพราะกุยช่ายรีบปฏิเสธเป็นพัลวัลเลย
               “ไม่ใช่นะ น้องเขาแค่มาสารภาพรักแล้วขอกอดก็เลยให้น้องเขากอด แต่กุยช่ายบอกน้องไปแล้วนะว่าไม่ได้รักน้องเขา” สัญญาข้อที่สอง ห้ามโกหก มีอะไรต้องบอกอีกฝ่ายให้หมด ถ้ารู้ว่าทำอะไรผิด
               “ให้กอดง่าย ๆ เลยนี่นะ ใครก็ไม่รู้ห้ามข้าวผัดกอดกับผู้ชาย ห้ามอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง ใครก็ไม่รู้บอกว่าอยากได้ข้าวผัดเป็นเจ้าสาวแต่ตอนนี้ก็ไม่พูดอะไรให้แน่ใจสักอย่าง” สัญญาข้อที่สาม กุยช่ายบอกว่าเมื่อโตขึ้นจะขอข้าวผัดเป็นเจ้าสาว นี่เขายอมเป็นเจ้าสาวเลยนะ ! ปกติแล้วเขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงสักคนสิ !
               “กุยช่ายผิด กุยช่ายขอโทษ ข้าวผัดยกโทษให้กุยช่ายนะ” ขนมหวานหน้าตาน่ากินถูกยื่นออกมาตรงหน้าให้ข้าวผัดเลิกคิ้ว มีของง้อเยอะเสียด้วย
               “อันนี้ไม่ใช่ความคิดสีสันกับสดใสนะ กุยช่ายอยากซื้อของง้ออยู่แล้วก็เลยให้ทั้งสองช่วยเลือก แล้วก็อันนี้เป็นของให้คนพิเศษ เราเลิกเป็นเพื่อนกันไหม เดี๋ยวสิอยู่ฟังก่อน กุยช่ายแอบรักข้าวผัดมาตั้งแต่อนุบาลแล้วนะ รู้ว่ารักข้าวผัดจริง ๆ ก็ตอนมัธยมต้น แต่ไม่กล้าบอกกลัวข้าวผัดไม่คิดเหมือนกัน จะตกลงคบกับผมไหมครับคุณหนูข้าว เดี๋ยวโตกว่านี้อีกนิดจะให้พ่อกับแม่ไปขอนะ”
               “รออีกแล้ว นี่เห็นแก่ว่าเป็นเพื่อนกันมานานแล้วกุยช่ายอาจจะไม่มีเจ้าสาวในอนาคตจริง ๆ ตกลงคบด้วยก็ได้ ช่วงนี้อยากกินบุพเฟ่ต์ปิ้ง ๆ ย่าง ๆ อยู่พอดีเลย ก็ไม่รู้ว่าคุณแฟนจะพาไปกินไหมหนอ” กล้าขอก็กล้าคบ กล้ามาสู่ขอก็กล้าแต่งนะบอกเลย !
               “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เลิกเรียนกุยช่ายจะพาไปกินนะ” ดึงแขนคนตัวเล็กเข้ามาก่อนจะพูดให้ฟัง เขาดีใจจริง ๆ นะที่ข้าวผัดยอมคบด้วยน่ะ ใครจะรอจนครบสามวันกันเล่า หัวใจเขาเลยนะแล้วพ่อกับแม่ยังบ่นเสียหูชามาชุดใหญ่ เพราะคิดว่าเขาคบกับข้าวผัดมาตั้งนานแล้วไม่ยอมบอกเสียอีก
               “เลี้ยงนะ ขอของคืนด้วย” ชายตามองไปอย่างกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่เจ้าตัวเอามาคืน ตอนนั้นโกรธมากจริง ๆ นะที่เจ้าตัวผิดสัญญาที่ให้ไว้เองเลยเอากล่องไม้นี่ไปเขวี้ยงคืน พูดแล้วโมโห
               “ได้เลยครับคุณแฟน ขอจูบได้ไหม” ยื่นกล่องไม้ให้คนตัวเล็กแล้วเอ่ยขอ เห็นคนตัวเล็กหน้าแดงแล้วก็ชื่นใจเล็ก ๆ นะ
               “รอวันแต่งงานนู่น เรื่องอะไร” พูดจบก็สะบัดตัวเดินเข้าบ้านไปเลย ทิ้งไว้ให้แฟนหมาด ๆ ยืนอมยิ้มอยู่ที่สวนนั่นแหละ และก็ต้องตกใจเมื่อพี่ชายลงมาดื่มนมพอดี
               “ไปไหนมา แล้วของในมือนั่นอะไร” ดึกดื่นป่านนี้ข้าวผัดออกไปไหน คงจะไม่ไปหาเด็กหัวโขมยข้างบ้านหรอกนะ
               “พ่อแม่ พี่ข้าวอบ ข้าวผัดกับกุยช่ายคบกันแล้ว !” เสียงร้องโวยวายของข้าวทอดทำให้ทั้งพ่อและแม่ที่กำลังจะเข้านอนเปิดประตูออกมา ร้อนข้าวอบต้องรีบไปคว้าน้องชายตัวเองที่ดูแล้วจะวิ่งไปชกหน้ากุยช่ายแน่ ๆ
               “อะไรกัน ใครคบใคร !” ผู้เป็นบิดาถามด้วยความตกใจ ได้ยินว่าอะไรข้าว ๆ คบกับใครนี่แหละ
               “แม่ พ่อ ข้าวผัดคบกับกุยช่ายแล้ว สดใสบอก ! ไม่ยอมนะ !” ข้าวทอดพยายามสะบัดแขนพี่ชายตัวเอง ไอ้พี่ข้างบ้านนั่นมันโขมยข้าวผัดของเขาไปแล้ว อยากจะไปพ่นไฟใส่จริง ๆ ข้าวผัดนี่ตาโตไปแล้ว สดใสรู้ได้อย่างไรกัน !
               “ใจเย็น ๆ ได้ไหมคะน้องข้าว โวยวายเดี๋ยวก็ได้กะละมังมากินก่อนนอนหรอก” เธอกำลังเคลิ้ม ๆ จะนอนตื่นเลย และตกใจด้วยนะเด็กสมัยนี้ไวไฟกันเสียจริง ดูสิทะเลาะกันตอนบ่าย ง้อกันตอนเย็น ใกล้ดึกคบกันเหมือนเธอสมัยสาว ๆ ไม่มีผิดเลย
               “แม่ ข้าวผัดไปคบกับไอ้กุยช่ายเลยนะ มันเคยทำข้าวผัดร้องไห้ !” เขาไม่ยอมจริง ๆ ด้วย นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะเป็นคนไปส่งข้าวผัดไปโรงเรียนแล้วก็ไปรับด้วย !
               “นายก็ใจเย็น ๆ คุยกันก่อน พ่อกับแม่ไปนอนเถอะครับ”
               “ไม่เป็นอะไร พ่ออยากรู้” และคืนนั้นกว่าทุกคนจะได้นอนก็เกือบตีหนึ่ง ข้าวผัดโดยซักจนขาวสะอาดประหนึ่งผงซักฟอกยี่ห้อดังที่สลายลึกแม้คราบฝังแน่น ให้ผ้าขาวสดใสเหมือนซื้อใหม่ แถมสมาชิกในบ้านยกเว้นแม่ของเขาก็พร้อมกันหน้าตึงกันไปจนถึงเช้า
               “เย็นนี้เดี๋ยวมารับนะ รออยู่ตรงนี้เข้าใจไหม” เสียงกำชับของน้องชายสั่งเป็นรอบที่ห้าของเช้านี้ หลังจากเมื่อคืนมีแต่ความวุ่นวาย เช้านี้วุ่นวายหนักกว่าเดิม พ่อกับพี่ชายเขาจะไปส่งเขาที่โรงเรียน กว่าแม่จะบอกให้ทั้งสองไปทำงานได้ก็แทบปาดเหงื่อ เหลือแต่น้องชายเขานี่แหละที่ดื้อมาส่งจนได้ และก็เขม่นกุยช่ายตลอดทางเดิน
               “วันนี้จะไปกินปิ้งย่างกับกุยช่าย”
               “เขาไปด้วย เอาตามนี้เดี๋ยวตอนเย็นมารับ” ไม่รอให้ข้าวผัดได้ตอบตกลงก็เดินออกไปเลย คือโรงเรียนของข้าวทอดนั้นต้องนั่งรถประจำทางอ้อมไปซึ่งไกลจากโรงเรียนเขามาก
               “อย่าไปสนใจข้าวทอดเลย เข้าโรงเรียนกันดีกว่า” ข้าวผัดหันมาส่งยิ้มกุยช่ายบาง ๆ ก่อนทั้งสองจะเดินจับมือกันเข้าโรงเรียน และก็ต้องผงะเมื่อเห็นกระดานแจ้งข่าวสารของชมรมหนังสือพิมพ์
               ‘คู่รักเสิร์ฟร้อน ขวัญใจโรงเรียน กุยช่ายและข้าวผัดประกาศคบกันแล้ว ช่วงเวลาคบกันโดยประมาณ สี่ทุ่มที่สวนหลังบ้านของทั้งสอง งานนี้สาว ๆ หนุ่ม ๆ ก็กินแห้วกันไปนะจ๊ะ เพราะสถานะครั้งนี้คือรักเป็นสิบปีแน่นอนว่าเหนียวแน่นไม่หลุดง่าย ๆ แน่นอน’
               “บางทีความผิดพลาดของฉันก็กลายเป็นข่าวใหญ่ได้เลยสินะ” เพราะเขาเครียดจนอยากปรึกษาเพื่อนเลยยืมโทรศัพท์แม่ต่อสายหาสีสันแต่กว่าเจ้าตัวจะรับเขาก็เผลอหลับไปก่อน พูดง่าย ๆ รู้ตัวว่าเขาไม่ได้กดวางสายก็ตอนมีเสียงแว่ว ๆ ของเพื่อนสาวบนโต๊ะหินอ่อนนั่นแหละถึงได้รู้ ก็ว่าอยู่เพื่อนแต่ละคนเขาถึงได้รู้กันหมดเลยว่าเขาคบกัน
               “ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องมีพวกตัวน่าราคานมายุ่งกับกุยช่าย มีอีกคราวนี้ข้าวผัดไปอยู่กับพี่ข้าวอบที่อังกฤษจริง ๆ ด้วย” เมื่อคืนพอทุกคนในบ้านรู้ว่าพวกเขาคบกันข้อต่อรองมากมายก็ถูกร่างขึ้นมาใช้ และเขาก็เถียงไม่ได้เสียด้วย พี่ข้าวอบต้องไปทำงานที่ประเทศอังกฤษกำลังอยู่ในช่วงต่อรองกับพ่อ และเจ้าตัวยังบอกอีกว่าถ้าเขาร้องไห้เพราะกุยช่ายอีกล่ะก็ได้จบที่เหินฟ้าหนีรักแน่ ๆ
               “ไม่กล้าหรอกน่า เอากระเป๋าไปเก็บเถอะ” ถอนหายใจใส่ข่าวบนกระดานก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กที่เดินตัวเบาไปทักทายเพื่อนแฝดทั้งสองที่ด้านหน้า เอาก็เอา หลงรักมาสิบกว่าปีได้คบแล้ว พ่อกับแม่ก็คาดหวังเรื่องนี้อีกต่างหาก ไหนจะต้องฝ่าฟันพ่อตา พี่เขย และน้องเขยอีก ถือเสียว่าทำความดีกับข้าวผัดไว้เยอะ ๆ รักข้าวผัดมาก ๆ ไม่นอกใจเจ้าตัวก็คงจะเป็นผลดีในภายภาคหน้าล่ะนะ
               “รุ่นพี่คะ คบกับรุ่นพี่ข้าวผัดจริง ๆ หรือคะ หนูหลงรักรุ่นพี่มาสองปีแล้วนะคะ อย่างน้อยให้หนูได้กอดรุ่นพี่จะได้ไหมคะ” และบางทีอุปสรรคก็ยังคงแวะเวียนมาหาเขาเรื่อย ๆ นี่แหละนะ การเห็นน้ำตาของผู้หญิงนี่เขาไม่ชอบเลยจริง ๆ แต่ก็ต้องทำเนอะ หูตาของข้าผัดนี่รอบโรงเรียนเลย ดูท่าแล้วฝีมือข้าวทอดแน่เลย แค่แฟนคลับข้าวผัดเขาก็จะตายอยู่แล้วนะ นี่ไม่ต้องขยับไปไหนเลยเหมือนนักโทษเห็น ๆ
               “พี่ขอโทษนะครับ พี่เกรงใจแฟนพี่” พูดจบแล้วต้องรีบเดินหนีออกมา ไม่อย่างนั้นสาวน้อยคนนั้นต้องมีม่านใส ๆ รอบตาแน่ ๆ
               “เอาน่า ข้าวทอดก็แค่เป็นห่วงข้าวผัดอย่าคิดมากไปนะ” สดใสตบบ่าเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนทั้งสองคนเข้าห้องเรียนไป เขาไม่บอกข้าวทอดก็ไม่ได้ด้วยสิ เดี๋ยวโดนโกรธ
มีความรักทั้งทีแค่ผ่านด่านข้าวทอด พี่ข้าวอบ และคุณพ่อตาแค่นี้เล็กน้อยมาก ก็อยากจะพูดอย่างนั้นนะ แต่ลูกพี่ลูกน้องของข้าวผัดทำไมมายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ห้องเรียนเขากันนี่ !


-----------------------------------------------จบแล้วนะครับ------------------------------------------

ก็จบไปอีกเรื่อง เรื่องนี้ก็จะไห้ความรู้สึกแบบงอนง้อมากหน่อย นายเอกก็เหมือนผู้หญิงนิด ๆ (คือเราค่อนข้างชอบนายเอกแนว ๆ นี้น่ะครับ) หวังว่าทุกท่านจะชอบกันนะขอรับ ขอให้สนุกครับ

BloodyBambooSword

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารักเชียว..รอเรืีองต่อไปค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
I’m not alone in the School

Written by ดาบไม้ไผ่สีเลือด
________________________________________

   โรงเรียนอนุสรเป็นโรงเรียนร้าง ร้างชนิดที่ว่าไม่มีผู้คนพูดถึงไม่มีใครกล่าวถึง หรือว่ามีใครคิดถึงโรงเรียนที่เคยโด่งดังและเป็นที่นิยมเมื่อยี่สิบปีก่อนหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คนมักพูดกันก็คือ “โรงเรียนผีสิง” มันอาจจะเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่คนสมัยรุ่นคุณปู่กล่าวกันมาเพราะเหตุการณ์ในอดีตนั้นใครในละแวกโรงเรียนแห่งนี้ต่างจดจำได้ทั้งสิ้น แต่โรงเรียนร้างที่พวกเขาคิดกลับยังหลงเหลือนักเรียนที่เดินเข้าออกอย่างชินตาอยู่อีกหนึ่งคน ภายในห้องเรียนที่เหมือนไม่มีใครอยู่แต่ชอล์คเขียนกระดานกลับยังเคลื่อนไหวเป็นตัวอักษรให้นักเรียนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างก้มจดสิ่งที่อยู่บนกระดานต่อไป

   “ธีร์วันนี้รีบกลับหรือวะ” เสียงเรียกที่ด้านหลังทำให้ธีร์หันไปมอง เด็กหนุ่มตัวสูงทำเพียงพยักหน้าให้เพื่อนและเดินออกจากห้องเรียนหลังหมดคาบสุดท้าย
   กิจวัตรประจำวันของเขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กวัยรุ่นคนอื่นเพียงแต่เขามาเรียนและกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน และในวันนี้เขาเริ่มจะช้ากว่าปกติเพราะอาจารย์วิชาภาคบ่ายสอนเลยเวลามาแล้วครึ่งชั่วโมง สองขายาวพาร่างสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิห้าเซ็นติเมตรวิ่งออกจากวิทยาลัยและขึ้นสะพานลอยข้ามไปอีกฝั่งให้ไว สายตาก็จับจ้องไปที่สถานศึกษาแห่งหนึ่งที่อยู่เยื้องกับสะพานลอยอีกฝั่งของวิทยาลัยเทคนิคการช่าง ยิ่งเมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังก้าวเดินใกล้จะถึงประตูโรงเรียนในใจก็อยากให้สะพานลอยนี้สั้นลงสักเพียงนิดก็ยังดี เมื่อวิ่งสุดแรงจนถึงพื้นถนนอีกด้านก็เดินไปปลดสายล็อคจักรยานตรงที่จอดจักรยานและรีบปั่นไปที่จุดมุ่งหมายด้วยความเร็ว
   “วันนี้อาจารย์รพีดุอีกแล้วเห็นไหม บอกแล้วว่าอย่าลืมทำการบ้าน ทำไมเธอขี้ลืมนักนะ” ธีร์ชะลอความเร็วเมื่อผ่านเด็กผู้ชายที่น่าจะสูงไม่ถึงอกของเขากำลังเดินพูดอยู่คนเดียว ถูกแล้วพูดอยู่คนเดียว ใบหน้าน่ารักเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแต่ยังคงพูดคุยเหมือนกำลังพูดอยู่กับกลุ่มเพื่อมยามเดินกลับบ้านหลังโรงเรียนเลิก เขาเลือกจอดจักรยานตรงซอยด้านหน้าและหันหลังกับไปมองก็เห็นเด็กผู้ชายคนนั้นเซเล็กน้อย ถ้าให้เขาจินตนาการก็คงเหมือนโดนเพื่อนผลักแบบหยอกเล่น แต่นี่คือเด็กคนนั้นเดินคนเดียว
   “มันเจ็บนะ !” เสียงที่ดังกว่าปกติทำให้ธีร์สะดุ้งและรีบปั่นจักรยานข้ามถนนเข้าซอยไปอีกด้านเพราะบ้านของเขาแค่ข้ามซอยตรงข้างโรงเรียนแห่งนี้ก็ถึงแล้วอยู่ติดถนนใหญ่ เปิดประตูรั้วเข็นจักรยานเข้าบ้านก็เห็นแม่กับพ่อกำลังพูดคุยกันหน้าเครียด
   “พวกเราไม่จำเป็นต้องย้ายเลยสักนิด ใครจะย้ายก็ย้ายไป ตราบใดที่ฉันยังเชื่อว่าโรงเรียนยังเปิดสอนอยู่ฉันก็จะอยู่ที่บ้านหลังนี้” เสียงของแม่ทำให้ธีร์หันไปมองด้วยความฉงน
   “แต่คุณก็เห็นว่าฝั่งเราแทบจะไม่มีใครอาศัยอยู่กันแล้ว เราจะอยู่กันทำไม ผมแค่ให้ย้ายไปอีกฝั่งนะ” พ่อของเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามอธิบายมากกว่าจะใช้อารมณ์
   “แม่ของฉันจบจากโรงเรียนนี้ และฉันก็จบจากโรงเรียนนี้ เราเรียนมารุ่นเดียวกันนะ ตราบใดที่เด็กคนนั้นยังคงเดินเข้าออกโรงเรียนอยู่ฉันเชื่อว่าสักวันทุกคนต้องเห็นเหมือนที่ฉันเห็น แม้แต่คุณที่เคยเชื่อมั่นก็หมดความเชื่อไปแล้ว” ธีร์รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากที่แม่เขาน้ำตาคลอเดินขึ้นห้องไป และพ่อของเขาก็ทรุดนั่งลงบนโซฟาเหมือนคนหมดแรง
   “จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะลูก” เขาไม่ได้ตอบรับอะไรเพียงแค่เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น
   ภายในห้องนอนที่ประกอบไปด้วยตู้เสื้อผ้า ชั้นวางหนังสือการ์ตูนและหนังสือต่าง ๆ คอมพิวเตอร์ โต๊ะเขียนหนังสือและเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง ไม่มีห้องน้ำเพราะที่บ้านของเขามีห้องน้ำอยู่ชั้นล่างเพียงห้องเดียวแยกกันกับห้องอาบน้ำ ที่จะอยู่ถัดจากห้องน้ำที่เดินประมาณห้าก้าวก็ถึง เปิดตู้เสื้อผ้าเลือกเสื้อยืดสีน้ำตาลลายต้นไม้สีขาวกับกางเกงขาสามส่วนมาใส่ ตอนนี้เป็นหน้าร้อน แต่สำหรับประเทศนี้ไม่ว่าจะเดือนไหนก็หน้าร้อนตลอดเวลาอยู่แล้วดังนั้นขาสามส่วนน่าจะเหมาะที่สุด เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือใกล้หน้าต่างที่หันไปทางโรงเรียนร้าง หยิบกล้องส่องทางไกลในลิ้นชักขึ้นมาส่องภายในโรงเรียนและก็หน้าโรงเรียนอย่างที่ทำเป็นประจำ
   งานอดิเรกของธีร์คือการสังเกตและจดบันทึกเรื่องราวของตัวเองกับโรงเรียนอนุสร โรงเรียนที่แม่เล่าว่าเมื่อก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศแต่ตอนนี้แทบจะกลายเป็นโรงเรียนร้างไปแล้ว ที่เขาเรียกว่าแทบจะกลายเป็นโรงเรียนร้างเพราะตั้งแต่จำความได้เขาเห็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนั้นใส่ชุดนักเรียนเดินเข้าออกมาตลอด จากนั้นความสงสัยก็กลายเป็นความอยากรู้เขาจึงมักแอบสอดส่องและจดบันทึกเรื่องที่เขาเจอหรือเห็นภายในโรงเรียนแห่งนี้ตลอด แน่นอนว่าการจดบันทึกทุกวันของเขาจดในสมุดบันทึกที่เกินครึ่งของชั้นวางหนังสือมีแต่เรื่องราวที่เขาบันทึกไว้ในแต่ละวันเต็มไปหมด
   ธีร์ใช้เวลาสำรวจโรงเรียนตรงข้างบ้านอยู่เกือยสิบห้านาทีหลังจากก้มเขียนไปเงยหน้ามองผ่านกล้องไปเขาก็ได้บทสรุปว่าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่น ๆ เท่าไรนัก แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นเด็กผู้ชายที่เขาแอบมองมาตลอดช่วงอายุของเขาก็ต้องวางมือจากทุกอย่างและวิ่งออกจากบ้าน ตะโกนบอกแม่แค่ว่าจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพียงเท่านั้น สวมรองเท้าได้ก็วิ่งออกไปโดยคิดว่าจักรยานอาจทำให้ช้า ใช้เวลาไปถึงห้านาทีก็ถึงประตูอลูมิเนียมบานใหญ่ที่เริ่มผุพังตามกาลเวลา เหมือนกับป้ายโรงเรียนที่ตอนนี้ตัวอักษณเลือนหายไปเกือบหมดแล้ว
   “เอาไงดีวะ” พึมพำกับตัวเอง แต่เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เขาเห็นเด็กคนนั้นย้อนกลับเข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้ในเวลาเกือบห้าโมงเย็น เทียบเวลาแล้วเขาเลิกเรียนวันนี้เกือบสี่โมงเย็นในขณะที่เด็กคนนั้นเลิกเรียนตอนบ่ายสามโมงครึ่ง แต่ขนาดที่เขามาสวนทางกับเด็กคนนั้นช้าแล้ว และกลับบ้านไป แต่ทำไมเวลานี้เด็กคนนั้นกลับเดินย้อนกลับมาในชุดนักเรียนอีกครั้ง
   “เป็นไงเป็นกัน ขออนุญาติเข้าไปนะครับ” ธีร์ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องขออนุญาติแต่ในใจเขารู้สึกว่าต่อให้โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนร้างอย่างที่คนเขาลือกัน หรือเรื่องลี้ลับที่เพื่อน ๆ ของเขาชอบมาเล่าให้ฟังหลังมาพิสูจน์ความกล้าที่นี่ยามค่ำคืน ทำให้เขาต้องเอ่ยขออนุญาติ เขาไม่ได้จะมาพิสูจน์ความกล้าหรือท้าทายอะไรก็แค่อยากเข้าไปดูให้แน่ใจว่าเด็กคนนั้นมาทำอะไรที่โรงเรียนอนุสรตอนเย็นแบบนี้
   “เสียงอะไรวะ” ธีร์รู้สึกว่าวันนี้เขาเริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นมากผิดปกติ ยิ่งเพราะจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนเหล็กกระทบกันตอนที่มือของเขาสัมผัสกับประตูอลูมิเนียมบ้านใหญ่ มันเป็นเสียงเหมือนคนปลดกลอนประตูอย่างไหนอย่างนั้นเลย
   ขายาวก้าวเขาไปอย่างไม่ลังเลเมื่อเปิดประตูเข้ามา เขาสังเกตบริเวณรอบโรงเรียนอย่างสนใจ เป็นเวลากว่าสิบปีที่เขาเริ่มสังเกตโรงเรียนแห่งนี้และจดบันทึกทุกวันสนามหญ้าของโรงเรียนนี้ไม่เคยรกทึบเลย แต่มันเหมือนถูกดูแลอยู่เป็นประจำมากกว่า ตัวอาคารไม้หลังใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ตรงหน้ามีทางเดินทะลุไปด้านหลังที่เขาเห็นว่ามีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่และอาคารไม้ทรงร่วมสมัยที่ยังคงดูใหม่อยู่อีกด้านของสนามฟุตบอล ที่ด้านซ้ายของอาคารไม้ขนาดใหญ่นี้มีสนามเด็กเล่นที่คงมีไว้สำหรับให้เด็กนักเรียนชั้นประถมเล่นระหว่างรอผู้ปกครอง
   “ทำไมที่ดูเก่ามีแค่กำแพง ป้ายชื่อ และประตูที่ด้านนอกวะ” มันน่าสงสัยจะตาย อะไรทำให้โรงเรียนที่คนบอกว่าร้างถึงได้ดูเหมือนโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนเข้าออกโรงเรียนเป็นประจำทุกวัน และถูกดูแลอย่างสม่ำเสมอ ไม่เหมือนกับที่เพื่อนเขาพูดเลยสักนิด อันนี้เป็นเรื่องน่าสงสัยมาตั้งนานแล้วเพื่อนวัยเดียวกับเขาชอบมาพิสูจน์ความกล้าและมักพูดว่ามีแต่หญ้ารกทึบกับอาคารไม้เก่า ๆ ซอมซ่อ แต่ที่เห็นตรงหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับโรงเรียนที่ดูแลแค่ด้านในกำแพงมากกว่าไปดูแลกำแพงเสียอีก และเพราะกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่สงสัยและตัดสินใจว่าจะเดินผ่านอาคารไปดีไหม ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือมาสะกิดอยู่ด้านหลัง
   “มีอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อหันมาแล้วธีร์ก็พ่นลมหายใจออกมา เขาคิดว่าอาจจะเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ไม่ใช่เป็นเด็กผู้ชายที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตามาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเราสองคนจะไม่เคยคุยกันเลยก็ตาม
   “คือ” เป็นเพียงคำเดียวที่หลุดออกมาจากปาก ธีร์ไม่อาจหาคำพูดใด ๆ ออกมาอธิบายได้
   “ไม่เอาไม่แกล้งเขาสิ เอ่อ ผมหมายถึงพี่มีธุระอะไรที่โรงเรียนนี้หรือเปล่าครับ ?” เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนมัธยมปลายพูดพลางเอียงคอสงสัย
   “ไม่มีอะไรครับ คือพี่หลงทางเข้ามา” เด็กหนุ่มตัวสูงพูดรัวและเร็ว อาจเพราะอากาศที่ร้อนขึ้นหรือเพราะคำโกหกทำให้รู้สึกไรผมชื้นไปด้วยเหงื่อ ด้วยกลัวว่าเด็กผู้ชายตัวเล็กนี่จะจับโกหกได้
   “หลงทาง ? อ๋อ สงสัยผมเปิดประตูทิ้งไว้ ไปกันเถอะครับ พอดีเพื่อนของผมลืมการบ้านเลยมาเอาเป็นเพื่อน” ธีร์รู้สึกโล่งใจแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เพื่อนลืมการบ้าน ? แต่เขาไม่เห็นใครสักคนบริเวณนี้เลยนะนอกจากเขาและก็เด็กคนนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
   “พี่อยู่แถวนี้หรือครับ ผมเห็นพี่ทุกวันเลย เราสวนกันหน้าโรงเรียนเป็นประจำ พี่ปั่นจักรยานและผมก็เดิน” เหมือนเด็กคนนี้จะกลัวว่าระหว่างที่เดินออกไปหน้าโรงเรียนจะเงียบเกินไปเลยชวนเขาคุย แต่เขาก็สังเกตนะว่าเจ้าตัวหันไปกระซิบกระซาบบริเวณที่ว่างข้างตัวและหัวเราะคิกคักด้วย
   “อ่อครับ อยู่ตรงข้ามซอยข้างโรงเรียนนี่เอง น้องเรียนที่นี่หรือครับ ?” อันที่จริงน้องเขาอยู่ในชุดนักเรียนที่ปักชื่อโรงเรียนอนุสรก็คงจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับน้องเขาสักเท่าไร จากที่เมื่อก่อนเคยคิดว่าถ้ามีโอกาสคุยกันจะทำความรู้จักด้วย แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะทำความรู้จักแบบไหน
   “ใช่ครับ” คนที่อยู่ในชุดนักเรียนตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะหัวเราะออกมาจนธีร์หันไปมอง
   “เอ่อ ไม่มีอะไรครับผมแค่คิดเรื่องตลกเฉย ๆ” ส่ายหัวจนผมรองทรงสะบัดไปมา แต่สำหรับธีร์เขาคิดว่าเขาคงชอบเด็กคนนี้จริง ๆ แล้วล่ะ ยอมรับกันตรง ๆ แรก ๆ เขาอาจจะมองเพราะความสงสัย เปลี่ยนมาเป็นอยากรู้อยากเห็น และแปรเปลี่ยนเป็นความชอบ นึกถามตัวเองบ่อยครั้งว่าที่พยายามออกจากบ้านให้ทันเวลา กลับบ้านตรงเวลา จับเวลาที่จะได้เจออีกฝ่ายกี่โมงเป็นประจำมาสามปีแล้ว นี่คงเป็นคำตอบแล้วล่ะว่าเขาตกหลุมรักเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนี้
   “น้องชื่ออะไรครับ พี่ชื่อธีร์” ธีร์คิดว่าเด็กคนนี้อาจจะยิ้มและไม่ตอบแต่ผิดคาดที่น้องเขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มเต็มแก้มและบอกชื่อของตัวเองออกมาเสียอย่างนั้น
   “ชื่อขรรค์ครับ ขรรค์ที่เป็นอาวุธคม ๆ น่ะ” ไม่บ่อยนักที่เด็กหนุ่มจะเจอใครที่บอกชื่อตัวเองพร้อมอธิบายว่าชื่อของตัวเองความจริงความหมายเป็นอย่างไร
   “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมไม่ค่อยได้คุยกับคนละแวกนี้เลย เพื่อนผมก็ด้วย เอ่อ พี่คงมองไม่เห็น” ประโยคที่ดูดีใจค่อย ๆ เบาลงในตอนท้าย แต่ธีร์ก็รู้สึกว่าเหมือนเด็กคนนี้คงเหงา
   “สักวันพี่ก็คงเห็นเพื่อนของขรรค์เหมือนที่พี่เห็นขรรค์นะครับ” คงไม่มีใครยกมือลูบหัวเด็กที่เพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรกเป็นการปลอบประโลมหรอก ขรรค์ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากยิ้มเต็มแก้มให้เท่านั้น ก่อนจะแยกกันที่หน้าโรงเรียนเพื่อเดินกลับบ้านของตัวเอง
   “บอกแล้วว่าเขาชอบแก” เมื่อลับตาจากพี่ชายที่เพิ่งรู้จัก ด้านข้างของเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนมัธยมปลายก็ปรากฏเด็กผู้หญิงผมเปียในชุดนักเรียนพูดหยอกเพื่อนของเธอ
   “อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ว่าเห็นฉันแต่ไม่เห็นแกนี่แปลก ๆ นะ คนที่นี่นอกจากคุณน้าผู้หญิงที่มักบังเอิญเจอกันแล้ว คนแถวนี้ก็ไม่มีใครเห็นฉันเลยนะ แปลกจัง” คำพูดของเพื่อนทำให้เด็กผู้หญิงหัวเราะออกมา   
   “ก็แกเป็นลูกครึ่งนี่ ไม่เหมือนพวกฉันสักหน่อย คิดถึงสมัยที่พ่อแม่พวกเราเรียนแล้วยังมีมนุษย์เรียนอยู่เนอะ และตั้งแต่ที่คุณปู่นายเสียก่อนนายเกิด ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนมาเรียนอีกเลย” เด็กสาวพูดขึ้น เธอได้ยินเรื่องเล่าจากปากของมารดามานานมากแล้ว สมัยที่มารดาของเธอยังเป็นนักเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้
   “ตราบใดที่พวกเขาไม่เชื่อ เราก็บังคับไม่ได้หรอกนะ เวล” ขรรค์บอกเพียงเท่านั้นก่อนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกนอกจากเดินกลับบ้านของตัวเอง

( อ่านต่อด้านล่าง )

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
( ต่อ )

        “ธีร์ โทรศัพท์ !” เสียงของแม่ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่างทำให้ทีที่กำลังหลับสบายต้องเด้งตัวตื่นรีบวิ่งออกจากห้องไปรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
   “สวัสดีครับ” คว้าหูโทรศัพท์บ้านที่อยู่ในมือแม้มาพูดอย่างรวดเร็ว
   “พี่กำลังจะออกจากบ้านครับ ได้ครับ เดี๋ยวเจอกันครับ” หลังจากตกลงอะไรกันเรียบร้อยธีร์ก็วางหูโทรศัพท์บ้านลงและรับวิ่งกลับขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาอาบน้ำไม่ทันแล้ว
   วันนี้เขามีนัดกับขรรค์ไปเที่ยวกัน หรือเรียกอีกอย่างว่าเดท หลังจากที่เรารู้จักกันได้ประมาณหนึ่งเดือนธีร์ก็พอจะมองออกว่าน้องเขาพอมีใจให้กันบ้างก็เลยแลกเบอร์โทรศัพท์บ้านกัน และชวนกันเที่ยววันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดแต่เพราะเมื่อคืนเขามัวแต่เล่นเกมกับเพื่อนหลังจากไม่ได้เล่นมานานทำให้นอนตื่นสาย ไม่มีใครรู้ว่าเขากับขรรค์รู้จักกันได้อย่างไร เขาไม่เคยบอกเพื่อนว่ากำลังจีบใคร แม้เพื่อนจะสงสัยว่าทำไมหมู่นี้เขาอารมณ์ดีผิดปกติก็ตาม รายการเที่ยววันนี้ก็เป็นเพียงแค่ไปเที่ยวสวนสนุกกันเพียงเท่านั้น อันที่จริงน้องบอกว่าอยากไปสวนสนุกแต่ไม่เคยได้ไปสักที
   “แม่เดี๋ยวผมกลับมาเล่าให้ฟังบอกพ่อด้วยไม่ต้องไปรับผมนะ” ธีร์ใส่รองเท้าพร้อมทั้งบอกแม่ที่ยืนรอฟังคำตอบ แต่เขาก็ไม่มีเวลาอธิบายนอกจากรีบวิ่งออกจากบ้านให้ทันไปถึงหน้าโรงเรียนอนุสรก่อนน้อง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาช้าเสียแล้ว เพราะเห็นน้องยืนอยู่หน้าโรงเรียนกับผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกันเพียงแต่ดูมีอายุมากกว่า น่าจะเป็นแม่ของน้องเขา
   “สวัสดีครับ” ธีร์พนมมือไหว้อย่างทำความเคารพ เขามองขรรค์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลเข้มลายกระต่ายสีขาว ใส่กางเกงยีนส์สีขาวและรองเท้าผ้าใบสีเทา ต่างจากเขาที่ใส่ผ้าใบสีขาวและเสื้อยืดลายทางกับกางเกงสามสวนสีดำเท่านั้น
   “สวัสดีค่ะ ฝากน้องด้วยนะคะ ขรรค์อย่าดื้อกับพี่เขารู้ไหม” ธีร์มองสองแม่ลูกนี่คุยกันอยู่สักพัก ก่อนจะเห็นขรรค์พยักหน้าสองสามทีและก็เดินไปที่ป้ายรถประจำทางกับเขา และก็ไม่วายหันไปโบกมือให้มารดาตัวเอง เขาก็ทำเพียงแค่ก้มหัวให้เท่านั้น
   “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราน่ารัก แม่สวยขนาดนี้นี่เอง” วันนี้เขาได้รู้อีกหนึ่งอย่างแล้วว่าสาเหตุที่ขรรค์หน้าตาน่ารักขนาดนี้นั้นคงได้มาจากคุณแม่ของเจ้าตัวแน่ ๆ เพราะภาพยามยิ้มแย้มของผู้หญิงใจดีนั้นยังตราตรึงในใจเขาอยู่เลยแม้เจอเพียงครู่เดียวเท่านั้น เห็นใบหูคนตัวเล็กกว่าขึ้นสีเข้มก็อดยิ้มไม่ได้ เวลาน้องเขินมักจะหูแดง
   “แม่เป็นห่วง และก็อยากมาเห็นพี่ด้วย ปกติผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนหรอก” ขรรค์พูดเบา ๆ เขาอยากออกไปเที่ยวมานานแล้ว เพราะที่บ้านเขานั้นแค่ซุปเปอร์มาเก็ตก็เพียงพอกับการดำรงชีวิต ดังนั้นนอกจากกล่องสีเหลี่ยมที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกและวิวัฒนาการแล้ว สิ่งจำเป็นอย่างอื่นที่พ่อกับแม่ทดแทนให้เขาก็คือโรงเรียนในมุมที่คนอื่นไม่เคยเห็น
   “อย่างนั้นก็ไปเป็นครั้งแรก เดี๋ยวพี่พาเราเที่ยวเอง ไปกันเถอะรถมาแล้ว” เมื่อได้รถประจำทางสายที่ต้องการ ทั้งสองคนจึงเดินขึ้นไป เนื่องจากเป็นเวลาเร่งรีบยามเช้าแม้จะเป็นวันอาทิตย์แต่คนก็เยอะพอสมควรทำให้ทั้งสองคนต้องยืนโหนรถเมล์ ธีร์ซึ่งมักจะได้ยืนบนรถประจำทางบ่อย ๆ เวลาไปเที่ยวกับเพื่อน แต่กับขรรค์ที่ดูตื่นเต้นนั้นน่าเอ็นดู เพราะเจ้าตัวเอื้อมมือจับห่วงไม่ถึง
   “จับมือพี่ก็ได้ ไม่ต้องกลัวล้ม” ธีร์แบมือออกมาทำนองว่าถ้าอยากจับก็วางมือลงมา เขาเห็นน้องคิดหนักจนจนลดมือลงก็รู้สึกถึงสัมผัสจากมือนุ่มเป็นครั้งแรก มือน้องนุ่มมาก นุ่มกว่ามือของเขาที่มักจะต้องผสมปูน ก่อ ฉาบเสียอีก
   “พี่ต้องนั่งรถประจำทางเป็นประจำหรือ” ขรรค์ถามด้วยความอยากรู้ แม้ตอนนี้พวกเขาจะลงจากรถประจำทางกันแล้วแต่มือก็ยังคงจับกันอยู่ น้องให้เหตุผลว่ากลัวหลงไม่เคยออกนอกบ้านมาไกลขนาดนี้
   “เฉพาะเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะครับ ไปซื้อบัตรกันเถอะ” ธีร์พูดพลางเดินไปต่อแถวที่บริเวณขายบัตรเข้าสวนสนุก สวนสนุกแห่งนี้เป็นส่วนสนุกเพียงแห่งเดียวในเมืองที่เขาอยู่และอยู่มานานกว่ายี่สิบปีแล้ว มีการเปลี่ยนเครื่องเล่นและซ่อมแซมอยู่สม่ำเสมอ และเขาก็เคยมาบ่อย ๆ สมัยเด็ก
   “ขอเป็นแพคเกจครับ” ธีร์บอกความต้องการออกไป ตอนแรกคิดว่าจะซื้อเป็นบัตรผ่านเขาสวนสนุกแต่คิดไปคิดมาเผื่อน้องอยากเล่นสนุก ๆ ก็เลยเอาเป็นแพคเกจดีกว่า
   “ขอบคุณมากครับ” หลังจากจ่ายเงินเสร็จสรรพก็ได้เป็นตั๋วขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนมาสองใบ เขาพาน้องเดินไปหาเจ้าหน้าที่ ยื่นตั๋วให้ก็ได้สายรัดข้อมือสีแดงมาสองเส้น ให้น้องเส้นหนึ่งและพากันเดินเข้าด้านใน
   “โอ้โห เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ ของจริงใหญ่มาก” ธีร์ยิ้มขำ เขามองขรรค์ที่วิ่งไปมองดูตรงนู้นทีตรงนี้ทีอย่างตื่นเต้น เขาไม่เคยเห็นเด็กอายุสิบเจ็ดปีที่มีปฏิกิริยากับสวนสนุกเหมือนเด็กอายุห้าหกขวบแบบนี้มาก่อนเลย
   “ป่ะเริ่มจากอะไรดีครับ”สำหรับธีร์ทั้งหมดนี้ขออย่างเดียวอย่าเป็นไจแอนท์ดรอป ที่ต้องนั่งขึ้นไปสูง ๆ ทำใจไม่ถึงนาทีก็ถูกพาลงมาอย่างเร็วจนลืมหายใจ
   “นั่น” มองตามนิ้วที่ชี้ไปก็ต้องตบหน้าผากตัวเอง สิ่งที่ขอไม่เป็นจริง
   “พี่รู้ไหมผมอยากเล่นไอ้เจ้าเครื่องเล่นนี่มานานแล้ว” ชิงช้าสวรรค์ กระเช้าลอยฟ้า รถไฟเหาะ และอีกมากมาย นี่น้องขรรค์ไม่สนใจมันหน่อยหรือครับ อย่างน้อย ๆ สกายโคทเตอร์ที่ด้านซ้ายน้องขรรค์จะได้ดูมีตัวตนในสายตาน้องบ้าง ไจแอนท์ดรอปนี่เดินไกลมากนะครับ
   “ครับอย่างนั้นเริ่มจากเจ้านี่เนอะ” แต่สุดท้ายแล้วธีร์ก็ไม่อาจขัดใจน้องได้อยู่ดี จะว่าอย่างไรดีเห็นประกายความสุขที่ได้มาเปิดโลกกว้างเขาก็ขอตามใจให้เต็มที่แล้วกัน
   “สูงมาก มันต้องมองเป็นเมืองทั้งเมืองแน่ ๆ” เสียงพูดเจือยแจ้วไม่หยุดจากคนตัวเล็กข้าง ๆ ทำให้ธีร์ยิ้มได้นิดหน่อย คนที่ส่วนสูงน้อยกว่าเขากำลังแหงนหน้ามองเครื่องเล่นนรกที่กำลังจะสังหารเขาในอีก สาม สอง หนึ่ง
   “ถึงคิวเราแล้ว เย้” ธีร์ไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกลากไปยังที่นั่งที่เจ้าตัวเล็งไว้ตั้งแต่มีคนเล่นสองรอบที่แล้ว ไจแอนท์ดรอปอันนี้หนึ่งรอบจะนั่งได้ทั้งสิ้นสิบหกคน ด้านละสี่คน และเหมือนเจ้าตัวจะอยากนั่งคู่กลางทำให้เด็กผู้ชายสองคนที่ดูท่าจะเป็นแฟนกันต้องนั่งแยกกัน ขนาดที่เขาสะกิดให้ขรรค์รู้ตัวเจ้าตัวก็ดูไม่ใคร่สนใจ นอกจากขาที่ลอยเหนือพื้นจากความสูงแกว่งไปมา
   ขรรค์และธีร์ไม่ได้พูดอะไรกันอีกนอกจากคนตัวสูงจะยื่นมือไปจับมือน้องที่เกาะอยู่ตรงแผงกันเหล็กที่เมื่อคนครบก็เลื่อนทับตัวผู้เล่น ยิ่งตอนที่มันค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆเขายิ่งรู้สึกมือที่ชื้นเพิ่มมากขึ้น และอีกหนึ่งความรู้สึกคือน้องกระชับมือเขาเอาไว้ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงจุดสูงสุด เขาได้ยินเสียงคนข้าง ๆ ร้องอย่างดีใจที่เห็นเมืองในมุมกว้าง ส่วนตัวเขานั้นขอมองแค่ท้องฟ้าก็พอแล้ว ชั่ววินาทีจากที่อยู่จุดสูงสุดของเครื่องเล่น มันก็ดิ่งลงด้วยความเร็วจนชะลอเมื่อถึงพื้น เป็นช่วงวินาทีที่ธีร์สาบานได้เลยว่าเขาแทบลืมหายใจ ได้แต่แหกปากออกไปเพราะความรู้สึกตีมวนที่ท้อง ส่วนคนข้าง ๆ เขาก็ขำอย่างมีความสุขที่ได้เล่นเครื่องที่อยากเล่นสมใจ
   “เราไปเล่นอันไหนต่อกันพี่ธีร์” ไม่ทันให้เขาได้ฟื้นฟูพละกำลังที่สูญเสียไปกับเจ้าเครื่องเล่นนรก ขรรค์ก็พาเขาเข้าบ้านผีสิงต่อทันที ถือว่าเป็นโชคดีที่เขาไม่กลัวผีและก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร ธีร์กับเพื่อนเล่นบ้านผีสิงกันทุกครั้งที่มาอยู่แล้ว
   “ระวังจะตายโดยไม่รู้ตัวมนุษย์น่าโง่” ธีร์หันไปมองด้านหลัง แต่ก็ไม่เห็นใคร นอกจากคนที่เล่นบ้านผีสิงที่เข้ามาด้วยกันและเดินออกไปแล้ว
   “พี่ธีร์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ขรรค์ถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นคนที่พามาเที่ยวเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง
   “ไม่มีอะไรครับสงสัยพี่หูฝาดไป ไปเล่นอย่างอื่นกันต่อเถอะ” เขาไม่รู้ว่าคนพูดเป็นใครและมีจุดประสงค์อะไร แต่การมาบอกว่าระวังจะตายแต่ต่อท้ายว่ามนุษย์ มันน่าตลกจะตาย คนพูดก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน และมาพูดแบบนี้จะให้เขาเครียดเป็นกังวลก็ใช่ที่
   ธีร์และขรรค์ก็เข้าเครื่องนั้นออกเครื่องนี้ ไปม้าหมุน ต่อชิงช้าสวรรค์ นั่งกระเช้าลอยฟ้า เข้ากระสวยอวกาศ รถไฟเหาะ และอีกสารพัดเครื่องเล่นเสียว ๆ ชวนขย้อนน้ำย่อยออกมาทักทายโลกกว้างและเรียกเสียงกรีดร้องอย่างสนุกสนานจนลืมเวลา ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเล่นเพียงครึ่งเดียวและพักกินข้าวกลางวันก่อนเล่นต่อ แต่ไป ๆ มา ๆ รู้สึกตัวอีกทีก็บ่ายสองโมงกว่าแล้ว ธีร์ซึ่งเริ่มหมดแรงก็เริ่มเดินเอื่อย ๆ จนขรรค์เห็นจึงเดินเข้ามาถาม
   “พี่คงหิวข้าว แย่จังผมเล่นจนลืมเวลาเลย” ขรรค์หัวเราะแห้ง ๆ เมื่อนึกได้ว่าตนทำให้คนพามาเที่ยวหิวข้าวจนหมดแรง
   “เราจะเล่นอะไรอีกไหมครับ พี่เล่นต่อได้ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะได้กลับกันเลย” ธีร์คิดว่าไหน ๆ ก็เล่นเพลินขนาดนี้ เล่นทีเดียวแล้วกินข้าวค่อยกลับก็คงไม่เลวเลยทีเดียว พวกเขาก็อึดใช่เล่นเลยนะ เล่นกันแป๊ปเดียวก็ครบหมดแล้ว เหลืออย่างเดียวก็คือรถไฟชมสวนสนุกเท่านั้น
   “กินข้าวก่อนก็ได้ จะได้นั่งย่อยตอนนั่งรถไฟ” ขรรค์ยิ้มเต็มแก้ม หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินจับมือกันไปยังศูนย์อาหารของสวนสนุกทันที คนอายุน้อยกว่าก็เดินแกว่งมือไปตลอดทาง ธีร์อดคิดไม่ได้ว่าขรรค์เคยรู้สึกเหงาบ้างไหมที่อยู่คนเดียว แต่เท่าที่เขามองอีกคนมาตลอด ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีเพื่อนไม่น้อยเลย แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นก็เถอะ
   “เราจะกินอะไรครับ” ใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงศูนย์อาหาร ด้วยเพราะมันใกล้กับเครื่องเล่นอันล่าสุดที่เขากับน้องเล่นมาทำให้ไม่ต้องเดินไกลมาก ถึงที่นี่จะมีศูนย์อาหารบริการถึงสองจุดก็ตาม
   “เอาไก่ทอด กับเนื้อย่างครับ” หลังจากน้องสั่งแล้วธีร์จึงเห็นว่ามันมีเป็นชุดอาหาร จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนกับพนักงานสั่งเป็นชุดมานั่งกินแทน น่าจะอิ่มกว่าที่คนอายุน้อยสั่งไปในตอนแรก
   “กินด้วยกันเผื่อเราไม่อิ่ม” ธีร์อธิบายน้องเมื่อน้องหันมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะจ่ายเงินและเดินจูงมือน้องไปนั่งที่โต๊ะริมกระจก รอพนักงานมาเสิร์ฟชุดที่สั่งไป
   “พี่มาเที่ยวบ่อยหรอ ดูชำนาญไปหมดเลย” ขรรค์เอ่ยถามก่อนจะเปลี่ยนมาเท้าคางมองคนตรงหน้าแทนวิวด้านนอก ใจจริงอยากถามว่ามาเที่ยวกับแฟนบ่อยหรือเปล่า แต่คิดว่าคงไม่เหมาะเพราะพวกเขาก็เพิ่งรู้จักกันได้เดือนเดียว ถึงเวลเพื่อนสาวของเขาจะบอกว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกับเขาก็เถอะ แต่ของแบบนี้มันก็ต้องได้ยินเองถูกไหมล่ะ
   “บ่อยครับ เมื่อก่อนมาเกือบทุกเดือนเลย แต่ส่วนใหญ่จะซื้อแบบบัตรผ่านและเลือกเล่นเป็นอย่าง ๆ ไป นอกจากปิดเทอมถึงจะซื้อแบบแพคเกจเหมาจ่ายแบบนี้” ธีร์พูดด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงสมัยมัธยมต้นที่เขากับเพื่อนมักมาเที่ยวที่นี่เหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง อาจจะเพราะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำเขาเลยจำมันได้มากเป็นพิเศษ
   “อย่างนั้นหรอ” ธีร์หันมามองน้องที่แววตาวูบไหวไปพักหนึ่ง เขาเองก็ไม่เคยมีแฟนแบบจริงจัง นอกจากคุยกันคบหากันแบบเรื่อยไป ถ้าไปด้วยกันได้ก็คบแบบจริงจัง แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่เคยมีใครที่เขาคบได้จริงจังสักคน อาจเพราะเขาชอบผู้ชายก็เลยหายาก หรือว่าตกหลุมรักเด็กที่นั่งตรงข้ามมานานก็ไม่รู้
   “แต่ส่วนใหญ่มากับเพื่อนน่ะ ไม่ค่อยได้พาใครมาเที่ยวสวนสนุกหรอก โดยเฉพาะมาสองต่อสอง กับขรรค์น่ะคนแรก เพราะถ้าไม่มากับเพื่อนพี่มักมาคนเดียว” เห็นแววตาน้องกับมาเปล่งประกายอีกครั้ง เขาอยากลองดูสักครั้ง อย่างน้อย ๆ ถ้าน้องปฏิเสธเขาจะได้มีเวลาทำใจ
   “อาหารที่สั่งได้ครบแล้วนะครับ” พนักงานเดินมาเสิร์ฟอาหารที่สั่ง ทำให้ธีร์ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เขาสังเกตว่าพนักงานยกยิ้มมุมปากให้เขาด้วย ตั้งแต่รู้จักกับขรรค์มีเรื่องแปลก ๆ เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นจักรยานของเขาที่จู่ ๆ ก็บิดงออย่างหาที่มาที่ไปไม่ได้ หรือแม้แต่บางวันเรียนอยู่ก็ได้ยินเสียงคนพูดที่ข้างหู หรือบางวันที่ขรรค์นั่งซ้อนจักรยานไปตลาดท้ายหมู่บ้าน หรือไปสโมสรว่ายน้ำของหมู่บ้านก็มักได้ยินเหมือนคนพูดข้างหูตลอด หนักหน่อยก็เหมือนถูกชนจนล้มทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ใกล้เขาเลยสักคนเดียว
   “พี่ธีร์ พีธีร์” เสียงเรียกจากฝั่งตรงข้ามทำให้ธีร์ได้สติ
   “ครับ” ถามออกไปด้วยความสงสัยว่าน้องเรียกทำไม
   “ไม่กินหรือครับ ผมเห็นพี่เหม่อมาสักพักแล้ว” ขรรค์พูดจบก็กัดน่องไก่ในมือ สายตาก็ยังคงมองไปที่คนตัวสูงฝั่งตรงข้ามอยู่
   “กินครับ ขอโทษทีครับ” หลังจากนั้นทั้งสองก็กินข้าวเที่ยงจนเกือบจะเย็นไป ผลัดกันเล่าเรื่องราวสนุก ๆ ที่เคยพบเจอมาให้อีกฝ่ายหัวเราะ ทั้งสองคนมักจะเล่าเรื่องราวให้อีกฝ่ายฟังอยู่เสมอ ทั้งตอนที่เจอกันหน้าโรงเรียนอนุสร หรือไปซุปเปอร์มาร์เก็ตด้านข้างวิทยาลัยของธีร์ ไม่เว้นแม้แต่การไปตลาดหรือช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันแม้ไม่กี่นาทีพวกเขาก็เล่าเรื่องเสมอ บางครั้งธีร์ก็ปั่นจักรยานไปส่งน้องที่บ้าน แต่น้องมักจะไม่ซ้อนเพราะน้องบอกว่ามีเพื่อนไปด้วยเสมอ จากนั้นจึงกลายเป็นเขาเดินเข็นจักรยานไปส่งน้องที่บ้านเป็นกิจวัตรตลอดหนึ่งเดือน
   “อิ่มมาก ขอบคุณนะครับที่พามาเที่ยว วันนี้สนุกจริง ๆ” ขรรค์พูดข้นหลังจากนำถาดอาหารไปเก็บตรงที่เขาจัดไว้ให้เก็บภาชนะเมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
   “วันไหนอยากเที่ยวบอกพี่ จะไปที่ไหนพี่พาไปได้หมดเลย” ขรรค์รู้สึกเขินเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกไม่พูดอะไรออกไปนอกจากพยักหน้ารับเท่านั้น
   “ผมว่าวันนี้เรากลับกันดีกว่าไหมพี่ธีร์ ส่วนรถไฟค่อยมานั่งทีหลังก็ได้” ธีร์พยักหน้าเห็นด้วย เพราะเขาก็รู้สึกอยากกลับบ้านแล้ว จะว่าอิ่มท้องมันก็ใช่ แต่สำหรับวันนี้เขาอิ่มใจเพียงพอแล้ว ถ้าได้เล่นเครื่องเล่นอีกแม้อย่างเดียวไม่ว่าจะเบาหรือหนักแค่ไหน เขาอาจจะเอาของที่เพิ่งกินไปออกมา และก็อาจจะสำลักความสุขตายก็ได้ รอยยิ้มของขรรค์วันนี้สว่างสดใสกว่าทุกวันที่เขาเคยได้รับมา
   “อย่างนั้นก็ดีครับ เราก็กลับบ้านกันเนอะ” ธีร์พูดก่อนจะกระชับมือเขากับน้องและเดินออกจากสวนสนุกแห่งนี้ ภาพที่ทั้งสองคนเดินจับมือกันอยู่ภายใต้สายตาสองคู่ตลอดเวลา

( อ่านต่อด้านล่าง )

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
( ต่อ )

“แยกกันตรงนี้จะดีหรือ” ขรรค์รู้สึกขำเล็กน้อย วันนี้เขากับพี่ชายตัวสูงเถียงเรื่องกลับบ้านกันอีกแล้วแต่วันนี้มันดูจะนานกว่าเดิมเล็กน้อย เพราะคนตัวสูงยังคงไม่ยอมปล่อยให้เขากลับบ้านคนเดียวสักที
   “ดีสิครับ อีกอย่างมันเพิ่งห้าโมงเย็นเอง ไม่มีอะไรมาทำอะไรผมหรอกน่า พี่กลับเถอะครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ขรรค์ยืนยันคำเดิมจนธีร์ยกมือยอมแพ้และเอ่ยลากันเล็กน้อยก็เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งซึ่งเป็นบ้านของเจ้าตัว ขรรค์ยืนมองพี่ชายใจดีที่พาเขาไปเที่ยววันนี้จนอีกฝ่ายโบกมือและเดินเข้าบ้านไปก็หันหน้าเข้าหาประตูโรงเรียน
   “พวกฉันมารอนานแล้วนะ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย เจออะไรที่สวนสนุกไหม คุณลุงดารันบอกว่าเหมือนพวกมันจะไปที่สวนสนุกตามแฟนแกอยู่น่ะ” เด็กสาวผมเปียที่วันนี้อยู่ในชุดนักเรียนผูกไทด์กระโปรงสั้นสีน้ำเงิน อันเป็นชุดสำหรับใส่วันศุกร์ของโรงเรียนอนุสรแห่งนี้ ที่มือด้านขวาถือหอกปลายแหลมมีพู่สีน้ำเงินเข้มอยู่ตรงที่ด้ามต่อระหว่างปลายแหลมและด้ามจับ
   “ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสักน้อย ว่าแต่คุโฮก็มาด้วยหรอไหนว่ากลับบ้าน ?” หันไปมองเพื่อนสนิทอีกคนที่ยืนพึงประตูโรงเรียนอยู่ คุโฮเป็นผู้ชายผิวขาวตัวสูงโปร่งมักตัดผมสั้นอยู่เสมอ วันนี้เพื่อนสมัยเด็กคนนี้ใส่มาแค่กางเกงยีนส์ขาด ๆ สีกรมท่าและเสื้อยืดไม่มีลายสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวเท่านั้น
   “อีกเดี๋ยวก็เป็น ฉันรับประกันได้เลย กุญแจเรื่องนี้อยู่ที่แฟนแก ถ้าหมอนั่นขอแกคบก่อนก็ไม่มีอะไรต้องวุ่นวาย แต่ก็ไม่พูดสักที จนพวกมันยกโขยงมายืนหน้าสลอนขนาดนี้” ขรรค์ส่ายหัวให้กับเพื่อนอารมณ์ร้อนอย่างตรณทรัท ตรณทรัทเป็นลูกครึ่งเหมือนกับเขาเพียงแต่ไม่มีคนอื่นมองเห็นได้เพราะเจ้าตัวไม่อยากให้เห็น ผู้ชายตัวสูงกว่าคุโฮมีผิวสีเข้มตัดผมสกินเฮดและมักจะใส่เสื้อแจ๊คเก็ตกับกางเกงยีนส์เนื้อหนาสีดำเสมอ รองเท้าก็แล้วแต่อารมณ์เจ้าตัว แต่วันนี้ตรนทรัทใส่ผ้าใบ
   “เขาไม่พูดมันก็ช่วยไม่ได้ เขาไม่เชื่อฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ว่าทำไมรองเท้าแลดูเข้ากันเหลือเกิน คิดว่าวันนี้ต้องวิ่งหรอ ?” ขรรค์มองเพื่อนทั้งสามที่ใส่ผ้าใบกันทั้งหมดแม้จะคนละสีก็ตาม
   “จ้า แอบชอบเขามาตั้งแต่อนุบาล แกก็คงแอบชอบเขาต่อไป เขาไม่พูดแกก็พูดสิไม่เห็นจะยาก” เวลหญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มพูดหยอกล้อเพื่อนสนิทเล็กน้อย
   “พี่เขาไม่เชื่อว่าพวกนายมีตัวตนอยู่จริง ๆ แม้เขาจะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อเท่าไร” สำหรับขรรค์ซึ่งไม่เคยปิดบังว่ามีเพื่อนที่ไม่ใช่มนุษย์เขาพูดคุยกับเพื่อนตลอดแม้แต่ตอนที่ธีร์อยู่ด้วยกัน แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็อาจจะไม่เชื่อก็ได้
   “เข้าไปในโรงเรียนกันเถอะ ครูใหญ่ประกาศปิดเทอมกระทันหันไปแล้วจนกว่าเรื่องจะเรียบร้อย” ตรนทรัทพูดก่อนจะผลักประตูโรงเรียนเดินนำเข้าไป พอประตูโรงเรียนปิดทัศนียภาพทั้งหมดก็อยู่ในความมืดทันที
   “สวัสดีเด็กน้อย เหมือนว่าสิ่งที่พวกเรารอจะไม่มา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อ้อมค้อม เจ้าหนูส่งกุญแจทิพยอรุณมาได้แล้ว เก็บไว้ก็เท่านั้น ยี่สิบปีมานี้ไม่มีมนุษย์คนไหนเชื่อว่าพวกแกมีตัวตนกันแล้ว เพราะฉะนั้นส่งมันมาพวกฉันจะจัดการต่อเอง” ผู้หญิงชุดสีดำทาปากแดงพูดขึ้น หล่อนอยู่ในชุดเดรสคอเสื้อแบบไขว้ นั่งไขว่ห้างอยู่บนอากาศ
   “การที่คุณฆ่าคุณปู่ของผมเพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่ทางออก เพราะต่อให้เอาชีวิตของผมไปคุณก็จะไม่มีวันได้มัน” ขรรค์พูดขึ้น เขามีหน้าที่รักษาโรงเรียนนี้จนกว่าโรงเรียนอนุสรจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง พ่อของเขาพูดเอาไว้ก่อนท่านจะเสียว่ากุญแจดอกนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับตัวเขา และเชื่อมโยงกับเด็กอีกคนที่อยู่ข้างโรงเรียน ดังนั้นไม่ว่าจะต้องอดทนอีกกี่ปีเขาก็จะทำให้เจตนารมณ์ของคุณปู่ที่อยากให้โรงเรียนนี้เป็นที่อยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และภูตแห่งความรู้ สั่งสอนให้คนรุ่นต่อรุ่นได้รู้ว่าโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าองค์ความรู้ยั่งยืนอยู่ด้วย
   “ปากดีเหมือนพ่อแกไม่มีผิด แต่แม่ที่เป็นมนุษย์ของแกก็ช่างใจดำปล่อยให้ลูกทำหน้าที่ใหญ่โตคนเดียวทั้งที่ความจริงหล่อนเองก็เป็นถึงผู้พิทักษ์ของมนุษย์เชียวนา เอ๊ะ หรือว่าตามองไม่เห็นก็เลยทำอะไรไม่ได้ ช่างน่าสงสาร” ประโยคท้ายเบาลงเมื่อมีหนังสือรูปทรงใบไม้สิบห้าเล่มลอยค้างอยู่รอบตัวเธอ
   “ปากจะพูดอะไรก็ให้เกียรติแม่ของเพื่อนของฉันด้วยยัยป้าปากแดง ครั้งก่อนฉันฝีมือยังไม่เอาไหนเลยทำได้แค่หั่นผมป้าเล่น แต่วันนี้ฉันฟันคอป้าขาดแน่ ๆ ค่ะ” เวลเวล พูดขึ้นก่อนที่จะชี้หอกในมือไปทางศัตรู ในใจของเธอหมายมั่นว่าครั้งนี้เธอต้องชนะแน่นอนหลังจากได้ปะทะกันครั้งแรกเมื่อหกปีก่อน
   “โกรธเสียแล้ว แต่ขอโทษทีนะ ฉันไม่มีเวลามาก ถ้าไม่มอบให้ดี ๆ ฉันก็จะทำลายโรงเรียนนี้ซะแล้วก็หามัน” หล่อนพูดพลางดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวก็มีลูกน้องโผล่ออกมาจำนวนมาก
   “ขรรค์ถอยออกไปก่อน ตรงนี้พวกฉันจัดการเอง พัศราจอมโลภต้องถูกพวกฉันกำจัดภายในวันนี้นี่แหละ” ตรนทรัทพูดพลางดันหลังเพื่อนไปด้านหลังตัวเอง
   “ลุย !” ทั้งสองฝั่งต่างกระโจนเข้าหาพร้อมกัน เวลเวลสาวผู้ถือหอกแหลมควงอาวุธขณะกระโดดอยู่กลางอากาศก่อนจะตวัดวาดครึ่งรอบตัวเองสมุดรูปใบไม้ที่ลอยอยู่รอบตัวศัตรูก็พุ่งใส่ศัตรูเป็นหอกแหลมขนาดเล็กเข้าพร้อมกัน แต่พัศราก็สามารถกระโดดหลบได้ก่อนจะพุ่งตัวข้ามหลังเด็กสาวไป
   “ฉันไม่กระจอกนะเด็กน้อย” เป้าหมายของเธอในครั้งนี้ไม่ใช่เด็กที่ขวางหูขวางตาเธอมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นเด็กผู้ชายที่อยู่กับเด็กนี่มาตลอดหนึ่งเดือน
   “อย่าคิดว่ามันจะง่าย” คุโฮเคลื่อนตัวด้วยความว่องไวมาอยู่ตรงหน้าหล่อนก่อนหนังสือสีน้ำเงินเล่มหนาจะลอยอยู่หน้าเปิดหน้าออกและเถาวัลย์จำนวนมากก็พุ่งใส่หมายจะตรึงพัศราให้อยู่หมัดในครั้งเดียว
   “นั่นคือคำพูดของฉันต่างหาก” พัศราเบี่ยงตัวหลบเพียงนิดก็พ้นเถาวัลย์จำนวนมากแต่กลับต้องกระเด็ดติดกำแพงจากพลองเหล็กที่กระแทกสีข้างตัวเธออย่างจัง
   “อย่าได้คิดแตะต้องเพื่อนของฉัน” ตรนทรัทพูดพลางชี้อาวุธคู่กายไปที่คนที่ฟุบตัวอยู่ตรงกำแพง เขาเป็นคนเดียวที่ต่อสู้ด้วยพละกำลังไม่ใช่ไสยเวทย์ ยิ่งขรรค์แล้วนั้นต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ชรรค์ต่อสู้จริง ๆ ไม่ได้ แต่ไม่มีขรรค์พวกเขาก็สู้ไม่ได้เช่นกัน
   “แรงดีนี่เจ้าหนู แต่ว่านะมีคนที่พร้อมจะสู้กับแกแล้ว” พัศราพูดขึ้นตรนทรัทก็ต้องกระโดดกลับหลังหลบวิถีตรงของคนที่พุ่งตัวลงมาจากฟ้าด้วยความเร็วพร้อมพลองขนาดที่ใหญ่กว่าของเขาเกือบสามเท่า
   “ขรรค์ไปหลบก่อน” คุโฮตะโกนไปมองเพื่อนที่ยืนมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ตอนนี้เขาต้องตั้งรับศัตรูเก่าเสียแล้ว
   “สนใจฉันหน่อยสิ คุโฮ” เสียงนุ่ม ๆ เอ่ยขึ้นไม่ได้ทำให้คุโฮสนใจ
   “คนอย่างนายไม่มีสิทธิเรียกชื่อฉันเพตรา” และเพราะไม่มีอะไรต้องพูดมาก เมื่อหน้ากระดาษพลิกไปอีกสามหน้าลิ่มไม้ก็พุ่งตัวเข้าหาเพตรารอบทิศ แม้จะว่ากระโดดหลบไปทางไหนลิ่มไม้ก็ตามไปทุกทิศจนหัวไหล่ถูกเล่มไม้ขนาดเล็กสามอันพุ่งทะลุใส่ด้วยความเร็วจนเลือดไหล
   “จะหนีไปไหนไอ้คนทรยศ” พริบตาเดียวหญิงสาวก็มายืนอยู่หน้าเพื่อนเก่าแทนที่จะเป็นคุโฮ พวกเธอเปลี่ยนศัตรูจะจัดการกันชั่วคราว
   “รอบนี้ฉันไม่ให้นายหนีได้หรอกนะ” เวลเวลไม่รอช้าเคลื่อนตัวพริบตาปลายหอกก็สะบั้นคอเพตรากระเด็นในทันที ร่างของเพตราค่อย ๆ ไหม้ด้วยเพลิงสีดำเรื่อย ๆ และหายไป
   “นี่สำหรับที่แก้ทำเพื่อนฉันเกือบตาย” หญิงสาวพูดเพียงเท่านั้นก็พุ่งตัวขึ้นไปช่วยคุโฮจัดการกับพัศราที่ใช้ระบำพัดปัดป้องลิ่มไม้ของคุโฮ
   ส่วนตรนทรัทเจอศัตรูที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองเกือบสองเท่าแถมกระบองที่ใช้ก็ใหญ่กว่าของเขาเป็นสามเท่าทำให้รับมือได้ยาก เขาเริ่มเหนื่อยจากการวิ่งหลบวิถีพลองที่อีกฝ่ายพยายามฟาดเขาเรื่อยมา แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนพลังเต็มเปี่ยมความเหนื่อยหอบหายไป แสงสีทองอมเขียวคอย ๆ ซึมเข้าไปในตัว หันไปมองก็เห็นขันที่กำลังใช้เวทย์มนต์ หนึ่งในเวทย์มนต์หายาก แรร์เมจิค ฮิล
   “สรวงสวรรค์ผู้ประทานชีวิต โปรดมอบพลังให้อัศวินผู้ต่อสู้อยู่เบื้องหน้าข้า” หน้าผากของขรรค์ปรากฏเป็นใบไม้ครึ่งซีกสีทอง แววตาแน่วแน่
   “ฉันก็สู้ได้ ฉันจะไม่ยอมเป็นตัวถ่วงให้พวกนายหรอก” ขรรค์พูดพร้อมมองหน้าหนังสือที่เปลี่ยนไปก่อนจะแหงนหน้าขึ้นบนฟ้า หอกสีทองก็พุ่งลงมาเหมือนฝนดาวตก จนปีศาจตายเกือบหมด
   “ดันเป็นตัวที่ใช้เวทย์หายากเสียได้ อัตต์ มานี่” พัศราเรียกชายถือพลองอันใหญ่ขึ้นไปยืนข้าง ๆ
   “ถ้าแกเป็นคนที่ใช้เวทย์หายาก แกต้องรู้ใช้ไหมล่ะ เวทย์หายากอีกแบบน่ะ แบบที่มันตรงข้ามกับของแกน่ะ” พัศราพูดจบก็ยิ้มเย็น
   “แรร์เมจิค อย่างคิล ทำอะไรไม่ได้หรอก” ขรรค์พูดขึ้น เขาคือผู้ถือกุญแจแห่งโรงเรียนอนุสร เขาสืบเชื้อสายผู้พิทักษ์จากบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นเขาจึงยังมีชีวิตอยู่ไม่ไปไหน จิตใจและพลังวิญญาณอันแรงกล้าของคนรุ่นก่อนอยู่ที่ตัวเขาทั้งหมด แม้เขาจะสู้แบบตรนทรัทไม่ได้ ไม่ว่องไวเหมือนเวลเวล หรือเก่งกาจเฉกเช่นคุโฮ แต่เขาสามารถยับยั้งพลังเวทย์ต้องห้ามได้ทั้งหมด
   “แกถือหนังสือผนึกเวทย์มนต์อยู่สินะ” พัศราพูดก่อนจะมองตรงไปทางขรรค์ ไม่ทันได้ตั้งตัวพัศราก็ปรากฏตัวตรงหน้าขรรค์ เพื่อนของขรรค์ที่จะเข้าไปช่วยก็ไม่ทันเพราะชายถือพลองสกัดพวกเขาอยู่
   “ตายซะ ไปอยู่กับปู่และพ่อของแกนั่นแหละส่วนกุญแจฉันจะพังโรงเรียนและหาเอง” คมมีดที่จ้วงแทงหมายทะลุลำคอของขรรค์แต่ก็ได้เพียงเลือดซิบจากบุคคลปริศนาเท่านั้น
   “เป็นอะไรหรือเปล่า” ขรรค์ได้สติจากการตกใจเมื่อสักครู่ก็เห็นธีร์อยู่ตรงหน้า ที่ต้นแขนมีรอยเลือดอยู่
   “ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่” ขรรค์มองที่ตรงที่เขาอยู่กับธีร์ตอนนี้ห่างจากพัศราประมาณสามช่วงตัวคน และคิดว่าธีร์คงมองไม่เห็น
   “พี่เห็นเราจู่ ๆ ก็ยืนนิ่งอยู่ที่โรงเรียนพี่เลยมาดูทำไมไม่กลับบ้านล่ะ” ธีร์ลูบแก้มคนตัวเล็กกว่าเขาอย่างเป็นห่วง เพราะอะไรไม่รู้ทำไมเขาถึงเลือกจะหยิบกล้องส่องทางไกลส่องดูภายในโรงเรียน และก็เพราะเห็นขรรค์ยืนนิ่งอยู่นานเลยรีบมาดู สังหรณ์ใจของเขาบอกว่าถ้าเขาไม่มาเขาจะเสียเด็กผู้ชายคนนี้ไปตลอดกาล
   “พี่กลับบ้านเถอะ ที่นี่อันตรายนะครับ” ขรรค์พยายามพูดบอก
   “ขรรค์ พวกฉันไม่น่าจะไหวแล้วนะ ถ้ายังตัดคอยัยป้าปากแดงไม่ได้ พวกเราเสร็จแน่” เวลเวลพูดพลางยืนตั้งการ์ดอยู่ด้านหน้าเพื่อนตัวเองและมนุษย์ผู้ที่กำกุญแจสำคัญไว้
   “ตรนพอจะไหวไหม ฉันช่วยสนับสนุนนายได้ แต่พัศราต้องให้เวลจัดการ” คุโฮที่ยืนตั้งการ์ดข้าง ๆ เวลเวลพูดถามตรนทรัทที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง
   “น่าจะไหว ขรรค์สนับสนุนพลังฉันได้ไหม” ตรนทรัทหันไปถามเพื่อน ที่กำลังคุยกับมนุษย์อยู่
   “ได้ พี่ธีร์พี่ไปหลบก่อนนะครับ” ขรรค์ขืนตัวออกจากธีร์ แต่ก็ไปไม่ได้เพราะแรงกอดที่กระชับด้านหลัง
   “พี่ไม่ปล่อย พี่รู้หรอกนะว่าทำไม แต่ถ้าพี่ปล่อยพี่ก็จะไม่ได้เจอเราไปตลอดชีวิตของพี่” ธีร์กระชับอ้อมกอดแน่น เขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
   “พี่เชื่อหรือเปล่าว่านอกจากผม มีคนอื่นอยู่โรงเรียนอีก และตอนนี้ก็มี” ขรรค์เอ่ยถาม
   “พี่เชื่อ” ขรรค์ยิ้ม คนตัวสูงกว่าไม่มีความเชื่อในคำพูดที่พูดออกมา
   “เรารอไม่ได้แล้วลุยเลยเถอะ” ตรนทรัทพูดขึ้นก็เข้าชาร์ตอัตต์ผู้ถือพลองทันที คุโฮคอยสนับสนุนในการสะกัดกั้นความเร็ว พัศราที่จะไปจัดการกับสองคนนั้นก็ต้องหันมารับมือกับเด็กสาวที่ฟาดหอกใส่ไม่ยั้งมือ
   “มิติที่คดเคี้ยวบิดเบี้ยวเอ่ย จงสถิตภายในหอกของข้า” เด็กสาวพูดจบปลายหอกก็คอย ๆ เปล่งประกาย กระดาษจำนวนมากก็ลอยวนรอบตัวก่อนจะเปลี่ยนเป็นปีกสีน้ำตาลเข้มสีปีกที่หลัง จากนั้นก็โผเข้าใส่พัศราอย่างไม่ออมแรง
   “ชีวิตที่ให้ชีวิต โปรดเติบใหญ่และคดเคี้ยวด้านหน้าข้า” คุโอกล่าวจบหนังสือเล่มเล็กสามเล็กก็พุ่งไปที่อัตต์ก่อนจะเปล่งแสงสีเขียวและเป็นเถาวัลย์ผนึกการเคลื่อนไหวอัตต์ ตรนทรัทกระโดดสูงแล้วเหวี่ยงพลองฟาดลงที่ศรีษะอัตต์อย่างแรงจนมันบี้
   “คุโฮ !” ตรนทรัทตะโกนเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือจากคุโฮเมื่ออัตต์กำลังจะฟื้นคืนอีกครั้ง
   “ลำแสงแห่งชีวิต ท่อนำสายใยแห่งวิญญาณ” ประกายแสงสีเขียวเหมือนหิงห้อยส่องประกายก่อนจะมีเถาวัลย์ค่อย ๆ เลื้อยพันอัตต์เรื่อย ๆ
   “จงแปรเปลี่ยนเป็นหอกเข็มนับแสนสลักศัตรูที่เบื้องหน้าข้า” ประกายแสงเปลี่ยนเป็นลำแสงยาวและพุ่งเข้าใส่ร่างที่ถูกพันด้วยเถาวัลย์ทันทีก็เปลี่ยนเป็นกิ่งไม้ฟอสซิลทันที
   ด้านเด็กสาวก็รุกรับสลับกันกับพัศราอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่เวลเวลมีข้อด้อยตรงที่ประสบการณ์ที่น้อยกว่าทำให้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของหญิงสาวที่อายุมากกว่า ทำให้เธอพลาดท่าจนถูกเหวี่ยงกระเด็นลงพื้นด้านล่าง ส่วนขรรค์ที่กำลังฝืนน้ำตาไม่ให้ไหล ตราบใดที่ธีร์ยังไม่เชื่อว่าโรงเรียนอนุสรมีคนอื่นอยู่จริง ๆ เขาจะต้องหายไปจากความทรงจำของธีร์และโรงอนุสรณ์จะกลายเป็นโรงเรียนร้างจริง ๆ
   “พี่ไม่ยอม พี่ขอแค่เราอยู่กับพี่ พี่จะเชื่อทุกอย่าง เชื่อทุกสิ่งเลย” ธีร์กระชับกอดแน่นขึ้น แต่ขรรค์ก็ขืนตัวออกหันหน้าเข้าหาธีร์และยิ้มให้
   “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว คืนนี้เหมือนจะใกล้เดือนมืดแล้ว ผมมีหน้าที่ของผม ขอแค่พี่ยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่เสียดายเวลาที่เราได้เจอกันเลย” ขรรค์พูดจบก็เดินออกไปด้านหน้า ตรนทรัทกับคุโฮที่ยืนตั้งการ์ดกันเขาหลังจากจัดการอัตต์ได้ก็คอยตั้งรับกับพัศราที่เคลื่อนที่มาทางนี้ด้วยความเร็ว บรรค์กางมือออกข้างลำตัวเพียงเล็กน้อยก็มีหนังสือเล่มหน้าเปิดลอยอยู่ตรงหน้า แสงสีทองส่องประกายเหมือนหิ้งห้อยไปทั่วตัว
   “แด่พลองเหล็กกล้าที่หลับไหล บัดนี้ถึงเวลาฟื้นตื่นคืนจากการหลับไหลแล้ว จงมอบพลังแด่เจ้าของของเจ้าตรนทรัทอัศวินที่ปกป้องกุญแจแห่งพันธะสัญญา” พลองของตรนทรัทแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินส่องประกายสว่าง
   “หอกแห่งโล่ห์ โปรดฟังเสียงของข้า นิทราอันแสนยาวนานของเจ้าถึงเวลาฟื้นตื่นคืนสู่นภา จงสยายปีกและโบยบินไปกับนายของเจ้าเวลเวล อัศวินผู้คุ้มครองกุญแจแห่งพันธะสัญญา” หอกของเวลเวลเปล่งแสงสีนิลประกายส่องเหมือนดวงดาวที่ประดับท้องฟ้ายามราตรี และปีกสีน้ำตาลเข้มก็เปลี่ยนเป็นสีดำประกายงดงามพาเจ้าของโผบินสู่ท้องนภา
   “แด่หนังสือผู้มอบชีวิต นายของเจ้าคุโฮอัศวินผู้รักษากุญแจแห่งพันธะสัญญา บัดนี้สิ้นเวลาแห่งผนึกรัติกาลเรา โปรดคืนพลังอันยิ่งใหญ่แด่นายของเจ้า” ประกายสีเขียวส่องสว่างรอบตัวคุโฮก่อนจะมีหนังสือสีเขียวขอบเงินเล่มหน้าปราฏกในมือขวาคุโฮ
   “เราแค่แลกพลังวิญญาณของเราสังเวยแด่พวกเจ้าเพื่อปกป้องสถานที่สำคัญแห่งนี้” สิ้นคำของขรรค์ทั้งสามก็เข้าชาร์ตพัศราได้ทันก่อนที่พัศราจะถึงตัวของขรรค์
   “ศาตราแห่งความมืดเอ๋ยจงหลับไหลสู่นิท..รา” ขรรค์หันมองด้านหลังก็เจอเด็กสาววัยไล่เลี่ยกันให้กริชคมแทงทะลุอก
   “ขรรค์ !” ธีร์ที่เห็นจู่ ๆ ขรรค์ก็มีเลือดไหลออกจากปากและอกก็รีบเข้ามาดู
   “นังคนทรยศ !” เวลเวลโกรธจงดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทพุ่งตรงเข้าหาศัตรูที่ทำลายขรรค์อย่างรวดเร็ว ควงหอกก่อนจะเสยเข้าที่ปลายคางทะลุหัว
   “ชะตาของมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ถ้าเลือดมันหยดลงผืนดินแห่งนี้แม้แต่หยดเดียว พวกเจ้าก็รู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่าอะไร” พัศราหัวเราะร้าย หนึ่งในหน้าที่สำคัญของผู้ถือกุญแจแห่งพันธะสัญญาคือห้ามให้เลือดของตนไหลนองสู่ผืนดินแห่งโรงเรียนอนุสรเป็นอันขาด
   “เธอไม่มีวันเข้าใจหรอกยัยโง่” ตรนทรัทเคลื่อนที่ชั่วพริบตาก็ปรากฏที่ด้านหลังของพัศราและฟาดพลองใส่หน้าหล่อนจนร่วงลงพื้นอย่างแรง
   “ไอ้พวกเด็กเมื่อวันซืน !” พัศราโกรธแต่ก็ต้องกระอักเลือดเพราะรากไม้แทงทะลุอกพร้อมกับหอกของเด็กสาว
   “เลือดแลกเลือดจากที่เดียวกันล้างคำสาบได้” เวลเวลพูดเสียงเบา เลือดของพัศราเจิ่งนองพื้น
   “จบสิ้นสักที” เวลเวลพูดพลางวิ่งเข้าไปดูขรรค์ที่ยืนถือหนังสือเวทย์มนต์นิ่ง ธีร์ที่พยายามเรียกสติขรรค์ก็ไม่ได้ผล
   “ขรรค์อย่านิ่งแบบนี้พี่ใจไม่ดีนะ เป็นอะไรบอกพี่สิ” เด็กหนุ่มมองคนที่ตัวเองเฝ้ามองมาตลอดชีวิตของเขาค่อย ๆ ตัวเย็นลงเรื่อย ๆ แต่แววตาของคนตัวเล็กที่มองมาทางเขาทำให้เขาน้ำตาไหล
   “ในชีวิตนี้พี่ให้ได้ทุกอย่างของแค่เราได้เริ่มต้นด้วยกันใหม่ พี่สัญญาด้วยชีวิตของพี่ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรพี่จะเชื่อทุกอย่าง ขอร้องพูดกับพี่” ธีร์กำลังน้ำตาไหล และน้ำตายิ่งไหล่เมื่อขรรค์ใช้มืออันเย็นเฉียบสัมผัสที่แก้วของเขา เวลเวลหันไปร้องไห้ซบตรนทรัทเช่นเดียวกัน เธอทนเห็นเรื่องแบบนี้ไม่ได้
   “ขรรค์ วางหน้าที่ลงและพูดกับเขาเสียสิ ไม่ต้องห่วงหรอก ตราบใดที่นายยังมีชีวิตอยู่พวกฉันก็” ตรนทรัทพูดไม่จบก็มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน
   “พี่เชื่อว่าเราไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ มีเด็กผู้หญิงผมเปียที่เป็นเพื่อนของเรา และก็เด็กผู้ชายผมสกินเฮดอีกคนที่คอยเดินข้าง ๆ เรา และก็เด็กผู้ชายใส่แว่นที่ชอบอ่านหนังสือ รวมถึงมีคุณครูผู้หญิงคอยยืนส่งเรากลับบ้านทุกวัน โรงเรียนอนุสรน่ะไม่ได้มีแค่ขรรค์หรอกนะ !” เหมือนกำแพงกระจกแตกลงเป็นเสี่ยง ๆ ขรรค์สีเงินลอยอยู่เหนือหัวของธีร์ก่อนที่มันจะลอยลงในในมือของธีร์
   “ถ้านายเห็นพวกฉันให้ขรรค์เล่มนั้นแทงที่อกของขรรค์สิ ก่อนลมหายใจสุดท้าย” ตรนทรัทจับไหล่ของมนุษย์ที่พวกเขาเคยฝากความหวังเอาไว้
   “ถ้าทำให้เรามีชีวิตพี่ทำได้ทุกอย่าง ฟื้นขึ้นมาให้พี่พูดว่าพี่รักเรามากแค่ไหนนะขรรค์” ธีร์ไม่ลังเลที่จะฝังขรรค์เขาไปตรงรอยเลือด แสงสีเงินและสีทองสว่างวาบไปทั่วโรงเรียนและบริเวณใกล้เคียงที่แทบไม่มีหมดก็กลับมาผู้คนมากมายกำลังนอนหลับบางส่วนก็ยืนดูโรงเรียน โรงเรียนอนุสรมีชีวิตอีกครั้งแล้ว

( อ่านต่อด้านล่าง )

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
(ส่วนสุดท้าย)

   “ธีร์ตื่นได้แล้วลูก” เสียงของมารดาทำให้ธีร์สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา เขาหันมองซ้ายมองขวาอย่างทุกที เขานอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของเขา มองหน้าแม่ที่กำลังถือตะหลิวเขกหัวของเขา
   “ฝันไปหรือ” ธีร์พึมพำเสียงเบา ได้ยินเสียงแม่บ่นอะไรเขาก็จับใจความไม่ได้และก็เดินออกไป เขามองไปที่หน้าต่าง ทุกอย่างเหมือนความฝันหรืออาจเป็นความฝันเขาก็ไม่ทราบได้
   สามวันก่อนเขาตื่นบนเตียงในห้องกลางดึก พยายามจะไปโรงเรียนอนุสรเพื่อพิสูจน์แต่พ่อกับแม่ห้ามและบอกให้เขาพักผ่อนเขากำลังป่วยทำให้ต้องหยุดเรียนไปเกือบอาทิตย์ แต่เขาก็ตื่นมาและพบแต่เรื่องเดิมทุกครั้ง เขากลัวว่ามันจะเป็นความฝัน เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันคือความฝันเพราะความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้มันคือของจริง แต่ทุกครั้งที่เขาส่องกล้องเข้าไปในโรงเรียนอนุสรที่ดูใหม่ขึ้นเหมือนมีคนเข้าไปทำความสะอาดครั้งใหญ่ รวมทั้งผู้คนที่ชุกชุมบริเวณโดยรอบ แต่ก็ไม่เจอเห็นที่เขากำลังมองหาเลยสักนิด
   “ธีร์หายแล้วก็ออกไปเดินเล่นสิ จะได้สดชื่น” ได้ยืนพ่อพูดเมื่อเห็นหน้าเขาเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นเขาก็เปลี่ยนจากที่ว่าจะนั่งดูโทรทัศน์กับพ่อเป็นสวมรองเท้าเดินออกจากบ้านแทน
   คนเยอะขึ้นจากที่ฝั่งของเขาเหลือเพียงบ้านของเขากับบ้านคนอีกไม่กี่หลัง แถมที่น่าแปลกใจตรงที่นี่เป็นเวลาแปดโมงแต่กับมีเด็กนักเรียนเดินกันขวักไขว่ไปหมด ทุกคนอยู่ในชุดนักเรียนเดียวกันกับคนที่เขารู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่าง มองป้ายโรงเรียนและกำแพงที่เคยเก่าจนโทรมตอนนี้กลับดูใหม่เอี่ยมเหมือนได้รับกับปรับปรุงอย่างรวดเร็วเสียอย่างนั้น คุณครูสาวต้อนรับเด็กนักเรียนเข้าเรียนด้วยรอยยิ้ม เขาเห็นเด็กนักเรียนผู้ชายตัวสูงตัดผมสกินเฮดเขาก็เดินเข้าไปหมายว่าจะถามถึงคนที่เขาตามหา ก็ได้ความว่าเขาจำคนผิด เขายืนพิงกำแพงโรงเรียนจนได้ยินเสียงระฆังของโรงเรียนอนุสรดังบอกเวลาเข้าเรียนก็เห็นเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมา
   “ฉันบอกแล้วว่าถ้ากินข้าวมันจะไม่ทัน” เด็กผู้หญิงผมเปียพูดบ่นพลางผูกโบว์ที่ผมเปียทั้งสองของตัวเอง
   “ยัยงั่งก็เธอไม่ใช่หรอที่อยากกินข้าวน่ะ” เด็กผู้ชายสวมแว่นพูดพลางผลักหัวเด็กผมเปียจนเซ
   “ทะเลาะกันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ไหวหรือเปล่า” เด็กผู้ชายผมสกิลเฮดหันไปจูงมือเด็กผู้ชายอีกคนให้วิ่งนำออกมา ทุกอย่างเหมือนเวลาหยุดเดินเมื่อสายตาของเขาและคนที่เขามองหาประสานกัน รอยยิ้มน่ารักเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
   “ขรรค์” ธีร์เรียกชื่อเด็กผู้ชายตัวเล็กเบา ๆ
   “อย่าช้าล่ะ คาบแรกครูรพีนะ” ตรนทรัทขยี้ผมขรรค์เบา ๆ ก่อนจะพาเพื่อนวิ่งเข้าโรงเรียนนำไปก่อน
   “ขรรค์ พี่คิดว่าฝันไป” ธีร์เดินเข้าไปจับไหล่คนตัวเล็กกว่าเบา ๆ
   “ให้ผมชกหน้าพี่แรง ๆ ไหมครับ จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป” ธีร์พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ทำจริงๆ แต่ก็ต้องจับจมูกตัวเองเมื่อน้องเล่นชกมาจริง ๆ
   “ไม่ได้ฝันแล้วนะครับ” ขรรค์ยิ้ม
   “อื้อ ไม่ฝันแล้ว” ธีร์จับตัวขรรค์เข้ามากอดแน่น
   “พี่กลัวมาเลยรู้ไหมตอนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอเราเลย พี่กลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝันที่พี่ฝันไป แล้วทั้งหมดก็เป็นแค่ความฝันที่เราไม่มีตัวตน” ขรรค์สัมผัสได้ถึงน้ำตาที่เปียกชื้นที่ไหล่ก็ลูบหลังคนอายุมากกว่าเบา ๆ เขาก็กลัวว่าจะฝันไปเหมือนกัน แต่เขามีเวลเวลค่อยพูดให้ฟังไม่หยุดว่าหลังจากที่ธีร์ช่วยเขาแล้วก็สลบเหมือดไปเลย
   “ผมก็กลัวว่าผมจะไม่ได้ยินคำพูดที่พี่อยากพูดกับผมอีก” ขรรค์แนบแก้มซบไหล่คนที่สูงกว่าแต่ก้มตัวร้องไห้กับเขาเบา ๆ
   “ไม่ว่าเวลาไหนเราจะได้ยินพี่พูดว่า พี่รักเรา พี่รักขรรค์มากแค่ไหน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ปี หรือแม้แต่พี่ตายจากโลกนี้ไปแล้วขรรค์ยังคงอยู่ พี่ก็จะคอยพูดว่าพี่รักเรา ทุกวัน” ขรรค์ยิ้มเต็มแก้ม
   “ผมก็รักพี่นะ รักพี่ธีร์ รักมาตลอดเลย” ธีร์ผละตัวออกมามองหน้าขรรค์ชัด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนหน้าเข้าไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
   “อะแฮ่ม อายุแค่นี้เรทสิบห้าได้ไหมล่ะคะ ไปขรรค์สายแล้ว” เวลเวลดึงแขนเพื่อนตัวเองและวิ่งเข้าโรงเรียนไปเลย ธีร์ทำได้แค่โบกมือให้ขรรค์เบา ๆ เท่านั้น
   ทุกอย่างเหมือนกลับมาปกติ แต่ที่พิเศษคือเขาไม่ต้องตื่นเช้าหรือรีบกลับเช่นทุกทีเหมือนเมื่อก่อน เขาตื่นในเวลาปกติและเดินไปเรียนจะเจอขรรค์ยืนถือนมกับข้าวปั้นรอเขาที่หน้าโรงเรียนทุกวัน เมื่อส่งข้าวให้เขาเสร็จก็จะแยกย้ายกันไปเรียนและก็กลับมาเจอกันอีก เพื่อนของขรรค์ดูก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ที่ต่างก็คือพละกำลังและสิ่งที่เรียกว่าเวทย์มนต์ ชาวบ้านแถวนี้ก็คุ้นเคยกับโรงเรียนอนุสรได้อย่างรวดเร็ว แม่ของเขาสอบเข้าเป็นคุณครูโรงเรียนอนุสรได้ แม้จะเป็นแค่คุณครูชั้นประถมก็ตาม
   เขาพาขรรค์ไปแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จัก ทั้งสองไม่ได้ปิดกั้นอะไร มิหนำซ้ำกลับให้ขรรค์พาไปหาแม่ของขรรค์อยู่บ่อย ๆ แม่ของขรรค์เป็นผู้พิการทางสายตา ขรรค์เล่าว่ามารดาสูญเสียการมองเห็นไปเมื่อสิบปีก่อนจากการปกป้องโรงเรียนอนุสร และพ่อกับแม่ของเขาก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเรื่อย ๆ บางวันพ่อของเขาจะไปรับแม่ของขรรค์มาเที่ยวบ้านและแม่เขาเป็นคนไปส่งที่บ้าน บ้านของเราทั้งสองเข้ากันได้ดี ขรรค์พาเขาไปไหว้หลุมศพของคุณปู่และคุณพ่อด้วย ขรรค์เล่าเรื่องหน้าที่ที่ถูกฝากฝังว่าทำสำเร็จแล้ว

สามปีผ่านไป
   “ไม่ว่าจะกี่ครั้ง พี่ก็จะมาหาเราที่หน้าโรงเรียนอนุสรตลอด แม้ว่าเราจะแยกกันคนละทาง แต่พี่จะมาพบเราตรงนี้ทุกครั้ง” ธีร์พูดกับขรรค์ในวันที่มารอน้องหลังเลิกเรียนอย่างทุกทีและจะยืนกินลูกชิ้นย่างที่ขายอยู่หน้าโรงเรียนเป็นประจำ
   “ผมก็จะรอพี่อยู่ตรงนี้ตลอด ไม่ไปไหน” ขรรค์หันมายิ้ม เขาเรียนจบมัธยมปลายแล้ว และธีร์ก็เรียนจบปวส. แล้วเช่นกัน วันนี้จึงเป็นวันที่พวกเขาเรียนเป็นครั้งสุดท้าย
   “บ้านพี่อยู่ที่เดิมนะ” ธีร์พูดพลางยิ้มให้ ก่อนจะค่อย ๆ กุมมือน้องไว้
   “บ้านผมก็อยู่ที่เดิม” ขรรค์ยิ้มเขิน ตั้งแต่คบกันพวกเขาทำมากสุดแค่จับมือกันเท่านั้นเอง
   “พี่จะโทรศัพท์หาเราบ่อย ๆ” ธีร์พูดขึ้น เขาเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือมาไว้ใช้ส่วนตัว
   “ปีหน้าผมก็จะได้โทรศัพท์ส่วนตัวแล้ว ตอนนั้นก็จะรับสายพี่ได้ตลอดเลย” ขรรค์ฉีกยิ้ม
   “ทำไมพวกนายต้องทำเหมือนจะแยกจากกันไกล ก็ถ้าไม่อยากห่างกันก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันซะสิ” คุโฮพูดพลางดันแว่นที่ร่นมาที่จมูกขึ้น ทำให้ฉากโรแมนติกยามเย็นวันนี้ถูกทำลายอีกครั้ง
   “นั่นน่ะสิ เรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยกันจะไปยากอะไร ก็แค่แฟนของนายสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับพวกเรา” เวลเวลพูด ธีร์จะค่อยข้างคุ้นกับเด็กสาวผมเปียพูดเก่งคนนี้มากกว่าอีกสองคนที่มักดูตั้งแง่ใส่เขาเล็ก ๆ อยู่ตลอด
   “ขรรค์บอกแฟนนายไปเรียนด้วยกันสิ และก็อยู่หอเดียวกัน” ตรนทรัทพูดก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเดินกลับบ้าน ช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเพราะใคร ๆ ก็เห็นเขาไปหมด ไม่อยากให้เห็นก็เห็น ฃ
   “พี่ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย” ธีร์หันหน้าลงพูดกับขรรค์ที่เงยหน้ามอง
   “พี่จะสอบที่เดียวกับผมหรอ” ขรรค์ถามด้วยความหวัง เขาอยากลองอยู่กับพี่ธีร์ของเขา อยากรู้ว่ากิจวัตรประจำวันของอีกฝ่ายจะเป็นแบบไหน
   “จะพยายามให้ติดที่เดียวกับเราเลย” ธีร์ยิ้มพลางลูบหัวขรรค์ไปด้วย
   “อื้อ พยายามด้วยกันนะ !” ขรรค์พยักหน้ายิ้มจนผมกระเพื่อม

   บางครั้งความรักก็หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ แต่ตอนนี้เราอยู่ด้วยกัน ได้แชร์โลกของกันและกัน โลกที่ใครอีกคนก้าวเข้ามาเรียนรู้และทำความรู้จักโลกของอีกคน เหนือสิ่งอื่นใดการมีความเชื่อที่มั่นคงว่าโลกของใครอีกคนเป็นของจริงย่อมทำให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวเมื่อคนที่ตนมอบใจให้นั้นมีใจเชื่อว่าตนมีโลกอีกใบที่มีเพื่อนมากมายอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา

จบบริบูรณ์

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด