(ส่วนสุดท้าย)
“ธีร์ตื่นได้แล้วลูก” เสียงของมารดาทำให้ธีร์สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา เขาหันมองซ้ายมองขวาอย่างทุกที เขานอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของเขา มองหน้าแม่ที่กำลังถือตะหลิวเขกหัวของเขา
“ฝันไปหรือ” ธีร์พึมพำเสียงเบา ได้ยินเสียงแม่บ่นอะไรเขาก็จับใจความไม่ได้และก็เดินออกไป เขามองไปที่หน้าต่าง ทุกอย่างเหมือนความฝันหรืออาจเป็นความฝันเขาก็ไม่ทราบได้
สามวันก่อนเขาตื่นบนเตียงในห้องกลางดึก พยายามจะไปโรงเรียนอนุสรเพื่อพิสูจน์แต่พ่อกับแม่ห้ามและบอกให้เขาพักผ่อนเขากำลังป่วยทำให้ต้องหยุดเรียนไปเกือบอาทิตย์ แต่เขาก็ตื่นมาและพบแต่เรื่องเดิมทุกครั้ง เขากลัวว่ามันจะเป็นความฝัน เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันคือความฝันเพราะความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้มันคือของจริง แต่ทุกครั้งที่เขาส่องกล้องเข้าไปในโรงเรียนอนุสรที่ดูใหม่ขึ้นเหมือนมีคนเข้าไปทำความสะอาดครั้งใหญ่ รวมทั้งผู้คนที่ชุกชุมบริเวณโดยรอบ แต่ก็ไม่เจอเห็นที่เขากำลังมองหาเลยสักนิด
“ธีร์หายแล้วก็ออกไปเดินเล่นสิ จะได้สดชื่น” ได้ยืนพ่อพูดเมื่อเห็นหน้าเขาเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นเขาก็เปลี่ยนจากที่ว่าจะนั่งดูโทรทัศน์กับพ่อเป็นสวมรองเท้าเดินออกจากบ้านแทน
คนเยอะขึ้นจากที่ฝั่งของเขาเหลือเพียงบ้านของเขากับบ้านคนอีกไม่กี่หลัง แถมที่น่าแปลกใจตรงที่นี่เป็นเวลาแปดโมงแต่กับมีเด็กนักเรียนเดินกันขวักไขว่ไปหมด ทุกคนอยู่ในชุดนักเรียนเดียวกันกับคนที่เขารู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่าง มองป้ายโรงเรียนและกำแพงที่เคยเก่าจนโทรมตอนนี้กลับดูใหม่เอี่ยมเหมือนได้รับกับปรับปรุงอย่างรวดเร็วเสียอย่างนั้น คุณครูสาวต้อนรับเด็กนักเรียนเข้าเรียนด้วยรอยยิ้ม เขาเห็นเด็กนักเรียนผู้ชายตัวสูงตัดผมสกินเฮดเขาก็เดินเข้าไปหมายว่าจะถามถึงคนที่เขาตามหา ก็ได้ความว่าเขาจำคนผิด เขายืนพิงกำแพงโรงเรียนจนได้ยินเสียงระฆังของโรงเรียนอนุสรดังบอกเวลาเข้าเรียนก็เห็นเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมา
“ฉันบอกแล้วว่าถ้ากินข้าวมันจะไม่ทัน” เด็กผู้หญิงผมเปียพูดบ่นพลางผูกโบว์ที่ผมเปียทั้งสองของตัวเอง
“ยัยงั่งก็เธอไม่ใช่หรอที่อยากกินข้าวน่ะ” เด็กผู้ชายสวมแว่นพูดพลางผลักหัวเด็กผมเปียจนเซ
“ทะเลาะกันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ไหวหรือเปล่า” เด็กผู้ชายผมสกิลเฮดหันไปจูงมือเด็กผู้ชายอีกคนให้วิ่งนำออกมา ทุกอย่างเหมือนเวลาหยุดเดินเมื่อสายตาของเขาและคนที่เขามองหาประสานกัน รอยยิ้มน่ารักเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
“ขรรค์” ธีร์เรียกชื่อเด็กผู้ชายตัวเล็กเบา ๆ
“อย่าช้าล่ะ คาบแรกครูรพีนะ” ตรนทรัทขยี้ผมขรรค์เบา ๆ ก่อนจะพาเพื่อนวิ่งเข้าโรงเรียนนำไปก่อน
“ขรรค์ พี่คิดว่าฝันไป” ธีร์เดินเข้าไปจับไหล่คนตัวเล็กกว่าเบา ๆ
“ให้ผมชกหน้าพี่แรง ๆ ไหมครับ จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป” ธีร์พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ทำจริงๆ แต่ก็ต้องจับจมูกตัวเองเมื่อน้องเล่นชกมาจริง ๆ
“ไม่ได้ฝันแล้วนะครับ” ขรรค์ยิ้ม
“อื้อ ไม่ฝันแล้ว” ธีร์จับตัวขรรค์เข้ามากอดแน่น
“พี่กลัวมาเลยรู้ไหมตอนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอเราเลย พี่กลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝันที่พี่ฝันไป แล้วทั้งหมดก็เป็นแค่ความฝันที่เราไม่มีตัวตน” ขรรค์สัมผัสได้ถึงน้ำตาที่เปียกชื้นที่ไหล่ก็ลูบหลังคนอายุมากกว่าเบา ๆ เขาก็กลัวว่าจะฝันไปเหมือนกัน แต่เขามีเวลเวลค่อยพูดให้ฟังไม่หยุดว่าหลังจากที่ธีร์ช่วยเขาแล้วก็สลบเหมือดไปเลย
“ผมก็กลัวว่าผมจะไม่ได้ยินคำพูดที่พี่อยากพูดกับผมอีก” ขรรค์แนบแก้มซบไหล่คนที่สูงกว่าแต่ก้มตัวร้องไห้กับเขาเบา ๆ
“ไม่ว่าเวลาไหนเราจะได้ยินพี่พูดว่า พี่รักเรา พี่รักขรรค์มากแค่ไหน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ปี หรือแม้แต่พี่ตายจากโลกนี้ไปแล้วขรรค์ยังคงอยู่ พี่ก็จะคอยพูดว่าพี่รักเรา ทุกวัน” ขรรค์ยิ้มเต็มแก้ม
“ผมก็รักพี่นะ รักพี่ธีร์ รักมาตลอดเลย” ธีร์ผละตัวออกมามองหน้าขรรค์ชัด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนหน้าเข้าไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“อะแฮ่ม อายุแค่นี้เรทสิบห้าได้ไหมล่ะคะ ไปขรรค์สายแล้ว” เวลเวลดึงแขนเพื่อนตัวเองและวิ่งเข้าโรงเรียนไปเลย ธีร์ทำได้แค่โบกมือให้ขรรค์เบา ๆ เท่านั้น
ทุกอย่างเหมือนกลับมาปกติ แต่ที่พิเศษคือเขาไม่ต้องตื่นเช้าหรือรีบกลับเช่นทุกทีเหมือนเมื่อก่อน เขาตื่นในเวลาปกติและเดินไปเรียนจะเจอขรรค์ยืนถือนมกับข้าวปั้นรอเขาที่หน้าโรงเรียนทุกวัน เมื่อส่งข้าวให้เขาเสร็จก็จะแยกย้ายกันไปเรียนและก็กลับมาเจอกันอีก เพื่อนของขรรค์ดูก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ที่ต่างก็คือพละกำลังและสิ่งที่เรียกว่าเวทย์มนต์ ชาวบ้านแถวนี้ก็คุ้นเคยกับโรงเรียนอนุสรได้อย่างรวดเร็ว แม่ของเขาสอบเข้าเป็นคุณครูโรงเรียนอนุสรได้ แม้จะเป็นแค่คุณครูชั้นประถมก็ตาม
เขาพาขรรค์ไปแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จัก ทั้งสองไม่ได้ปิดกั้นอะไร มิหนำซ้ำกลับให้ขรรค์พาไปหาแม่ของขรรค์อยู่บ่อย ๆ แม่ของขรรค์เป็นผู้พิการทางสายตา ขรรค์เล่าว่ามารดาสูญเสียการมองเห็นไปเมื่อสิบปีก่อนจากการปกป้องโรงเรียนอนุสร และพ่อกับแม่ของเขาก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเรื่อย ๆ บางวันพ่อของเขาจะไปรับแม่ของขรรค์มาเที่ยวบ้านและแม่เขาเป็นคนไปส่งที่บ้าน บ้านของเราทั้งสองเข้ากันได้ดี ขรรค์พาเขาไปไหว้หลุมศพของคุณปู่และคุณพ่อด้วย ขรรค์เล่าเรื่องหน้าที่ที่ถูกฝากฝังว่าทำสำเร็จแล้ว
สามปีผ่านไป
“ไม่ว่าจะกี่ครั้ง พี่ก็จะมาหาเราที่หน้าโรงเรียนอนุสรตลอด แม้ว่าเราจะแยกกันคนละทาง แต่พี่จะมาพบเราตรงนี้ทุกครั้ง” ธีร์พูดกับขรรค์ในวันที่มารอน้องหลังเลิกเรียนอย่างทุกทีและจะยืนกินลูกชิ้นย่างที่ขายอยู่หน้าโรงเรียนเป็นประจำ
“ผมก็จะรอพี่อยู่ตรงนี้ตลอด ไม่ไปไหน” ขรรค์หันมายิ้ม เขาเรียนจบมัธยมปลายแล้ว และธีร์ก็เรียนจบปวส. แล้วเช่นกัน วันนี้จึงเป็นวันที่พวกเขาเรียนเป็นครั้งสุดท้าย
“บ้านพี่อยู่ที่เดิมนะ” ธีร์พูดพลางยิ้มให้ ก่อนจะค่อย ๆ กุมมือน้องไว้
“บ้านผมก็อยู่ที่เดิม” ขรรค์ยิ้มเขิน ตั้งแต่คบกันพวกเขาทำมากสุดแค่จับมือกันเท่านั้นเอง
“พี่จะโทรศัพท์หาเราบ่อย ๆ” ธีร์พูดขึ้น เขาเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือมาไว้ใช้ส่วนตัว
“ปีหน้าผมก็จะได้โทรศัพท์ส่วนตัวแล้ว ตอนนั้นก็จะรับสายพี่ได้ตลอดเลย” ขรรค์ฉีกยิ้ม
“ทำไมพวกนายต้องทำเหมือนจะแยกจากกันไกล ก็ถ้าไม่อยากห่างกันก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันซะสิ” คุโฮพูดพลางดันแว่นที่ร่นมาที่จมูกขึ้น ทำให้ฉากโรแมนติกยามเย็นวันนี้ถูกทำลายอีกครั้ง
“นั่นน่ะสิ เรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยกันจะไปยากอะไร ก็แค่แฟนของนายสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับพวกเรา” เวลเวลพูด ธีร์จะค่อยข้างคุ้นกับเด็กสาวผมเปียพูดเก่งคนนี้มากกว่าอีกสองคนที่มักดูตั้งแง่ใส่เขาเล็ก ๆ อยู่ตลอด
“ขรรค์บอกแฟนนายไปเรียนด้วยกันสิ และก็อยู่หอเดียวกัน” ตรนทรัทพูดก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเดินกลับบ้าน ช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเพราะใคร ๆ ก็เห็นเขาไปหมด ไม่อยากให้เห็นก็เห็น ฃ
“พี่ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย” ธีร์หันหน้าลงพูดกับขรรค์ที่เงยหน้ามอง
“พี่จะสอบที่เดียวกับผมหรอ” ขรรค์ถามด้วยความหวัง เขาอยากลองอยู่กับพี่ธีร์ของเขา อยากรู้ว่ากิจวัตรประจำวันของอีกฝ่ายจะเป็นแบบไหน
“จะพยายามให้ติดที่เดียวกับเราเลย” ธีร์ยิ้มพลางลูบหัวขรรค์ไปด้วย
“อื้อ พยายามด้วยกันนะ !” ขรรค์พยักหน้ายิ้มจนผมกระเพื่อม
บางครั้งความรักก็หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ แต่ตอนนี้เราอยู่ด้วยกัน ได้แชร์โลกของกันและกัน โลกที่ใครอีกคนก้าวเข้ามาเรียนรู้และทำความรู้จักโลกของอีกคน เหนือสิ่งอื่นใดการมีความเชื่อที่มั่นคงว่าโลกของใครอีกคนเป็นของจริงย่อมทำให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวเมื่อคนที่ตนมอบใจให้นั้นมีใจเชื่อว่าตนมีโลกอีกใบที่มีเพื่อนมากมายอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา
จบบริบูรณ์