ตอนที่ 4
โง่เซ่อบ้าเพราะว่าความรัก
หลังวางสายจากไอ้ทู ผมใช้เวลาในห้องน้ำอยู่นานเพื่อคิดถึงเรื่องสับสนในหัว ทั้งความรู้สึกของผมเอง หรือแม้แต่ความรู้สึกของไอ้ค่ายก็ตาม ผมอยากรู้...ว่ามันแคร์ผมแบบไหนกันแน่ แบบที่คนรักกัน
หรือแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น
ผมรู้สึกสมเพชตัวเองอยู่นิดหน่อยที่อ่อนแอได้ขนาดนี้ ทันทีที่เดินออกมายืนอยู่หน้ากระจก สิ่งแรกที่ปรากฎในม่านสายตาก็คืออาการบวมแดงที่ดูยังไงก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาหนักแค่ไหน แล้วอย่างนี้จะมีหน้าออกไปเจอเพื่อนได้ยังไงกันวะ
ดังนั้นแทนที่จะเข้าคลาสพร้อมกับเพื่อนในกลุ่ม ผมกลับปลีกตัวออกมาเพื่อหลีกหนีการเผชิญหน้ากับไอ้ค่าย ขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโดเพื่อเก็บข้าวของและเตรียมพร้อมสำหรับการขนย้าย ผมไม่อยากอยู่กับมันอีกแล้ว การแอบชอบมาตลอดสองปีนั้นว่างเปล่า และมันก็สร้างบาดแผลในใจเอาไว้มากมาย
ตลอดเวลาที่เก็บเสื้อผ้าและของใช้ เสียงจากมือถือที่ถูกโยนทิ้งไว้บนเตียงก็ดังระงมไม่ขาดสาย สามถึงสี่สายแรกเป็นของไอ้ค่ายกับไอ้โบนที่โทรสลับกันมาและไม่นานก็ดับไป สายที่ห้าแผดเสียงขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับชื่อของคนโทรเข้า เมื่อเห็นว่าเป็นของไอ้ทูผมเลยตัดใจรับสายอย่างจำใจ
[ไอ้เติร์ดมึงอยู่ไหน ทำไมไม่เข้าเรียน] น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาดูร้อนรนมาก
ผมไม่อยากเป็นเพื่อนงี่เง่าในสายตาพวกมันที่เอะอะก็หนีปัญหา แต่ครั้งนี้มันโคตรหนักหนาสำหรับผม การเผชิญหน้ากับคนที่เล่นกับความรู้สึกของเราโดยพยายามไม่แสดงท่าทีใดๆ เป็นเรื่องยากเย็นมาก ซึ่งผมก็ควบคุมไม่ได้
“กูอยู่ห้องไอ้ค่าย”
[ไปทำอะไรที่นั่นวะ]
“เก็บของ ส่วนมึง ถ้าเลิกคลาสแล้วเก็บชีทเรียนไว้ให้ด้วยนะ”
[เดี๋ยวๆ มึงจะย้ายจริงดิ ใจเย็นก่อนไอ้เหี้ย]
“กูจะกลับไปอยู่คอนโดเดิม ถึงห้องเก่ากูจะปล่อยเช่าใหม่ไปแล้วแต่ก็ยังพอมีห้องว่างของชั้นอื่นอยู่”
[เติร์ดกูถามจริง มึงไปได้ยินหรือเจออะไรมากันแน่]
“กูต้องเก็บของแล้ว ยังไงเลิกเรียนเสร็จมึงก็มาเจอกันที่ล็อบบี้แล้วกัน”
ผมจบประเด็นทุกอย่างลงก่อนจะกดวางสาย อาจเพราะตอนนี้ยังไม่พร้อม และก็ไม่แน่ใจว่าไอ้ทูมันยังนั่งอยู่กับสองคนนั้นหรือเปล่าผมถึงไม่โพล่งออกไป
สำหรับไอ้ค่าย ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องบอกกับมันว่าบังเอิญได้ยินอะไรไม่เข้าหูมาบ้าง เพราะกลัว...กลัวว่าถ้ารู้แล้วจะกลายเป็นมันต่างหากที่รับผมไม่ได้ คนที่ชอบผู้หญิงและมีกำแพงสูงกับเพื่อนเรื่องความรักมาตลอด มันจะรับได้เหรอว่าเพื่อนสนิทที่พร่ำบอกว่ารักนักหนากำลังคิดไม่ซื่ออยู่
จะรับได้เหรอที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแปรเปลี่ยนเพราะคนอย่างผม ไอ้ค่ายรับไม่ได้หรอกถ้ารู้ว่าสิ่งที่มันแสร้งทำลงไปนั้นได้ผลเกินคาด คนเหี้ยๆ อย่างมันรักใครไม่เป็นหรอก และคนโง่ๆ อย่างผมก็คงไม่คู่ควรกับเพื่อนคนนี้เช่นกัน
ผมใช้เวลาเก็บของจุกจิกใส่กล่องกระดาษอย่างลวกๆ รวบเอาเสื้อผ้าบนราวแขวนยัดใส่กระเป๋า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็จัดการแพ็คใส่กล่อง ข้าวของแม้ไม่มากก็จริงแต่ก็กินเวลาค่อนข้างนาน วันนี้มีหลายวิชาที่ต้องเรียน กว่าเจ้าของจะกลับมาถึงห้องผมก็คงย้ายทุกอย่างไปหมดแล้ว
แต่ผิดคาดที่ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เสียงขลุกขลักจากประตูหน้าห้องกลับดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของคนที่ผมไม่อยากเจอมาตลอด
ไอ้ค่ายยืนกระหืดกระหอบอยู่ตรงประตูห้องนอน สีหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียด เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มหน้าผากแถมเสียงลมหายใจที่พรูออกมาถี่ขนาดนั้นก็ทำให้เดารางๆ ได้ว่าเจ้าตัวคงรีบรุดมาที่นี่อย่างสุดกำลัง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใจอ่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจใช้เวลาทบทวนและปรับความเข้าใจกับมันอีกครั้ง แต่มันสายไปแล้ว ไอ้ค่ายพังทุกอย่างด้วยมือของมันเอง
ที่เคยบอกว่ารักกัน ที่เคยบอกว่าผมเป็นเพื่อนสนิทของมัน บอกตลอดว่ายังไงมันก็เลือกผม แม่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ กับคนเห็นแก่ตัวแบบนี้กูอยู่ไม่ได้หรอก
“เก็บของทำไม” ร่างสูงถามเสียงเรียบ พลางยกมือขึ้นมาเสยผมที่ปรกหน้าแรงๆ
“กูจะย้าย”
“มึงจะไปอยู่ไหน ตอนนี้ที่บ้านมึงมีปัญหาก็อยู่ด้วยกันที่นี่ก่อนดิ”
“ไปอยู่กับกูก็ได้ เดี๋ยวกูช่วย” ไอ้ทูที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบแทรกขึ้นพัลวัน สงสัยมันยังจำได้ว่าก่อนหน้าผมกับมันกุแผนโกหกอะไรขึ้นมาบ้าง แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ขอแค่ไม่ต้องอยู่ในห้องนี้ผมยอมทำทุกทาง
“เงียบไปเลยไอ้ทู กูขอเคลียร์กับไอ้เติร์ดสองคน”
“เชิญๆ” เจ้าของชื่อรีบปิดประตูห้องนอนอย่างมีมารยาท ทิ้งให้ผมกับไอ้ค่ายยืนจ้องหน้ากันอยู่เท่านั้น
“เติร์ดกูแค่อยากรู้ว่ากูผิดอะไร”
“มึงจะมาอยากรู้ทำไมตอนนี้”
“ก็ถ้ากูทำผิดต่อไปก็จะได้แก้ไขไง มึงไม่อยากให้กูพาผู้หญิงเข้ามาในห้องใช่มั้ย ได้! ต่อไปกูไม่พามาเลย มึงโอเคมั้ย”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกว่ะ เรื่องนี้มันแก้ไขไม่ได้แล้วกู...ผิดเอง” ใช่! ผมผิดเองที่รักเพื่อนสนิท ผิดตั้งแต่คิดไม่ซื่อกับมันแล้ว พอมารู้ความจริงว่าการกระทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำดีด้วยเป็นเพียงแผนทดสอบ ผมก็ผิดหวังไปเอง ดิ้นไปเองอยู่คนเดียว
“กูขอถามหน่อยว่าเรารู้จักกันมากี่ปี”
“สองปีกว่าๆ”
สองปี สี่เดือน เป็นช่วงเวลาที่กูรักมึงข้างเดียวมาตลอด “มึงบอกว่ากูเป็นเพื่อนสนิท”
“ใช่ เรามีกันอยู่สี่คน มึงคือเพื่อนรักของกู”
แต่มึงไม่เคยรู้เลยว่ากูไม่ได้คิดกับมึงแบบนั้น กูมีเพื่อนสนิทสองคน ส่วนมึงคือคนที่กูรัก “มึงรู้ว่ากูชอบอะไรและเกลียดอะไร”
“ใช่ กูรู้ทุกอย่าง”
สิ่งหนึ่งที่มึงไม่เคยรู้ คือมึงได้กลายเป็นสิ่งที่กูรักและเกลียดในเวลาเดียวกันไปแล้ว “มึงบอกว่ามึงแคร์กูมาก แต่การกระทำมันไม่ใช่ เรายังรักกันอยู่ใช่มั้ยวะ”
“กูรักมึง” แต่สิ่งที่ไอ้ค่ายกับไอ้โบนทำมันไม่เรียกว่าความรัก ไม่รู้ว่าพวกมันเคยคิดมั้ยว่าถ้าวันหนึ่งผมรู้ความจริงขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น และถึงแม้ว่าผมไม่ได้รักไอ้ค่ายจริงความรู้สึกที่เหมือนถูกตบหน้าก็ยังฝังอยู่ในหัวไม่มีวันจาง
“เพื่อนไม่ทำกันแบบนี้หรอก”
“กูทำอะไรลงไป ถ้าไม่พอใจกูขอโทษ กูไม่รู้จริงๆ”
“ให้กูย้ายจากที่นี่”
“เติร์ด...” ไอ้ค่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ผมเจ็บยิ่งกว่าตรงที่เผลอร้องไห้ออกมาแล้ว เป็นเพื่อนกันมาก็ตั้งหลายปี ไม่เคยมายืนทำอะไรงี่เง่าแบบนี้เลยสักครั้ง ผมเกลียดตัวเองที่ทำตัวน่ารำคาญ
“กูต้องย้ายกระเป๋าก่อน เดี๋ยวขึ้นมาเอาพวกของใช้นะ” ผมคว้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่เตรียมเดินออกจากห้อง แต่ไอ้ค่ายเร็วกว่านั้นเมื่อมันคว้ามือผม และยึดเอาไว้อย่างแรงจนข้อมือแทบหัก
“กูไม่ให้มึงไป”
“คีย์การ์ดกูจะคืนไว้ให้ที่เคาน์เตอร์ ของทุกอย่างที่เคยใช้กูจะคืนให้หมดนะไม่ต้องห่วง”
“...”
“ส่วนใจของมึงก็คงไม่ต้องคืนให้ เพราะมึงไม่ได้ให้กูตั้งแต่แรกแล้ว” “เติร์ด มึงเป็นเพื่อนกู กูไม่ให้มึงไป!”
“เลิกยุ่งกับกูสักที! กูไม่เคยเห็นว่ามึงเป็นเพื่อนเข้าใจมั้ย” ไม่เคยมองเป็นเพื่อนเลยสักครั้ง
“มึงพูดอะไรออกมา ความเป็นเพื่อนของกูกับมึงมันต้องจบลงแค่นี้เหรอวะ แค่กูทำเหี้ยอะไรไม่รู้ผิดไปมึงถึงกับต้องตัดเพื่อนเลยเหรอ”
“...” ผมพูดไม่ออก นอกจากยืนกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้สุดความสามารถ
ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจแบบนี้ต่อไป
“เออ มึงไม่ใช่เพื่อนกู เพราะกูไม่เคยมีเพื่อนงี่เง่าแบบนี้”
“...”
“จะไปไหนก็ไป”
ถ้าเลือกตัดใจตั้งแต่วันนี้ ต่อไปก็คงไม่ต้องเจ็บอีก มันดีที่สุดแล้ว...
การย้ายที่อยู่แบบฉุกละหุกในรอบที่สองของเดือนทำเอาเพื่อนรักอีกคนอย่างไอ้ทูนอนปาดเหงื่ออย่างหมดอาลัยตายอยาก หลังไอ้ค่ายปล่อยให้ผมออกมามันก็ไม่ได้ช่วยเหลือเรื่องการขนย้ายแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ผม ไอ้ทู กับไอ้เหี้ยโบนเท่านั้นที่หัวหมุนช่วยกันอยู่สามคน
ด้วยความที่ไอ้ทูกลัวแผนการที่วางเอาไว้ก่อนหน้าจะแตกซะก่อน ดังนั้นผมเลยต้องมาอาศัยห้องของมันอยู่อีกสักพักใหญ่ๆ เมื่อต่างคนต่างแยกย้าย ผมกับเจ้าของห้องรายใหม่ก็เริ่มต้นบทสนทนาที่ค้างคาใจมาตลอดสองวัน
“สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ เอาจริงๆ เรื่องที่มึงผิดใจกับไอ้ค่ายไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุเลยนะ” เจ้าของเสียงถามอย่างสงสัย ขณะเราทั้งคู่กำลังนั่งพิงหลังโง่ๆ อยู่ตรงโซฟา ด้านหน้าฉายภาพหนังเก่าของเคเบิ้ลช่องหนึ่งวนซ้ำอยู่อย่างนั้น
“จะให้เริ่มตรงไหนก่อนดี”
“เอาที่มึงสะดวกจะเล่า จะตั้งแต่ต้นหรือกลางเรื่องก็ได้ แค่ขอให้กูหายโง่ที”
“เมื่อคืนตอนเราไปกินเหล้า กูแอบไปได้ยินไอ้ค่ายกับไอ้โบนคุยกันในห้องน้ำเรื่องของกู”
“ทำไม มันชอบมึงเหรอ” ร่างหนาผงกหัวขึ้นมาจ้องหน้าผมอย่างตื่นเต้น โธ่ไอ้ควาย ถ้ามันชอบจริงกูจะเกรี้ยวกราดขนาดนี้มั้ย
“คิดว่ากูกำลังพูดเรื่องตลกอยู่เหรอ”
“ใครแม่งจะไปรู้วะ แล้วสรุปมึงโกรธมันเรื่องอะไรกันแน่”
“เรื่องที่บังเอิญได้ยินมันสองตัวพูดถึงกูในห้องน้ำ ไอ้โบนจับสังเกตกูได้ มันสงสัยว่ากูจะชอบไอ้ค่ายเลยไปบอกให้มันคิดแผนลองใจกู ซึ่งการกระทำทุกอย่างที่กูรู้สึกสุดท้ายแม่งก็เป็นแค่เรื่องล้อเล่นของพวกมัน”
“ไอ้ระยำตำบอน”
“เป็นมึงมึงจะให้อภัยมันมั้ยวะ เป็นมึงมึงจะยังชอบมันอยู่หรือเปล่า”
“…”
“ส่วนใจกูอ่ะ มันพังไปตั้งแต่วันที่รู้ความจริงแล้วว่ะ”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของคนที่นั่งเคียงข้าง ไอ้ทูไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกมาอีกนอกจากจ้องมองจอโทรทัศน์ที่มีภาพเคลื่อนไหวไปมา เกือบสิบนาทีที่เราเป็นแบบนั้นกระทั่งเจ้าตัวพูดทำลายบรรยากาศตึงเครียดลง
“หนังไม่สนุกเลยเนอะ”
“นั่นหนังโปรดมึงหนิ” The perk of being a wallflower เป็นหนังที่มันบอกเสมอว่าอยากได้นางเอกมาเป็นเมีย และมันก็นั่งดูวนซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
“ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว มึงล่ะ จะทำยังไงต่อไป”
“กูจะถอยออกมา และก็...จะตัดใจแล้วนะ” “แล้วความเป็นเพื่อนของพวกเราสี่คนล่ะ”
“มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม แค่กูขอเวลาอีกหน่อย” แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม แต่มันจะกลับมาเป็นเหมือนวันนั้น...ที่เรากอดคอและไปไหนไปกันตลอด ยินดีและมีความสุขที่เพื่อนได้เจอความรักดีๆ และไม่ต้องมานั่งเสียใจเพียงลำพัง
คงจะมีวันนั้น
“จะทำได้เหรอวะ ชอบมาตั้งนาน”
“ชอบได้ก็ต้องเลิกชอบได้เหมือนกัน”
“เออ ยังไงกูก็อยู่ข้างมึง ช่วยมึงจีบไปแล้วตอนนี้กูก็คงต้องช่วยมึงให้ตัดใจจากมัน จะได้ไม่ต้องเจ็บอีก”
“กูอาจต้องการเวลา”
“เวลาอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นหรอก นี่กูจะบอกให้นะ พยายามหาข้อเสียของมันดิ ถ้ามึงค้นพบข้อเสียของมันไปเรื่อยๆ แล้วสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มึงรับไม่ได้ เดี๋ยวก็คงเลิกชอบไปเอง สู้มึง”
“ขอบใจ”
เที่ยงคืนแล้วไอ้ทูหนีไปคอลวิดีโอกับสาวในห้องนอน มันบอกกับผมว่าระหว่างที่อยู่ด้วยกันมันจะไม่พาผู้หญิงมาที่ห้องเพื่อละเมิดความเป็นส่วนตัวของผม ซึ่งตอนที่ได้ยินกูก็แทบก้มลงไปกราบที่หน้าตัก
ไอ้ทูบอกให้ผมพยายามงัดเอาข้อเสียของอีกฝ่ายออกมา ที่พอจะนึกออกก็มีอยู่หลายข้อ
ข้อหนึ่ง ขับรถเร็วผมคิดว่านี่คือข้อเสียของไอ้ค่ายนะ แม้ชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของมันเลยก็ตาม อาภัพสัดๆ
ข้อสอง ไม่รู้จักความพยายาม นิดหน่อยไม่ได้ดั่งใจก็ถอดใจไปซะก่อน เมื่อก่อนอาจจะยอมรับได้ ตอนนี้ผมยอมรับข้อเสียนี้ไม่ได้แล้ว ดูหลอกตัวเองมั้ย เออนั่นแหละยอมรับว่ามันคงไม่ง่ายที่เราจะเปลี่ยนจากรักใครสักคนเป็นเกลียด ได้แต่หวังว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างเอง
ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ห้องนั่งเล่นด้านนอก สักพักจึงถือโอกาสหยิบกล้องวิดีโอที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาเช็ดและทำความสะอาดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะวางลงบนขาตั้งกล้องพร้อมกับกดถ่าย
ถ้ายังจำได้ดีผมมีชาแนลในยูทูบเป็นของตัวเอง คนติดตามหลักหมื่นหากแต่คนดูมีแค่หลักร้อย วันนี้จะเป็นอีกวันที่ผมต้องทำหน้าที่รีวิวหนัง แม้จะรู้สึกหดหู่มากมายแค่ไหนก็ตาม
“สวัสดีครับสัปดาห์นี้เรากลับมาเจอกันอีกครั้งในช่องมูฟวี่ซี้เว่อร์ แต่นี่อาจจะเป็นวิดีโอสุดท้ายของปีนี้แล้วนะครับที่ผมจะทำ ใจหายเลย ครั้งนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ชื่อเรื่องว่า Crazy, Stupid, Love ครับ”
ผมใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีเพื่อพูดทุกอย่างที่อยู่ในหัวออกมา บันทึกมันเอาไว้และอัพโหลดลงคอมพิวเตอร์โดยไม่มีการตัดต่อ ยูทูบช่องมูฟวี่ซี้เว่อร์จะยังอยู่ต่อไปแค่ไม่ได้อัพเดตการรีวิวหนังอีกแล้ว และวิดีโอสุดท้ายนี้ก็ไม่ได้เปิดสาธารณะให้คนทั่วไปได้ดู
ผมตั้งใจเก็บเอาไว้...เป็นความทรงจำของตัวเอง และมันจะไม่หายไปตราบใดที่ช่องนี้ยังอยู่
ชีวิตของแก๊งโหดอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม เรามักบอกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว เราเคยมีกันสี่คนตอนนี้ก็ยังอยู่ครบ แต่ที่ไม่ครบคือเศษซากความรู้สึกที่เก็บมาไม่หมดในวันที่มันแตกลง และกระจัดกระจายไม่เป็นทิศทาง
ผมกับไอ้ค่ายคุยกันบ้าง ยังคงออกไปเที่ยวสังสรรค์และเรียนด้วยกัน แต่ทุกครั้งนั้นล้วนมีไอ้ทูกับไอ้โบนเกาะเกี่ยวไปด้วย เราไม่ค่อยได้อยู่กันตามลำพังเท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างอึดอัด หลังๆ เลยพยายามเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้นด้วยการไปทำตัวเกาะหนึบไอ้ทูเป็นปลิงแทน
ยังดีที่กิจกรรมของเด็กนิเทศฯ สุมหัวจนไม่ปล่อยให้มีเวลาคิดอะไร สัปดาห์หน้าเราต้องนัดประชุมใหญ่กันทั้งคณะด้วยเรื่องของละครเวทีนิเทศฯ แถมสิ้นเดือนก็ยังมีงานครบรอบ 42 ปีคณะอีก คาดว่างานคงหนักหนาเกินกว่าจะมีเวลามานั่งคิดเรื่องส่วนตัวกันแล้ว
แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นนี่สิที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ผมกับไอ้ค่ายต่างมึนตึงต่อกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาผมโกรธหรือไม่พอใจ อีกฝ่ายจะตามตื๊อขอโทษขอโพยจนกว่าผมจะให้อภัย แตกต่างจากตอนนี้ที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว
คล้ายกับว่าเราตัดขาดจากความเป็นเพื่อนกันจริงๆ
“เดี๋ยวเลิกเรียนไปไหน” ผมถามไอ้ทูที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าอย่างขะมักเขม้น จะว่าไปช่วงหลังมานี้ผมก็เริ่มสนิทกับไอ้ทูมากขึ้น ขณะที่ไอ้ค่ายเองก็เริ่มไปไหนมาไหนกับไอ้โบนสองคน
“ถ่ายรูป”
“นัดสาวไว้ว่างั้น”
“พยาบาล โคตรน่ารักไอ้เหี้ย คนนี้กูพลาดไม่ได้เลย” ไอ้ทูยืดตัวตรง จัดการรวบผมมัดตึงใหม่ด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
“กูไม่เคยเห็นมึงพลาดสักคน แบ่งให้กูคนนึงสิ”
“ไม่แบ่ง กระดูกมันคนละเบอร์ครับไอ้น้อง”
“เออจะไปไหนก็ไปเหอะ”
“ไปด้วยกันมั้ย”
“ไปเป็นก้างขวางคอมึงอ่ะนะ ตามสบายเลยครับเพื่อน”
“งั้นดึกๆ เจอกันที่ห้องนะครับคุณเติร์ด”
“จะกลับหรือเปล่ากูยังไม่แน่ใจมึงเลยสัด” พรุ่งนี้วันเสาร์ซะด้วย คงได้กลับห้องหรอก
นับตั้งแต่ที่ผมย้ายออกมาจากห้องไอ้ค่ายวันนั้น เราก็ไม่ได้สังสรรค์ในคืนวันศุกร์อีกเลย หลังเลิกเรียนต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเองเฉกเช่นวันนี้
ผมนั่งเก็บกล่องปากกาและหนังสือใส่กระเป๋าเงียบๆ ไม่นานไอ้โบนก็แตะไหล่ผมเบาๆ พร้อมกับเอ่ยชักชวน
“หาอะไรกินกันมึง มีร้านบุฟเฟ่ต์เปิดใหม่ว่ะ น่าแดกมากกกกกกก” มันลากเสียงยาวเพื่อสร้างบรรยากาศให้กับคนที่เหลือ ใจจริงก็อยากไปอยู่หรอกติดที่มีไอ้ค่ายเนี่ยแหละ ผมเลยเตรียมอ้าปากปัดปฏิเสธไป ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ใครอีกคนพูดออกมาเหมือนกัน
“โบนวันนี้กูไม่ว่างนะ”
“ไปไหนวะเชี่ยค่าย”
“มีนัดว่ะ” พูดแค่นั้นเจ้าตัวก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายบ่าข้างหนึ่งแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้อง ผมมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับสายตาก่อนจะเลื่อนมาจ้องมองไอ้โบนพร้อมกับส่ายหน้า
“กูต้องไปดูหนัง ไว้วันหลังนะมึง”
“เออไม่เป็นไร ความจริงกูก็ไม่ได้อยากไปหรอก แต่เห็นว่ากลุ่มเรามันเริ่มไม่เหมือนเดิมก็เลย...รู้สึกไม่ค่อยโอเคว่ะ” เจ้าของทรงผมสกินเฮดมีสีหน้าหมองลง แต่ก็ไม่ยอมเดินจากไปไหนนอกจากทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะเลกเชอร์ข้างๆ ผม
“ไม่รีบไปหาสาวเหรอ”
“อยากคุยกับมึงสักพักก่อน” นิสิตเริ่มทยอยออกจากห้องเรื่อยๆ จนกระทั่งโดยรอบเข้าสู่ความเงียบ มีเพียงผมกับไอ้โบนเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงบริเวณสโลป
“มีอะไร” เห็นไอ้โบนเงียบไปนานผมเลยถามขึ้น
“มึงโกรธอะไรไอ้ค่ายวะ”
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าพูดถึงมันเลยว่ะ”
“แล้วมึง...โกรธกูด้วยมั้ยวะ”
“คิดอะไรอย่างนั้น” ถึงแม้จะโกรธแค่ไหนเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ อีกอย่างถึงแม้ไอ้โบนจะเป็นคนแนะนำเรื่องบ้าบอนั้นกับไอ้ค่าย แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมทำตามซะอย่างเรื่องก็คงไม่เกิด ผมเลยไม่รู้จะโกรธเชี่ยโบนมันไปทำไม แค่นี้ความรู้สึกมันก็เผาใจจนอยู่ไม่สงบแล้ว
“คือถ้ากูทำอะไรไม่ดีกับมึงลงไป กูขอโทษนะ” คนเคียงข้างพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนมันเลย คนสี่คนที่ตลกเฮฮาพอถึงวันเครียดๆ กลับกลายเป็นพวกดราม่าแบบสุดโต่งเหมือนกัน
“แล้วมึงทำอะไรผิดกับกูล่ะ”
“เฮ้อ เอาเป็นว่ากูขอโทษสำหรับทุกอย่างแล้วกัน กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะว่ะ แก๊งโหดที่เป็นแบบนี้แม่งโคตรไม่คูลเลยสัด”
“กูพยายามอยู่ นี่ก็ห้าโมงกว่าละไม่มีนัดที่ไหนเหรอ” ผมแสร้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ก่อนจะเบี่ยงประเด็นอีกครั้งเพื่อที่เราจะได้ไม่พูดถึงมันอีก
“วันนี้ไม่มี ว่าจะกลับไปขอตังค์ที่บ้าน มึงกลับคนเดียวได้นะ”
“ห่วงกูจัง ปกติกูก็กลับคนเดียวตลอด”
“มึงเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดในกลุ่มแล้ว ไม่งั้นไอ้ค่ายมันไม่ห่วงมึงหรอก” ทันทีที่พูดชื่อใครอีกคน ผมก็ถูกใบ้กินอีกรอบ
“...”
“กูไปก่อนนะ เจอกันวันจันทร์ ขอเวลากูไปรีดไถแม่สักสองวันก่อน”
“เออ จะไปไหนก็ไป” โบกมือไล่เสร็จก็ได้แต่นั่งมองดูเพื่อนในกลุ่มอีกคนเดินผละห่างกระทั่งลับสายตาไป หลงเหลือเพียงผมคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้
เป็นห่วงเหรอ หึ! ตลกดี
คนเป็นห่วงกันมันไม่ทำแบบนี้หรอก ตั้งแต่วันนั้นไม่มีวันไหนที่ไอ้ทูไม่บ่นถึงไอ้ค่ายเรื่องควงผู้หญิงเลยสักวัน มันไม่เคยเปลี่ยนไป ยังคงหิ้วหญิงไปที่ห้องและทำตัวเจ้าชู้เหมือนเดิม แล้วผมยังจะหวังความจริงใจจากความห่วงใยจอมปลอมนั้นได้อีกเหรอ ไม่มีทางเลย
บอกว่ายังแคร์กู ทั้งที่ยังมีผู้หญิงคนอื่นนอนอยู่บนเตียงของมัน ตลกฉิบหายเลยว่ะ
ปกติช่วงเย็นผมมักเดินเล่นและกินข้าวที่ห้าง ก่อนจะใช้เวลาที่เหลือด้วยการซื้อตั๋วหนังเข้าไปนั่งดูในรอบสุดท้ายของวัน จะติดก็แต่วันนี้ที่ต้องเข้าไปคุยงานกับรุ่นพี่ปีสี่นิดหน่อย เรื่องฝากฝังหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับงานละครเวทีคณะซึ่งจะมีประชุมใหญ่ช่วงอาทิตย์หน้า
กว่าจะหนีจากงานส่วนนี้ได้ก็เล่นเอาปาดเหงื่อ ผมแวะกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่นจนอิ่ม ช่วงสามทุ่มครึ่งเลยขึ้นมานั่งรอตรงโซฟาหน้าโรงหนัง
ดีหน่อยที่ผมเป็นพวกไม่ชอบดูหนังไปด้วยกินไปด้วย เลยประหยัดค่าน้ำและป๊อปคอร์นไปเยอะโข ผมไม่ชอบให้มีเสียงรบกวนและทำลายสมาธิตอนดูหนังเท่าไหร่ นี่เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกดูหนังรอบสุดท้ายของวันเพราะคนน้อย หรือบางที...ก็แทบไม่มีคนเลย
Rrrrr…!
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาขัดจังหวะการคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมเลยไม่รอช้ากดรับอย่างรวดเร็วเพราะปลายสายเป็นเจ้าของห้องที่ผมซุกหัวนอนด้วยนั่นเอง
“มีไรวะ”
[คืนนี้ไม่กลับนะ]
“พาสาวไปกกอีกล่ะสิมึง”
[เหยื่อติดเบ็ดจะให้กูปล่อยไปเหรอ] เนื่องจากคอนโดไอ้ทูมีห้องนอนอยู่ห้องเดียว แถมมีผมเข้ามาอยู่อาศัยด้วยอีก ทุกครั้งที่เห็นมันต้องพาสาวไปเปิดห้องใหม่ คนอาศัยอย่างผมเลยรู้สึกไม่ดี แต่มันก็ไม่เคยถือสาและยินดีจะให้เป็นแบบนี้ไปอีกพักใหญ่จนกว่าผมจะพร้อมและตัดใจจากไอ้ค่ายได้
“เออ เอาที่มึงสบายใจ”
[กูไม่อยู่อย่าก่อเรื่อง]
“บอกตัวเองก่อนมะ...มั้ย” ท้ายประโยคเบาหวิวจนแทบปลิดปลิวไปในอากาศ เมื่อม่ายสายตาของผมปะทะเข้ากับใครบางคนเข้า
เป็นไอ้ค่ายไม่ผิดแน่
อ่านต่อด้านล่างค่ะ