ตีสองกว่า เป็นเวลาที่ผมขับรถกลับถึงบ้าน หลังจากอาบน้ำสระผมแล้วก็นั่งรอให้ผมแห้ง ระหว่างนั้นผมไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เลยลงไปนั่งดูทีวี แต่ยามดึกไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ แล้วผมก็ยังไม่ง่วงด้วย
น่าแปลกที่ผมหนีจากสถานที่ตรงนั้นเพื่อที่จะได้กลับมาพักผ่อน แต่เมื่อมาถึงแล้ว ผมกลับไม่อยากนอนเอาเสียเลย รู้สึกเหงา และ หดหู่เสียจริงๆ เหมือนว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง
ทั้งๆที่บ้านนี้ผมก็อยู่มานานจนคุ้นเคย ข้าวของทุกอย่างก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ซึ่งผมตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ในเมื่อจะนอนก็ไม่ได้ ผมก็ยังไม่แห้ง แถมซ้ำตาก็ยังสว่างอยู่ ผมก็เลยมองหากิจกรรมที่จะทำเพื่อฆ่าเวลา ในที่สุดผมก็เลือกที่จะหาหนังที่มาดู ในตู้ที่ผมวางทีวี มีชั้นเก็บพวกซีดีต่างๆ ซึ่งเป็นหนังที่ส่วนใหญ่ผมจะเก็บไว้ดูเวลาว่าง แต่ยังไม่มีโอกาสจะได้ดูสักที
ผมไล่มือไปตามสันกล่องที่เรียงไว้ มีหนังหลายประเภท ทั้งแอคชั่น ดราม่า และ คอมเมดี้ ผมไม่มีอารมณ์อยากจะดูหนังดราม่าสักเท่าไหร่ เพราะชีวิตผมตอนนี้ ก็น่าหดหู่พอสมควร อยากดูหนังตลกมากกว่า
ขณะที่มือผมไล่ไปเรื่อยๆนั้น ก็สะดุดเข้ากับหนังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่มีชื่อยาวเหยียด ผมหยิบกล่องซีดีขึ้นมาดูด้วยความสนใจ “The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert” คือเชื่อหนังเรื่องนั้น
ภาพที่ปรากฏบนกล่อง มีสีสันสดสวย น่าสนใจ ดึงดูดผม ภาพรถสีสันฉูดฉาดที่จอดอยู่กลางทะเลทรายสีส้มแสบตา โดยมีหญิงสาว ไม่ใช่สิ น่าจะเรียกว่ากระเทยมากกว่า ในชุดแต่งตัวคล้ายพวกนางโชว์ยืนอยู่บนหลังรถปล่อยให้ลมพัดชุดยาวปลิวไสว พล็อตเรื่องของหนังที่ผมพลิกอ่านจากด้านหลังกล่อง เป็นดังนี้
“Two drag-queens (Anthony/Mitzi and Adam/Felicia) and a transexual (Bernadette) contract to perform a drag show at a resort in Alice Springs, a resort town in the remote Australian desert.
They head west from Sydney aboard their lavender bus, Priscilla. En route, it is discovered that the woman they've contracted with is Anthony's wife. Their bus breaks down, and is repaired by Bob, who travels on with them”
จากข้อมูลเบื้องต้น ประกอบกับภาพที่เห็นจากแผ่นปก ทำให้ผมเกิดอยากดูเรื่องนี้ขึ้นมา แม้จะรู้ว่ามันเป็นหนังของเกย์กะเทย แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นหนังที่น่าจะดูสนุกเรื่องหนึ่งมันคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างดลใจ ให้ผมเลือกหนังเรื่องนี้ แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
หนังเรื่องนี้ เป็นหนังปี 1994 (พ.ศ.2537) นำแสดงโดย ดาราสามคนที่เป็นชายแท้ คือ เทอเรนส์ แสตมป์ , ฮิวโก้ เวฟวิ่ง , และ กาย เพียซ ทั้งหมดแสดงเป็นสาวประเภทสอง ซึ่งทุกคนสามารถแสดงได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติจนผมเองยังรู้สึกทึ่ง และสนุกไปกับภาพที่เห็น
เรื่องมันมีอยู่ว่า กะเทยสามนางจากซิดนีย์ซึ่งประกอบไปด้วย ราฟท์ กะเทยที่ได้ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศไปเรียบร้อยแล้ว และเปลี่ยนชื่อเป็น เบอร์นาเดท บาเซนเจอร์ ทำงานเป็นนางโชว์จนกระทั่งวัยและสังขารร่วงโรย
เธอกับเพื่อนทั้งสองคือ มิทซี่ ซึ่งมีชื่อเดิมก่อนแปลงเพศว่าแอนโทนี่ และ เฟลิเซีย กระเทยเด็กผู้มาดมั่น ได้รับการว่าจ้างจากเมียเก่าของแอนโทนี่ ให้ไปแสดงโชว์ที่ อลิซ สปริง รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่อีกฟากของออสเตรเลีย
พวกเธอตกลงตัดสินใจหารถบัสคันใหญ่เป็นพาหนะสำหรับการเดินทาง และ บรรทุกกระเป๋าเสื้อผ้า รวมถึง อุปกรณ์สำหรับการโชว์ต่างๆ ข้ามทะเลทรายเพื่อไปแสดงโชว์คาร์บาเรต์ พวกเธอได้ตั้งชื่อพาหนะของพวกเธอว่า “พริสซิลล่า” และตกแต่งรถอย่างสวยงามและมีสไตล์
หนังอุดมไปด้วยฉากการแต่งองค์ทรงเครื่องตามแบบนางโชว์ที่อลังการ ฉูดฉาดบาดตา และฉากร้องรำทำเพลงแบบลิปซิ้ง
ในขณะที่หนังยังแทรกด้วย การเดินทางไปยังรีสอร์ท ซึ่งระหว่างนั้น คนทั้งสามต่างร่วมทุกข์สุข และเรียนรู้ซึ่งประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน
ทันทีที่ดูหนังเรื่องนี้จบลง ผมกลับคิดไปถึงใครบางคนที่เคยทำงานอย่างนี้มาก่อน เด็กบ้านั่นจะมีชีวิตที่คล้ายๆกับตัวละครในหนังเรื่องนี้หรือเปล่าหนอ
ผมเคยเห็นเดียร์เป็นนางโชว์แค่ครั้งเดียว ตอนนั้นเขาใส่ชุดสีแดงเพลิง แต่งหน้าเข้มสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ ท่าทางการเต้นประกอบเพลง และร้องลิปซิงค์ทำได้แนบเนียนเหมือนพวกมืออาชีพ
น้อยเล่าว่า เดียร์ไม่ได้เต้นแบบผู้หญิง แต่ใส่เสื้อผ้า เต้นและร้องแบบผู้ชาย ถ้าไม่ใช่เพราะตัวแสดงเดิมไม่สามารถขึ้นได้ ก็คงไม่มีโอกาสเห็นเดียร์ในชุดเสื้อผ้าผู้หญิงเฉิดฉายบนเวทีอย่างแน่นอน
ตอนนั้นผมรู้สึกเฉยๆกับคำพูดนั้น แต่หลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมก็รู้ว่าเดียร์ไม่เหมาะกับเสื้อผ้าผู้หญิงเลย เพราะรูปร่างของเขาไม่อรชรอ้อนแอ้นเหมือนกะเทยทั่วไป โครงสร้างร่างกายของเดียร์เต็มไปด้วยมัดกล้าม ไม่ใหญ่โตหนาบึกแบบพวกนักกีฬา หรือคนเล่นกล้าม แต่ก็ดูสวยงาม
ถ้าหากเขาเป็นกระเทยไม่ใช่เกย์ ก็คงจะเป็นกระเทยที่ตัวใหญ่เกินไป อย่างที่เคยได้ยินเจ้าสันต์มันเรียกว่า “กระเทยควาย” ผู้ชายแท้ๆก็คงจะกลัวและไม่กล้าจีบอย่างแน่นอน การคิดถึงเดียร์ในแง่มุมนั้น ทำให้ผมต้องหัวเราะออกมา
กำลังเริ่มอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นเดินไปรับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้อง นึกเดาว่า น่าจะเป็นเจ้าสันต์โทรมารายงานถึงเหตุการณ์ระหว่างมันกับ เบน หนุ่มหน้าหล่อคนนั้น
เจ้าเพื่อนคนนี้ มันยิ่งขี้อวดเสียด้วย ที่โทรมาหาในเวลาเกือบจะตีห้าอย่างนี้ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าชวนคุยเรื่องหนุ่มๆเป็นคุ้งเป็นแคว
ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ เคยคุยกับมันนานเป็นชั่วโมงจนเกือบหลับไปเลยก็มี ด่ามันไปก็ตั้งหลายครั้ง แต่มันก็ยังไม่เข็ด คราวนี้ผมตั้งใจจะฟังมัน เพราะรู้ว่า ในยามนี้ เจ้าสันต์ต้องการเพื่อนมากๆ หากว่าจะช่วยให้เพื่อนหายเศร้าได้ ผมก็ยินดีที่จะทำอย่างเต็มที่
เสียงที่ได้ยินจากปลายสาย ทำให้ผมต้องยืนนิ่งตัวแข็ง อารมณ์ขึ้น ความโกรธแล่นลิ่ว คนที่โทรมาไม่ใช้สันต์อย่างที่เข้าใจ แต่กลับกลายเป็นเดียร์ คนที่สร้างเรื่องสร้างราวปวดหัวให้ผม
คนที่วางแผนให้ผมติดกับ คนที่ผมเพิ่งจะโมโหฉุนเฉียวเมื่อล่วงรู้แผนการที่เขาทำกับผม คนที่หายไปอาทิตย์กว่า คนที่กล้าโทรเข้ามาในเบอร์บ้านทั้งที่ผมสั่งห้าม เจ้าคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น โทรมาก็ดีแล้ว ผมจะได้จัดการเสียที
“หวัดดีครับเรียว นอนดึกจังเลยนะครับ ผมคิดถึงคุณจัง แล้วคุณล่ะ คิดถึงผมบ้างไหมน้า”
เสียงออดอ้อนอ่อนหวานที่คุ้นเคยดังมาทางปลายสาย แต่ผมไม่ใส่ใจ กลับตอบกลับเสียงห้วน ทำให้รู้ไปเลยว่าผมไม่อยากคุยกับเขา
“โทรมาทำไม.....”
เดียร์ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงมะนาวไม่มีน้ำของผม แต่แล้วเขาก็ตอบกลับมาด้วยเสียงอ้อนๆเหมือนเดิมที่เคยได้ยิน
“พอดีผมเพิ่งกลับมาถึงโรงแรมครับ เต้นโชว์เสร็จตอนประมาณ 4 ทุ่มกว่า พี่หัวหน้า เขาก็พาแดนเซอร์ไปทานข้าว แล้วก็ไปร้องคาราโอเกะ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน แต่ผมยังไม่ง่วงครับ
คิดถึงเรียวมาก จนนอนไม่หลับ ก็เลยโทรมาหา อยากได้ยินเสียง อยากคุยกับคุณ จะได้ฝันดี และมีกำลังใจในการทำงานต่อไปครับ”
“ไม่เห็นจำเป็น......เมื่อก่อนไม่มีฉัน นายก็อยู่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาสร้างความคุ้นเคยให้ตัวเองด้วยการมีฉันตลอดเวลาหรอก”
อ้อนมา ผมก็ห้วนกลับ ความโกรธเมื่อตอนค่ำๆเริ่มเข้ามาแทนที่อารมณ์ดีที่เพิ่งเกิดขึ้น
“เมื่อก่อนอยู่ได้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมนี่นา ผมคิดถึงเรียวทุกวัน และมากขึ้นเรื่อยๆเลยนะ อยากเร่งวันเร่งคืนให้จบคอนเสิร์ตเร็วๆจะได้ไปหาคุณ อยากอยู่ใกล้ๆแล้วล่ะ”
เจ้าเด็กร้ายกาจยังคงพูดจาออดอ้อนต่อ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันอยากคุยกับนายเหมือนกัน นายมาบ้านฉันบ่อยเกินไปแล้ว นี่มันเกินกว่าที่สัญญาไว้ เราตกลงกันว่าแค่วันอาทิตย์เท่านั้นที่นายจะมีสิทธิ์มาบ้านฉัน และห้ามค้าง หวังว่าเมื่อนายกลับมาแล้ว จะปฏิบัติให้เหมือนตามที่ตกลงกันไว้”
ผมหยิบยกข้อความที่อยู่ในสัญญาขึ้นมาเป็นการกีดกันไม่ให้เดียร์เข้าใกล้ผมอีก ยิ่งเขาออกห่างจากผมเท่าไหร่ มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดี
“เรียวครับ ทำไมเกิดเข้มงวดขึ้นมากะทันหันแบบนี้อ่ะ ที่เป็นอยู่นี้ ก็ดีแล้วนี่นา เราสองคนกำลังไปกันได้ดีเลย เรียวใจดีกับผมแล้วทำไมไม่ทำให้ตลอดล่ะฮะ”
เดียร์ถามผม ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความงุนงง สงสัย ผมไม่ตอบคำถามนั้น แต่พูดในสิ่งที่ผมอยากพูดมาตลอดออกไป
“ฉันจะไม่ใจดีกับนายอีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไร มันกลับยังทำให้เกิดผลร้ายต่อตัวฉันด้วย ดังนั้น อย่าได้คาดหวังว่าฉันจะเป็นเหมือนเดิม”
“เรียวเป็นอะไรหรือครับ อารมณ์ไม่ดีเหรอ ผมนึกว่าจากกันไปแบบนี้เรียวจะคิดถึงผมบ้าง ไม่สักนิดเลยหรือครับ นี่มันก็ผ่านมาตั้งอาทิตย์กว่าแล้วนะฮะ
เราไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่วันที่ผมไปหาคุณ ผมสู้อุตส่าห์คิดถึงคุณมาตลอด รีบโทรมาทันทีที่มีเวลาว่าง แต่เรียวกลับทำน้ำเสียงไม่ดีใส่ โกรธอะไรผมหรือเปล่าฮะ”
แน่ะ ทำมาเป็นถามเหมือนไม่รู้เรื่องงั้นแหละ ผมล่ะเกลียดจริงเชียว
“ยังมีหน้ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกเหรอ ทั้งๆที่ก่อเรื่องไว้มากมาย ทำให้คนเขาลำบาก เดือดเนื้อร้อนใจเอากับความเอาแต่ใจของตัวเองนี่แหละ”
ผมต่อว่าเขาอย่างฉุนๆ ไม่ค่อยชอบใจนักที่เดียร์มาทำเป็นใสซื่อ ทั้งๆที่วางแผนกับเพื่อนหลอกลวงผมมาตลอด
“เรียวขยายความให้ผมฟังหน่อยได้ไหม พูดแบบนี้ผมงงนะครับ”
เด็กบ้านี่ทำเป็นซื่อ แต่ผมไม่หลงกลเขาอีกต่อไปแล้ว
“วันนี้ฉันเจอโสภิตนภา กับสมฤทัย เขาบอกฉันหมดทุกอย่างแล้ว นายหลอกฉันมาตลอด ที่แท้นายวางแผนตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม รวมหัวกันกับเพื่อน ทำเป็นถูกสองคนนั่นรังแก เพื่อให้ฉันเข้าไปช่วยเหลือ จะได้แยกฉันออกมาจากเพื่อน
ฉันมันโง่เอง ที่ไม่สงสัยว่าทำไมเหตุการณ์มันถึงประจวบเหมาะเหลือเกิน ทำไมนายต้องไปเจอฉันโดยบังเอิญในสถานที่แบบนั้นด้วย นายทำอย่างนี้กับฉันทำไม”
ในที่สุดผมก็โพล่งในสิ่งที่ผมค้างคาใจออกไป เดียร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ฟังไม่ออกเลย ว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่
“อ๋อ เรื่องนี้เองน่ะเหรอครับ พิ่โสภิตโทรมาบอกผมแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แกคงกลัวว่าเรียวจะโมโหให้ผมหลังจากที่รู้เรื่องจากปากคำของพวกเขา พี่โสภิตเดาถูกจริงๆ
เป็นเรื่องแค่นี้ เองใช่ไหมที่ทำให้เรียวไม่พอใจ เรียวโกรธในความผิดที่ผมได้ทำมันผ่านมาแล้ว ทั้งๆที่ผมก็ได้อธิบายทุกอย่าง แล้วก็พยายามทำดีกับเรียว แต่เรียวก็ยังคงไม่พอใจ ยังคงโกรธผมอยู่ ผมจะทำอย่างไรดีละครับ เรียวถึงจะหายโกรธผม”
ผมนิ่งฟังเดียร์ด้วยความแค้นเคือง หนอยทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิด จะขอโทษสักคำก็ไม่มี ยังมีหน้ามาบอกด้วยว่า เหตุการณ์มันผ่านมาแล้ว จะให้ผมจบมันลงง่ายๆ ด้วยการพูดดีกับเขาหรือไง
“นายนี่มันแย่จริงๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แล้วก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันล่ะเชื่อนายจริงๆเลย ทำไมนายทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดนี้นะ”
“ตกลงว่าเราจะทะเลาะกัน โกรธกันด้วยความผิดที่ผมก่อแต่หนหลังใช่ไหมครับ”
เด็กหนุ่มย้อนถามผมด้วยเสียงเครียดๆ ท่าทางเขาเริ่มจะมีอารมณ์บ้างแล้ว
“ฉันชิงชังนายจริงๆ”
ผมว่าเขา ด้วยรู้สึกเหลืออดจริงๆ
“แล้วเรียวจะให้ผมทำอย่างไรละครับ ถึงจะแก้ไขความผิดพลาดที่ผมทำกับคุณได้ บอกผมมาสิครับ ผมยินดีทำทั้งนั้น”
“ออกไปจากชีวิตฉันซะทีสิ.......ฉันจะมีความสุขมาก”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมพยายามทำทุกอย่างก็เพื่อวันนี้ ไม่ยอมรามือง่ายๆหรอกครับ”
“ด้วยวิธีการที่สกปรก รวมหัวกันเพื่อล่อลวงฉันนี่นะ อย่างนี้นะเหรอที่นายเรียกว่าทำไปเพราะความรัก เห็นแก่ตัวสิไม่ว่า”
ผมด่าว่าถากถางเขา กะเล่นงานให้เจ็บปวด .....เดียร์นิ่งไปอีกแล้ว เขาเงียบไปจนผมนึกว่าเขาคงจะโกรธผม จนวางหู แต่เปล่าเลย เขาตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความน้อยอกน้อยใจ
จนผมแทบจะจินตนาการได้เลยว่ายามนี้ตาของเขาคงจะแดงทั้งสองข้าง น้ำตาคงจะเอ่อมาคลอตา แต่เจ้าตัวพยายามจะฝืนมันเอาไว้ ไม่ให้มันหยดแม่ะลงมา
“.........ผมจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้หรือครับเรียว ถ้าผมไปเจอคุณ แล้วก็บอกรักคุณเฉยๆ คุณจะยอมเป็นแฟนผมไหม
คุณแน่ใจเหรอ ว่าจะไม่หัวเราะใส่หน้าผม จะไม่ไล่เตะ หรือ เรียกให้ยามมาหิ้วตัวผมออกไป บางทีคุณอาจจะแจ้งตำรวจมาจับผมแล้วยัดข้อหาว่าผมเป็นคนร้ายที่มาก่อกวนคุณก็ได้
หรือหากว่าคุณใจดีไม่ทำแบบนั้นกับผม แล้วคุณคิดว่าตัวเองจะยอมฟังผมพูดจนจบหรือเปล่า
เรียวจะให้โอกาสผมอธิบายถึงเหตุผลที่ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆคุณ อยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณแต่โดยดีด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เข้าอกเข้าใจผมไหม.......”
“......”
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเดียร์ผ่านทางคำพูดของเขา
“คุณอาจจะมองผมด้วยแววตาดูหมิ่นเกลียดชัง เห็นผมเป็นไอ้งั่ง พูดจาไร้สาระ แล้วก็จะหันหลังให้ผม กันผมออกไปจากชีวิตคุณ
เมื่อผมได้พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกไป มันก็จะกลายเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมจะมีโอกาสได้พูด แล้วหลังจากนั้น ผมน่ะ จะไม่มีโอกาสได้เจอ ได้ใกล้ชิดคุณอีกเลย……”
“.........”