ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน
ชลชาติเงยหน้าขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมองคนฝั่งตรงข้ามที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่มาถึง กระทั่งตอนนี้เกือบ 10 นาทีแล้วที่เขาต้องฟังอีกฝ่ายบ่นเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการวิ่งเพื่อสุขภาพซึ่งคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาจัดขึ้นเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“มีปัญหาตั้งแต่ตอนเปิดให้ลงทะเบียนยันวันจริง น้ำดื่มไม่พอแจก คุณภาพเสื้อนี่ไม่ต้องพูดถึง เก็บเงินตั้งแพงทั้งที่ไม่ได้จ้างออแกไนซ์สักหน่อย เราเห็นทีมงานก็มีแต่นักศึกษา” แสนยากล่าวพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ทีมแพทย์กับหน่วยพยาบาลประจำจุดต่าง ๆ ก็น้อยมาก มีคนเป็นลมตั้งหลายคน หนักที่สุดคือมีคนหมดสติ โชคดีน้องพยาบาลกลุ่มหนึ่งเขาลงวิ่งด้วย ก็เลยช่วยทำ CPR ได้ทัน เป็นงานใหญ่แท้ ๆ แต่ดูไม่มีความพร้อมเลยสักนิด”
อาจารย์หนุ่มฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า เขาเองก็ได้ยินศิษย์เก่าที่เข้าร่วมโครงการบ่นในแบบเดียวกันนี้ แต่ไม่มีใครกล้าโวยวายเพราะเห็นว่ารายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้แก่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย เพื่อจัดซื้อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อไป
“มาบอกเราแล้วเราจะช่วยอะไรได้ นายต้องไปบอกคนจัดงานโน่น”
“บอกแล้ว คนอื่น ๆ ก็บอก แต่สุดท้ายก็หาคนรับผิดชอบไม่ได้ โยนกันไปโยนกันมา”
“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกบ่นได้แล้ว เพราะบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์” ชลชาติว่า ปลายนิ้วยังคงรัวไปบนแป้นพิมพ์ ดวงตาจ้องเขม็งที่หน้าจอ
หนุ่มศิลปินถอนหายใจแล้วยื่นหน้ามาใกล้จนคางแทบจะพาดหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพา “นายเข้าใจคำว่าผู้ฟังที่ดีไหม เราแค่ต้องการให้มีคนฟังความอัดอั้นตันใจของเราบ้าง ไม่ได้ให้นายช่วยแก้ปัญหาสักหน่อย”
“แล้วถามเราสักคำหรือยังว่าเราอยากฟังหรือเปล่า เสียเวลาทำงานจริง ๆ” อาจารย์หนุ่มส่ายหัว พยายามสะกดอารมณ์ทั้งที่อยากดันหน้าผากคนที่กำลังใช้สองมือเกาะหน้าจอใจจะขาด
“หิวข้าวแล้ว”
คนฟังเงยหน้าขึ้นพลางมุ่นคิ้ว “ก็ไปกินสิ” พูดจบก็ก้มลงมองใต้โต๊ะ
“หาอะไรวะ”
“ก็จะดูว่าเราเหยียบหางนายไว้หรือเปล่า ถึงลุกไปไหนไม่ได้”
แสนยายืดตัวขึ้นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือกดหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้พับลงแล้วดึงมาไว้กับตัว
“เอาคืนมา เราจะทำงาน”
“พรุ่งนี้วันเสาร์ เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้ นี่จะสองทุ่มครึ่งแล้วนะ”
ชลชาติชะงัก ยกนาฬิกาขึ้นดูเห็นเป็นจริงตามที่อีกฝ่ายว่า เขานั่งพิมพ์เอกสารคำสอนเสียเพลินแถมยังต้องมาฟังแสนยาบ่นจนลืมเสียงสัญญาณเตือนผิดตึกเมื่อเกือบสามสิบนาทีก่อนไปเลย “จะสองทุ่มครึ่งแล้วเหรอเนี่ย”
“ใช่ ไม่หิวข้าวหรือไง”
“นายหิวนายก็ไปกินสิ เดี๋ยวเราจะไปนั่งทำต่อที่หอสมุด”
“แต่เราหิว แล้วนายก็เคยบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเรา”
“สัปดาห์หน้าก็แล้วกัน วันนี้เรายุ่งจริง ๆ เอาโน้ตบุ๊กเราคืนมาได้แล้ว”
แสนยามุ่นคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนจะถอนใจเบา ๆ แล้วส่งของคืนให้ “พวกไม่รักษาคำพูด เรารึอุตส่าห์ออกแบบป้ายให้ ส่งเมลให้ร้าน ต่อรองราคา ไปเอาให้ แถมยังมาช่วยติดตั้งอีก คนเรานะคนเรา...”
“พอ ๆ รำคาญ” พูดจบชลชาติก็สอดเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาใส่ลงในกระเป๋า “ไปก็ได้ เลี้ยงคราวนี้แล้วไม่มีบุญคุณต่อกันแล้วนะ”
คนฟังก็รีบพยักหน้ารัว ทำตาวาวราวกับหมาเห็นกระดูกแบบที่อีกฝ่ายเคยพูด
เมื่อชลชาติลุกขึ้นถอดปลั๊กเครื่องใช้สำนักงานภายในห้องพัก เสียงสัญญาณประกาศเตือนครั้งสุดท้ายก็ดังขึ้นพอดี ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าก่อนจะเดินไปปิดไฟ ส่วนแสนยานั้นออกไปรออยู่ที่ด้านนอกแล้ว
หนุ่มศิลปินเกาะขอบหน้าต่างทอดตามองแสงไฟระยิบระยับบนทางยกระดับ กำลังจะหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับไฟรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถแบบมีหลังคาคลุมของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาซึ่งใคร ๆ ต่างรู้กันว่าเป็นที่จอดรถสำหรับผู้บริหารระดับสูงของคณะ
“มัวมองอะไรอยู่ ไหนบอกว่าหิวไง”
แสนยาเหลียวไปตามเสียง เห็นชลชาติเดินไปไกลแล้วจึงรีบเดินตาม
เพราะใกล้เวลาตึกปิดอาจารย์หนุ่มจึงเลือกลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ซึ่งมีเวลาเปิด-ปิดเช่นกัน กระทั่งถึงชั้นลอยซึ่งคั่นระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง จู่ ๆ เท้าก็หยุดเมื่อมองลงไปด้านล่างเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา แม้จะค่ำมืดแต่เครื่องแต่งกายของเขายังคงเนี้ยบราวกับเพิ่งก้าวเข้ามาทำงานในชั่วโมงแรกของวัน ร่างสมส่วนเดินลิ่วโดยไม่สนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ และนั่นคือสิ่งที่ฝ่ายนั้นปฏิบัติมาแต่ไหนแต่ไรนับแต่ยังไม่สวมหัวโขน
“คนนั้นใคร ตึกจะปิดอยู่แล้วยังจะเข้ามาทำอะไรอีก” แสนยาเอ่ยขึ้น
“อาจารย์ธนิต เป็นรองคณบดี”
“คนนี้นี่เองที่เป็นประธานจัดงานวิ่ง” นึกอะไรขึ้นมาได้หนุ่มศิลปินจึงรีบเดินลงบันได
“อ...อ้าว...ไอ้แสน จะไปไหน” ชลชาติเร่งฝีเท้าตาม
“ก็จะไปถามเขาไงว่ามีใครรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นให้รู้บ้างหรือเปล่า”
“เขาไม่สนใจเสียงเล็ก ๆ อย่างนายหรอกน่า” ว่าแล้วชลชาติก็เอื้อมมือรั้งคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้
“ไอ้มีนปล่อย” แสนยาสะบัดจนหลุด ขายาวก้าวพรวดเดียวผ่านบันไดสามขั้น แต่กว่าจะถึงพื้น ชายในชุดสูทก็ขึ้นลิฟต์ไปเสียแล้ว “โว้ย! จะดึงทำไมเนี่ย”
“ก็บอกแล้วไงว่าเขาไม่สนใจนายหรอก ส่วนเรื่องรายงานน่ะ ก็มีคนรายงานแล้ว แต่เขาก็มองว่ามันเป็นเสียงจากคนแค่ไม่กี่คน สุดท้ายก็แค่ตัดบทด้วยการบอกว่าถ้ามีคราวหน้าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
“แล้วชาติไหนถึงจะจัดอีก จะเอาทั้งงานเลยไหมล่ะ เราจะไปล่ารายชื่อมาให้” หนุ่มศิลปินกล่าวในขณะที่คนฟังได้แต่ส่ายหน้า
“เราว่าไปหาข้าวกินยังมีประโยชน์มากกว่าไปพูดเรื่องนี้กับอาจารย์ธนิต” สิ้นสุดประโยคนั้นชลชาติก็เดินนำออกจากตึก
สองคนพากันเดินผ่านช่องประตูที่เชื่อมกับซอยซึ่งเต็มไปด้วยร้านอาหารนานาชาติ และสิทธิ์ในการเลือกร้านก็ตกเป็นของผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้มีพระคุณ
“เอาร้านนี้แหละ” แสนยาชี้ จากนั้นจึงผลักประตูกระจกเข้าไปภายในร้านชาบู
“กินชาบูก่อนนอนเนี่ยนะ”
“เออ จะให้กินตอนนอนแล้วหรือไง เวลากินยา หมอยังให้กินก่อนนอน ไม่เห็นหมอคนไหนบอกให้กินยาหลังจากนอนแล้วเลยสักที”
“แสน ๆ พอแล้ว ๆ” ชลชาติกล่าวด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ พลางถอนใจ รู้สึกเหนื่อยที่ต้องต่อล้อต่อเถียง พูดจบชายหนุ่มเดินไปนั่งลงเงียบ ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสั่งอาหารจนเรียบร้อย เมื่อพนักงานยกจานใส่ผักและเนื้อสัตว์มาวาง สองคนก็ช่วยกันเททุกอย่างใส่ลงในหม้อ
“มีน!”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก “พี่ต่อ สวัสดีครับ มากินข้าวเหรอพี่”
“เออ พาลูกน้องมาเลี้ยงน่ะ นี่อิ่มแล้ว กำลังจะกลับ” ร่างท้วมในชุดยูนิฟอร์มปักสัญญลักษณ์หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่อกเสื้อกล่าว “ได้ข่าวว่าจะจัดว่ายน้ำการกุศลเอาเงินไปช่วยโค้ชนทีเหรอ”
“ใช่พี่ พี่ไปดูให้ได้นะ รับรองว่างานนี้คุ้ม นอกจากพี่จะได้เจอตัวท็อปของประเทศ ยังจะได้เห็นฉลามหินคืนสระอีกครั้ง” ชลชาติทำพูดติดตลก
“บ๊ะ! ไอ้พายก็จะลงว่ายด้วยเหรอ อย่างนี้พลาดไม่ได้แล้วละ ยังเสียดายไม่หายตอนมันประสบอุบัติเหตุแล้วประกาศอำลาสระ จัดเมื่อไรก็ส่งข่าวด้วยนะ เดี๋ยวพี่จะชวนเพื่อน ๆ มาดู”
“ครับ ไว้ได้กำหนดการเมื่อไรผมจะติดต่อไปนะพี่”
“เอ้อ...ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ”
ชลชาติยกมือไหว้ เหลียวมองตามชายหนุ่มแก้มยุ้ยรุ่นพี่คณะเดียวกันและอดีตนักรักบี้ตัวแทนมหาวิทยาลัย จากนั้นจึงหันกลับมายังหม้อชาบู
“ไม่เห็นบอกเลย” จู่ ๆ คนนั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้น
“บอกอะไรวะ” อาจารย์หนุ่มถามพลาง ใช้กระบวยตักผักกับลูกชิ้นในหม้อ
“ก็เรื่องว่ายน้ำการกุศลนั่นไง”
“แล้วทำไมเราต้องบอกนายด้วย” ชลชาติพูดพลางก้มลงมองข้อความที่ปรากฏจอโทรศัพท์มือถือ
KhaoOat: มีน เราได้วันกับสถานที่มาแล้วนะ หาคนออกแบบโปสเตอร์ให้ด้วย“นะ ๆ บอกหน่อย ทำยังไงถึงจะได้ดู”
KhaoOat: มีเวลาประชาสมัพันธ์แค่เดือนเดียว ด่วนนะมีน!!! เอาพรุ่งนี้เช้า ส่งข้อมูลให้ในเมลแล้วนะจ๊ะ จุ๊บๆอาจารย์หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝั่ง พลันมุมปากก็ค่อย ๆ ยกขึ้น “มันเป็นงานการกุลศน่ะ หารายได้ช่วยค่ารักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ นายอยากดูไหม เราหาบัตรให้นายได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“ว่ามา” หนุ่มศิลปินวางตะเกียบ จ้องหน้าคนพูดด้วยความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย
“นายต้องออกแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานให้เรา”
“ได้ สบายมาก แต่ถึงนายไม่ให้บัตร เราก็ทำให้อยู่แล้วเพราะเราเป็นคนดี คนดีย่อมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก” แสนยายิ้มร่าก่อนจะคีบเนื้อหมูใส่ปาก
“ถ้าอย่างนั้นดีเลย เพื่อนเราส่งข้อมูลมาให้แล้ว เดี๋ยวเราส่งให้นาย”
“แล้วต้องเสร็จเมื่อไร” ว่าแล้วก็ยกตะเกียบคีบลูกชิ้นใส่ปาก
“พรุ่งนี้เช้า”
คำตอบสั้น ๆ ทำคนฟังสำลัก “ทำไมชอบสั่งงานกันแบบนี้วะ”
“เทพไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องบ่น รีบกิน จะได้รีบกลับไปทำงาน” ชลชาติหัวเราะ คีบลูกชิ้นใส่ลงในชามของคนตรงหน้า “อะ กินเยอะ ๆ คืนนี้ยังอีกยาวไกล”
แสนยาหน้านิ่ว ใช้ตะเกียบจิ้มลูกชิ้นใส่ปาก เคี้ยวกร้วม ๆ “แล้วนายไม่ลงว่ายกับเขาบ้างเหรอ เราไม่อยากไปเชียร์ไอ้พาย คนอะไรวะชอบทำหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา”
“นายก็เชียร์คนอื่นไปสิ งานนี้มีอดีตทีมชาติลงว่ายตั้งเยอะ”
“อายพุงละสิ”
“พุงพ่อง...”
“หือ? พุงอะไรนะ นี่ผู้มีพระคุณนะ” หนุ่มศิลปินแสร้งเลิกคิ้ว
“พุงเพิงอะไรเล่า รีบกินเถอะ จะได้รีบกลับ” ชลชาติบ่นขมุบขมิบด้วยรู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือก
...
พายุพัดสะดุ้งตื่นเพราะอาการปวดที่หัวไหล่และเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังขึ้นถี่ ๆ มือใหญ่ควานหาข้างลำตัว เปลือกตาเปิดขึ้นสู้แสงจากหน้าจอ เห็นข้อความนับร้อยที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อใช้ปลายนิ้วลากผ่านพลางกวาดมองคร่าว ๆ จึงรู้ว่าเพื่อน ๆ กำลังคุยกันเกี่ยวกับกำหนดการจัดงานว่ายน้ำการกุศล ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง แสงไฟที่ลอดผ่านช่องประตูพอจะทำให้เห็นว่าอีกฝั่งของเตียงนอนไร้ซึ่งเงาของนคินทร จำได้แต่เพียงว่าเมื่อตอนหัวค่ำตนเองกำลังนอนอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ ได้ยินเสียงเปิดฝักบัวสักพักก็ได้กลิ่นหอมของสบู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำตอนไหน และตัวเขานั้นผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไร พายุพัดขบกรามแน่นขณะค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น จากนั้นจึงเปิดประตูออกไปด้านนอก เห็นเจ้าซ่าหริ่มนอนขดอยู่ใกล้กับกองผ้าดิบบนแหย่งไม้สัก ที่พื้นมีทั้งสะดึงและอุปกรณ์สำหรับเย็บปักวางอยู่ ส่วนนคินทรกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง คงจะคุยโทรศัพท์กับพ่อและแม่เหมือนเช่นเคย
ร่างสูงเอนกายหนุนหมอนนอนลงบนแหย่งไม้ มือไล่คว้าหางเจ้าแม่แมวที่กำลังกวัดแกว่งไปมา ไม่นานก็ได้ยินเสียงเจ้าของบ้าน
“ทำไมออกมานอนตรงนี้ล่ะ”
“โทรศัพท์สั่นก็เลยสะดุ้งตื่นน่ะ เห็นไฟข้างนอกเปิดก็เลยออกมาดู”
นคินทรไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่นั่งลงกับพื้น วางโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะญี่ปุ่น หยุดเกาพุงเจ้าตะโก้เล่นจากนั้นจึงหยิบสะดึงปักผ้าขึ้นมาลงมือปักลายที่ทำค้างไว้
พายุพัดขยับตัวนอนตะแคงสูดกลิ่นกายของคนตรงหน้าพลางพึมพำกับตัวเอง “หอมจัง” พูดจบก็ลงมานั่งข้าง ๆ กัน ใช้สองแขนโอบเอวรั้งคนตัวหอมให้เอนหลังพิงกับอกของตน “ทำอะไรเหรอ”
“ปักผ้า วันนี้คุณครูภาณีเขาสอนเด็ก ๆ ปักชื่อตัวเองบนเสื้อนักเรียน เราเห็นน่าสนุกดีเลยขอเข้าไปเรียนด้วย คุณครูเขาก็เลยให้ยืมอุปกรณ์มา”
“แล้วม่อนปักรูปอะไร”
“ดอกเสี้ยวไง สวยไหม” พูดจบก็ยกสะดึงในมือขึ้นแล้วเหลียวมองคนที่ยื่นหน้ามาจนคางเกือบจะเกยไหล่ของตน
พายุพัดทอดตามองลายดอกไม้สีชมพูอ่อนบนผ้าดิบก่อนจะตอบซื่อ ๆ “ต้องปักอีกสักร้อยดอก”
“ใจร้ายว่ะ” นคินทรบ่นยิ้ม ๆ
หนุ่มนักกีฬาหัวเราะเบา ๆ ละสายตาจากปลายเข็มที่แทงทะลุเนื้อผ้ามองแพขนตาของคนพูดเรื่อยลงมาจนถึงจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ ที่ข้างสันจมูก ในที่สุดก็เผลอยิ้มออกมาเมื่อมองเลยไปยังริมฝีปากได้รูป
“ยิ้มอะไร”
“เปล่านี่” เจ้าของวงแขนแกร่งบอก จากนั้นจึงซุกหน้าแล้วถูปลายจมูกไปมากับบ่าของอีกฝ่าย
“พอน่า จั๊กจี้ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้านะ” นคินทรว่า ที่ต้องเร่งให้อีกฝ่ายรีบเข้านอนก็เพราะวันรุ่งขึ้นพายุพัดจะต้องพาสุชาติไปเข้าร่วมการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ภาคเหนือที่สระว่ายน้ำสนามกีฬาจังหวัดแพร่ รายการแข่งขันนี้เป็นรายการแข่งขันที่ใหญ่ขึ้นมากอีกสำหรับเด็กชายวัยสิบย่าสิบเอ็ดปี แต่เพราะตัวเขาติดธุระสำคัญจึงจำต้องปล่อยให้ผู้ฝึกสอนและนักกีฬาไปกันเองตามลำพัง
“นอนไม่หลับ”
“ตื่นเต้นเหรอ”
พายุพัดพาดคางลงบนบ่าของอีกฝ่าย เอียงคอมองริมฝีปากที่กำลังขยับพลางนึกถึงสาเหตุที่ตนเองนอนไม่หลับไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็นเพราะหากเข้าไปนอนตอนนี้ก็จะไม่มีคนตัวหอม ๆ ให้กอดต่างหาก
“สุชาติก็คงตื่นเต้นเหมือนกัน คืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้” นคินทรกล่าวเนิบ ๆ พลางสอดเข็มมัดปม แล้วใช้กรรไกรตัดด้ายที่เหลือออก “เหมือนตอนที่พ่ออนุญาตให้เราไปทัศนศึกษาที่ลำปาง เป็นครั้งแรกี่ยอมให้ไปเที่ยวไกล ๆ คืนนั้นเรานอนไม่หลับเลย”
“คืนก่อนหน้านั้นเราก็นอนไม่หลับเหมือนกัน พอถึงวันแข่งกลับเจอคนที่ทำให้นอนไม่หลับไปอีกหลายคืน” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของอีกฝ่าย
นคินทรเลื่อนตาลงมองคนบนตักพลางลูบศีรษะของเขาเบา ๆ “พาย”
“หืม?”
“กดดันหรือเปล่า”
“ไม่เลย เราไม่ได้หวังว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง แต่เราเชื่อว่าสุชาติต้องทำออกมาดีที่สุดเหมือนที่ม่อนเชื่อในตัวเรา” พายุพัดบอกก่อนจะดึงมือนิ่มมาแนบแก้ม
...
(มีต่อค่ะ)