สิงห์ สุตนันท์กลับเข้าบ้านมาอีกทีตอนใกล้รุ่งสาง ใจนึกเป็นห่วงลูกชายสองคนว่าเมื่อคืนไม่รู้จะอยู่กันยังไง ป้าพุดฤทัยจะเอาอยู่รึเปล่า...ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะถอดรองเท้าเสร็จดี ก็เห็นร่างสมส่วนค่อนไปทางอวบนิดๆเดินยิ้มร่าควงทัพพีมาจากในครัว นายเหมืองสิงห์ถอดรองเท้าเปื้อนโคลนวางไว้หน้าบ้าน ส่งใบหน้าที่มีรอยคิ้วขมวดไปให้ป้าพุดว่าอะไรทำให้แกดูอารมณ์ดีได้ขนาดนี้ แอบหยอกไปนิดว่าไม่ใช่สองแสบเผลอใบ้หวยอะไรให้อีกหรอกนะ
ป้าแกส่ายหน้าพรืดก่อนจะเอามือข้างที่ว่างมาดึงแขนเสื้อนายหนุ่มพาขึ้นไปชั้นบน สิงห์ยอมเดินตามแบบงงๆพร้อมออกเสียงถามเป็นระยะว่าป้าแกต้องการจะพาเขาไปดูอะไรกันแน่ แล้วสองแสบล่ะ ผ่านเมื่อคืนไปได้โดยดีรึเปล่า
“ดีไม่ดีนายเหมืองก็ดูเองเถอะค่ะ...เบาๆนะคะนายเหมือง พวกเขาเพิ่งกลับกันไปตอนเที่ยงคืนกว่าๆเองค่ะ” พุดฤทัยค่อยๆแง้มบานประตูให้ร่างสูงใหญ่ของนายเหมืองสุตนันท์เข้าไปในห้องนอนของลูกชายตัวเองได้
สาวอวบควงทัพทีในมือพลางยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองนายเหมืองเจ้านายตัวเองที่ยืนขาแข็งอยู่ข้างเตียง เพราะคงไม่อยากจะเชื่อสายตาตรงหน้าล่ะสินะ...
“นี่...มันอะไรกันป้าพุด ทำไม...ครูบัวของป้าถึงมานอนที่นี่ได้ ห้องตัวเองไม่มีที่จะนอนแล้วรึไง...”
“แน่ะ...พูดแบบนี้อีกทีป้าตีปากจริงๆนะคะ อย่าไปพูดประชดครูบัวแบบนั้นสิคะ ถ้าเธอได้ยินจะไม่สบายใจเอานะ...”
“ก็มันจริงนี่ป้า...” นายเหมืองสิงห์ลดเสียงลงอีกหน่อยก่อนจะเอามือสองข้างมากอดอก เขม็งมองท่าทางการนอนของร่างสามร่างบนเตียงที่เห็นลางๆเพราะไม่ได้เปิดไฟด้วยความสงสัยกึ่งไม่พอใจนิดๆ ปกติเตียงนี้สองแสบหวงยิ่งกว่าอะไร มีใครซักกี่คนที่จะได้สิทธิ์มาเหยียบย่างบนที่นอนผืนนี้ นอกจากเขา ป้าพุด และแม่ของสองแสบแล้วแทบจะไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์พิเศษให้ย่างกรายเข้ามาในห้องนอนแห่งนี้ได้เลย
แล้วครูตัวเล็กตาหวานคนนี้เป็นใคร รู้สึกว่าเขาเพิ่งจะรับเข้ามาทำงานได้แค่ไม่ถึงวันเองไม่ใช่หรือ แล้วสองแสบอนุญาตให้เข้ามานอนในห้องส่วนตัวถึงบนเตียงแบบนี้ได้ยังไง แถมยังนอนปาดป่ายซุกซบกันราวกับคุณครูคนใหม่กลายมาเป็นหมอนข้างอันโปรดไปเสียแล้วอย่างนี้อีก...นี่ครูบัวของป้าพุดไปเอาน้ำมันพรายวัดไหนมาดีดใส่ลูกชายของเขารึเปล่าเนี่ย
“นายอย่าเพิ่งคิดอกุศลกับครูบัวแกสิคะ นายเหมืองน่ะต้องขอบใจครูบัวถึงจะถูก...เมื่อคืนน่ะตอนพายุเข้าป้าก็รีบขึ้นมาดูเด็กๆแล้วนะคะ แต่ไม่ทันครูบัวเขา ไม่รู้ทราบได้ยังไงว่าสองแสบน่ะกลัวเสียงฟ้าร้องเป็นที่หนึ่ง...ตอนป้าขึ้นมาถึงก็เห็นครูบัวแกนอนกอดสองแสบ แล้วก็เล่าเรื่องสายฟ้าฟ้าร้องให้ฟัง ทำเอาสองแสบลืมร้องไห้ไปเลยค่ะนายเหมือง...สองแสบนี่ก็ช่างซักช่างถามครูตาหวานของแกนัก ครูบัวก็ไม่เหนื่อยที่จะตอบเด็กเลย ตั้งอกตั้งใจอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้เด็กๆฟังเยอะแยะไปหมด กว่าป้าจะเห็นไฟห้องปิดกันก็ตอนเที่ยงคืนกว่าอย่างที่บอกนี่แหละค่ะ...เป็นไงคะ สไปรท์มั้ยคะ...”
นายเหมืองหนุ่มหันมองพุดฤทัย แม่บ้านเก่าตั้งแต่สมัยรุ่นแม่ด้วยอารมณ์อยากขำแต่ต้องกลั้นฝืนเพราะไม่ใช่เวลา อยากแก้ให้แกนักว่ามันคือคำว่า ‘เซอร์ไพรส์’ ไม่ใช่สไปรท์อย่างที่แกพูดออกมาเมื่อครู่ แต่ช่างเถอะนั่นมันไม่ใช่ประเด็น จุดของมันที่ยังคาใจนายเหมืองหนุ่มอยู่ก็คือ...ถ้าที่ป้าพุดเล่ามามันไม่มีการเติมไข่ใส่สีเขาก็จะถือว่าครั้งนี้เขาติดหนี้บุญคุณครูบัวอยู่จริง แต่คนเราที่เพิ่งพบเจอหน้ากันมันจะทำตัวเนียนปรับเข้าหากันได้ง่ายขนาดนี้เลยเชียวหรือ เพราะการต้องเป็นเจ้าคนนายคนตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้นายเหมืองสิงห์คิดไปในอีกทางกลับกันด้วยว่า บางทีครูบัวคนนี้อาจทำไปโดยมีเจตนาแอบแฝง และทำได้เนียนจนสามารถตบตาป้าพุดจนดูไม่ออกเลยก็เป็นได้
“นายเหมือง...ทำหน้าตาแบบนี้อีกแล้วนี่แสดงว่ากำลังคิดอะไรไม่ดีกับครูบัวแกอยู่ใช่มั้ยคะเนี่ย...โธ่นายเหมือง อย่าไปตั้งแง่อะไรกับแกนักเลยค่ะ ป้าอ่านแววตาแกออก...แกจริงจังและจริงใจที่จะมาสอนสองแสบจริงๆนะคะ ถ้าไม่อย่างนั้นใคร๊...มันจะลงทุนขึ้นรถลงใต้มาจนถึงเหมืองนี่ได้เพื่อมาสอนเด็ก...หางานทำเอาในเมืองกรุงมันไม่ง่ายกว่าเหรอคะ...เอาน่า ให้เวลาครูบัวของป้าได้พิสูจน์ตัวเองก่อนสิคะค่อยอคติ...ทีครูคนอื่นนายเหมืองยังยอมให้มีช่วงทดลองงานก่อนเลยนะคะ”
“ผมก็ไม่ได้จะอะไรกับเขานี่ครับป้า...ถ้าเขาดีจริงเหมือนที่ป้าว่าก็ดีไป...แต่ถ้ามาดีแตกวันไหนผมก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน...”
นายเหมืองหนุ่มกอดอกหรี่ตามองร่างในกองผ้าห่มลายมิกกี้เม้าส์ที่นอนอยู่ตรงกลางสองแสบเขม็ง เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มให้คลุมถึงคอให้ลูกแผ่วเบาแล้วก็พาร่างชื้นน้ำฝนของตัวเองออกไป
พุดฤทัยมองตามแล้วส่ายหน้า...จะอะไรกันนักหนา ทีครูคนอื่นไม่เห็นมานั่งตั้งแง่กันแบบนี้ พอจะได้ครูดีมาหน่อยละทำเก๊กเชียว...หล่อนว่าหล่อนมองคนไม่ผิดหรอก ครูบัวคนนี้แตกต่างจากครูคนอื่นที่ผ่านมาจริงๆ หล่อนก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่หล่อนคิดนั้นมันคงไม่ผิดเข้าหซักวันหรอกนะ...ครูตาหวานของสองแสบ
------------------------------------------------ - - - - -- - - -- -
ร่างสูงใหญ่นั่งรอผู้ร่วมมื้อเช้าอยู่บนโต๊ะอาหารขนาดหกที่นั่ง เสื้อเชิ้ตผ่าหน้าลายสก็อตกับกางเกงยีนส์สีดำขาดๆถูกเลือกเอามาใช้งานในเช้าวันนี้ ถามว่ามันเข้ากันรึเปล่าเขาก็ตอบไม่ได้หรอกเพราะไม่ใช่พวกที่มีจิตศิลปะสวยงามอะไรนัก จริงๆคือเห็นว่าสองตัวนี้หยิบออกจากตู้ง่ายที่สุดในบรรดากองเสื้อผ้าทั้งหลายทั้งมวลต่างหาก ชายหนุ่มผู้ไม่เคยใส่ใจอะไรมากกับตัวเองอยู่แล้วจึงหยิบมาแต่งแล้วแทบไม่ได้ส่องกระจกดูเลยซักนิดก่อนลงมาข้างล่างนี้...
ป้าพุดฤทัยเริ่มทะยอยยกกับข้าวมาตั้งโต๊ะรอเอาไว้แล้ว บ้านเขาจะเน้นอาหารเช้าเป็นหลัก ดังนั้นทุกวันจะต้องมีข้าวและกับข้าวเป็นอาหารเช้าทุกครั้ง เขาไม่นิยมดื่มแค่กาแฟเป็นมื้อเช้า แต่มักจะเอาไว้เป็นมื้อบ่ายหรือมื้อว่างเสียมากกว่า...กลิ่นหอมยวนใจของคั่วกลิ้งหมูของโปรดกับกุ้งแม่น้ำต้มมะม่วง หอมกลิ่นเปรี้ยวจากมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบเรียกน้ำลายให้มาสอในปากได้ไม่ยาก ป้าพุดให้เด็กช่วยงานในบ้านยกจานไข่เจียวเข้ามาเพิ่มให้อีกอย่าง มื้อเช้าของเขาก็เรียบร้อยพร้อมสรรพ เตรียมรับประทานเอามันเข้าปากได้แล้ว
...และในตอนที่เขากำลังตัดสินใจว่าจะเริ่มลงมือจ้วงก่อนโดยไม่รอสองแสบเพราะมักลงมาช้าเป็นเรื่องปกติ ก็ดันได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังแข่งกันมาจากทางบันไดและเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“พ่อสิงห์!!! แอบกินก่อนอีกแล้วใช่มั้ย...”
...ไอ้ไทกอน...มาถึงก็เจริญพรใส่พ่อมันทันทีเลยนะ ไอ้ลูกปากดีนี่มันลูกใครซักทีวะ...
“ครูตาหวาน ครูเคยกินคั่วกลิ้งเปล่า...ของโปรดพ่อผมเลย อร่อยนะครูลองกินดูๆ”
นายเหมืองสิงห์มองไลเกอร์ที่ปะเหลาะครูใหม่อย่างที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก เจ้าสองแสบเดินโหนแขนครูคนใหม่ที่อยู่ในชุดเสื้อลายการ์ตูนกับกางเกงขาสามส่วนเข้ามาในห้องอาหาร พอปล่อยไทกอนให้ทักทายเขาเล็กๆเสร็จแล้วสองแสบก็เข้าไปนั่งประจำที่ เมินพ่อมันอย่างเต็มรูปแบบแล้วเริ่มลงมือทานอาหารโดยการเปิดประเดิมที่ไลเกอร์เป็นคนตักของโปรดพ่อมันประเคนให้กับครูคนใหม่ตัดหน้าเรียบร้อย...
บัวที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของเจ้าของบ้านและอยู่ตรงข้ามกับสองแสบเหลือบมองอาการหน้าหงิกของคนมีศักดิ์ใหญ่สุดในบ้านแล้วก็รีบก้มหน้างุด ชิมอาหารที่ลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาตักให้มาเข้าปาก แล้วก็ออกปากชมคนทำว่าทำได้อร่อยมาก แม้ว่ามันจะเผ็ดไปนิดสำหรับเขาก็เถอะ...
“นี่ครูๆ วันนี้จะสอนวิชาอะไรเหรอ...แต่ไทยังขี้เกียจอ่า ไม่อยากเริ่มเรียนวันนี้...ค่อยเริ่มพรุ่งนี้ได้มั้ยครู...” จู่ๆไทกอนที่นั่งทานข้าวอยู่ก็ถามโพล่งขึ้นมา และแน่นอนว่าพอคนน้องพูดตรงใจ ไยคนพี่จะไม่สนับสนุน
“นะครูนะ...ปิดเทอมอีกตั้งนาน ครูค่อยสอนผมตอนอาทิตย์สุดท้ายก็ทัน เชื่อเหอะ...นะครูตาหวานนะ...น้านะๆ”
...มิน่าละ มาเอาใจเขาแต่เช้า เพราะอยากจะขอเรื่องนี้นี่เอง...
“เฮ้ยสองแสบ...กล้ามากเลยนะที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าพ่อเนี่ย...”
“เอาสิครับ...ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน...” ไม่รู้ว่าจู่ๆอะไรดลใจให้เขาพูดขัดคำนายเหมืองขึ้นมาเสียได้ ช่างไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดินเอาเสียเลยไอ้บัว แถมพูดออกไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วด้วย...บัวหันมองสบตากับคนที่พูดขึ้นมาพร้อมกันแต่ความคิดดันสวนทางแล้วตัดสินใจเป็นฝ่ายเงียบ ให้สิทธิ์คนเป็นใหญ่เขาได้เอ่ยอะไรออกมาก่อน แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะค่อนข้างทำร้ายจิตใจบัวอยู่พอสมควรก็เถอะ
“เดี๋ยวนะ...ฉันจำได้ว่าฉันจ้างเธอมาเป็นครูสอนพิเศษลูกชายฉัน ไม่ใช่ให้มานั่งๆนอนๆกินเงินเดือน...ไม่ทันไรก็จะเบี้ยวงานกันเสียแล้ว คิดอยู่แล้วเชียวว่าครูเมืองกรุงอย่างเธอคงจะดีไปได้ไม่กี่ชั่วโมงหรอก”
เสียงวางช้อนดังเคร้งและคำพูดปรามาสยาวเหยียดกลบเสียงเฮลั่นของเจ้าสองแสบ พลอยทำให้บัวกินข้าวไม่ลงไปด้วย เด็กหนุ่มรวบช้อนแล้วก็ตั้งใจสบตาเขาเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณ ผมแค่อยากจะขอเวลาทำความรู้จักกับเด็กๆเพิ่มอีกซักวัน จะได้พอรู้พื้นฐานของเด็ก และจะได้รู้ว่าผมต้องสอนอะไรพวกแกเพิ่มเติมอีกบ้าง...ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำงานให้คุ้มกับเงินค่าจ้างของคุณทุกบาททุกสตางค์แน่นอน” บัวไม่ได้ตั้งใจจะประชดหรอกนะ แต่พอได้ยินคำพูดประโยคข้างต้นนั่นแล้วก็อดเสียใจไม่ได้ แสดงว่าที่ผ่านมาเขาโดนประเมินเชิงไม่ไว้วางใจมาตั้งแต่แรกเลยใช่มั้ยนี่
“...ก็ดี...ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดแล้วกัน” แววตาจริงใจที่ครูบัวมองสบตอบกลับมา ทำเอานายเหมืองสิงห์ต้องหยุดชะงักคำพูดตัวเองไปนิดเพื่อทบทวนสิ่งที่ตัวเองเผลอเอ่ยออกไปก่อนหน้านี้ แม้ในความรู้สึกตัวเองมันไม่ได้ฟังดูแรงอะไร แต่แววตาจริงใจแฝงความน้อยใจนิดๆของครูบัวก็ทำให้เขาพูดออกไปได้แค่นั้น ทั้งที่ความจริงแล้วตัวเองอยากจะต่อปากต่อคำให้ได้มากกว่านี้ก็เถอะนะ
“ครูตาหวาน...งั้นวันนี้ผมจะพาครูไปที่ฐานทัพลับกัน ไปมั้ยครู” จู่ๆไทกอนที่เห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะเงียบลงก็เอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้น ไลเกอร์ที่นั่งอยู่ข้างกันพร้อมข้าวเต็มปากก็ยกมือขึ้นพร้อมสนับสนุนความคิดน้อง
“นี่ครูตาหวาน ถ้าไม่ใช่ครูเนี่ยผมไม่พาไปหรอกนะจะบอกให้...”
“ไลเกอร์ เวลาทานข้าวเนี่ยห้ามพูดรู้มั้ยครับ...” บัวที่หันไปยิ้มให้สองหนุ่มอดไม่ได้ที่จะแอบเตือนเด็กน้อยในการดูแลด้วยความหวังดี ไลเกอร์กลืนข้าวลงคอดังเอื๊อกแล้วตอบโต้ครูตาหวานอย่างที่เด็กช่างซักชอบทำว่า
“รู้สิครู โดนเตือนประจำแหละแต่เกอร์ไม่ได้ทำ ก็เกอร์ไม่เข้าใจนี่นาว่าทำไมถึงกินกับพูดไปด้วยไม่ได้...”
“ช่าย ไทเห็นเมื่อกี๊เกอร์ก็ทำไม่เห็นจะเป็นอะไร...แค่ก...แค่กๆ...เอื๊อก...”
นั่นไงดูสินั่น พูดไม่ทันขาดคำก็สำลักน้ำหูน้ำตาไหลเสียแล้วเจ้าไทกอน...บัวส่ายหัวให้กับความอยากลองดีของเจ้าหนูจอมแสบแล้วก็รีบยื่นน้ำแก้วของตัวเองที่ยังไม่ได้ดื่มไปให้ มีพี่ชายคือไลเกอร์ช่วยตบหัวลูบหลังให้อีกคน ซักครู่หนึ่งไทกอนจึงได้มีอาการหายใจดีขึ้นและเอนตัวพิงพนักอย่างหมดแรงจากการไออย่างหนักหน่วงเมื่อครู่
“เป็นไงบ้างครับไทกอน นี่ดีนะว่าทานข้าวอยู่ ถ้ากำลังทานเม็ดลำไยหรือทับทิมอยู่ล่ะก็...มีหวังหลุดไปติดหลอดลมหายใจไม่ออก แย่แน่ๆคราวนี้” บัวกึ่งสอนกึ่งดุ เด็กสองคนมีอาการรับฟังคำครูตาหวานแต่ก็เหมือนไม่ค่อยเชื่อเต็มร้อยเปอร์เซนต์
“มันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะครู...หลอดอาหารกับหลอดลมมันแยกกันนา...” ไลเกอร์มีการเถียงกลับเสียงอ่อย...
“มันก็ใช่ครับ แต่มันก็ยังมีความสัมพันธ์กันอยู่...ถ้าไลเกอร์ไม่เชื่อ ไลเกอร์ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง...” บัวหยุดเว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อสังเกตอาการเด็กว่าสนใจอยากพิสูจน์เรื่องที่ว่าหรือเปล่า แล้วเมื่อเห็นแววตาพราวระยับพริบๆนั่นจ้องตอบกลับมาบัวก็เลยบอกวิธีพิสูจน์ให้ว่า “งั้น...ไทกอนช่วยครูพิสูจน์หน่อยสิครับ บีบจมูกไลเกอร์ให้ที...”
สิ้นคำพูดครูตาหวาน ผู้ชายที่เหลืออีกสามคนบนโต๊ะมีอาการแตกต่างกันไปทันที ไลเกอร์อ้าปากหวอ ไทกอนยิ้มร่า ส่วนคนเป็นพ่อที่นั่งหัวโต๊ะทำหน้าบึ้งฉับ
“อ่อย...ไอออนอ่อยยยย อ๋ายใออะออกกกก...อ่อย!!!”
“เดี๋ยว! นี่เธอสอนอะไรลูกฉัน! คิดจะฆ่าลูกฉันรึไงฮะ...!!!” เสียงตวาดดังลั่นห้องอาหารทำให้บัวหัวหด คนเป็นครูเหลือบมองเจ้าของเหมืองผู้ยิ่งใหญ่ด้วยปลายหางตาแบบกลัว ก่อนจะเสสายตากลับไปมองไทกอนที่กำลังอุดจมูกพี่ชายอย่างเมามันมาก
“ฮี่ๆ เรื่องเสี่ยงๆแบบนี้ขอให้บอกเลยครู ไทกอนลูกพ่อสิงห์ทำได้หม๊ดดดดด...” เสียงเล็กขึ้นเสียงสูงด้วยท่าทางพออกพอใจและมีความสุขเมื่อได้รับหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ ส่วนไลเกอร์ก็ดิ้นปัดๆอยู่บนเก้าอี้พร้อมร้องโอดโอยด้วยท่าทางที่ใครๆก็มองออกว่ากำลังเล่นจำอวดแบบเทิร์นโปรอย่างสมบทบาทมาก
บัวมองเด็กสองคนที่นั่งปล้ำกันอยู่ตรงข้ามแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว เห็นสมควรแก่เวลาก็บอกให้หยุด ก่อนจะเอ่ยปากอธิบายวิธีพิสูจน์ที่ทำให้คนเป็นพ่อเด็กทำท่าจะองค์ลงไปด้วยอีกคน
“เอาล่ะ...ที่ครูให้ทำแบบนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ถึงไลเกอร์จะโดนปิดจมูกให้หายใจไม่ออก แต่ไลเกอร์ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ...เพราะไลเกอร์แค่หยุดหายใจผ่านทางจมูก ไปใช้ปากหายใจแทน...ที่ไลเกอร์ทำอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าหลอดอาหารและหลอดลมมีจุดเปิดปิดจุดเดียวกัน เวลาเราหายใจหลอดลมก็จะเปิด เวลาเราทานอาหารหลอดลมก็จะปิดแล้วก็เปิดหลอดอาหารแทน เพราะฉะนั้นถ้าเวลาหนูทานข้าวไปด้วยพูดไปด้วย หลอดลมกับหลอดอาหารก็จะเปิดๆปิดๆ ทำให้มีสิทธิ์ที่อาหารของเราจะร่วงหล่นลงไปในหลอดลมแล้วเราก็จะสำลักแบบเมื่อครู่ไงครับ” บัวอธิบาย ไลเกอร์มีสีหน้าเข้าใจได้ทันทีส่วนไทกอนยังออกอาการงงงวยอยู่อีกนิดหน่อย บัวเลยยกตัวอย่างกรณีคนดำน้ำให้ฟังเพิ่มเติมแบบเข้าใจง่ายๆ และก็ได้ผลเมื่อสองหนุ่มน้อยพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเข้าใจระบบการหายใจของมนุษย์ได้ในที่สุด
“อ๋อ...งั้นถ้าเมล็ดลำไยหรือเม็ดทับทิมหล่นลงไปอย่างที่ครูว่าเมื่อกี๊ก็จะไปปิดหลอดลม ทำให้หายใจไม่ออกตายได้ใช่มั้ยครับครู” ไลเกอร์เชื่อมโยงเรื่องต่างๆได้เร็วจึงพูดความเข้าใจตัวเองให้ครูลองฟัง และก็ต้องยิ้มแฉ่งเมื่อเขาได้รับคำชมกลับมาว่าเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว ส่วนไทกอนที่เห็นพี่ชายได้หน้าก็ไม่อยากยอมแพ้ หนุ่มน้อยยกมือขึ้นหลังจากที่ครูบัวชมพี่ชายตัวเองเสร็จแล้วขอพูดมั่ง
“แล้วไอ้การพิสูจน์เมื่อกี๊ไทกับเกอร์ก็ต้องห้ามพิสูจน์กันตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่ด้วยใช่มั้ยครับ เพราะมันอันตรายใช่มั้ยครับครูตาหวาน...”
“ใช่ครับเก่งมากเลยไทกอนที่เข้าใจ...ครูให้เราสองคนทำแบบนั้นได้เพราะตรงนี้มีทั้งครู ป้าพุด และคุณพ่อของหนูคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด เผื่อในกรณีฉุกเฉินแบบว่าไทกอนเกิดหมั่นไส้ไลเกอร์เป็นการส่วนตัวแล้วอาศัยวิธีนี้เป็นการแก้แค้นครูก็แย่น่ะสิ...ใช่มั้ยครับ” บัวพูดพร้อมมอบรอยยิ้มปิดท้ายการเลคเชอร์วิชาชีววิทยาเรื่องระบบการหายใจโดยย่อให้กับเจ้าสองแสบ ไลเกอร์กับไทกอนร้องเย้พร้อมกันก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเข้าใจอะไรกันอยู่เรียบร้อยสองคน บัวมองลูกศิษย์สองแสบด้วยรอยยิ้มเอ็นดูแล้วเริ่มลงมือทานข้าวที่เหลืออยู่ต่อไปอย่างสงบเสงี่ยม ได้ยินเสียงป้าพุดชมมาแว่วๆว่าครูบัวสอนได้สองบทแล้วในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง บัวไม่กล้ามองปฏิกริยาตอบกลับของคนเป็นเจ้าบ้าน แต่เดาอาการเงียบนั้นได้ว่าอย่างน้อยการอธิบายของเขาก็ยังไม่ทำให้เขาต้องออกจากงานไปในตอนนี้แน่ๆ
นายเหมืองสิงห์มองคุณครูคนใหม่ด้วยหัวใจที่เริ่มเปลี่ยนมุมมอง เขาพอจะมองวิธีการ ‘สอน’ และ ‘ปราบ’ พ่อสองหน่อของคุณครูคนใหม่ได้แล้ว ตะล่อมสอนเอาจากเหตุการณ์รอบตัว ดึงเรื่องที่เป็นความสนใจของเด็กมาใช้ให้เป็นประโยชน์ วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้เด็กกลายมาเป็นผู้รับที่จะขวนขวายอยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง ส่วนคนเป็นครูก็คอยอธิบายและบอกสอนเรื่องเหล่านั้นให้เด็กรับรู้ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยมายัดเยียดหรือขู่เข็นให้เด็กรับ เพราะเด็กจะเปิดใจรับด้วยตัวของเขาเองอยู่แล้ว
ใช่ว่าสิงห์จะไม่รู้ว่าวิธีการสอนแบบนี้นั้นได้ผลดี แต่ครูน้อยคนที่จะใช้วิธีการนี้แล้วได้ผล...และสิงห์ก็ต้องยอมรับว่าครูบัวนั้นเป็นคนหนึ่งที่ใช้วิธีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมันก็เหมาะสมกับเจ้าสองแสบผู้นิยมเรียนรู้เฉพาะสิ่งที่ตัวเองสนใจอย่างที่สุด...เห็นที...เรื่องที่ป้าพุดบอกเขาเมื่อคืนไม่ให้ตั้งแง่กับครูบัวตั้งแต่แรกดูท่าเขาจะต้องทำตามเสียแล้วละมั้ง
บัวมองกุ้งแม่น้ำเลาะเปลือกเหลือแต่หัวติดมันตัวโตที่มานอนกองอยู่ข้างจานข้าวของตัวเองด้วยความงงงวย พอเหลือบมองคนตักให้ก็เห็นร่างสูงใหญ่หันไปตักคั่วกลิ้งหมูของโปรดตัวเองลงในจานแล้วก็นั่งทานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บัวก้มกลับลงไปสบตากับเจ้ากุ้งตัวเบ่อเริ่มที่ยังนอนแอ้งแม้งท่าเดิมอยู่ในจานไม่เปลี่ยนแปลง แล้วก็เหมือนเกิดนิมิตรในมโนจิตเป็นคำว่า
‘ขอโทษ’
ลอยผ่านเข้ามา...เอาเป็นว่าบัวจะรับกุ้งตัวนี้ลงไปในท้องแทนคำขอโทษจากนายเหมืองหนุ่มผู้เป็นคนตักให้เขาแล้วกัน เรื่องที่โดนขึ้นเสียงดังสองสามหนเมื่อกี๊บัวจะถือว่ามันเป็นโมฆะไป...บัวแกะเนื้อกุ้งแล้วตักขึ้นทาน ตัวเองทำหน้าแบบไหนนั้นไม่รู้ตัวหรอก...จะยกเว้นก็เสียแต่เด็กแสบสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ซึ่งเห็นชัดกันจะๆว่าครูบัวนั่งกินกุ้งด้วยแก้มแดงแจ๋และริมฝีปากที่แย้มยิ้มเสียหวานจ๋อย...
ไลเกอร์เหลือบสบตากับน้องชาย ไทกอนยักคิ้วหลิ่วตาตอบกลับหาพี่ชายด้วยข้อความว่า...ท่าทางงานนี้เราสองคนคงได้ทั้งครู...ทั้งพี่เลี้ยง...และอาจได้แม่เลี้ยง...กับเมียเลี้ยงของพ่อคนใหม่จริงๆแล้วก็เป็นได้...
------------------------------------------------ - - - - -- - - -- -
to be continue...
อัพรับคริสต์มาสอีฟฟฟฟ
Merry Christmas ka