11
ภัทรกลับมาถึงบ้านด้วยอาการชาหนึบตรงบริเวณหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาทิ้งตัวลงโซฟาอย่างคนหมดแรง ในตอนนี้สติของเขาไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเองเท่าไรนัก เนื่องด้วยเหตุการณ์เมื่อช่วงพักเที่ยงและความจริงที่ทำให้ภัทรรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหักหลังอย่างบอกไม่ถูก ภาพนั้น....แม้จะเห็นเพียงไม่กี่วินาที มันก็ยังติดตาเขามาจนถึงตอนนี้
อีกไม่ถึงชั่วโมงหลานชายก็คงโทรบอกให้ไปรับแล้ว มันคงไม่ดีเท่าไรแน่ หากภัทรคิดจะมาร้องไห้เอาตอนนี้ แม้ในความจริงเขาจะเริ่มขอบตาร้อนผ่าวแล้วก็ตาม
ตั้งแต่ที่เห็นรูปนั้นประกอบกับคำบอกเล่าของพี่ในแผนกที่บอกว่าอาจมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ คนฟังอย่างภัทรก็รู้สึกจิตใจร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก อยากแสดงออกถึงความไม่พอใจ อยากจะรีบโทรหาคุณเขาเพื่อซักถามข้อเท็จจริง ก็ไม่สามารถทำมันได้ในทันที เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่ยังคงปิดเป็นความลับอยู่
เพราะคุณภาสกรยืนยิ้มข้างไพลิน.....
เพราะยังไม่ได้รับความกระจ่างแจ้ง.....
เพราะยังไม่เข้าใจว่าทำไมคุณภาสกรต้องโกหกกัน.... ทำให้การทำงานตลอดทั้งบ่ายของภัทร เป็นไม่ได้ไม่ค่อยดีนัก หลง ๆ ลืม ๆ เนื่องด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว บ่อยครั้งที่ภัทรถูกเอ็ดว่าชอบเหม่อ ไม่ได้ยินเสียงเวลาหัวหน้าสั่งงาน
หลังกลับมานั่งพักหายใจหายคอที่บ้านและรวบรวมสติได้สักระยะ ภัทรจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขาเกิดความลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นชื่อของคุณภาสกรปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แจ้งเตือนว่าเป็นสายที่ไม่ได้รับ ถ้าเป็นปกติภัทรคงโทรกลับไม่ก็ส่งข้อความไปหา พอเห็นรูปนั้น....ทุกอย่างก็ดูผิดแปลกไปหมด อะไรที่เคยทำเป็นปกติก็มีการชะงักและฉุดคิดอยู่เสมอ
.....ภัทรกลัวว่าตัวเองจะอดใจถามเรื่องนั้นกับคุณเขาไม่ไหว ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ภัทรต้องการ
ภัทรไม่อยากเป็นฝ่ายถามก่อน เขาอยากให้คุณภาสกรเป็นคนเล่าความจริงเอง ภัทรไม่เข้าใจว่าทำไมคุณภาสกรถึงไม่บอกกันดี ๆ ตั้งแต่แรก ทำไมต้องโกหกว่าไปดูงานที่ต่างจังหวัด....เขาไม่เข้าใจอีกฝ่าย
ทำไมคุณภาสกรไม่พูดความจริงกันตั้งแต่แรก ไหน ๆ เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็นความลับด้วยซ้ำ ภัทรถึงกับแค่นหัวเราะกับตัวเอง เมื่อเขาตระหนักได้ว่าตอนนี้เขากำลังพยายามหาเหตุผลเพื่อมาปกป้องคุณภาสกรออกจากความคิดแย่ ๆ ของตัวเอง
ในที่สุดภัทรตัดสินใจ....เขาจะไม่เป็นฝ่ายถามก่อน ภัทรจะไม่แสดงออกว่าเห็นรู้เห็นเรื่องนี้แล้ว เขาจะปฏิบัติตัวเหมือนอย่างปกติ เพราะก็อยากรู้เหมือนกัน หากเขาทำเฉย คุณภาสกรจะเป็นฝ่ายบอกเรื่องนี้เองไหม
ภัทรจะแสร้งไม่รู้ต่อไป แม้ว่าในความจริงเขาจะร้อนใจและกลัวอยู่ไม่น้อยว่าคุณภาสกรจะเลือกไพลิน....ไม่ใช่เขา
ภัทรนั่งนิ่งจัดการความรู้สึกแย่ ๆ ของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลุกขึ้น ไปถอดถุงเท้าและเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะเพื่อที่จะไปรอรับหลานที่โรงเรียนต่อ เพราะอีกไม่นานเจ้าโอ๊ตก็คงมาถึง
“เจ้าโอ๊ต วันนี้จะกินอะไรดี”
“ไม่อยากกกินอะไรเลยฮะ อยากนอนอย่างเดียว”
“ไม่หิวหรือไง”
“ไม่หิวฮะ”
“โอเค งั้นน้าไม่ทำอาหารเผื่อนะ”
“ฮะ”
ภัทรพยักหน้ารับคำตอบของหลานชาย ขณะที่เขากำลังเดินกอดไหล่หลานชายตัวกะเปี๊ยก ไปข้างหน้าโรงเรียนเพื่อไปขึ้นรถแท็กซี่ เตรียมกลับบ้านกัน ในเวลานี้ความเครียดของภัทรถูกชะงักไปชั่วคราว เพราะภัทรคิดถึงหลานมาก เมื่อได้เจอหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง เขาจึงเทความสนใจให้กับเจ้าโอ๊ตเพียงคนเดียว
ยอมรับว่าบางครั้งภัทรก็รำคาญหลานชายตัวเอง เพราะตั้งแต่พี่สาวฝากลูกชายให้เลี้ยงตั้งแต่เจ้าโอ๊ตยังแบเบาะ ชีวิตภัทรก็ไม่มีคำว่าอิสระอีกต่อไป เขาไม่สามารถไปนอนค้างคืนที่ไหนหลาย ๆ วันได้ ไม่สามารถไปสังสรรค์ ท่องราตรี กินเหล้ากับเพื่อนได้อย่างที่ใจต้องการ เหมือนถูกกักความอิสระไว้ เพียงเพราะถูกพี่สาวโยนลูกชายมาให้เลี้ยงดื้อ ๆ
ตอนแรกก็โมโหอยู่ไม่น้อย เวรกรรมอะไรทำไมเขาจึงต้องมาเลี้ยงเด็ก ลูกตัวเองก็ไม่ใช่ แต่พอนึก ๆ ดูอีกทีแล้ว ถ้าเขาไม่เลี้ยงเจ้าโอ๊ตแล้วใครจะเลี้ยง
พ่อแม่ก็เลิกกันตั้งแต่เจ้าโอ๊ตยังไม่ทันลืมตาด้วยซ้ำและด้วยความสงสารเจ้าโอ๊ตและพี่สาวที่จะต้องหาเงินและเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ไหนจะสถานะน้าชายที่ค้ำคออยู่ ทำให้สุดท้ายภัทรจึงเลี้ยงเจ้าโอ๊ตอย่างไม่เกี่ยงงอน ถือเสียว่าอย่างน้อยเจ้าโอ๊ตก็เป็นหลานชายคนหนึ่งของเขา เรามีสายเลือดเกี่ยวข้องกันอยู่ จะไม่เลี้ยงก็ดูใจร้ายเกินไป จึงกัดฟันสู้จนเจ้าโอ๊ตโตมาได้ถึงขนาดนี้
วัยรุ่นที่ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน ไม่มีกูรูคอยบอกสอน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง ช่วงแรก ๆ ตอนตัดสินใจรับเจ้าโอ๊ตมาเลี้ยง ภัทรเองก็ปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะตอนเด็กเจ้าโอ๊ตขี้แงเป็นที่หนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ พอโอ๋เสร็จ เขาจึงพยายามถามหาเหตุผลจากหลานชายตัวเล็กว่าทำไมถึงร้องไห้ เจ้าโอ๊ตก็ตอบมาสั้น ๆ ว่าหิวข้าว นั่นทำให้ภัทรถึงกับมึนงงไปอยู่ครู่หนึ่ง
เป็นเด็กนี่อะไรก็ดูยากเย็นไปหมด บางครั้งภัทรก็สัญญากับตัวเองว่าเขาจะไม่มีลูก เลี้ยงแค่เจ้าโอ๊ตคนเดียวเขาก็รู้ซึ้งถึงคำว่าพ่อแม่แล้ว
ไม่ใช่แค่เหตุการณ์นั้น....บางครั้งเจ้าโอ๊ตหิวข้าวก็ไม่พูดออกมาดี ๆ ว่าหิว ร้องไห้ลั่นบ้าน ถามว่าเป็นอะไรก็ส่ายหน้าลูกเดียว ของเล่นก็ไม่เอา ขนมก็ไม่กิน พอวางจานข้าวไว้ข้างหน้าถึงหยุดร้อง ชี้สั่งชี้นี่สั่งการให้ตักข้าวป้อนปากเล็ก ๆ กว่าจะผ่านพ้นกับการเลี้ยงเด็กในแต่ละวันได้ ทำเอาภัทรลอบคลึงข้างขมับตัวเองอยู่หลายหน
พอไปเข้าโรงเรียนได้ ภัทรถึงสบายขึ้นมาหน่อย เขาเริ่มมีเวลาไปทำนั่นทำนี่ หาทำงานพิเศษหรือไปติวหนังสือกับเพื่อน แต่ก็ยังต้องดูแลอาหารการกิน ดูแลทุกอย่างในชีวิตของเด็กชายโอ๊ตอยู่ดี จนแทบจะเป็นพ่อคนที่สองด้วยซ้ำ
ถึงจะชอบบอกเพื่อนว่ารำคาญไอ้ตัวเปี๊ยก เพราะอิสระที่เคยมีมาตลอดมันหายไป อยากไปไหนกับเพื่อนก็ไม่ได้ไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ภัทรขาดเจ้าโอ๊ตไม่ได้ เราสองน้าหลานตัวติดกันมาหลายปี แทบเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว จนตอนนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ภัทรรู้สึกมีความสุขเท่ากับเห็นหลานชายตัวเองกินอิ่ม นอนหลับ
“ไป ๆ ง่วงนักก็ไปนอน”
เมื่อมาถึงบ้านแล้ว ภัทรก็โบกมือไล่หลานชายให้ขึ้นไปนอน หลังเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพสุดจะทน ตาจะปิดทั้ง ๆ ที่กำลังเดินอยู่ ตอนอยู่บนแท็กซี่ ระยะทางนิดเดียวเจ้าโอ๊ตก็ยังหลับ พอเห็นแล้วภัทรก็รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก อยากคุย อยากถามว่าไปค่ายได้อะไรมาบ้างก็คงต้องยกยอดไปถามพรุ่งนี้แทน
“อยากเหมือนกันฮะ แต่วันนี้โอ๊ตมีนัดกับแม่ แม่บอกว่าจะโทรมาหา” เจ้าโอ๊ตตอบเสียงยาน พร้อมกับทิ้งตัวลงโซฟา
“แล้วแม่เขาไม่รู้เหรอว่าวันนี้โอ๊ตเพิ่งกลับบ้าน”
“รู้ฮะ แต่แม่บอกขอคุยด้วยแป๊บเดียว แม่คิดถึง”
“เฮ้อ....ค่อยคุยพรุ่งนี้ก็ได้ ไปนอนไป เดี๋ยวน้าคุยให้เอง แม่เขาเข้าใจอยู่หรอก” ภัทรว่าต่อพร้อมกับตบไหล่หลานชายเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรีบขึ้นไปนอน
ในตอนแรกเจ้าโอ๊ตก็ยังอิดออด ไม่ยอมขึ้นไปนอนตามคำสั่งของภัทร แต่สุดท้ายจิตใจก็แพ้ร่างกายอยู่ดี เดินทางมาเหนื่อย ๆ ร่างกายคงอยากพักผ่อนเต็มที สุดท้ายจึงต้องไหว้วานน้าชายคุยกับแม่แทนหน่อย เพราะตาจะปิดแล้ว
หลังเจ้าโอ๊ตขึ้นบ้านไปได้ไม่นาน ก็มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์หลานชายที่วางไว้ให้พอดี ภัทรก็กำลังนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาจึงหยิบมารับอย่างไม่ลังเล
“ฮัลโหล....”
[อ้าว โอ๊ตไปไหน ทำไมภัทรได้มารับสายแทน]
“มันขึ้นไปนอนแล้ว มันเพิ่งกลับมาถึงบ้านเนี่ย”
[เหรอ นี่ว่าจะคุยกับเจ้าโอ๊ตสักหน่อยก็ไม่ได้ นัดแนะกันไว้แล้ว ไม่ได้คุยกับลูกนานละคิดถึง]
“โห พี่พลอยมาคิดถึงมันอะไรวันนี้ ค่อยคุยกับเจ้าโอ๊ตพรุ่งนี้เอานะพี่ มันง่วงจนหลับบนแท็กซี่แล้ว ภัทรเลยไล่ขึ้นไปนอนเมื่อกี้”
[เออ ๆ ค่อยคุยพรุ่งนี้ก็ได้ งั้นไม่เป็นไร ว่าแต่แกเถอะ ไม่ได้คุยกันนานมากแล้ว ช่วงเป็นไงบ้าง?]
“ก็ดีมั้ง เรื่อย ๆ แหละ”
[แน่เหรอ....]
“ตกลงจะถามอะไรล่ะพี่” คราวนี้ภัทรถามกลับบ้าง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
เขาไม่ได้คุยกับพี่สาวตัวเองนานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ตอนนั้นที่คุยกันเรื่องค่าเทอมของเจ้าโอ๊ต พอจะมาคุยเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับหลานชาย เขาจึงรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก
[ฉันอยากรู้เรื่องความรักแก มีใครบ้างหรือยัง?]
“......”
[แล้วอย่ามาบอกว่าไม่มีนะ ฉันเชื่อว่าน้องชายตัวเองขายออกแน่นอน]
“รู้ดี”
[นี่ฉันเป็นพี่แกนะ ไอ้ภัทร!]
“พี่พลอยอะ รีบมารับเจ้าโอ๊ตไปได้แล้ว รำคาญมันเหลือทน จะไปไหนก็ไม่ได้ไปเพราะติดหลานเนี่ย เขาเข้าใจว่าเป็นลูกภัทรหมดแล้ว”
[ถามจริง ถ้าฉันให้เจ้าโอ๊ตย้ายมาเทอมหน้าเลย แกจะยอมเหรอ ตอนนี้ทางนี้พร้อมหมดแล้วนะ]
“พี่จะเอาไอ้โอ๊ตไปเรียนที่นั่นจริงเหรอ อย่าเพิ่งดิ ภัทรยังไม่พร้อม”
[ปากก็บอกว่ารำคาญโอ๊ต แต่สุดท้ายก็ไม่อยากให้มันย้ายมาเรียนที่นี่ มันยังไงกันแน่วะ]
“ก็มีแค่โอ๊ตเนี่ยที่เป็นเพื่อนคลายเหงา ถ้าพี่เอากลับไปเลี้ยงแล้วภัทรจะคุยกับใคร”
[เออ....แกพูดมาได้ละ เรื่องความรักเนี่ย อย่ามาเฉไฉชวนเปลี่ยนเรื่องอีก]
“อะไรเล่า!”
[มีใครหรือยัง?]
พอถูกถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่เหมือนการพูดทีเล่นทีจริงในตอนแรก ภัทรก็ถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของคุณภาสกรผุดขึ้นมาในความคิดเป็นคนแรก ช่วงหลัง ๆ มานี้มาภัทรคุยกับคุณเขาแค่คนเดียว จากที่เคยมีตัวเลือกมากมาย ภัทรกลับจริงจังแค่กับคุณภาสกรเท่านั้น แต่ในเวลานี้....เขากลับไม่มั่นใจว่าคนนี้ควรเปิดตัวหรือแนะนำให้พี่สาวได้รู้จักดีไหม
“ยังไม่มี แต่คนคุยอะมีแล้ว” ภัทรตอบ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดคุยกับพี่พลอยด้วยน้ำเสียงปกติ
พูดตามตรง ภัทรไม่อยากให้พี่พลอยรู้จักคุณภาสกรเท่าไรนัก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงเล่าเรื่องคุณภาสกรให้เธอฟังอย่างไม่ลังเล แต่พอมีเรื่องไพลินเข้ามา ไหนจะเรื่องราวคาราคาซังที่ชวนให้ปวดหัวอีกหลาย ๆ เรื่องอีก ภัทรจึงไม่ค่อยอยากแนะนำคุณเขาให้คนในบ้านรู้จักเท่าไรนัก อยากให้ทุกอย่างชัวร์กว่านี้ก่อน ค่อยแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ ถึงเวลานั้นก็คงไม่สายเกินไป
แน่นอน....ในตอนนี้คุณภาสกรยังไม่ใช่คนนั้นสำหรับภัทร จนกว่าคุณเขาจะเคลียร์เรื่องไพลินเสร็จ
[ใคร? ผู้ชายหรือผู้หญิง?]
“เรื่องส่วนตัวอะเนอะ”
[แหม.....เรื่องส่วนตัว ที่ฉันถามก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ ฉันเป็นห่วงแกเฉย ๆ เผื่อให้คำปรึกษาเรื่องพวกนี้ได้ ถึงแม้เรื่องชีวิตคู่ฉันจะล้มเหลวก็เถอะ] พี่พลอยว่าพร้อมกับหัวเราะออกมาช่วงท้ายประโยค แต่ภัทรกลับรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อยผ่านเสียงหัวเราะนั้นอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้อ....ก็ได้ ๆ คนนั้นน่ะผู้ชาย คุยกันมาเรื่อย ๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพิ่งจะมามีปัญหาช่วงหลังนี่แหละ” สุดท้ายภัทรก็ตัดสินใจเล่าเรื่องนั้นให้พี่สาวตัวเองฟัง ความกลัดกลุ้มที่หายไปในตอนแรกกลับมาเยือนเขาอีกครั้ง
[......]
“คุยกันมาได้สักพัก เขาเพิ่งมาบอกว่าตัวเองไม่ได้โสด”
[ยังไง? ฝั่งนั้นเขามีครอบครัวแล้วมาคุยกับแกเหรอ]
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ครอบครัวเขามีคนที่หมายปองอยากให้คู่กันไว้อยู่แล้ว”
[แล้วคนของแกเขาว่าไง เห็นดีเห็นงามอยากแต่งกับคนที่พ่อแม่หามาให้ไหมล่ะ]
“เขาบอกว่าคิดกับผู้หญิงคนนั้นแค่น้องสาว....เธอชื่อไพลิน”
[แล้วฝั่งผู้หญิงล่ะ?]
“เคยถามเขาแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเขาอยากแต่งด้วยไหม ถ้าไม่อยากแต่งงานกันทั้งสองฝั่ง อะไร ๆ ก็คงง่ายขึ้น แต่เขาก็เงียบ” ภัทรว่า
พอมาพูดถึงตอนนี้เขาอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก อยากยืนอยู่ข้างคุณภาสกรเหมือนที่เคยให้คำสัญญาไว้เหมือนกัน แต่ตั้งแต่เห็นรูปนั้น.....เขาก็เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำมันถูกไหม คุณภาสกรได้สู้เพื่อเราหรือยัง หรือเห็นดีเห็นงามกับทางผู้ใหญ่ไปแล้ว แต่ยังไม่กล้าบอกภัทร
[แกบอกว่าครอบครัวเขามีคนที่หมายปองกันไว้แล้ว.....เขาเป็นคนใหญ่คนโตเหรอ]
“ก็ไม่เท่าไร....เป็นผู้บริหารของบริษัทภัทรนี่แหละ”
[ไม่เท่าไรบ้าอะไรเนี่ย แกทำงานบริษัทใหญ่ไม่ใช่หรือไง ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปรู้จักกัน]
“พี่พลอย อย่าเพิ่งซักไซ้เรื่องนั้นได้ไหม น้องชายกำลังเครียดอยู่เนี่ย”
[เออ ๆ ก็ได้ ๆ แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าเขาคิดกับคนนั้นแค่น้องสาว]
“ก็เขาบอกผม”
[ไม่ใช่เขาพูดเพื่อให้แกสบายใจเฉย ๆ เหรอ หลอกให้เชื่อใจแล้วก็ไปแต่งกับคนอื่น]
“สรุปพี่จะทำให้ผมเครียดกว่าเดิมใช่ไหม”
[ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่คิดไปอีกทาง....นอกจากคำพูด เขาแสดงออกเป็นกระทำให้แกเห็นหรือยังว่าไม่ได้อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ]
“.......”
[เขาแสดงให้เห็นหรือยังว่ากำลังสู้เพื่อแก ไม่ใช่หลอกให้แกตายใจพอให้พ้นไปวัน ๆ ?] ภัทรเงียบอีกครั้ง เขาจะอยากเถียง อยากปกป้องคุณภาสกร แต่ไม่มีอะไรจะเถียงเหมือนกัน เพราะตอนนี้นอกจากคำพูดของคุณเขา ก็ไม่มีอะไรยืนยันเลยว่าอีกฝ่ายกำลังสู้เพื่อเราอยู่
“......”
[มองบวกมันก็ดีแหละภัทร....ดีแล้วที่แกไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่คิดเผื่อไว้ด้วย ถ้าแกยืนข้างเขา แต่สุดท้ายเขาไปยืนข้างคนอื่น แกนะที่เสียใจคนเดียว ส่วนเขาน่ะเหรอ หนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนอื่น เขายังมีคนที่รอ แต่แกไม่มีใครเลยนะ]
“หรือผมควรเลิกคุยกับเขาตั้งแต่ตอนนี้ดี”
[แล้วถ้าทำอย่างนั้น แกเจ็บจะไหมล่ะ?]
“.......”
[ขอร้อง....ทำไม่ได้ก็อย่าพูด จริง ๆ คนของแก ไม่ควรคุยหรือศึกษาใครตั้งแต่เขาไม่โสดสนิทแล้วนะ มันไม่ผิดกฎหมายหรอก แต่จิตสำนึกควรมีตั้งแต่แรก]
“......”
[แล้วจะเอายังไงต่อไป เนี่ยตอนนี้ฉันหัวร้อนแทนแกแล้ว]
“พี่พลอย ขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”
[อะไรล่ะ?]
“ตอนนั้น พี่ตัดสินใจเลิกกับพ่อของโอ๊ตเพราะอะไรเหรอ พี่เป็นคนบอกเลิกเองแล้วพี่ก็มาเสียใจเอง ตอนที่ผู้ชายคนนั้นแต่งงานใหม่”
[……ว่าจะไม่พูดถึงแล้วนะ]
“.......”
[ก็ได้ ๆ ตอนนั้นฉันรู้ว่าเขาอยู่กับฉัน แค่เพราะฉันท้อง มามีลูกด้วยกัน ช่วงที่เขาหมดรักกันพอดี....]
“.......”
[เขาก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก ไม่เคยปัดความผิดชอบด้วย แต่เราไม่มีความสุขเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะหน้าที่ เพราะมีลูกด้วยกันเฉย ๆ ฉันก็ไม่ต้องการหรอก ยอมเลี้ยงลูกคนเดียวดีกว่า ดีกว่าให้ลูกโตมาแล้วรู้ว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะความรัก....อีกอย่างสังคมสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ได้เสียหายอะไร]
“......”
[แต่ก็แอบเสียใจเหมือนกันที่ไม่ได้เลี้ยงโอ๊ตด้วยตัวเอง กลับต้องให้น้ามาเลี้ยงแทน เพราะฉันต้องไปหาเงินมาใช้จ่าย]
“เออ....เข้าใจ จริง ไ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมต้องมาเลี้ยงหลาน ลูกก็ไม่ใช่”
[แต่สุดท้ายแกก็รักโอ๊ตใช่ไหมล่ะ]
“รักดิ เลี้ยงมากับมือ”
[ฮ่า ๆ นั่นแหละ ฉันไม่อยากรั้งผู้ชายคนนั้นไว้ ถ้าอยู่ด้วยกันเพราะหน้าที่ก็อย่าเลย อยากผิดชอบเจ้าโอ๊ตในฐานะพ่อของลูก ก็ส่งเสียตามหน้าที่ก็พอแล้ว]
“นางเอกจัง”
[อ้าว ไอ้นี่!]
“เออ ๆ เข้าใจแล้ว”
[แล้วสรุปจะเอายังไง เรื่องผู้ชายคนนั้นอะ]
“ก็ไม่ยังไงอะ....ตอนนี้อยากรอดูอะไรบางอย่างก่อน ถ้าไม่ออกตัวว่ารู้อะไรบางอย่างมา อยากรู้ว่าเขาจะพูดความจริงไหม แล้วถ้ามันไม่โอเคก็คงต้องเป็นฝ่ายพูดเองแหละ ชิ่งขอเลิกก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายทิ้งผมเอง”
[เด็ดเดี่ยวว่ะ]
“พี่พลอยผมยังไม่ถึงสามสิบเลยนะ บางทีเนื้อคู่อาจไม่ใช่คนนี้ก็ได้ครับ”