รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ
เจ็ด...ฝนแปดหนาว
“เอาทิชชู่ไปเก็บในห้องเพิ่มมั้ยน้องอิม”
“ฮะ? ครับ?”
“แม่เห็นใช้ซะเยอะเชียว ปกติเก็บไว้ในห้องแค่กล่องเดียวน่าจะไม่พอ”
“...”
...บทสนทนาแนวนี้สำหรับบ้านผมมันเป็นเรื่องปกติ... คนเป็นแม่รู้หนึ่งในความจำเป็นของกระดาษ
ทิชชู่สำหรับ
ผู้ชายทุกคน ตลอดมาตั้งแต่เล็กจนโตแม่ไม่เคยปิดกั้น มีแต่พยายามจะสอนลูกทั้งสองคนให้มีพัฒนาการ เรียนรู้ และเท่าทัน เพื่อให้มีทักษะตามวัยชีวิตที่ควรจะเป็น แต่ทว่า...
“เดี๋ยวผมมา”
ผมวิ่งพรวดพราดกระโจนขึ้นบันได เปิดประตูห้องตนเองได้ไม่รอช้าคว้าถังขยะในห้องขึ้นมาดู...
โธ่เว้ย...ลืมเก็บไปทิ้ง...
ซากอารยธรรมของเกรทยังคงเหลือเป็นทิชชู่กองโตในห้อง นับเป็นเรื่องธรรมดาหากคนขยันทำความสะอาดอย่างแม่จะขึ้นมาเจอ ทางเดียวคงต้องยอมรับว่าเป็นของตัวเองไปสินะ...แต่ออกเยอะไปมั้ยวะ
ผมถอนหายใจ มัดปากถุง ก่อนเดินเตาะแตะหิ้วมันลงมา
“วางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวแม่เก็บเอง เราน่ะรีบมากินข้าวก่อน เดี๋ยวไปสายกันพอดี” ผมทำตามที่แม่บอก เดินไปล้างมือแล้วกลับมาประจำที่ ยกมีดปาดนูเทลล่าซึ่งยังคาอยู่บนขนมปังสองแผ่นขึ้นมา ความหนืดของมันหลังนำออกจากตู้เย็นทำให้ละเลียดละเลงได้ช้ากว่าปกติ สร้างความยุ่งยากในมื้ออาหารเช้าได้สุดๆ จนผมตัดใจวางมีดแล้วทานมันเสียแบบนั้นทั้งที่ครีมสีน้ำตาลยังคลุมไม่ถึงพื้นที่สี่มุมด้วยซ้ำ
“เอานมข้นมั้ย” ผมเหลือบไปมองมารดาที่ยื่นกระป๋องนมข้นมา ราวกับว่าเธอจ้องผมทุกขณะและทุกการกระทำ
...นมข้นน่ะเหรอ...สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ดูเหมือนในใจเมินเฉยแต่ตลอดคืนนอนแทบไม่หลับ พอกลับมาถึงห้องก็เฝ้าแต่สงสัยการกระทำทุกอย่างของรุ่นน้อง ว่าเจ้าตัวทำทั้งหมดไปได้ยังไง ไหนจะแนบริมฝีปากใกล้ชิดกับผู้ชายด้วยกัน ไหนจะทำ
...นมข้น...“กะ...เก็บไปเลยครับแม่ วันนี้ไม่ขอกินนมข้น” และวันนี้ไม่ขอเจอหน้าด้วยเถอะได้โปรด...ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง...ถ้าเป็นไปได้เลิกๆกันไปดีกว่ามั้ยวะ ปกติก็ไม่ได้คบเพราะชอบกันอยู่แล้ว
“เมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า”
“เฮ้ย? เปล่าครับ ไม่มี๊!ไม่มีเลย!” อึ้งกันทั้งบาง รวมไปถึงน้องสาวในชุดนักศึกษาที่เพิ่งวิ่งตึงตังลงจากบันได มานั่งข้างผม
“พี่อิมตะโกนเสียงดังทำไม”
“พี่เปล่าซะหน่อย!”
“นั่นไงล่ะ ตะโกนเสียงดังชัดๆเลย” ยัยน้องตัวดียกนิ้วขึ้นชี้หน้า ผมเลยคว้ามือเธอลง ปากก็ขมุบขมิบเป็นเสียงกระซิบให้เลิกจับผิดผมซะที
“อิมมีอะไรจะบอกแม่รึเปล่า”
“จะมีได้ยังไงล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรกับแม่ แต่มีอะไรกับแฟนแล้วใช่มั้ย!?”
“แค่ก!!”
ไอ้ก้อนขนมปังที่อยู่ในคอไหลไปชะงักค้างตรงหลอดลมจนสำลัก ทุบอกตุบๆ หวังให้หลุดออกก่อนติดคอตาย มือคว้าถ้วยกาแฟดำได้ก็ยกขึ้นซดลืมความร้อนและไอกรุ่นของมันไปชั่วสนิทใจ กว่าจะดันเจ้าก้อนขาวให้ไหลลงคอได้ก็เกือบลิ้นพองตายคาตรงนั้น
“ร้อนๆๆ”
“ใจเย็นสิเรา” แม่ยกแก้วน้ำเย็นส่งมาให้ได้หายใจหายคอ “ท่าจะเป็นเอาหนักนะ”
“ก็ใครกันล่ะ จู่ๆก็พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้” ผมแสร้งหลบตา แต่กลับโดนคำถามจี้กลับ
“สรุป คนเดียวกับเมื่อวานใช่มั้ย”
“ชะ...ใช่ที่ไหนเล่า”
“ชื่ออะไรนะ น้องเกรทเหรอ”
“เขาชื่อเกรท แต่ไม่ใช่แฟนผม”
“คบกันตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้คบ”
“ตั้งแต่เมื่อวานเหรอ?”
“ไม่ใช่เมื่อวานครับ!”
“งั้นหนึ่งสัปดาห์ก่อน?”
“หนึ่งสัปดาห์ก่อนก็ไม่ใช่”
“งั้นสองสัปดาห์?”
“ไม่ใช่สองสัปดาห์”
“งั้นสาม...”
“โอเคครับ!!ก็ได้ครับ สามก็สามสัปดาห์!!”
บอกเลย...ผม-ยอม-แพ้...ผมเห็นมายด์ชูสองนิ้วให้แม่กล่าวชื่นชมว่ากู๊ดจ๊อบจากปลายหางตา แม่ควรอึ้งกับประโยคนี้ ไม่อึ้งผมให้ต่อยทีนึงเลย ผมเตรียมรับคำด่าตั้งการ์ด หากมารดามีแต่ทำตาโตยกมือขึ้นปิดปาก ทำตัวประหลาดมองหน้าผมสลับกับถุงขยะที่วางทิ้งไว้ตรงข้างกำแพงนั้น
ไอ้เหี้ยอย่าบอกนะ!!
“หรือว่าเมื่อวานลูกกับน้องเขา...”
“เปล่าครับ!!พวกเรายังไม่ได้มีอะไรกัน”
“แล้ว...แล้วทิชชู่กองนั้น”
“เกรทเป็นคนทำคนเดียว ผมไม่เกี่ยว!”
ฉิบหาย!! ผมอยากเอาหน้ามุดจาน!!
คราวนี้เงียบกันทุกสรรพางค์สรรพสิ่ง ต่างฝ่ายต่างนิ่งไม่ไหวติงใดใด
“อิม...” เสียงแม่เรียกเบาแผ่วหวิวจนใจหาย “จะมีแฟนได้แม่ไม่ว่า แต่ถ้ารู้สึก ‘อยาก’ขึ้นมาอย่าลืมถุงยางอนามัยนะ”
“คะ...ครับ”
ผมตกปากรับคำ แต่มันไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ แม่ต้องไม่สนับสนุนผมดิ มันไม่ใช่แบบนี้ เสียงยัยมายด์หัวเราะคิกพลางกดมือถือ รู้เลยว่ากำลังรายงานสถานการณ์กับยัยต้า แต่ผมหมดแรงเกินจะคว้ามือถือแล้วเอ็ดเธอได้
“พกถุงยางเสร็จแล้วก็อย่าลืมพกร่มกันไปด้วยล่ะ พยากรณ์อากาศบอกวันนี้ฝนจะตกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ทั่วกรุงเทพฯ”
...ย้ำกันเข้าไป ตอนนี้ในใจผมฝนมันตกห่าราวกับฤดูน้ำหลากไปได้สักประมาณนึงแล้วล่ะ... “เมื่อวานมายด์คิดว่าพี่อิมจะไม่กลับซะอีก”
“มีเหตุอะไรที่พี่ต้องไม่กลับ มายด์อย่าเอาขอบร่มมากระแทกร่มพี่ น้ำมันกระเด็น” น้องสาวผมยิ้ม
...รู้เลยว่าที่เผลอกระแทกร่มเข้ามาเมื่อครู่เป็นเพราะตื่นเต้นเรื่องผมกับเกรทจนลืมตัว...หน้าฝนตอนต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะมาเรียนมหาวิทยาลัยไม่น่าปลื้มเท่าไร มีทั้งความเฉอะแฉะเจิ่งนองของน้ำไปทั่วฟุตบาท และบางคราวอาจจะเจอแจ็คพอตอย่างการโดนรถสวนผ่านสาดน้ำโคลนริมทางใส่ แต่เพราะฝนตกรถรับส่งภายในมหา’ลัยเลยดูจะเต็มไปเสียทุกคัน พวกเราเลยต้องจำใจเดินเท้า เพราะหากรอคงมีอันไปเรียนสาย
“คนตรงนั้นแปลกเนอะ นั่งรถส่วนตัวมาทั้งทีแทนที่จะให้คนขับไปส่งถึงหน้าตึกกลับลงกลางทางซะได้” น้องสาวคงบ่นประสาคนอิจฉาพวกที่ได้นั่งรถส่วนตัวมามหาวิทยาลัย หญิงสาวรูปร่างเล็กคนหนึ่งผมประกายสีน้ำตาลคาราเมลแต่งกายนักศึกษากระโปรงสอบรัดรูปดูโฉบเฉียวกำลังเดินจากรถมองซ้ายมองขวาตามถนนเพื่อวิ่งข้ามฟากมา ผมมองตามสายตาน้องแบบไม่หยุดเท้าก่อนจะละความสนใจเมื่อเดินผ่านจุดนั้นไป เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลัง
“ขอโทษค่ะ ขอทาง...”
“มายด์หลบมานี่มา” ผมดันตัวน้องสาวให้เบี่ยงออกด้านข้างมายืนแถวตอนเรียงหนึ่ง หลบการขวางทางของผู้ร่วมสัญจร ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองคนด้านหลัง “ขอโทษ...ครับ”
“...”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมหยุดเท้าทันทีที่เห็นหน้าเธอ ส่วนคนที่มาใหม่ก็เบิกตาโตเมื่อเห็นผม
“อิมเมจ”
“ใยไหม”
อย่างที่เคยบอก ผมกับใยไหมเป็นเพื่อนร่วมคณะแต่ไม่สนิทกัน และไม่คิดว่าเธอจะจำชื่อเล่นผมได้
“เฮ้ย...ยืนตากฝนทำไม” ผมรีบเอนร่มไปทางตัวเธอ ส่งผลให้พื้นที่แผ่นหลังกับไหล่เริ่มโดนละอองฝนจนชื้นเปียก ใยไหมดูอึ้งๆในหลายอย่าง ท่าทางดูสับสน ผมเผ้าเปียกปอน ตาเธอดูแดงกว่าปกติ ผิวหน้าขาวซีดอาจเพราะโดนไอเย็นจากฝน แต่ร่องรอยเมคอัพซึ่งดูเหมือนแต่งใหม่ยังไม่หลุดลอก เลยคงความสวยในแบบฉบับของสาวน้อยขวัญใจของใครหลายคนในมหาวิทยาลัยได้อยู่
“เข้ามาในร่มเถอะ” ตอนแรกเธอยืนห่างจากผมเหมือนเว้นระยะ แต่สักพักกลับค่อยขยับตัวเข้าใกล้แบบเกร็งๆ
“ขอโทษทีนะ เราลืมเอาร่มมา”
“เดี๋ยวเดินไปกับเราก็ได้” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็เกร็งไม่ต่างกับเธอ ใช่ว่าร่มที่พกมาจะคันใหญ่โตเท่าร่มสนามเสียเมื่อไร เหตุที่ใกล้ชิดกันไม่ได้มากอีกคนจึงต้องเสียสละไหล่บางส่วนให้กับสายฝนที่ร่วงหล่นจากม่านฟ้าแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เกรท...คุณจงภูมิใจนะ ที่แฟนตอนนี้ของคุณช่วยปกป้องตัวจริงของคุณเอาไว้ไม่ให้เปียกฝน แต่สภาพไหล่ของผมเนี่ยสิ...
“ขอบคุณที่มาส่งนะ เราไปก่อนนะ” ใยไหมยกมือโบกให้ผมน้อยๆเหมือนกล่าวลา ก่อนวิ่งเข้าไปในตัวตึกโดยไม่หันหลังกลับมาอีก ผมมองตามแผ่นหลังเธอด้วยความรู้สึกแปลกๆ เคยได้ยินจากปากหลายคนรวมถึงเพื่อนสนิทในกลุ่มว่า ‘ใยไหม’เป็นคนสดใสร่าเริง เธอเปรียบดั่งนางฟ้าของคณะที่ถ้าใครได้รู้จักมีอันต้องหลงเสน่ห์ แต่วันนี้เหมือนบางอย่างดูบิดเบือนไปจากความจริง
ความเงียบหม่นหมองคล้ายเศร้าปกคลุมแผ่นหลังเล็กๆที่บอบบาง รอยยิ้มจางๆเมื่อครู่ดูขาดความมีชีวิตชีวาจนถึงที่สุด
“พี่อิมเปียกหมดเลย” ยัยมายด์ซึ่งเดินตามหลังพวกเราสองคนมาอย่างเงียบๆตลอดทางบ่นขึ้น เธอสะบัดน้ำออกจากร่มได้เสร็จก็รีบหยิบผ้าผืนน้อยมาเช็ดที่ไหล่ผม “ทำไมต้องอุตส่าห์ลงจากรถกลางทางด้วยน้า ทะเลาะกันหรือไง”
ยัยมายด์คงเดาไปตามภาษาเด็กที่คิดว่าคนมาส่งนางฟ้าจะต้องเป็นแฟนเสมอ บางทีคนในรถอาจจะเป็นพ่อหรือแม่ของใยไหม หรือจะเป็นใครก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ผมยืนยันได้ก็คือ...
...ดูเหมือนใยไหมจะร้องไห้มา...
“เอาเถอะ ก่อนจะยุ่งเรื่องคนอื่น ห่วงเรื่องตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย จะวิ่งไปเรียนทันมั้ยล่ะเรา” หันไปเอ็ด แต่น้องกลับไม่สนใจดึงแขนเสื้อผมที่เธอพึ่งเช็ดเป็นการใหญ่ “เป็นอะไรของเธอ...”
“กรี๊ด พี่อิม พี่อิม พี่อิม!!” ยัยมายด์ระริกระรี้ชี้ไปที่อะไรบางอย่าง พอมองตามไปก็ให้เจอร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินถือร่มสีดำใบใหญ่เข้ามา
“เกรท?”
โคตรบังเอิญ คนมีเป็นหมื่นเป็นแสนแต่กลับเจาะจงให้คนนี้มาเจอผมที่ใต้ตึกเรียนรวม
“พี่อิมเมจ” อีกฝ่ายลดร่มสะเด็ดน้ำออกเพื่อพับเก็บ ปากก็เจื้อยแจ้วเจรจาถามผมไปด้วย “รอใครอยู่เหรอครับ”
“เปล่าผม...”
“รอพี่เกรทไงคะ”
หา?
เสียงยัยมายด์ดังแทรกขึ้นมา จนผมต้องหันไปทำสีหน้ามองถามว่า...ใครคนไหนกันที่รอ
“พี่อิมรอเดินไปเรียนกับพี่เกรทไงเล่า พี่เกรทก็ทำตัวให้สมกับเป็นแฟนหน่อยสิ”
“ระ...รอพี่” เกรททำหน้าเอ๋อชี้นิ้วที่ตัวเอง พอมองนาฬิกาผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะสาย ไม่ควรต่อความยาวเถียงกับเรื่องราวไร้สาระตรงหน้า
“เออ รอก็รอ คุณเรียนชั้นไหนเนี่ย”
“ชะ...ชั้นหกครับ”
“งั้นก็รีบไปเร็ว มา!” คว้าแขนเกรทได้ เป้าหมายคือลิฟต์ที่กำลังเปิดอ้า ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ใครกดเรียกไปชั้นอื่น ณ ตอนนี้ พอเบี่ยงตัวเข้าเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมได้เสร็จก็กดปุ่มเลือกชั้นแล้วมายืนถอนหายใจหอบแรงพิงกำแพงให้หายเหนื่อย
“เรียนกี่โมงครับเนี่ย”
“แปด...โคตรเช้า เหนื่อยจะบ้าอยู่แล้ว” ผมยืนเท้าสะเอวอยู่นาน เหมือนปอดจะเริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่อากาศที่อบอ้าวทำให้เหงื่อไหลออกมาปะปนกับเสื้อซึ่งชื้นน้ำฝนจนชุ่มไปหมด
“ทำไมเปียกขนาดนี้ล่ะครับ ไม่ได้เอาร่มมาเหรอ”
“เอามา แต่แบ่งให้คนอื่นใช้”
“แบ่งให้คนอื่นใช้? น้องมายด์เหรอครับ แต่เมื่อกี้ผมเห็น...”
“เปล่าไม่ใช่มายด์หรอก ใยไหมน่ะ”
“ฮะ?” เกรทดูมีปฏิกิริยาอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้จงใจ แค่บอกไปตามความจริง แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อจากนี้มีความรู้สึกอยากแกล้งคนตัวสูงเจือปนอยู่เล็กๆ
“เออจริงสิ คุณรู้จักใยไหมรึเปล่า คนที่สวยๆเรียนคณะผม คนน่าจะรู้จักเยอะ”
“ก็พอ...รู้จักครับ”
ไม่ใช่
ก็พอหรอกมั้ง
“เธอสวยเนอะ”
“ครับ สวยมาก” ร่างสูงจุดรอยยิ้มที่มุมปากเบาๆซึ่งไม่อาจรอดพ้นสายตาที่จ้องมองอยู่ตลอดเวลาของผมได้ อีกฝ่ายคงมีความภูมิใจอยู่เล็กๆเมื่อคนที่ตนเองชอบถูกชมว่าสวย “ว่าแต่พี่ไปให้ร่มเขายืมได้ยังไง”
“เขาลืมร่มมา ผมบังเอิญเจอเธอวิ่งฝ่าฝนมากลางทางพอดี เลยช่วยชีวิตลูกนกตกน้ำไว้หนึ่ง เก่งมั้ยล่ะ” เกรทยกกำปั้นขึ้นบังปากหัวเราะ ‘หึ’ เบาๆ ฉับพลันกับกระทำบางอย่างไม่คาดคิด มือใหญ่เอื้อมมาจับลูบเข้ากับศีรษะของผมพลางบอก “เด็กดี เด็กดี”
“อย่าเล่นหัวผู้ใหญ่” ผมปัดมือออกบิดปาก เด็กบ้าอะไรไม่มีสัมมาคารวะ หากอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มใส่หน้าผม เสียงลิฟต์ดังขึ้นขัดก่อนที่ผมจะแสดงอารมณ์กระฟัดกระเฟียด เกรทกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้ดันตัวให้ผมเดินออก
“อย่าพึ่งโกรธผม รีบไปเรียนเถอะครับเดี๋ยวสาย” คำทักประโยคนี้เรียกสติผมกลับมา
“ฉิบหาย!!” หมุนตัวกลับแต่ประตูลิฟต์กลับงับปิดลงไปเสียแล้ว แถมเลขชั้นซึ่งแสดงอยู่ตรงแผงแสตนเลสยังเอาแต่ขยับขึ้นไม่ยอมลง ส่วนลิฟต์อีกสองตัวด้านข้างก็ดูจะพึ่งพาไม่ได้เพราะกำลังนอนตายอยู่ชั้นหนึ่ง กว่าจะขยับขึ้นมาถึงชั้นนี้ผมคงได้ไปสายกันพอดี “โธ่เว้ย ทำไงดีวะ”
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ผมลืมกดลิฟต์”
“ฮะ?”
“ผมเรียนชั้นสาม!!”
ปกติไม่กังวลหรอกโดดเรียนครั้งสองครั้ง แต่กับคาบนี้อาจารย์แม่งโคตรดุ สายห้านาทีล็อคประตู แล้วทุกครั้งดันจงใจให้มีควิสท้ายคาบเก็บคะแนนย่อย ขาดบ่อยๆคะแนนก็ร่อยหรอหมดสิทธิ์สอบกันพอดี ดูเหมือนผมจะปกปิดสีหน้าเป็นกังวลไว้ได้ไม่มิด เด็กเกรทจึงคว้าแขนผมแล้วออกคำสั่ง
“มานี่!”
“ฮะ?”
คนตัวสูงคว้าแขนผมได้ก็จับลากให้วิ่งตามทันที พอมาถึงบันไดขายาวๆก้าวลงฉับสับไม่ยั้งรวดเร็วว่องไวจนเกือบตามไม่ทัน และมีบางครั้งที่ผมเผลอสะดุดขาตัวเองจนเกือบทิ้งตัวกลิ้งหลุนๆตกจากบันไดชั้นหก คนแวดล้อมที่เดินสวนมามองตามกับท่าทีประหลาดด้วยสายตาแปลกใจประหนึ่งว่าพวกเราเป็นตัวตลก
“เดี๋ยวเกรท!!อย่าดึง!!ผมเดินลงบันไดไม่ถนัด” จะล้มแล้ว แล้วบันไดเหี้ยนี่แม่งก็ถี่เหลือเกิน ผมจะได้ตายก่อนไปเรียนมั้ยวะ เจ้าตัวสูงหันมาปะทะหน้าผมฉับพลันจนตกใจหยุดเท้า “อะ...อะไร”
“ถ้างั้น...”
งั้นอะไร?
ยังไม่ทันขบคิดตัวก็ลอยหวือถูกยกเอวขึ้นพาดกับไหล่ ใบหน้าคว่ำลงไปมองเห็นแผ่นหลังกว้าง ขาลอยโตงเตงอยู่กลางอากาศ
เชี่ย!!เกรทมันอุ้มผม!!
“ไอ้เหี้ยเกรท ปล่อยผมลง!!” เชี่ย สูง สูง กลัว จะตกมั้ย ทำไมบันไดมันมองเห็นลงไปถึงชั้นล่างได้สุดลูกหูตาและกว้างขนาดนี้ ไม่เอาแล้วผมกลัว หลับตาเอามือกำเสื้อนักศึกษาบนแผ่นหลังกว้างนั้นแน่น
“พี่เรียนห้องไหน”
“สะ...สะ...สามสี่ศูนย์เก้า!”
“ไกลสัด”
“งั้นก็ปล่อยผมลงดิวะ”
“ไม่เป็นไรผมรับผิดชอบเอง” รับผิดชอบ รับผิดชอบอะไร ไม่เอาโว้ยยยยย
ปังๆๆ
“เปิดประตูหน่อยครับ”
ปังๆๆ
“เปิดประตูหน่อย”
อาจารย์ประจำวิชาเปิดประตูออกมาทำสีหน้าเคร่งเครียด
“มีอะไรนักศึกษา ทำเสียงดังเอะอะ นี่มันรบกวนการเรียนการสอนรู้มั้ย”
“ผมพานักเรียนมาส่งครับ”
เธอขยับแว่นมองนักเรียนสองคนอย่างประเมิน คนนึงก็ยืนหลังตรงแน่วค้ำหัวไปส่วนอีกคนก็ตัวไหลเป็นศพโดนจับขึ้นบ่า...อย่างหมดสภาพ ก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง
“มาสายเลยกำหนด ก็ต้องถูกลงโทษล็อคกุญแจห้ามเข้าห้อง”
“แต่พี่เขาช่วยคนบาดเจ็บกลางถนนเลยมาช้า ถ้าเห็นคนแก่ล้มลงหมดสภาพกลางสายฝนอาจารย์จะไม่ช่วยเหรอครับ ตอนที่ส่งโรงพยาบาลอาการยังไม่แน่ไม่นอนด้วยซ้ำ แต่พี่เขาเป็นห่วงกลัวว่าจะเข้าคาบอาจารย์ไม่ทันเลยวิ่งตาลีตาเหลือกฝ่าฝนมา มีคนบ้าที่ไหนพกร่มทั้งทีแต่ทำให้ตัวเองเปียกได้ขนาดนี้ล่ะครับ” เหมือนโลกหมุนอีกรอบ เกรทขยับตัวหันไหล่ผมไปแสดงหลักฐานโชว์ให้อาจารย์ดู
“อาจารย์จะไม่สนับสนุนคนทำความดี....”
“เออๆๆพอแล้ว เลิกบ่นได้แล้วนักศึกษา อยากเรียนก็เข้ามา”
เกรทปล่อยผมลงจากไหล่ในที่สุด ผมยังคงหันหน้าไปทางเขา เจ้าตัวกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะทันทีที่มองเห็น
“หน้านี่แดงเชียว สงสัยผมทำพี่เลือดขึ้นสมอง” เลือดขึ้นหน้าอ่ะดิไม่ว่า “รีบเข้าไปเรียนเถอะครับ เดี๋ยวอาจารย์แกล็อคอีกรอบ อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ”
“คุณก็กลับไปเข้าเรียนวิชาตัวเองได้แล้ว”
“ครับๆ” บอกครับแต่ไม่ไป แถมยังเปิดกระเป๋าสะพายข้างล้วงมือกุกกักหาอะไรบางอย่างก่อนโยนมันใส่หัวผม “เอาไปใช้นะครับถ้าไม่รังเกียจ” เจ้าตัวก้าวถอยหลัง กระพริบตาให้หนึ่งครั้งก่อนหมุนตัวเดินจากไป ผมหยิบผืนผ้านุ่มขนาดกลางที่พาดบนศีรษะลงมาดู เดาว่าน่าจะเป็นผ้าที่เอาไว้ใช้หลังเล่นกีฬา
...รางวัลแด่คนช่วยใยไหมสินะ...แต่ผมก็พอใจอยู่ดี...จนอดที่จะยิ้มไม่ได้...
“เชี่ย ชั้นก็คิดว่าใครวะโคตรกล้ามาเคาะประตูห้อง ที่แท้เพื่อนซี้พวกเราเอง”
“ไอ้อิม ทำไมมาสาย ปกติก็มาทันตลอดนี่” รู้สึกได้ถึงสายตาของใครต่อใครที่จับจ้องมา ดีที่ว่าเพื่อนผมและคนอื่นๆในคลาสมักจะนั่งอยู่ประจำการเป็นที่เลยไม่ต้องเสียเวลามองหา ลดเวลาแคร์สายตาชาวบ้านลงไปมาก
“ตรงนั้นน่ะ มาสายก็เลิกคุยกันได้แล้ว นั่งลงตั้งใจเรียน” ดาวกับข้าวฟ่างทำเสียงดังโหวกเหวกจนอาจารย์เอ็ด ต้องกลับไปนั่งหงอสงบเสงี่ยมเจียมตัวตั้งใจเรียนอย่างเก่า แต่ทว่าไอ้เบสที่นั่งอยู่ริมสุดและติดกับผมยังคงมองมาอยู่
“เมื่อกี้มึงไม่ได้เป็นคนเคาะประตูใช่มั้ย” ผมหย่อนตัววางกระเป๋าลงบนโต๊ะสบตามัน
“มึงรู้ได้ไง” เมื่อครู่เด็กเกรทไม่ได้โผล่หน้าเข้ามาในห้องเสียหน่อย สายตาไอ้เบสมองลงมาตามผ้าที่พาดอยู่บนคอผม
“ผ้าขนหนูใคร”
“ของเกรท”
“ทำไมของไอ้เด็กนั่นถึง...”
“มึงเงียบก่อน กูจะตั้งใจเรียน”
ต้องโดนทำโทษซะบ้าง โทษฐานวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำกูเกือบดาวน์ไปตั้งครึ่งวันนะ ไอ้เบส
วันนี้ฝนจะตกทั้งวัน พยากรณ์อากาศบอกอย่างนั้น เสียงฝนสาดซัดกระทบกับกำแพงตึกดังไปทั่ว ท้องฟ้าอึมครึมบรรยากาศขมุกขมัวไม่แจ่มใส ผมเดินลงจากตัวตึกอาคารเรียนรวมมองไปยังภายนอก
“เอาไงดีจะเดินไปกินที่โรงอาหารกลางป่ะ”
“ชั้นไป ชั้นหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“อิมกับเบสล่ะ”
“ก็ไปดิ” เบสตอบ
“พวกแกไปเหอะ กูขออยู่นี่ ขี้เกียจออกไปโดนฝนอีกแล้วว่ะ” สาบานจริงว่าขี้เกียจตัวเปียกซ้ำรอยอีกรอบ แค่เมื่อกี้อากาศในห้องเรียนก็หนาวจะแย่ ให้เดินแช่ตากฝนอีกผมไม่เอาหรอก
“เอ๊า ร่มก็มี”
“อย่าบอกนะว่าแกลืมเอาร่มมาน่ะไอ้อิม เมื่อเช้าเห็นตัวเปียกมะลอกมะแลก แต่หัวก็ไม่เปียกนี่หว่า ตกห่ามาขนาดนี้ถ้าไม่มีร่มก็ลูกหมาตกน้ำกลายๆแล้วนะ”
“เปล่า กูเอามา ตกตั้งแต่เช้าแล้วทำไมจะไม่เอามา” แค่เผลอไปช่วยผู้อื่นตามประสาคนใจดีเท่านั้นเอง
“แต่ถึงจะไม่เอามา แกดูทางนั้นสิ ยืนบิดรอฝนนิดหน่อย ขี้คร้านเดี๋ยวก็มีคนเอาร่มมาให้ยืมแล้ว” ดาวพยักพเยิดไปปลายสุดสายตาตรงริมบันไดทางเดินออกไปข้างนอก มีคนๆหนึ่งยืนกระมิดกระเมี้ยนกระสับกระส่ายไปมาเหมือนโดนตรึงขาเอาไว้อยู่
...อ้าว...นั่นมันเกรทนี่หน่า...ไม่นานก็มีคนวิ่งถือร่มมาให้ ร่มคันใหญ่บิ๊กเบิ้มเพียงพอสำหรับผู้ชายสองคนเดินตามไปไม่เบียดกัน แต่ไม่ถึงกับเท่าร่มบางคันในตลาดนัด
“บ้าเหรอแก นั่นมันเพื่อนเขา พูดอย่างกับจะมีผู้หญิงมารุมป้อยื่นช่อดอกไม้ให้น่ะ เดี๋ยวนี้มันสมัยไหนแล้ว เขามีแต่หวีดกันในโซเซียล ไม่มายืนกรี๊ดๆกันต่อหน้าให้สื่อถ่ายโฆษณาเล่นหรอก” ยิ่งฟังยิ่งจับใจความสำคัญไม่ถูก ข้าวฟ่างมันเรียนจบสายอะไรมาวะ สรุปความได้น่างง
ผมยืนมองคนมีเพื่อนเดินออกจากตึกไป จำได้คลับคล้ายคลับคาว่าผู้ชายที่ยื่นร่มให้คือคนเดียวกับเพื่อนสนิทเกรท
“ชั้นไม่ไปกินแล้วดีกว่า”
“หา? อะไรของแกยัยดาว อยู่ๆก็มาเท”
“ตรงหน้ามีเผือกร้อนๆรอให้รับประทานขนาดนี้ ชั้นจะไปโรงอาหารกลางให้เสียเวลาทำไมล่ะ”
“นั่นสินะ” ทำไมรู้ถึงรังสีบางอย่างที่จ้องมองมา กว่าจะหันไปทำความเข้าใจ ยัยดาวก็กระโดดมาโอบไหล่เสียแล้ว
“ป่ะ อิม ไปซื้อข้าวไข่เจียวที่ใต้ตึกกินกัน”
“หา? เดี๋ยวดิ จู่ๆทำไม”
“เรื่องของแกน่ะอร่อยกว่าข้าวไข่ข้นที่โรงอาหารกลางเยอะ”
...กลับไปหาข้าวไข่ข้นของแกเลยไปยัยดาว... “สรุปคบกันแล้วใช่มั้ย”
ผมพยักหน้า
“เฮ้ยจริงอ่ะ ไอ้อิมแกแม่ง ไหนบอกว่าจะเลิกๆไง”
“ก็ตั้งใจว่าจะอย่างนั้น แต่สงสาร” หมายความในเชิงที่ว่าอีกฝ่ายจะโดนหักหน้าหากปฏิเสธคำสารภาพรักว่า ‘นายทักผิดคน’ แต่เพื่อนผมดันเข้าใจผิดคิดว่าสงสารเพราะเห็นใจไม่อยากให้อีกฝ่ายอกหัก...
“อย่ามาเป็นพ่อพระแถวนี้ ถ้าไม่มีความรู้สึกชอบแกไม่ควรจะตอบเขา”
“แต่จะพูดไปก็ไม่ถูกนะดาว คนเราถ้าไม่คบกันก่อนแล้วจะรู้ว่าชอบได้ยังไง”
“เออ ถูกของแกว่ะข้าวฟ่าง”
“อย่างนี้ชั้นก็ไม่สงสัยละ ว่าทำไมตอนเช้าถึงมาด้วยกัน ปล่อยให้งงอยู่นาน แต่พูดก็พูดเถอะ...” ข้าวฟ่างฉึกปากยิ้มมาทางผมจนแก้มปริ ยิ้มลามไปถึงดวงตา โคตรไม่น่าไว้วางใจ “มาส่งถึงที่แถมเคาะประตูกลางคาบอาจารย์วันเพ็ญให้ เอาใจชั้นไปเลย”
“นั่นดิ แฟนแกโคตรเฟียสอ่ะอิม เป็นใครใครกล้าแหยมอาจารย์แกวะ แล้วยังมีหน่วงเวลาปล่อยให้แกเดินหน้านิ่งเข้ามาในคลาสได้แบบไม่บาดเจ็บล้มตายอีก”
“แถมตอนท้ายคาบยังตะโกนเรียกให้มาเช็คชื่อที่หน้าห้องชั้นนี่อึ้งไปเลย ทำได้ไงอ่ะ เล่นเส้นใครยะ โอ้ยยยยอยากได้ผู้ชายแบบนี้ หาที่ไหนได้คะคุณอิม”
“เลิกพูดถึงมันสักแป๊บได้มั้ย”เสียงไอ้เบสดังขึ้นขัดจนวงแตก ดาวกับข้างฟ่างมองตากันไปมาเลิ่กลั่ก ไม่ชัดเจนว่าเพื่อนอาจจะโดนผีเข้า
“หงุดหงิดอะไรวะ ไอ้เบส”
“นั่นดิ หงุดหงิดที่ไอ้อิมมันมีแฟนเหรอ อย่าว่าแต่คนอื่นเถอะ ทีตัวเองยังหนีไปมีแฟนก่อนหน้า เพื่อนสนิทอย่างไอ้อิมยังไม่ว่าอะไรเลย ปล่อยให้มันนั่งเหงากินข้าวกับพวกชั้นสามคนตั้งนาน โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะอิม มีอะไรมาซบอกดาวได้ ดาวไม่ใจร้ายอย่างไอ้เบสหรอก” ดาวอ้อมแขนมาดึงหัวผมเข้าไปซบอกมันตามที่ว่าจริง จะเรียกว่านิ่มหรืออะไรดีล่ะ ออกจะไม่ค่อยรู้สึก...
“เหอะ ไอ้ดาวแกมันไม่มีอกไอ้อิมซบไปก็ไม่ฟินหรอก”
“เชี่ยข้าวฟ่างนี่!”
เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันงานนี้ ผมยิ้มขำก่อนหันไปเจอกับสายตาของเพื่อนรัก มันไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด ปากบิดเป็นรูประฆังคว่ำก่อนกระแทกกระทั้นผุดตัวลุกจากเก้าอี้
“อ้าวไอ้เบส จะไปไหนวะ” ผมรีบเรียกห้ามมัน
“กูท้องอืด แดกไม่ลงแล้วว่ะ” แล้วก็เดินจ้ำอ้าวขึ้นตึกเรียนไป
“อะไรของมัน” ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองตาม ส่วนดาวกับข้าวฟ่างมันจ้องหน้าผมก่อนทอดสายตาไปยังทางที่ส่วนหนึ่งในกลุ่มได้เดินจากไป แล้วพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“มี-พิ-รุธ”...จริง...ไอ้เบสมันทำตัวประหลาดนับตั้งแต่วันนัดเดทกับแฟนมันวันนั้นแล้ว...
...สงสัยจะเมนส์มา...
ตลอดคาบครึ่งบ่ายดาวกับข้าวฟ่างเอาแต่เม้ามอยแซะแหย่ผมตามประสา ส่วนไอ้เบสก็เอาแต่ซบหน้าฟุบหลับกับโต๊ะเหมือนคนตาย พอถึงคราวต้องแยกย้ายไม่อยากให้มันเสียอารมณ์มากเลยหยิบแซนด์วิชแบบใส่สารกันบูดสิบชนิดที่ซื้อเก็บไว้ตอนกลางวันมายื่นให้มัน
“มึงเอาไปกินรองท้องระหว่างทางกลับบ้านละกัน อย่าเป็นโรคกระเพาะตายล่ะ กูไม่อยากต้องมานั่งเตือนมึงดื่มอะลัมมิลค์สามเวลาเช้ากลางวันเย็น” ไอ้เบสมันเอาแต่จ้องเจ้าสามเหลี่ยมในมือผมก่อนยื่นมือมารับไป
“เพราะมึงชอบทำตัวแบบนี้แหละ”
“บ่นพึมพำอะไรของมึงอีกฮะ กูขอโทษละกันที่ทำให้มึงไม่สบายใจ”
พรึ่บ!!
เสียงกางร่มของคนเดินผ่านหลังเคลื่อนมายืนบังด้านหน้า เล่นเอาตกอกตกใจกันตามประสาคนสองคนที่ตกอยู่ในภวังค์บทสนทนาของกันและกัน พอหันไปมองกลับปรากฏร่างเพรียวบางที่คุ้นตาในชุดนักศึกษากระโปรงสอบสั้น สยายผมเกลี่ยระคออยู่ไม่ห่างจากกันไปเท่าไร เมื่อสังเกตทางเท้าไร้คนสัญจรไปมาร่างตรงหน้าจึงยกร่มสีดำออกเดินนำตัวปลิวหายลับไปจากครรลองสายตา
“อิม มึงเป็นอะไรวะ มองใคร...”
“เบส” ผมตบมือที่กำแซนด์วิชของมัน ทั้งที่สายตาไม่อาจละจากภาพสุดท้ายได้ “อย่าลืมกินแซนด์วิชกูนะ กูไปก่อนล่ะ”
“เฮ้ยเหี้ยอิม!”
ผมรีบวิ่งไปชั้นสาม...ตามตารางเรียนที่เคยได้จากอีกฝ่ายมา
...ฝนก็ตกหนักซะขนาดนี้ คิดสั้นอะไรแบบนั้นวะ เกรท......TBC...
++++++++++++++++++++++++++++
เขาอุ้มกันด้วยแหละ...คิดภาพคนแบกศพ...=_=