///ต่อจากหน้า 4 ข้างล่างสุดฮับ///
สุดท้ายโซ่ก็ไม่ได้กลับคอนโดเพราะพี่เบลชวนไปนั่งกินของหวานด้วยกัน รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเพราะเขายังใส่ชุดเดียวกับเมื่อวาน กังวลว่าคนที่เดินผ่านจะเหม็นกลิ่น ใจหนึ่งอยากกลับไปอาบน้ำเต็มแก่แต่ก็กลัวจะเสียมารยาท เขาไม่อยากให้พี่เบลมองเพื่อนร่วมทีมพี่ธีร์ในแง่ลบ ถึงโซ่จะเป็นแค่สมาชิกใหม่ก็ตาม
วันปกติคนก็เยอะอยู่แล้ว วันอาทิตย์ก็ให้คูณสองเข้าไป โซ่มองความสดใสของผู้หญิงคนนี้ที่มองอย่างไรก็หาที่ติไม่ได้ ทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรสโดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเกม ต่อให้สมัยนี้ผู้หญิงจะหันมาสนใจเยอะกว่าเมื่อก่อนแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจมัน
พี่ธีร์ขอไปเข้าห้องน้ำความเงียบจึงเกิดขึ้น โซ่ไม่ใช่คนชวนคุยเก่ง แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็พยายามคิดว่าผู้หญิงจะชอบคุยเรื่องอะไร เขาอยากทำลายบรรยากาศเงียบ ๆ ที่เป็นอยู่เพราะไม่อยากให้เธอเบื่อ แม้ว่าพี่ธีร์จะไปเข้าห้องน้ำเพียงไม่กี่นาที
“โซ่เล่นเกมมานานแค่ไหนแล้วจ๊ะ?”
“เล่นตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ พี่เบลล่ะเคยเล่นเกมไหม?”
“พี่เล่นแต่เกมปลูกผักทำสวนในมือถือน่ะ ติดมากเลย” เบลยิ้มพร้อมชูโทรศัพท์ให้อีกคนดู “แต่พี่เคยเล่นเกมกับธีร์ตอนคบกันแรก ๆ จำไม่ได้ว่าเกมอะไร แต่ก็เลิกเพราะมันยากเกินไปสำหรับพี่”
“เข้าใจเลยครับ แต่เกมโทรศัพท์ก็สนุกเหมือนกันนะ โซ่ติดเกมรูบิกมากเลยครับ”
“ชอบรูบิกเหรอ แสดงว่าต้องเป็นเด็กฉลาดมากแน่ ๆ” เธอเลิกคิ้วมองอย่างสนใจ
“คนอื่นอาจจะใช่นะครับ แต่ไม่ใช่กับโซ่แน่นอน แหะ” เด็กคนนั้นหัวเราะแห้ง รีบปฏิเสธอย่างถ่อมตัวและเธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่
“โซ่น่ารักจัง ไม่เหมือนคนอื่นเลย”
“คนอื่นคือใครเหรอครับ?” พี่เบลยิ้มแหย ใช้ช้อนเขี่ยไอศกรีมที่ละลายแล้วราวกับว่าเธออยากใช้เวลาไปกับการเรียบเรียงคำพูด
“พวกแหลมน่ะ” หญิงสาวเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “เพื่อนธีร์ไม่ค่อยชอบพี่สักเท่าไหร่”
“อ่า...” ไม่รู้จะพูดอะไรเลย โซ่ก็พอจะเข้าใจเรื่องไม่ค่อยกินเส้นกับเพื่อนแฟน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้
“โซ่จะไม่เป็นเหมือนพวกเขาใช่ไหม?”
“ไม่ครับไม่ ทำไมโซ่จะต้องไม่ชอบพี่เบลล่ะครับ?” เธอทั้งพูดเพราะแล้วก็ใจดี อีกทั้งยังเป็นแฟนพี่ธีร์ด้วย โซ่จะไม่ชอบได้อย่างไรกัน
“พี่กลัวน่ะ แต่พี่ก็เข้าใจนะ” เบลยิ้มบาง ๆ กับเรื่องที่ทำให้เธอมักจะถอนหายใจออกมาได้ง่าย ๆ “เพราะพี่งี่เง่ากับธีร์เรื่องเกมอยู่บ่อย ๆ คนเป็นเพื่อนคงอยากเข้าข้างธีร์เป็นธรรมดา”
“พี่เบลไม่ชอบให้พี่ธีร์เล่นเกมเหรอครับ... เรื่องนี้โซ่ถามได้ไหม?” เด็กหนุ่มค่อนข้างกังวล แต่ลึก ๆ ก็อยากช่วยแก้ปัญหา แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้เลยก็ตาม
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คือ... ก็ไม่เชิงน่ะ” เธอหันไปมองด้านหลังเพื่อดูว่าแฟนหนุ่มกลับมาแล้วหรือยัง “โซ่เข้าใจใช่ไหม ว่าพอเราโตขึ้นอะไร ๆ ก็จะเปลี่ยนไป”
เด็กหนุ่มไม่ได้พยักหน้าหรือส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดอย่างไร โซ่เพียงแค่นั่งฟังอย่างตั้งใจ และคิดไปด้วยว่าจะทำอย่างไรรุ่นพี่ทั้งสองคนถึงจะเข้าใจกันมากขึ้น
“สมัยเรียนมหา’ลัยพี่เคยอวดเพื่อนได้อย่างมั่นใจว่าแฟนพี่เป็นเกมเมอร์ เขาดังมากแล้วก็มีแฟนคลับตามเป็นล้านเลย แต่พอเรียนจบ ทุกคนมีงานทำ มีภาระต้องรับผิดชอบ เรื่องเล่นเกมเลยกลายเป็นอะไรที่ไม่แน่นอนน่ะ”
“เมื่อก่อนอาจจะใช่นะครับ แต่เดี๋ยวนี้วงการเกมขยายกว้างมากแล้ว โซ่รับประกันเลยว่าสำหรับคนฝีมือดีอย่างพี่ธีร์ต้องไปได้ไกลกว่านี้ พี่เขาจะไม่มีทางลำบากครับ”
“มันก็อาจจะจริงอย่างที่โซ่พูด แต่ในสายตาผู้ใหญ่เนี่ยสิ” เธอยิ้มเจื่อน “พ่อแม่พี่ค่อนข้างไม่พอใจที่ธีร์ยังติดเกมอยู่ โซ่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ใช่ไหม พี่สองคนก็ใกล้ยี่สิบเจ็ดแล้ว พวกเขาก็อยากให้พี่แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาสักที”
“เข้าใจครับ พอเป็นเรื่องมุมมองของผู้ใหญ่ที่มีต่อเกมแล้วก็ยากเลยเนอะ”
“ใช่เลยล่ะ” เธอยิ้มพลางยกชากลิ่นกุหลาบขึ้นดื่ม “ขอบใจมากนะโซ่”
“เรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ทุกคำพูดในวันนี้ มันทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นมากเลย” หญิงสาวกุมมือคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก เด็กคนนี้เหมือนแสงสว่างในความมืดที่เบลเดินหลงมานาน “ถึงพี่จะพูดกับตัวเองมาแล้วล้านครั้ง แต่พี่ก็จะพูดอีกว่าจะพยายามไม่งี่เง่า จะฟังธีร์ให้มากกว่าคำพูดคนอื่น โซ่เป็นกำลังใจให้พี่นะ”
“ยินดีมาก ๆ เลยครับ พี่เบลสู้ ๆ นะ” หญิงสาวหลุดขำกับสีหน้าจริงจังของคนตรงหน้า พร้อมมือซ้ายที่กำขึ้นเป็นกำลังใจ
“ทำไร จะแย่งแฟนคนอื่นหรือไง?” โซ่จำเป็นต้องขยับเข้าไปชิดฝั่งซ้ายเพราะโดนเบียดโดยคนที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำ พี่ธีร์รีบแกะมือเขาทั้งคู่ออกพร้อมหรี่ตามองพี่เบลกับเขาสลับกันก่อนจะชี้หน้าคาดโทษ
“เข้าใจผิดแล้ว เบลก็แค่ขอบคุณน้องที่ช่วยปลอบ” เธอเท้าคางมองทั้งสองคนที่นั่งเบียดแย่งที่นั่งกันเหมือนเด็ก ๆ “เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงโฟร์เลยเนอะ”
“มันจะนึกถึงธีร์บ้างเปล่าเหอะ”
“กลับไปอยู่บ้านสิ จะได้รู้ว่าน้องคิดถึงหรือเปล่า”
“โทรหาน้องชายเลยครับ โทรตอนนี้เลย ๆ”
“อ้าว หายไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวนี่ย้ายทีมแล้วเหรอ?” เขาสบตากับน้องเด๋อที่นั่งอมยิ้มเหมือนถูกใจกับสิ่งที่เขาพูด ธีร์หันไปสบตากับแฟนสาว เธอดูสดใสขึ้น จนเกิดคำถามว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ เด็กคนนี้พูดอะไร ทำไมเบลถึงอารมณ์ดีขึ้นขนาดนี้
*
การซ้อมทีมเริ่มต้นขึ้นในวันอังคาร คืนนั้นทั้งโซ่และธีร์ต่างก็ไลฟ์คนละฝั่งก่อนคนพี่จะปิดท้ายว่า ‘โซ่จะเข้าทีมในทัวร์นาเมนต์ที่ใกล้จะถึงนี้’ ซึ่งเป็นกระแสชวนให้แฟนคลับกรีดร้องจนเอาไปตั้งกระทู้ในเว็บพันดริ๊ฟท์ วิเคราะห์กันอย่างสนุกสนานว่าทีมจะไปไกลแค่ไหนหลังจากได้สมาชิกใหม่เข้าร่วม
วันเสาร์วนมาถึงอีกครั้ง แต่คราวนี้โซ่ขอนัดคนละครึ่งทางแทนที่จะให้พี่ธีร์นั่งแท็กซี่จากหลักสี่มาบีทีเอสจตุจักร เขาอ้างว่าคอนโดอยู่ใกล้เอ็มอาร์ทีจึงนั่งไปถึงเซนทรัลลาดพร้าวได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องนั่งหลายต่อ และอีกฝ่ายคงยอมเพราะขี้เกียจเถียง
“รู้ตัวอีกทีก็หมดไปเกือบหมื่น นี่น้องเด๋อ พี่เหมือนคนหล่อที่ใช้เงินแก้ปัญหาไหม” ธีร์มองของพะรุงพะรังในมือตัวเอง ก่อนจะหันไปมองหน้าแดง ๆ ของคนข้างตัวซึ่งกอดหนังสือนิทานไว้แนบอก “อะไร?”
“โซ่ตื่นเต้นครับ อยากอ่านนิทานให้น้องฟัง...”
“รีบเหรอ หาข้อมูลมายังว่าเด็กมันจะรู้เรื่องตอนกี่เดือน”
“หามาแล้วล่ะครับ เพื่อนที่เรียนกายภาพบำบัดบอกว่าโซ่อ่านนิทานได้แต่น้องคงไม่รู้เรื่องด้วยหรอก เพราะน้องจะหลับก็ตอนอิ่ม แต่เพื่อนบอกว่าโซ่จะมโนเข้าข้างตัวเองก็ได้ครับ”
“ตลกว่ะ ก็งงอยู่ว่าเด็กมันจะไปฟังรู้เรื่องได้ไง”
“เดี๋ยวน้องก็จะเริ่มฟังออกครับ รอสักสองสามขวบ โซ่ไม่รีบ” น้องเด๋อยังคงมุมานะที่จะอ่านนิทานให้หลานฟัง และนั่นทำเขาหยุดหัวเราะไม่ได้
“นิตานตุ๊กวันเต๋าของอาโซ่ตะหนุกที่ตุดเดย”
“ใช่ครับ นิทานของอาโซ่น่ะสนุกมาก ๆ เลยล่ะ อาโซ่จะมาอ่านนิทานสนุก ๆ ให้หนูฟังทุกวันเสาร์เลยนะครับ” น้องเด๋อคงอารมณ์ดีมาก ถึงได้อมยิ้มคุยกับนิทานมากกว่าจะหันมามองเขาที่ล้อเลียนเสียงเมื่อครู่
“งงว่ะ ทำไมตื่นเต้นขนาดนั้น?”
“โซ่เป็นลูกคนเดียวน่ะครับ พอมีเรื่องเด็กก็อินทุกทีเลย” พอได้ยินคำตอบ ธีร์จึงยิ้มขำกับความแตกต่างระหว่างเขาทั้งคู่
“คนลูกคนเดียวอยากมีพี่น้อง ส่วนคนมีพี่น้องอยากเป็นลูกคนเดียว” ชายหนุ่มทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าระหว่างนึกถึงความไร้อารมณ์ทางสายตาของน้องชาย “ตอนเป็นเด็กพี่กับไอ้โฟร์เถียงกันตลอด จนบางครั้งมีความคิดว่าอยากให้มันตาย ๆ ไปซะ แต่นั่นก็แค่ความคิดของคนเป็นเด็ก”
โซ่เงยหน้ามองคนตัวโตกว่า เขาเลือกที่จะเงียบเพื่อตั้งใจฟังพี่ธีร์มากกว่าจะแทรกความคิดของตัวเองเข้าไป
“คนเรามักจะโหยหาสิ่งที่ไม่เคยมี” ซึ่งพอทบทวนดี ๆ แล้วการมีน้องแบบไอ้โฟร์นั้นถือว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตของเขาเลย พอโตขึ้น... ได้เห็นว่าน้องเรียนจบมัธยมปลายจนสอบติดมหาวิทยาลัยดี ๆ ได้ด้วยเกรดเฉลี่ยที่ทำให้พ่อกับแม่ยิ้มไม่หุบน่ะ เขาเองก็คือหนึ่งในนั้นที่ยินดีกับมัน
“พี่ธีร์คิดถึงบ้านไหมครับ?”
“หะ? อ้อ...” พอเป็นเรื่องนี้พี่ธีร์ถึงกับชะงักไป น้อยครั้งนักที่อีกฝ่ายจะเลียริมฝีปากคลายความประหม่า และตอนนี้เขาเห็นว่าพี่ธีร์กำลังทำ “คิดสิ แต่ไม่ต้องเซิ้งให้พี่กลับบ้านไปหาพ่อแม่นะ ไปแอบคุยอะไรกับเบลมาอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้”
เบลคือหนึ่งคนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่เขาย้ายออกมา เอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครเห็นด้วยหรอก เพราะทุกคนมองเห็นความถูกต้องของตนเองมากกว่าสิ่งเขาต้องการทำอยู่แล้ว ธีร์ทนอยู่บ้านที่พูดจากดดันตลอดเวลาไม่ไหว แม้จะเข้าใจแต่ความอดทนของเขามันคงมีน้อยเอง
“โซ่จะชวนพี่ธีร์ไปซื้อของฝากให้ที่บ้านต่างหากล่ะครับ ตัวไม่ไปแต่ส่งใจไปแทนได้นะ”
“โรเล็กซ์เรือนละกี่ล้านดีล่ะ นี่ฟังนะ พ่อพี่มีเงินอยู่แล้ว เขาคงไม่ดีใจกับของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พี่ซื้อให้หรอก” พอพี่ธีร์น้อยใจก็กลับเข้าไปอยู่ในร่างเด็กห้าขวบอีกแล้ว โซ่อมยิ้มพร้อมจับแขนรุ่นพี่ก่อนจะพาเดินไปด้วยกัน “อะไร จะพาไปไหน?”
“พาไปดับความขี้งอนครับ”
“งอนบ้าไร เลอะเทอะ ระดับพี่หัวใจตีบวกสิบแถมใส่การ์ดป้องกันอีกสามใบเลยนะโว้ย เฮ้ย จะพาไปไหนก็บอกกันหน่อยดิวะ” นอกจากจะไม่ยอมให้คำตอบแล้ว น้องเด๋อยังเข้ามาแย่งถุงไปช่วยถืออีก วูบหนึ่งธีร์รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงผู้บอบบางเพียงเพราะได้รับการแบ่งปันภาระ เออดี จะได้ไม่หนัก
สุดท้ายทั้งคู่ก็มาถึงโซนรองเท้าผู้ใหญ่ ชายหนุ่มตัวสูงเหล่มองน้องเด๋อที่กำลังชะโงกหน้าซ้ายทีขวาทีเหมือนดูสนุกที่ได้เข้ามาในโซนนี้ “คุณพ่อกับคุณแม่พี่ธีร์ใส่รองเท้าเบอร์อะไรพอจะจำได้ไหมครับ?”
“ของพ่อพอจะจำได้อยู่ แต่ของแม่ไม่แน่ใจ ถ้าจะเอาชัวร์ต้องไปวือให้ไอ้โฟร์ช่วยดูให้ – อะไรอีก?” ธีร์ลดระดับสายตามองน้องเด๋อที่ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือจีบโทรศัพท์ของเขาออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต ก่อนจะวางลงบนสองมือของตนเองแล้วยื่นให้เขาเหมือนการถวาย
“โทรหาน้องเลยครับ...”
“ไม่เอาโว้ย เดี๋ยวโดนมันประชดใส่”
“ถ้าโดนประชดก็ถามเบอร์รองเท้าน้องด้วยเลยครับ ใจแข็งแค่ไหนก็ต้องมีชะงักบ้างแน่ ๆ” ธีร์ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีนี้ค่อนข้างน่าสนใจ แต่เขาไม่ได้กลับบ้านนานแล้วนะ เวลาไลน์คุยกับไอ้โฟร์มันก็ชอบอ่านแล้วไม่ค่อยตอบ วันไหนมันนึกอารมณ์ดีส่งสติ๊กเกอร์มานี่แทบก้มกราบโทรศัพท์
ธีร์แยกออกไปโทรตรงจุดที่ไม่ค่อยมีคนเพ่นพ่าน เพราะเขาไม่อยากขายหน้าเด็กนั่นถ้าหากว่าไอ้โฟร์เลือกตัดสายมากกว่าจะงัดปากคุยกับเขา
ไอ้เสียงสัญญาณระหว่างรอสายก็กดดันเหลือเกินให้ตายสิพับผ่า
( ว่า? )
เพียงได้ยินคำ ๆ เดียวจากคนในสายภาพเก่า ๆ ตอนยังเป็นเด็กจนโตก็ฉายเข้ามาเป็นฉาก ๆ สาบานให้ตายว่าธีร์ไม่เคยประหม่าขนาดนี้แม้แต่ตอนมีเซ็กส์กับผู้หญิงเป็นครั้งแรก
“มึงใส่รองเท้าเบอร์ไรวะ”
( 45 ถามทำไม? )
“กูจะซื้อ Yeezy ให้ ถ้าไม่ลำบากสองตีนของมึงจนเกินไป ก็เดินไปเสือกให้กูหน่อยว่าป๊ากับม๊าใส่รองเท้าเบอร์อะไร”
ทั้งคู่เคยมีช่วงเวลาที่เป็นศัตรูกันก็จริง แต่ความสัมพันธ์ลิ้นกับฟันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิดเมื่อเริ่มโตขึ้น เขากับไอ้โฟร์เคยสนิทกันในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งนั่นคือก่อนที่เขาจะย้ายออกมาอยู่คนเดียว เหมือนจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็นานพอสมควร เด็กนั่นเคยรั้งด้วยเหตุผลแล้วและธีร์รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่เขาไม่ได้ทำตามคำขอ
แต่ธีร์คิดว่าเขาทั้งคู่ยังรักกันเหมือนเดิม ด้วยสายใยของพี่น้องที่ตัดอย่างไรก็ไม่มีทางขาด
( ไอ้พี่เหี้ย ไอ้ส้นตีน ไอ้หยำฉ่า พ่อมึงตาย )
“อ้าวไอ้ฉิบหาย พ่อมึงก็พ่อกูเหมือนกันเปล่าวะสัด?!!!”อารมณ์ซึ้งกูหายหมดเลยอีห่านป่า!!!*
“ได้เรื่องไหมครับ น้องยอมรับสายหรือเปล่า?” พอกลับมาถึงน้องเด๋อก็รัวถามอย่างสนอกสนใจ นึกอยากดุที่เสี้ยมให้เขาโทรหาน้องชายจนโดนมันด่าย้อมหมา เชี่ยโฟร์แม่งปากหมาได้ใครอยากจะรู้นัก “โซ่แอบเดาเอาเองว่าพี่ธีร์คงได้ส่วนสูงมาจากคุณพ่อ ที่หยิบมาหลาย ๆ ไซส์ก็เพราะโซ่ไม่รู้ว่าคุณพ่อพี่ธีร์สูงกว่าหรือตัวเล็กกว่า ยังไงพี่ธีร์ลองเลือกดูก่อนนะ แต่ถ้าให้แนะนำโซ่ว่าแบบสวมจะดีกว่าแบบหนีบครับ”
ชายหนุ่มมองรองเท้าบนพื้นที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนอายุน้อยกว่าซึ่งเขาไม่เข้าใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ทำไมต้องรองเท้า พี่บอกเราแล้วใช่ไหมว่าพ่อแม่พี่มีเงิน พวกเขาคงชอบของแพง ๆ มากกว่ารองเท้าคู่ละไม่กี่พันบาท”
“ใช่ครับ แต่ของดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไปหรอกนะ” น้องเด๋อยิ้มพร้อมวัดความยาวของเท้าเขาด้วยมือ ก่อนจะเดินไปเอารองเท้าคู่หนึ่งมาวางลงตรงหน้าเขา มันเป็นแตะแบบสวมที่ไม่ใช่สไตล์เขาเสียเลย “พี่ธีร์ยกเท้าขึ้นให้โซ่นิดนึง”
เขาทำตามขณะมองทุกการกระทำของอีกคน น้องเด๋อประคองเท้าเขาขึ้นเล็กน้อยเพื่อถอดรองเท้าหนังกลับออกให้อย่างไม่รังเกียจแล้วสวมแตะคู่ใหม่ให้
“พี่ธีร์ลองลุกขึ้นเดินหน่อยครับ”
“อะไร?”
“เดินครับ เดิน ๆ” เจ้าของตาใส ๆ กล่าวพร้อมผายมือไปตรงพื้นเงาวาววับ น้องเด๋อมันตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น ธีร์ส่ายศีรษะหน่าย ๆ พลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ล้วงมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วล้อเลียนท่าเดินของนายแบบจนเด็กคนนั้นหัวเราะ
“หล่อใช่ไหมล่ะ?”
“ครับ ว่าแต่รองเท้าเป็นยังไงบ้าง ใส่สบายไหมครับ?” หลังจากได้ยินคำถามจึงก้มหน้าลง แล้วก็พบว่ารองเท้าหน้าตาแก่ ๆ คู่นี้มันนุ่มสบายใช้ได้ เขาจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ “ถ้าพี่ใส่ธีร์สบาย คุณพ่อก็ต้องใส่สบาย”
“...”
“มันคือรองเท้าเพื่อสุขภาพน่ะครับ คุณพ่อพี่ธีร์มีเงินซื้อของแพงก็จริง แต่พี่ธีร์มีเงินซื้อสุขภาพให้คุณพ่อนะ”
น้องเด๋อเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาทำให้รู้สึกดีอยู่เรื่อย ทั้งที่มันเป็นเรื่องธรรมดาจนไม่น่าจะนึกถึงได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาธีร์เอาแต่คิดว่าถ้าหากจะซื้ออะไรให้ที่บ้าน มันจะต้องเป็นของแพง ๆ เพราะส่วนหนึ่งเขาต้องการกลบปมในใจ คนเป็นลูกอยากให้พ่อแม่รู้ว่าอาชีพนี้ไม่ได้ทำให้ลำบากเลยสักนิด
ธีร์อยากให้ท่านเห็นสักทีว่าเขาสามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างสุขสบายและไม่มีทางอดตายกับการเล่นเกม แต่เขาคงยึดติดกับตรงนั้นมากเกินไป จึงทำให้มองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรใส่ใจมากที่สุด
“โซ่”
“ครับ” เจ้าของชื่อมองรุ่นพี่ที่ย่อตัวนั่งลงเลือกรองเท้าซึ่งวางเรียงกันอยู่บนพื้น ก่อนจะหยิบเบอร์สี่สิบห้าขึ้นมาให้เขารู้ว่านั่นคือไซส์ของคุณพ่อ
“ขอบคุณนะ”
“ปลด Achievement ได้อีกหนึ่งอย่างแล้ว” น้องเด๋ออมยิ้ม ทำมือท่าไนกี้ใต้คางซึ่งธีร์สามารถดูออกได้ในพริบตาเดียวว่าเด็กคนนี้คงจำจากเขากับไอ้แหลมมา
ธีร์ปล่อยให้อีกคนเข้าใจว่าคำขอบคุณมาจากการช่วยเลือกรองเท้าให้พ่อ มากกว่าจะอธิบายว่าเป็นเพราะเด็กคนนี้ช่วยเปลี่ยนมุมมองเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันเคยฝังอยู่ใต้เบื้องลึกจิตใจของผู้ชายคนนี้ ธีร์มองหน้าเจ้าเด็กเด๋อที่เอาแต่พูดไม่หยุดว่าถ้าเดินไปอีกนิดหน่อยก็จะเจอโซนรองเท้าผู้หญิง ซึ่งตรงนั้นมีรองเท้าเพื่อสุขภาพให้เลือกอีกมากมายจนเขาคงตาลายเพราะเลือกไม่ถูกแน่ ๆ
ธีร์หวังว่าพ่อกับแม่จะชอบรองเท้าคู่นี้เหมือนที่เขาเริ่มชอบมันหลังจากได้ลองใส่
To be continuedคุณลูกค้ามีบัตรเดอะวันคาร์ดไหมคะ