ปฏิญญาที่ ๔ก้าวเดินกลางฝูงชนในยามสาย
เพื่อผ่อนคลายและเยี่ยมชมความสุขี
ของประชาชนคนในธาษตรี
พร้อมสุรีย์ต่างถิ่นร่วมมองดูยามตะวันทอแสงสาดท้องนภา หลังจากที่เสวยอาหารเช้าเสร็จ องค์ภูมีก็ทรงรับสั่งให้ลูกทั้งสองพาองค์รพีธรณินไปชมความงดงามของวสุนธรา...
ซึ่งทั้งสองก็ยินดีรับหน้าที่นั้นด้วยความยินดี
ศศินคคนานต์ที่ไม่รู้ความใด ๆ ในท้องพระโรงก็ออกจากวังไปยังตลาดในเมืองเช่นกัน... เขาตั้งใจที่จะไปซื้อของต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ทำขนมหวานหลังอาหารให้กับทุกคน...
ของในวังนั้นมีการส่งเข้าไปทุกวัน แต่บางอย่างนั้นก็ไม่พอใช้ ยิ่งช่วงนี้มีงานเลี้ยงมากมาย ไข่ไก่ที่เป็นของหลักย่อมไม่พอใช้ในการทำ
ผ้าคลุมสีน้ำตาลถูกเลือกออกมาใช้ เจ้าจันทรคลุมกายแล้วออกจากวังไปอย่างเงียบ ๆ
“รพี ท่านมีที่ไหนที่ต้องการจะไปเยี่ยมชมเป็นพิเศษหรือเปล่า”สุริเยนทร์ถามขึ้น หลังจากที่เดินมาได้พักหนึ่ง พระองค์ทรงสังเกตสีพักตร์ของเจ้าชายผู้มาเยือนอยู่ตลอด...
แต่ก็มิเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้เพียงสักนิด... ยังคงเรียบเฉยราวกับไม่ยี่ระต่อสิ่งใด
“เราไม่มีที่ใดทีอยากชมเป็นพิเศษหรอก สุริเยนทร์”เสียงตอบกลับก็ยังคงเป็นเสียงที่เรียบเฉย... เรียบเสียจนทำให้คนนำเที่ยวเสียกำลังใจไปไม่น้อย...
ศรวิษฐาหาเรื่องราวต่าง ๆ มาคุยกับเจ้าชายหนุ่ม แต่พระองค์ก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับนางเลยแม่แต่น้อย นางถามอะไรก็ตอบคำ สองคำ...
ช่างน่าน้อยใจนัก....
“ไข่ไก่ ได้แล้ว... น้ำตาลมีอยู่ แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า... อืม... มีอยู่สินะ”เสียงทุ้มออกหวานพึมพำเบา ๆ ในขณะที่เดิน แต่ก็มิพันจากการได้ยินของเจ้าชายผู้เงียบขรึม “เอ... อะไรอีกนะ มะพร้าวมีอยู่... อ่อ... ลูกจันทร์ ๆ ต้องซื้อลูกจันทร์ด้วยสินะ”
ขาเรียวก้าวไปข้างหน้าอย่างว่องไว ผ่านหน้าชนชั้นสูงทั้งสามไปอย่างไม่สนใจ มุ่งไปยังร้านขายของตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เสียงที่ฟังดูคุ้นเลยเรียกความสงสัยจากองค์สุริเยนทร์ไทวะได้ชะงัก... แต่... จะใช่เช่นนั้นหรือ...
ศศินคคนานต์จะออกมาข้างนอกอย่างนั้นหรือ...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”ยังไม่ทันที่จะได้เดินเข้าไปถาม เสียงกรีดร้องแหลมก็ดังขึ้น
ผู้คนที่รายรอบ ณ ที่นั้นต่างหันกันไปมองเป็นตาเดียว... เจ้าหญิงน้ององค์งามกรีดร้องอย่างหวาดกลัวเมื่อชายร่างสูงใหญ่ คลุมหน้าด้วยผ้าสีดำ ถือดาบแหลมคมวิ่งเข้ามาฟาดฟัน
“เจ้าน้อง...”เจ้าชายองค์โตแห่งวสุนธราชักดาบออกจากฟัก วิ่งเข้าโรมรันกับศัตรูตะโกนก้อง เมื่อมีเจ้าโจรชั่วคนหนึ่งเงื้อมดาบอยู่หลังขนิษฐาของตน
รพีธรณินเอากายตนเข้าไป บังอันตรายให้กับหญิงสาว ดวงเนตรคมปิดลงเตรียมรับความเจ็บปวด...
นึกโทษตัวเองไม่น้อยที่ไม่พกอาวุธมาด้วย
ฉึก
หยดเลือดไหลลงมาเปรอะเปื้อนธรณี... เจ้าสุริยาจากแดนไกลลืมเนตรขึ้น... ไม่ใช่โลหิตของพระองค์... ดวงพักตร์คมเบือนไปมองภาพด้านหลัง
มีดสั้นด้ามจับเงินเสียบเข้ากลางหน้าผากที่คลุมไว้ด้วยผ้า ร่างใหญ่ของผู้ไม่ประสงค์ดีเอนลงล้มตึงไปกับพื้น... ตายคาที่
“ถ้าจะทรงสนพระทัยแต่กับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว... ต่อให้ทรงมีเก้าชีวิตเฉกเช่นวิฬาร์ก็คงจักรักษาเอาไว้มิได้หรอกนะพะยะค่ะ”
มือเรียวกุมดาบแน่นเข้าฉะกับศัตรูคู่กับเชษฐา ผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ร่นลงจนเผยให้เห็นดวงหน้ามน... ใบหน้าที่มิได้หวานสวยราวสตรี แต่ก็มิได้หยาบกร้านเหมือนบุรุษ...
“มากเกินกว่าจะสู้ไหวกระมัง... ศศิน”เสียงทุ้มกระซิบเบา เมื่อพระองค์และอนุชาตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู “จะเอาอย่างไรดี...”
“น้องจะเปิดทางให้เอง... เจ้าพี่พาเจ้าพี่หญิงและเจ้าชายกลับวังไปเถิด...”โอษฐ์บางเม้มแน่น หยดเหงื่อซึมออกมาตามหน้าผาก
“เจ้าเหนื่อยอ่อนขนาดนี้... ไม่ไหวหรอก น้องพี่”เจ้าชายใหญ่แย้งขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้ามิได้แข็งแรงดังเช่นทหาร... พี่จะปล่อยให้เจ้าตายได้อย่างไร”
“เจ้าพี่... เพลานี้เราต้องรักษาชีวิตของเจ้าชายรพีธรณินและเจ้าพี่ศรวิษฐาเอาไว้เสียก่อน... มิเช่นนั้นทุกคนอาจต้องตายตกไปตาม ๆ กัน...”
“ถ้าเช่นนั้น พี่จะพาหญิงศรกลับวัง ส่วนเจ้า คุ้มกันองค์รพีกลับวัง... เราจะต้องไปเจอกันที่ตำหนักใหญ่ เข้าใจไหม ศศินคคนานต์”ด้วยความที่ทรงรักและห่วงใยพระน้องนางที่ขวัญเสีย จนทำให้ลืมองค์ว่าควรที่จักปกป้ององค์ชายแผ่นดินแม้ มิใช่เจ้าน้องยาผู้มากฝีมือ แล้วผลักภาระไปให้กับอนุชาเช่นนี้
“... พะยะค่ะ เสด็จพี่”ศศินเจ้าก็ตอบรับแต่โดยดี ไม่มีค้าน
สุริยาเจ้าถิ่นจะทรงคิดได้ตอนนี้... ก็สายไปเสียแล้ว
แต่คงมิเป็นไร องค์รพีจักคง... ไม่สิ ต้องช่วยน้องชายของพระองค์ได้เป็นแน่แท้
สองพี่น้องพุ่งเข้าฝ่าวงล้อม ก่อนที่จะพาตัวของคนสำคัญทั้งสองมุ่งกลับไปยังวังหลวงทันที
“ตามมันไป”กลุ่มโจรวิ่งไล่ตามเจ้าจันทร์และเจ้าสุริยาต่างเมืองไปทั้งหมด โดยไม่สนใจสองพี่น้องที่วิ่งไปอีกทางเลยแม้แต่น้อย
“สวรรค์โปรด...”เสียงลอดไรฟันแผ่วเบา “ท่านวิ่งนำไปก่อน... ข้าจะรั้งพวกมันเอาไว้ข้างหลังเอง...”
“...”ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ
องค์รพีธรณินเอื้อมหัตถ์มาหยิบเอาดาบเล่มหนึ่งไปจากศศินก่อนที่จะพุ่งเข้าโรมรันกับคนชั่วตรงหน้าอย่างไม่กลัวเกรง
จักให้คนในเมืองลูก มาปกปององค์ชายผู้นำทัพไปต่อกรกับศัตรูต่างแดนได้อย่างไร... มันขายขี้หน้าเสียจริง
“โถ่เอ้ย!!”จิตใจแสนร้อนรน ความกังวลเริ่มเข้าสู่ภายในจิตใต้สำนึก
ถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน
ร่างผอมก้าวเข้าไปในวงต่อสู้ ใบดาบคมเชือดเฉือนผิวเนื้อของกลุ่มคนตรงหน้า เลือดสีสดหลั่งรินลงมาอย่างต่อเนื่อง
“ระวัง!!”แขนเรียวผลักร่างสูงให้ออกห่างจากคมดาบของคนใจมาร โลหิตสีเข้มไหลซึมออกมาจากบาดแผลบริเวณต้นแขนที่ไปรับแทนจ้าวสุริยา โชคยังดีที่โดนแค่เฉี่ยว ๆ เพียงเท่านั้น
ด้วยความโกรธา เจ้าศศินถึงกับคว้าดาบสังหารคนพวกนี้อย่างไม่ปราณีเหมือนคราแรกที่ได้สู้กัน...
พระองค์เชื่อแล้วว่าความใจอ่อนนั้นสามารถพาชีวิตของคนไปได้
พระแสงส่องฟาดฟันศัตรูสิ้น
ให้ดับดิ้นชีวาละสังขาร
ข้างหน้าตนมิใช่คนคือหมู่มาร
ที่มาพาลหมายชีวิตพระองค์ไป
โลหิตแดงสาดกระเซ็นทั่วท้องที่
เหล่าปักษีโบยบินขึ้นหนีไกล
ปวงประชาที่พบเห็นแทบขาดใจ
ซากศพใครมิตายดีอยู่กลางลาน
สององค์ชายร่วมกันสังหารเจ้าหมู่โจรที่ไม่รู้จักกาลเทศะเหล่านี้จนสิ้น... ไม่เหลือเอาไว้สอบสวนแม้เพียงสักคนเดียว...
องค์ศศินคคนานต์รีบพาองค์รพีกลับเข้าวังอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่สนใจบาดแผลที่ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาของตนเลยแม้เพียงนิด
ความเร็วของฝีเท้าเริ่มลดลงเมื่อเข้าใกล้ตำหนักใหญ่... ระหว่างทางที่ผ่านนั้นทหาร นางกำลังหลายคนร้องทักเจ้าชายองค์รองด้วยความตกใจกับโลหิตที่เปรอะเปื้อนพวกนั้น...
“ศศิน...”สุริเยนทร์ไววะตรงปรี่เข้ามากอดอนุชาของตนทันทีเมื่อพบหน้า “เจ้าปลอดภัยไหม น้องพี่ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่...”
“น้องบาดเจ็บเล็กน้อย ขอบพระทัยที่ทรงห่วงพะยะค่ะ เจ้าพี่”เสียงหวานตอบกลับเรียบ ๆ ก็จะหันไปสบตากับพระบิดาของพระองค์
“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่... รพีธรณิน”เสียงทุ้มเอ่ยถามเจ้าชายต่างเมือง โดยไม่แยแสบุตรของตนเลยแม้เพียงน้อย
“บาดเจ็บที่มือเล็กน้อย ไม่เป็นไรมากพะยะค่ะ ฝ่าบาท”องค์ชายแห่งอุษณกรตอบกลับเบา ๆ ตามความจริง
ร่างใหญ่ลุกขึ้นจากบัลลังก์ที่ประทับทันที เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่จะก้าวลงมาอยู่ตรงหน้าโอรสองค์รองของพระองค์อย่างรวดเร็ว
เพี๊ยะ!!
หัตถ์หนาตวัดตบดวงหน้าหวานฉาดใหญ่ด้วยความโกรธา พระเนตรคมทอประกายกล้า
“เจ้าลูกไม่รักดี อ่อนหัดยิ่งนัก เหตุใดเจ้าถึงไม่ปกป้องเจ้าชายให้ดี ปล่อยให้เขาบาดเจ็บได้อย่างไร ไอ้ลูกชั่ว”เสียงตวาดดังก้องท้องพระโรงแห่งนี้
ดวงตาสีไพลินฉายแววเศร้าหมอง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุรุษตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย...
เจ้าชายรพีธรณินทอดพระเนตรภาพตรงหน้าด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย แต่พระเนตรฉายแววโกรธขึงบ่งบอกถึงความรู้สึกภายใน
เหตุใดถึงไม่ฟังเหตุผลกันสักนิด ไม่ห่วงลูกของตนบ้างหรืออย่างไร ทั้งที่บาดเจ็บมากกว่าผู้มาเยือนอย่างพระองค์ แต่กลับซ้ำเติมเช่นนี้...
“พอได้แล้ว...”เสียงเรียบเอ่ยขึ้น เจ้าสุริยาแห่งเมืองแม่ก้าวเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของผู้ครองเมือง “พอเสียทีกับสิ่งที่ไร้เหตุผลเช่นนี้”
กรแกร่งโอบไหล่ร่างบางเดินออกจากท้องพระโรงไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองใครสักคน...
ดวงเนตรคมจับจ้องโอรสองค์รองที่หันมาอย่างบอกความนัยน์...
ดูแลเจ้าชายให้ดี... ไม่เช่นนั้น
ตาย!!!!!
++++++++++++++++++++++++++++++++
มาแล้วค้าา กลับไปกลอนแปด ไวกว่าฉันทลักษณ์อื่น 5555
เรื่องที่ทำไมพ่อกับปู่เกลียดศศิน เดี๋ยวตอนหน้ามีแย็บ เฉลยเต็มตอนสิบค่ะ
สุริเยนทร์ไม่ใช่ไท่รักน้องชายนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจคุณพี่ผิด แต่ด้วยอีกคนเป็นน้องสาว เป็นผู้หญิงเลยต้องดูแลกันหน่อย
ส่วนคุณนายศร... รอดูกันไปค่ะ 5555
ลูก ๆ ของเหล่าสนม... ไร้บทสิ้นดี
แต่ก็มีนะคะ ไม่ได้มีกันแค่สามคนพี่น้องนาา แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการบริหารประเทศ เลยไม่ออกหน้ามาน่ะค่ะ