สายชล Another side of the story... (02/11/55)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายชล Another side of the story... (02/11/55)  (อ่าน 63471 ครั้ง)

Made

  • บุคคลทั่วไป
ครานั้น1

“อุแว้ อุแว้ อุแว้”

“ไผ่อยู่ไหนข้าจะตัดสายสะดือ”

“นังพิศไปต้มน้ำในครัวไป๊”

ภาพบ่าวไพร่วิ่งขวักไขว่ขึ้นลงเรือน เสียงอึกทึกวุ่นวายในยามเช้าภายในบ้านพระยามณูปกรณ์ไม่มีให้เห็นบ่อยครั้งนัก
เรือนไม้ทรงไทยสี่หลังปลูกเรียงกันในพื้นที่กว้างขวางสมตำแหน่งเจ้าของ

เรือนหลังแรกเป็นเรือนใหญ่ เรือนหลักที่คุณหญิงเอื้อม ภรรยาเอกและพระยามณูปกรณ์อาศัย เป็นเรือนรับแขก สวยงามโอ่อ่า และแวดล้อมไปด้วยบ่าวไพร่ ทว่าเวลานี้กลับเงียบสงัดต่างจากเรือนหลังที่สามและหลังที่สี่ที่พวกบ่าวไพร่วิ่งวนเข้าออกกันให้วุ่นวายเนื่องจากแม่ดวงและแม่เนียร อนุภรรยาผู้เป็นเจ้าของเรือนเจ็บท้องคลอดตั้งแต่เวลาใกล้รุ่ง

“ได้ลูกชายเจ้าค่ะนายท่าน” บ่าวรับใช้วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกเจ้าบ้าน ณ เรือนหลังที่สองบริเวณเชิงบันได

“ดีจริง แม่ดวงได้ลูกชาย แล้วแม่เนียรล่ะจ๊ะยังไม่คลอดอีกหรือไร” หญิงท้องแก่เจ้าของเรือนหลังที่สองเอ่ยถามบ่าวไพร่ด้วยท่าทางเป็นกังวล ต่างกับพระยามณูปกรณ์ที่ยืนฟังข่าวสงบนิ่งอยู่ข้างกัน

“ยังเลยเจ้าค่ะแม่หญิง บ่าวมัวแต่วุ่นกับทางนี้ ไม่รู้ว่าเรือนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

“คุณพี่เจ้าคะ อิชั้นร้อนใจเหลือเกิน” แม่เดือนเอ่ยอย่างร้อนรน เนื่องด้วยตนทราบดีว่าแม่เนียรนั้นสุขภาพอ่อนแอมาแต่เด็ก เพราะทั้งแม่ดวง แม่เนียร และตน เป็นเพื่อนวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่ยังเยาว์

ชายผู้เป็นเจ้าบ้านไม่ตอบคำอันใด เพียงแต่ยืนกำไม้ตะพดนิ่งเงียบอย่างคนครุ่นคิด


ในเรือนไม้ทรงไทยยกใต้ถุนสูงหลังที่สี่ในเวลานี้ แม้ภายนอกจะอึกทึก ทว่าภายในห้องนอนกลับเงียบสงบอย่างประหลาด
“คุณแม่...เจ้าขา” เสียงขาดห้วงด้วยอาการพยายามสูดหายใจจากผู้ที่นอนนิ่งมาตั้งแต่ยามรุ่งเรียกหญิงชราให้เดินเนิบช้าเข้าไปลูบหัวลูกสาวตนด้วยท่าทางรักใคร่ประหนึ่งหญิงสาวผู้นั้นยังเยาว์วัยนัก

ปลายเตียงมีบ่าวสาวใช้นางหนึ่งนั่งก้มหน้าน้ำตาไหลอุ้มทารกที่อ้าปากร้องไห้ ทว่าไม่มีเสียง มีเพียงน้ำใสไหลผ่านผิวแก้มอ่อนเท่านั้น

“เนียร...ทำผิดนัก...ขอ...คุณแม่โปรดอภัย....”

“มิเปนไรดอกเจ้า” เสียงแหบเครือบ่งบอกวัยชราตอบอย่างรู้สึกผิด

“ลูกฝาก...ด้วยนะเจ้า...คะ”

ผู้เป็นแม่พยักหน้าด้วยอาการสงบนิ่ง

เมื่อเห็นเช่นนั้น แม่เนียรผู้ได้ฝากฝังลูกน้อยไว้กับแม่ของตนก็สิ้นใจลงทันทีด้วยอาการสงบ

หญิงชราเพียงใช้ผ้าซับหางตาและยืนนิ่งอยู่เพียงครู่ ก่อนสั่งบ่าวสาวใช้แล้วค่อยๆเยื้องย่างออกจากห้อง

“นังรื่น อุ้มหลานข้าตามมาเถิด”


สิบปีผ่านไป

“ไอ้ลูกกำพร้าๆๆ” เสียงกลุ่มเด็กร้องตะโกนพลางขว้างปาก้อนหินใส่เด็กผู้ชายตัวเล็กที่ได้แต่เพียงนอนคุดคู้เอามือกุมหัวไว้

“ออกไป ไป๊” เสียงฝีเท้าวิ่งตึกตักมาพร้อมเสียงตะโกนด่าของหญิงร่างท้วมดังมาแต่ไกล

“นางยักษ์มาแล้ว พวกเราหนีเร็ว” เด็กชายท่าทางเป็นหัวโจกพูดเสียงดัง ก่อนเด็กทั้งกลุ่มจะพากันวิ่งหัวเราะหายไปคนละทิศคนละทาง

“ไอ้เด็กพวกนี้นี่เหลือเกินเสียจริง” หญิงร่างท้วมหยุดวิ่งชี้นิ้วมือไปมาพลางหายใจหอบ

“คุณเจ้าขา เจ็บหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามพร้อมกับประคองพาเด็กน้อยที่บัดนี้หน้าตาขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นดินให้ยืนขึ้น

เด็กชายตัวน้อยผิวขาวอ่อนใส ส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆให้กับบ่าวร่างท้วมที่กำลังสาละวนใช้ผ้าเช็ดหน้าให้ตน

“กลับบ้านกับบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ป่านนี้แม่นายท่านคงรอตั้งสำรับอยู่เป็นแน่”

เมื่อเดินถึงเรือนไม้หลังเก่าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก เด็กชายก็ตักน้ำล้างเท้าตรงหัวบันไดด้วยความเคยชิน พลันได้ยินเสียงแหบแกมดุมาจากบนเรือน

“ไปเที่ยวเล่นซุกซนที่ไหนมาอีกรึเจ้าสินธุ์”

เด็กชายวิ่งขึ้นเรือนพลางยิ้มกว้างให้ยายของตนที่นั่งรอข้างโตกสำรับกับข้าว

“เจ้านี่กระไร เนื้อตัวเขียวช้ำกลับมาได้ทุกวี่วัน” หญิงชราถอนหายใจด้วยท่าทางระอา

นับตั้งแต่ลูกสาวตนสิ้นไปครานั้น ตนต้องหอบหิ้วหลานกลับมาอยู่บ้านเดิม เนื่องจากเจ้าสินธุ์นั้นมิใช่ลูกพระยามณูปกรณ์ แต่เป็นลูกชายชู้กับลูกสาวตน จะว่าชายชู้หรือก็ว่าได้มิเต็มปาก เพราะแม่เนียรรักใคร่ชอบพอกับเจ้าหนุ่มพันศรก่อนจำใจแต่งงานเนื่องจากหนี้สินที่พี่ชายเล่นพนันนั้นมากเกินกว่าที่ครอบครัวจะชดใช้  และแม้นจนป่านนี้เจ้าลูกชายคนโตยังคงมิทำการงานอันใดทั้งสิ้น วันๆได้เพียงแต่ร่ำสุราอยู่เท่านั้น เคราะห์ดีที่ลูกสะใภ้พอจะมีฐานะ การเงินจึงไม่ขัดสนมากนัก หากแต่แม่ปริกกลับชิงชังตนกับหลานราวกับเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ถ้าสิ้นพ่อทอง ตนกับหลานคงอยู่เรือนหลังนี้มิได้เป็นแน่ ตัวนางรึจะตายวันตายพรุ่งคงมิเป็นไร หากแต่เจ้าสินธุ์หลานรักเล่า ผู้ใดจักดูแล

“วันนี้เจ้าจำต้องหัดเขียนหนังสือเสียก่อน ย่าจึงจักให้ไปวิ่งเล่น”

เจ้าสินธุ์ที่กำลังจะวิ่งลงเรือนจำต้องชะงักด้วยคำประกาศิษจากคุณยายที่แม้นไม่เงยหน้าขึ้นมามองว่าตนทำอากับกิริยาใดบ้าง แต่เพียงแค่น้ำเสียงนั้นก็หยุดสินธุ์ได้ชะงัดนัก

“เขียนแลท่องจำให้จนครบยี่สิบเที่ยว ประเดี๋ยวยายจะมาตรวจดู” ว่าจบหญิงชราก็ค่อยเดินไปตรวจดูผ้าจากหีบที่ใช้อบผ้านุ่งผ้าห่มตามแบบฉบับชาววังเก่า กลิ่มมะลิหอมกรุ่นจากสไบที่ใช้ห่มบ่งบอกถึงการมีฝีมือทางการเรือนเมื่อครั้งยังเป็นสาวที่ตนเคยรับใช้ถวายตัวไปเป็นข้าพระสนมก่อนจะลาออกมามีเรือน หากแต่ยังมิเคยลืมวิถีชีวิตประนีตงดงามเหล่านั้น

เมื่อเจ้าสินธุ์คัดหนังสือตามที่คุณยายสั่งแล้วก็นั่งมองพี่รื่นบ่าวเพียงคนเดียวในเรือนและคุณยายที่กำลังนั่งกรองมาลัยด้วยความเพลิดเพลิน เด็กน้อยยิ้มหวานนั่งมองนิ่งอยู่จนคนถูกมองรู้สึกตัว

“คัดเสร็จแล้วรึ เอามาให้ยายดูซิลูก” หญิงชราถามพลางวางเข็มมาลัยบนถาดมะลิข้างตัว

“ยังมีที่ผิดอยู่บ้าง ยายจะแก้ให้เจ้าเอาไปคัด...อีกสักรอบ” แววตาเปี่ยมความรู้ไล่มองดูบนกระดานชนวนเพียงปราดเดียวแล้วบอกเจ้าสินธุ์ที่นั่งจ้องอยู่ ใบหน้าเด็กชายหมองลงเมื่อรู้ว่าตนจะยังมิได้ไปเที่ยวเล่น

ผู้อาวุโสมองหลานชายด้วยความเอ็นดู ชะตาหลานรักนั้นรันทดนัก มิเพียงกำพร้าพ่อแม่แลเป็นใบ้เท่านั้น หากยังรับรู้เชื่องช้าเหลือเกิน และด้วยความห่วงกังวลในตัวหลานชายนั้น ตนจึงค่อยๆถ่ายทอดสรรพวิชาทุกสิ่งที่ได้ร่ำเรียนแก่เจ้าสินธุ์ทีละน้อย แม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเพียงการเรือนอันเหมาะสำหรับลูกผู้หญิงเสียมากกว่า หากแต่นางหวังเพียงว่าเจ้าสินธุ์จักยังชีพได้ด้วยตนเองเมื่อเติบใหญ่

ยามบ่ายในวันหนึ่ง เสียงเด็กชายกลุ่มใหญ่ส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ข้างคูน้ำ

“กระโดดลงไปบัดเดี๋ยวนี้”

“โดดเลยๆๆๆๆ”

เจ้าสินธุ์นั่นเองที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมเด็กชายเกเร ใบหน้าซีดเผือดหันมองคูน้ำด้วยความหวาดหวั่น

“หากมึงมิกล้า ก็อย่าสะเออะมาเข้ากลุ่มกับพวกกู”

มิใช่ตนไม่อยากทำ แต่เจ้าสินธุ์ว่ายน้ำไม่ได้ เด็กชายตัวน้อยมองเพื่อนวัยเดียวกันที่พากันตะโกนด้วยความลังเล

“มัวรีรออันใดเล่าไอ้ลูกกำพร้า ทำตามที่กูสั่งบัดเดี๋ยวนี้”

สายตาเว้าวอนมองสบตาเด็กชายหัวโจกที่ยืนมองนิ่งอยู่ไม่ปริปากแม้แต่น้อย เสื้อผ้าแพรพรรณที่เด็กชายหัวหน้ากลุ่มสวมใส่แม้จะเป็นเพียงผ้านุ่งโจงกระเบนเสื้อพื้นอย่างทั่วไป หากเนื้อผ้าใหม่เอี่ยมและเนื้อดีนัก

“เช่นนั้นกูจักสงเคราะห์มึงเอง” พูดจบ หนึ่งในกลุ่มเด็กชายก็ถีบเจ้าสินธุ์ให้เสียหลักตกน้ำทันที

ตู้มม

เสียงหัวเราะด้วยความสนุกสนานที่ได้กลั่นแกล้งผู้อื่นดังครื้นเครง แต่เพียงครู่ เด็กชายผู้เป็นหัวหน้ากลับส่งสัญญาณให้ทั้งกลุ่มเงียบเสียงลง

เจ้าสินธุ์ที่พยายามดำผุดดำว่ายสำลักน้ำเกือบจะจมลงก้นคูคลอง หากแต่เด็กชายหัวโจกรีบกระโดดลงไปช่วยไว้ได้ทันท่วงที

ร่างน้อยที่สำลักน้ำจนตัวโยน น้ำตาไหลพรากและเสียงสะอึกเป็นพักๆ ชวนให้คนที่คอยประคองลูบหลังสะท้อนใจและรู้สึกผิดอย่างเด็กชายอายุสิบปีจะพึงรู้สึกได้

“สมน้ำหน้า ไอ้คนบ้าใบ้” เด็กชายคนหนึ่งผลักหัวเจ้าสินธุ์พลางหัวเราะร่า

ร่างน้อยน้ำตาหยดพลางกอดตนเองแน่นเมื่อนึกถึงความกลัวจับใจว่าจะจมดิ่งไม่อาจหายใจอย่างเมื่อครู่

“ออกไป ออกไปให้หมด ต่อแต่นี้ถ้ากูเห็นว่ามันผู้ใดกล้ารังแกคนผู้นี้อีกล่ะก็ เห็นดีกับกูแน่” เด็กชายผู้เป็นหัวหน้าประกาศกร้าวเมื่อพึงสำนึกถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

เด็กคนอื่นเมื่อเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดนั้นก็ต่างพากันวิ่งหายไป

“เป็นอันใดรึไม่” คนถามว่าพลางนั่งลงเคียงเจ้าสินธุ์ที่บัดนี้นั่งกอดเข่าก้มหน้าตัวสั่นเทาด้วยท่าทางตื่นกลัว เหตุเพราะมิใช่เพียงกลุ่มเด็กชายที่วิ่งไปจะกลัวได้เพียงกลุ่มเดียวเสียเมื่อไร เจ้าสินธุ์ก็เกรงกลัวคนตรงหน้าเช่นกัน

“ข้ามิทำอันใดเจ้าดอก ใยต้องตื่นกลัวไป” น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนลงทำให้เจ้าสินธุ์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทีละน้อยก่อนยิ้มกว้างด้วยความเป็นมิตร

“หึๆ” เด็กชายร่างสูงหัวเราะด้วยความพึงใจเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกว่ามิได้แสดงท่าทีผูกใจเจ็บหรือรังเกียจตน

“เจ้ามีชื่อรึไม่”

เจ้าสินธุ์พยักหน้าพลางใช้นิ้วเขียนชื่อตนลงบนดิน ถ้อยคำของคุณยายดังแว่วเข้ามาในหัวเหตุเพราะท่านผู้เฒ่าช่างเน้นย้ำเหลือเกินว่าเพราะตนนั้นพูดมิได้ การอ่านเขียนหนังสือได้นั้นจึงสำคัญยิ่ง ‘หากมีผู้ใดเอ่ยถามนามเจ้า ก็จงเขียนอย่างที่ได้คัดจนขึ้นใจอย่างที่ยายสอดเถิด’

“ชื่อสินธุ์รึ” เด็กชายถามพลางนึกประหลาดอยู่ในใจที่เห็นเจ้าเด็กบ้าใบ้เขียนหนังสือได้

คนถูกถามพยักหน้าอย่างคนลังเลเล็กน้อยว่าสิ่งที่ตนเขียนนั้นถูกต้องหรือไม่

“ข้าชื่อเดช นับจากนี้เรียกข้า “พี่เดช” เข้าใจรึไม่” เด็กชายร่างสูงเอ่ยต่อเจ้าคนใบ้เมื่อพิศเพ่งดูรูปร่างอีกคนอย่างใคร่ครวญ ‘ร่างน้อยๆแต่เพียงเท่านี้ เห็นทีเราจักมีอายุมากกว่าเป็นแน่’

ทว่าเมื่อไม่ได้ยินเสียงอีกคนขานรับ เห็นเพียงใบหน้าพยักหน้าขึ้นลง เจ้าเดชก็หัวร่อด้วยความขบขันด้วยพึ่งคำนึงว่าอีกคนพูดไม่ได้

“เอาเถิด ต่อแต่นี้ข้าจะมาเล่นกับเจ้าที่ริมคูน้ำนี้ทุกวัน เจ้าจะว่าอย่างไร”

คนฟังพยักหน้าแข็งขันด้วยท่าทางดีใจชวนให้คนมองนึกเอ็นดูนัก

...........................................

 :o8: หายไปน๊านๆเนอะ ตั้งครึ่งเดือนแน่ะ (ปั่นงานก่อนสอบค่ะ o6)

วันนี้ตอนพิเศษมาแบบอารมณ์ใหม่
ลองเดากันดูว่าจะเกี่ยวกับเรื่องหลักยังไงเอ่ย
ภาษาและข้อมูลอาจแปลกๆไปบ้าง  :m23:  แหะๆ มีอะไรก็แนะนำกันได้นะคะ
อยากเขียนแนวนี้มานานแล้วล่ะค่ะ แต่เอิ่ม คือแบบ ความสามารถไม่พอ ลองเป็นตอนพิเศษสั้นๆไปก่อนแล้วกันเนอะ
ตอนหน้าอาจจะช้าบ้างอะไรบ้าง คือช่วงนี้เป็นช่วงสอบหน่ะค่ะ (ยังมีหน้ามานั่งแต่งนิยาย หนังสือหนังหาไม่อ่าน)

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ค่ะ เห็นแล้วปลาบปลื้ม :m1:

@ คุณ must 555 ดูท่าจะปลื้มพี่ภูมากๆเลยนะคะเนี่ย ส่วนเรื่องพี่ฟิวเหรอคะ ไว้หลังตอนพิเศษตอนนี้จบก่อนแล้วกันเนอะ ไว้ส่งท้าย อิๆ อืม โมเม้นต์หวานๆของพี่ภูน้องจอมเหรอคะ ไว้เดี๋ยวจะลองๆคิดดูเนอะ คิดออกแต่พล็อตดราม่า :laugh: ขอบคุณสำหรับเม้นต์ยาวๆ (ถูกใจอิ๋งแบบสุด) ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

@ คุณ kasarus คือฉากนอกระเบียงเป็นฉากที่พี่ภูกับน้องจอมคุยกันไงคะ เอ่อคือมันงงๆใช่ป่าวคะ คือที่น้องน้ำเห็นเป็นอีกมุมของห้องหน่ะค่ะ ประมาณว่าบังเอิญไปเห็นฉากพี่ภูขอน้องจอมเป็นแฟนพอดี ประมาณนี้ค่ะ เข้าใจรึยังเอ่ย ถ้ายังงงอยู่ถามได้นะคะ :m23:

@ คุณ jaymaza มาต่อแล้วค่ะ แต่ไม่ใช่คู่พี่ภูน้องจอม วันนี้มาแบบย้อนเวลากันซักกะหน่อย ฝากติดตามด้วยนะคะ :pig2:

@ คุณ uknowvry ดูเหมือนเรตติ้งคู่นี้ดีกว่าพระนายอีกนะคะเนี่ย ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ชื่อตัวละครทุกตัว คนแต่งชอบทุกชื่อเลยเหมือนกันค่ะ เลยมาอยู่ในเรื่องนี้ (ส่วนตัวชอบผู้ชายชื่อภูมากๆค่ะ รู้สึกว่าเป็นชื่อที่แบบว่าแข็งแรง พึ่งพาได้ มีอำนาจ ประมาณนี้เลย) ส่วนคู่น้องฟิวกับแอนดี้ ไว้เดี๋ยวน่าจะมาทีหลังตอนพิเศษอันนี้จบค่ะ อดใจรอหน่อยนะคะ ดีใจที่มาอ่านค่ะ  :mc3:

@ คุณ nongrak ที่จริงพี่ภูไม่ใช่คนที่จะเป็นคนดี๊ คนดีมากๆหรอกค่ะ เห็นใจดีแต่กับน้องน้ำ แต่โดยพื้นฐานอิ๋งก็คิดว่าเป็นพระเอกอยู่ดี แล้วก็ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ น้องน้ำน่ารักใช่ม้า อิ๋งก็อยากกอดค่ะ ถ้ามีน้องมีลูกนะ อยากได้เด็กผู้ชายน่ารักแบบนี้เนอะ

@ คุณ rule ยังไม่ตัดจบรวดเดียวค่า คนเขียนยังมีจินตนาการกว้างไกลอยู่ค่ะ ไม่ยอมจบง่ายๆ เหมือนตอนพิเศษจะเยอะกว่าเนื้อเรื่องหลักเนอะ

@ คุณ Salome ง่าจะเอาอีกเหรอคะ ใจเย็นๆนะคะ ไว้รอตอนพิเศษตอนนี้กับนของน้องฟิวจบก่อนเนอะ (ถ้าคิดพล็อตออก) คนเขียนใจดีค่ะ(กล้าพูด) ไม่ตื๊บหรอก ออกจา :กอด1: คนอ่าน เห็นตอนนี้อาจบูดบึ้งเล็กน้อย มาช้าไปครึ่งเดือน แหะๆ ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

@ คุณ fay 13 มาแล้วค่ะ ถึงกะไฟลุกกันเลยเชียว ดีใจที่เข้ามาอ่านค่ะ :pig2:

@ คุณ suck_love  :oni2: :mc3: :mc4: เย้ๆ ดีใจจัง นึกว่าตัวเองจะหายไปซะแล้ว แต่ว่า เรื่องฉากเรทฉ. น.สิบแปดนี่มันก็พูดยากอยู่นา ไม่เอาๆ เราเป็นเด็กดี ไม่อ่านนะคะ(กล้าพูด)
ปล.1 ไม่โกรธค่ะ แต่คิดถึงอ่ะ อิ๋งก็งานท่วมหัว เอาตัวไม่รอด หนังสือก็อ่านไม่จบ จะสอบอยู่รอมร่อ  :เฮ้อ: (สอบไปแล้วตั้งหนึ่งวิชา เขียนสิบหน้า ปั่นแบบสุด ไม่ได้โงยหัวขึ้นมากันเรยทีเดียว) ยังไงตะเองก็สู้ๆเหมือนกันน้า เค้าก็จะสู้เหมือนกัน ฮึ๊บ  :a2:
ปล.2 มาๆ กอดๆ รักกันๆ :กอด1:

@ คุณ takara ลึกๆพี่แกคงขี้แกล้งหน่อยๆล่ะมั้งคะ แต่ยังไงพี่ภูก็น่าร๊ากกก :man1:

 :man1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2012 15:04:13 โดย Made »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
คราวนี้มาแนว "แต่ปางก่อน" เลยนะคะ

ได้อารมณ์ไปอีกแบบ :กอด1:


ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ตอนแรกยังสับสนกับตัวละครอยู่
เรื่องนี้ออกแนวดราม่าใช่มั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ตอนใหม่น่าสนใจอะ จะเชื่อมโยงกันยังงัยนะ

jiw

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเรื่องจัง รีบมาต่อนะ  :call: :call: :call:

Made

  • บุคคลทั่วไป
ครานั้น 2

ริมคูน้ำในยามบ่ายนี้ร่มรื่นไปด้วยเงาของไม้ใหญ่ บ้างยืนต้นสูงชะลูด บ้างแผ่กิ่งก้านสาขาระผิวน้ำไหลเอื่อย พื้นดินบริเวณใต้เงาไม้ในที่แสงแดดส่องไม่ถึงมีหญ้าขึ้นเบาบางสลับกับรากไม้ใหญ่แข็งแรงที่โผล่พ้นจากดิน ลมพัดมาเป็นระลอกยังผลให้ใบไม้เสียดสีกระทบกัน

ใต้ร่มต้นมะขามใหญ่ยังมีร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่งนั่งจักตอกอย่างใจเย็น วงหน้าคมคายด้วยดวงตาเรียวรี หางตาชี้ขึ้นรับกับรูปจมูก ริมฝีปากหนาซีด วงหน้าคมคร้ามด้วยแก้มตอบ ผมปรกรอบศีรษะยาวลงมาเสมอระดับใบหูข้างบน ส่วนที่ต่ำลงมากว่านั้นกร้อนเกรียนติดหนังศีรษะ ทั้งร่างสูงใหญ่ผิวหยาบสีน้ำตาลปนแดง พิศดูคมคายนัก

เสียงฝีเท้าวิ่งแตะพื้นดินเพียงแผ่วๆ ทว่าร่างคมคร้ามนั้นกลับตวัดสายตาเรียวดุขึ้นมามองด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบไว เมื่อเห็นแต่ไกลว่าเป็นผู้ใด ริมฝีปากหนาจึงยกยิ้มเพียงนิดก่อนสีหน้าจะกลับเป็นเคร่งขรึมดังเดิม

ร่างน้อยผิวขาวบางดังไม่เคยต้องแดด ผ่อนฝีเท้าลงก่อนค่อยเดินเยื้องย่างเข้าใกล้ยังต้นมะขามใหญ่

ผมยาวเกล้าจุกปักปิ่น วงหน้าเรียวตากลมโศก ทั้งจมูกปากพิศดูพริ้มเพรารับใบหน้าอ่อนใส แขนอ่อนดังหยวกกล้วยอุ้มประคองห่อผ้าขาวด้วยทีท่าระมัดระวัง ช่วงไหล่แคบ ทั้งแข้งขากลมกลึงทำให้ร่างน้อยนั้นดูเยาว์วัยยิ่ง

เมื่อก้าวย่างถึงโคนไม้ใหญ่ เจ้าร่างบางจึงค่อยทรุดนั่งก่อนวางห่อผ้าขาวไว้ข้างตัว เสียงกระทบเบาๆของเครื่องถ้วยชามทำให้คนที่นั่งอยู่ก่อนคาดเดาได้ไม่ยากว่ามีสิ่งใดอยู่ในห่อผ้า

“เอาขนมอันใดมาฝากพี่รึเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยท่าทีใส่ใจ

ร่างน้อยไม่ตอบคำเพียงแต่แกะห่อผ้าออกก็ปรากฏเครื่องดินเผาเคลือบมีฝาปิด มือเรียวเปิดฝาครอบออกพร้อมส่งยิ้มละมุนดังเด็กได้อวดของ

ภายในพาชนะเคลือบดินเผานั้นคือขนมสำปันนีหลากสีปั้นแกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างประณีต

“ขอพี่จักตอกนี้ให้แล้วเสร็จเสียก่อนเถิด” ร่างกำยำเพียงพยักหน้ารับและเอ่ยอย่างสั้นๆก่อนจะมุ่งสนใจเรียวไผ่ในมือ

คนฟังจึงปิดฝาและห่อผ้าขาวไว้ดังเดิม แล้วค่อยวางถ้วยขนมไว้ข้างกายอีกคน

ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง มีเพียงเสียงมีดจากการจักตอกและเสียงลมพัดใบไม้กระทบกันเท่านั้น

กลิ่นมะลิอ่อนๆจากร่างน้อยที่นั่งทอดสายตาไปยังคูน้ำลอยลมบางเบา

แม้ไม่มีบทสนทนาใดๆ ทว่าความรู้สึกผ่อนคลายและสงบอย่างคุ้นชินกลับแผ่ปกคลุมโดยรอบเปรียบดังกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านั้น

ผ่านไปชั่วครู่ เจ้าร่างบางที่นั่งเหมื่อลอยก็ถอนหายใจเฮือกเป็นพักๆ คนนั่งจักตอกที่แลดูไม่ใส่ใจอื่นใดนอกจากเรียวไผ่ในมือนั้นแท้จริงกลับลอบพิศดูอีกคนด้วยท่าทีฉงน เนื่องด้วยเจ้าน้องน้อยมีท่าทีดังกลัดกลุ้มมาหลายวันแล้ว

ยังมิทันคลายความสงกา คนตัวบางก็ค่อยลุกขึ้นก่อนแตะแขนร่างใหญ่เป็นเชิงบอกลากลับเรือน

“สินธุ์ เจ้ามีเรื่องใดในใจรึไม่ ใยพักนี้จึงดูกลัดกลุ้มนัก” ร่างสูงรีบเอ่ยทัดทานคนที่กำลังผินกายผละไป

เจ้าสินธุ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงชะงักเพียงนิด คิ้วบางขมวดมุ่นด้วยมิแน่ใจและไม่รู้จะว่ากล่าวอย่างไร

และก่อนร่างน้อยจะได้ตัดสินใจอันใด พลันแว่วเสียงฝีเท้าและเสียงคนพูดใกล้เข้ามา

“มิรู้พ่อเดชหายไปเมื่อใด ข้าเห็นเพียงหางตาว่าเดินมาทางนี้มิใช่หรือ”

“ข้าว่าเรากลับกันเถิด วันพรุ่งจึงค่อยไปถามไถ่ให้คลายสงสัย”

“เช่นนั้น...”

ยังมิทันที่เจ้าของเสียงเจรจาทั้งสองจะได้เอ่ยอันใดอีกก็พลันแลเห็นพ่อเดชและเจ้าสินธุ์ใต้ต้นมะขามใหญ่

แรกนั้นแววตาผู้พบเห็นทั้งคู่คล้ายฉงน แต่เพียงชั่วพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นแววไวมีเล่ห์กล

“ข้าล่ะหรือฉงนมาเป็นเพลาว่าสหายข้ามีอันใดกับคูน้ำทางตะวันตกของคลองฝางเป็นหนักหนา...” หนึ่งหนุ่มเอ่ยด้วยแววตาพราวระยับ

“นึกว่ามานัดพบแม่หญิงบ้านใดเสียอีก แท้แล้วเป็นเพียง...” อีกคนต่อคำพลางเดินเข้าใกล้เวียนวนพิศเจ้าสินธุ์อย่างถ้วนถี่

“จะเป็นเพียงอันใด” พ่อเดชเอ่ยห้วนด้วยไม่สบอารมณ์นัก

“โกรธาเสียแล้ว” ร่างหนึ่งเอ่ยยั่วเย้าพลางหัวเราะแผ่วๆในคอ

“เป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นหน่ะซี”

เจ้าสินธุ์ได้ยินดังนั้นก็ให้อยากทัดทานเหลือเกินว่าตนนั้นอายุสิบแปดแล้ว มิใช่เพียงเด็กน้อยอย่างคำกล่าว

“พวกเจ้ามีเรื่องใดอันสำคัญอีกรึไม่ หากไม่มี เพลานี้ข้ามิใคร่สะดวกจะเจรจานัก” พ่อเดชกล่าวตัดบทพลางคว้าแขนเจ้าสินธุ์และหอบห่อผ้าขาวออกเดิน

“เรื่องอันข้าจะเจรจาย่อมสำคัญยิ่ง”

ได้ยินดังนั้นพ่อเดชจึงหยุดเหลือบแลชายหนุ่มทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ

“มีอันใดก็ว่ามา”

“มิคิดจะบอกกล่าวแก่พวกข้าหรือว่าผู้ที่เจ้าจับจูงนั้นคือผู้ใด”

พ่อเดชถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยคิดในใจว่ามิใช่กงการอันใดที่ตนจักต้องอธิบาย หากเพียงด้วยรู้นิสัยสหายตนดีนักว่าหากใคร่รู้เรื่องใดแล้วย่อมต้องสืบสาวจนกระจ่าง และด้วยไม่อยากให้เจ้าร่างน้อยต้องถูกสืบสาวให้วุ่นวายจึงหันไปแนะนำคนทั้งสามแก่กัน

“สินธุ์ เจ้าคนกล่าวมากความผู้นั้นคือหมื่นรามราชเดช ลูกชายเพียงคนเดียวของหลวงเจ้าเทพ(ขุนนางจีน)เจ้าของบ่อนแถบท่าประตูวังชัย...” เจ้าสินธุ์มองพี่เดชเอ่ยเพียงครู่ก็ยกมือไหว้คนตรงหน้าที่พิศตนด้วยท่าทีใส่ใจยิ่ง ร่างสูงใหญ่ไม่แพ้พี่เดช เพียงแต่ผิวกายนั้นกลับขาวผิดกัน

“แลคนผู้นี้คือขุนทัพไพรีพ่ายลูกเจ้าคุณกลาโหม ทั้งสองล้วนเป็นสหายพี่” ร่างน้อยยกมือไหว้อีกคนด้วยท่าทีนอบน้อมเฉกเช่นกันก่อนส่งยิ้มให้เมื่อขุนทัพพยักหน้ารับและมองตนด้วยท่าทีเอ็นดู

“ส่วนเจ้าคนบูดบึ้งที่ยืนข้างเจ้านั่นคือขุนเดโช ลูกชายคนรองของพระยามณูปกรณ์”  ขุนทัพบอกเจ้าสินธุ์ด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
ร่างน้อยหัวร่ออย่างไร้เสียง เท่านั้นก็พอให้สหายทั้งสองของขุนเดชฉงนว่าเหตุใดเจ้าสินธุ์จึงมิเอ่ยอันใด และแม้หัวเราะก็ไม่มีเสียงแม้เพียงสักน้อย

“ไปเถิดเจ้า”  พ่อเดชเอ่ยพลางแตะแผ่นหลังบางเพียงแผ่วเบาเป็นเชิงให้อีกคนผินกายออกเดิน

“แลเจ้าจะบอกพี่ได้หรือไม่ว่าเหตุอันใดจึงกลัดกลุ้มนัก”

เจ้าสินธุ์ชะงักงันยืนนิ่งไม่ไหวติง ปากบางเม้มเข้าหากัน คิ้วทั้งคู่ก็พลันขมวดมุ่นอย่างคนชั่งใจ

ขุนเดชเห็นดังนั้นจึงรู้ว่าอีกคนคงลำบากใจมากโข ไม่ว่าเจ้าน้องน้อยจักกลัดกลุ้มเรื่องอันใด แต่หากเจ้าตัวมิอยากให้ตนรับรู้ ก็คงมิอาจว่าอย่างไรได้ มีเพียงความเป็นห่วงเกาะกุมจิตให้ตนได้ร้อนรนด้วยเท่านั้น

และด้วยสายตาอันห่วงใย ท่าทีโอนอ่อนตามใจที่มีเสมอจึงทำให้เจ้าสินธุ์ตัดสินใจได้

เจ้าร่างบางเพียงจับแขนขุนเดชและยิ้มอย่างวางใจพลางรั้งอีกคนให้ออกเดินเคียงกัน

ภาพขุนเดโชแย้มยิ้ม สายตาหรือก็เอ็นดูเด็กหนุ่มเป็นหนักหนา ท่าทีใส่ใจที่ทั้งคู่มีต่อกัน มิสนใจสิ่งอื่นใดรอบกายทำให้ขุนทัพและหมื่นรามแปลกใจยิ่ง เจ้าร่างน้อยมีดีอันใดหนอใยเสือยิ้มยากเยี่ยงสหายตนจึงแย้มยิ้มได้

คนทั้งสี่ออกเดินเลียบคูน้ำได้เพียงครู่ก็มาหยุดอยู่ ณ เรือนฝากระดานหลังเก่า(เรือนเครื่องสับชั้นดีที่สุด)

“เมื่อใดนายเอ็งจักย้ายออกจากเรือนข้าเสียที”

เสียงตวาดอย่างมีอารมณ์ที่ดังมาจากบนเรือนทำให้เจ้าสินเร่งฝีเท้าขึ้นเรือนโดยเร็ว

“แต่แม่นายท่านไม่สบายหนักนักเจ้าคะ” นางรื่นบ่าวเพียงคนเดียวในเรือนกล่าวทัดทานแม่ปริกที่ตั้งท่าเอะอะ

“ก็เพราะไม่สบายหนักหน่ะซี จะมาตายที่เรือนข้ามิได้เป็นอันขาด” นางปริกมิเพียงมิฟังคำทัดทาน ซ้ำยังตวัดสายตามุ่งร้ายมาสู่เจ้าสินที่พึ่งก้าวขึ้นเรือน

“ว่าอย่างไรไอ้คนบ้าใบ้ วันๆก็หามีงานการอันใดทำไม่ เอาแต่เที่ยวเล่นอีกล่ะซี” ถ้อยคำที่มิเคยถนอมน้ำใจผู้ฟังยังให้ใจทั้งเจ็บปวดและคับข้องในที

เจ้าสินมิโต้ตอบอันใดเพียงแต่เม้มปากยืนนิ่งอยู่เท่านั้น

“แล้วนั่นผู้ใดกันเล่า” นางปริกเอ่ยถามอย่างสนเท่ห์เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่สามคนเดินตามเจ้าสินธุ์ขึ้นมาบนเรือน

นางพิศผู้มาเยี่ยมเรือนอย่างถ้วนถี่ เสื้อผ้าแพรพรรณหรือก็อย่างขุนนางผู้ดี เสื้อนอกรัดทรงตัดด้วยแพรจีน หน้าอกติดดุมถักด้วยเส้นทองแล่งหรือเส้นเงินแล่งเป็นระยะห่างๆ ผ้านุ่งหรือก็งามนัก สนับเพลาปักดิ้นทองดิ้นเงินเป็นลวดลายดูมีราคายิ่ง

“กระผมเป็นสหายของเจ้าสินธุ์ขอรับ” ทั้งสามต่างไหว้นางปริกด้วยเห็นว่าอาวุโสกว่า และขุนเดชก็ตอบข้อสงสังนางอย่างรัดกุมด้วยอาการพูดน้อยเป็นปกติ

“ไหว้พระเถิดนะพ่อ เรือนนี้คับแคบนัก ไปเรือนใหญ่เห็นจะเหมาะกว่ากระมัง ประเดี๋ยวป้าจะให้พวกบ่าวไพร่ยกน้ำท่ามาให้” นางปริกตอบด้วยท่าทีนบนอบ คำพูดวาจาเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“เห็นจะไม่รบกวนหรอกขอรับ กระผมมีธุระจะหารือกับพ่อสินธุ์” ขุนเดชตัดบทด้วยท่าทีสุภาพแต่มิวายแฝงวาจาปิดกั้นการวุ่นวายอยู่ในที

“เช่นนั้นหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายเถิดนะพ่อ” นางปริกเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานพลางค่อยเดินลงเรือนไป

พลันบรรยากาศอึดอัดเมื่อครูก็จางหาย นางรื่นกุลีกุจอหาน้ำท่ามารับรองแขกเหรื่อเป็นการใหญ่ เนื่องด้วยเจ้าสินธุ์นั้นมิเคยพาผู้ใดมาเยี่ยมเรือน

“มิต้องลำบากหรอกเจ้า” ขุนเดชเอ่ยทัดทานเมื่อเห็นเจ้าน้องน้อยเข้าช่วยนางรื่นยกสำรับของว่างออกมารับรอง

เจ้าร่างบางเพียงส่ายหน้าและยิ้มน้อยๆเท่านั้น

“เสียงอึกทึกอันใดให้วุ่นวาย” พลันทุกสายตาก็จับจ้องยังร่างของหญิงชราที่ค่อยเยื้องย่างมายังกลางบ้าน

เมื่อเห็นคุณยายเดินมา เจ้าสินธุ์ก็รี่เข้าประคองท่านผู้เฒ่ามานั่งยังบริเวณพื้นไม้ที่ยกระดับสูงขึ้นมา

ทั้งเจ้าสินธุ์และนางรื่นต่างประหลาดใจแลยินดีนัก เนื่องด้วยท่านผู้เฒ่านั้นเจ็บออดๆแอดๆมานานนัก แรงจะลุกจากเตียงหรือก็มิมีเพียงสักน้อย แต่เพลานี้กลับมีกำลังวังชาลุกเดินออกนอกห้องได้ด้วยตนเอง

เดี๋ยวพรุ่งนี้ดึกๆจะมาต่อตรงคอมเมนต์นี้นะคะ อย่าลืมแวะมาอ่านกันน้า วันนี้ไม่ไหวแล้วค่าา  :a12:

@ คุณ yeyong   o13 ใช่แล้วค่า แต่คงไม่หลายชาติภพยาวนานเท่าแต่ปางก่อนค่ะ เอาแบบพอหอมปากหอมคอเนอะ  :man1:
@ คุณ kasarus ตอนนี้ก็ดราม่านิดหน่อยค่ะ( :m28: รึป่าวนะ) คงไม่เยอะ (อิ๋งไม่ชอบอะไรเศร้าๆ)
@ คุณ takara ยังไม่บอกค่ะว่าเชื่อมกันยังไง ค่อยๆลองทายดูนะคะ  o3
@ คุณ jiw มาต่อแล้วค่ะ แต่มาช้าหน่อยนึง :o8: พึ่งสอบเสร็จวันอังคาร ดีใจที่เข้ามาอ่านค่ะ :mc3:

 :m7: ต่อค่ะ

แขกเหรื่อทั้งสามต่างยกมือไหว้ท่านผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม

แม้หญิงชราจะอ่อนแรงด้วยโรคภัย ทว่าความรู้สึกผู้พบเห็นคลับคล้ายมิได้สมเพชเวทนาดั่งเมื่อเห็นคนชราหรือคนเจ็บแม้แต่น้อย

ร่างผอมเกร็งนั่งอิงหมอนสามเหลี่ยม ข้างกายตั้งไว้ด้วยพานเชี่ยนมากและโต๊ะเตี้ยที่มีแจกันจัดไว้อย่างงดงาม

ท่านผู้เฒ่าพิศชายหนุ่มทั้งสามพลางเอ่ยถามความเป็นไป แววตาของหญิงชรานั้นน่าเคารพยำเกรง มองดูทะลุปรุโปร่งดังผู้ผ่านกาลเวลามายาวนาน

“ยายได้ยินว่าพ่อนั้นเป็นสหายของเจ้าสินธุ์หรอกรึ” หญิงชราทวนถามขุนเดชเมื่อนางคลับคล้ายคลับคลาเห็นผู้เจรจากับแม่ปริกเพียงเลือนลาง

“ขอรับ”

“เป็นบุตรพระน้ำพระยาผู้ใดกันเล่าพ่อ”

“กระผมนามว่าเดชเป็นบุตรชายคนรองของพระยามณูปกรณ์ขอรับ” เพียงได้ยิน ท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่สะท้อนในอก แม้นตนนำเจ้าสินธุ์มาเลี้ยงดูถึงอีกฝั่งของพระนคร แต่สุดท้ายก็มิวายต้องพัวพันข้องเกี่ยวกัน

ด้วยเมื่อครั้งเจ้าสินธุ์กำเนิด ตนได้ขอให้พระคุณเจ้าวัดมหาธาตุตั้งชื่อหลานชาย และถ้อยคำอันภิกษุเฒ่าได้เอ่ยนั้นกลับแจ่มชัดในยามนี้

“ชื่อสินธุ์เห็นจะเหมาะ ด้วยชาตาหลานโยมนั้นพบพานเพียงแต่เรื่องร้อน ให้เป็นน้ำดับไฟเสียคงจะดี”

“ฝืนชาตานั้นยากนัก แม้นโยมจักทำอย่างไรก็มิอาจเป็นผล ชะตาหลานโยมนั้นผูกไว้ ณ เรือนเกิดนั่นแล้ว อย่างไรเสียก็จักได้คืนเรือน...”


แววตาของท่านผู้เฒ่าหม่นลงด้วยอ่อนใจ นางคล้ายจะเห็นบ่วงกรรมอันตัดไม่ขาด
 
และหญิงชราจำต้องหลุดออกจากห้วงคำนึงเมื่อเจ้าสินธุ์แตะแขนตนพลางชี้ยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงชานเรือน

ชายผู้นั้นประนมมือไหว้เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่ามองตน

หญิงชราเพียงระงับความร้อนใจไว้ในอก เนื่องด้วยรู้ว่าเพลานี้คงได้เวลาที่บ่าวสาวใช้ผู้ติดตามมานานจะได้ออกเรือน เพราะเมื่อยามรุ่ง พ่อค้าทางใต้ผู้นี้ได้มาสู่ขอนางรื่นด้วยไปมาหาสู่กันมานาน

“ไปลาพี่รื่นของเจ้าเสียสิเจ้าสินธุ์”

เมื่อได้ฟังคำคุณยาย เจ้าสินธุ์ก็ได้แต่สับสน ‘ใยต้องไปลาพี่รื่น พี่รื่นจักไปที่ใด’

ยังมิทันที่เจ้าสินจะทำอันใด นางรื่นก็เข้ามากราบลาท่านผู้เฒ่าด้วยน้ำตานองหน้า

“ไปเถิดเจ้า จำคำข้าสอนได้รึไม่ จะออกเรือน ยังร่ำไห้ฟูมฟายให้หน้าตาเปรอะเลอะเทอะ”

แม้นคำพูดจะฟังดูคล้ายตำหนิ แต่กระนั้น แววตาที่ท่านผู้เฒ่ามองยังนางกลับเจือแววเอื้อเอ็นดูอยู่มาก

ท่านผู้เฒ่าเลื่อนหีบใบน้อยข้างตัวมอบเป็นสมบัติติดตัวบ่าวสาวใช้ที่กราบลงอีกครั้งด้วยความตื้นตัน

พลันเจ้าสินธุ์ก็น้ำตาร่วงพรูด้วยมิอยากลาจาก นับแต่ตนรู้ความ พี่รื่นนั้นอยู่กับตนเสมอ แต่ครานี้พี่รื่นจำจากไปไกล เพียงคิด เจ้าร่างน้อยก็ร่ำไห้อย่างหนัก

นางบ่าวสาวใช้นั้นเมื่อเห็นเจ้าสินธุ์ร่ำไห้ก็ให้เจ็บปวดเข้ากอดปลอบร่ำไห้อาลัยรักกัน

“คุณเจ้าขา ต่อแต่นี้อย่าไปวิ่งเล่นไกลเรือนนักนะเจ้าคะ บ่าวไม่อยู่แล้วมิมีผู้ใดจักไปตามกลับ”

“พ่อคุณของบ่าว มิต้องร่ำไห้นะเจ้าคะ” นางรื่นกล่าวปลอบพลางใช้ผ้าซับน้ำตาให้เจ้าสินธุ์เช่นเมื่อครั้งยังเยาว์

“อึก...อึก...ฮึก....” เพียงแต่เจ้าร่างน้อยนั้นคล้ายมิรู้อันใด สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

“แม่นายท่านเจ้าคะ บ่าวไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่ไปแล้ว” ด้วยเลี้ยงเจ้าสินธุ์มาแต่น้อย เมื่อเห็นเจ้าร่างน้อยร่ำไห้ นางจึงมิอาจทนได้

“เอ้า อย่างไรกันนังรื่น จะมากลับคำก็หาได้ไม่ ข้าให้เลี้ยงหลานข้า มิใช่ให้ตามใจจนเสียคน รักทูนหัวทูนเกล้านักเทียวล่ะ พ่อสินธุ์อยากได้อันใด นังรื่นเป็นต้องไขว่คว้าหามาให้”

“เจ้าสินธุ์ก็อีก เติบใหญ่จนป่านนี้ ยังร้องไห้โยเยเป็นทารก หากเป็นเสียอย่างนี้เห็นทีพี่รื่นของเจ้าจะไม่ได้ออกเรือนเสียกระมัง”
เมื่อเจ้าสินธุ์ได้ยินคุณยายพูดเช่นนั้นจึงค่อยหักใจคลายกอดพี่รื่นพลางกลั้นสะอื้น

“ไปเถิดนางรื่น มัวแต่รีรอประเดี๋ยวจะเสียการ” ท่านผู้เฒ่ารีบเอ่ยเตือนนางรื่นด้วยเกรงว่าจะออกเดินทางล่าช้า

“ลงไปส่งพี่รื่นของเจ้าเสีย มาร้องไห้กระจองงอแง มิอายแขกเหรื่อบ้างหรือไร” เจ้าสินธุ์เพียงพยักหน้ารับพลางหยิบกล่องใบน้อย ค่อยเดินลงเรือนไปกับนางพี่เลี้ยง

ทางด้านขุนทัพและหมื่นรามนั้นออกจะแปลกใจเนื่องด้วยมิใคร่พบเด็กหนุ่มรุ่นราวสิบสองสิบสามร่ำไห้นัก ส่วนขุนเดชนั้นก็ให้วูบไหวในหทัยเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของเจ้าน้องน้อย ตาเรียวมองตามร่างบางไปจนสุดตา

ยังขุนทัพและหมื่นรามให้ใคร่ครวญถึงท่าทีห่วงใยที่สหายตนมีต่อเจ้าสินธุ์

หญิงชรานั้นก็ลอบพิศพลางทอดถอนใจอย่างรู้แน่ว่าแววตานั้นหมายความลึกซึ้งยิ่ง จะว่าหมดห่วงเมื่อหลานตนมีผู้มาดูแลหรือก็มิกล้าคลายใจ แต่อย่างใดได้เล่าเมื่อตนนั้นจะตายวันตายพรุ่งเสียก็มิอาจรู้ได้

ท่านผู้เฒ่าสอบถามจนทราบความว่าขุนเดชและหลานตนนั้นเป็นสหายเที่ยวเล่นด้วยกันมาแต่เยาว์วัย ส่วนหมื่นรามและขุนทัพนั้นเป็นสหายของขุนเดชแลพึ่งได้พบกับเจ้าสินธุ์เพียงครู่ก่อนกลับเรือนเท่านั้น

ชายหนุ่มทั้งสามเจรจากับหญิงชราอย่างออกรส เนื่องด้วยท่านผู้เฒ่ารอบรู้ทุกอย่างไปเสียสิ้น กว่าทั้งหมดจะลากลับก็จวนเจียนพลบค่ำ

“พ่อเดช ยายฝากเจ้าสินธุ์ด้วยนะพ่อ หากหลานยายทำอันใดขัดใจไปบ้างก็ให้นึกเวทนาเสียเถิด” และก่อนเหล่าชายหนุ่มจะลงเรือนนั้น ท่านผู้เฒ่าก็ได้กล่าวฝากฝังเจ้าสินธุ์แก่ขุนเดโช

“ขอรับ” ขุนเดชรับคำเป็นแม่นมั่น ยังผลให้หญิงชราวางใจนัก


บ่ายวันต่อมา ขุนเดชนั่งรอเจ้าสินธุ์อยู่ริมคูน้ำใต้ต้นมะขามใหญ่อย่างปรกติ ทว่าจนกระทั่งบ่ายคล้อยก็ยังมิมีวี่แววของเจ้าร่างบางแม้แต่น้อย

ด้วยห่วงกังวล รู้สึกตนอีกที ชายหนุ่มก็ยืนอยู่หน้าเรือนไม้หลังเก่าเสียแล้ว

ขุนเดชเดินขึ้นเรือนด้วยความฉงนในใจ เนื่องด้วยบนเรือนนั้นเงียบเชียบนัก คล้ายมิมีผู้ใดอยู่

แต่เพียงครู่ ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงสะอึกแผ่วๆดังมาจากห้องทางฝั่งปีกซ้ายของเรือน

เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พลันต้องตกใจ เนื่องด้วยเจ้าน้องน้อยนั่งกอดเข่าสะอื้นร่ำไห้อยู่มุมห้อง ส่วนบนฟูกนั้น ร่างของหญิงชรานอนนิ่งคล้ายหลับไหลมิรับรู้สิ่งใด

เห็นดังนั้น ขุนเดชจึงใช้มืออังดูลมหายใจแล้วแตะชีพจรของท่านผู้เฒ่า และก็ต้องพบว่าร่างนั้นสิ้นลมเสียแล้ว

ขุนเดโชค่อยเยื้องย่างคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าร่างบางที่บัดนี้ตาบวมช้ำ หน้าตาหรือก็แดงก่ำ เสียงสะอึกของเจ้าน้องน้อยดังบาดใจนัก

เจ้าสินธุ์คล้ายคนพึ่งได้สติ เมื่อเห็นพี่เดชอยู่ตรงหน้าก็พุ่งเข้ากอดรัดร่ำไห้ปานขาดใจ

ร่างน้อยที่สั่นเทาในอ้อมกอด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลผ่านซึมเสื้อหรือก็ดังน้ำกรดรินรดใจ

“มิเป็นอันใดดอกนะเจ้า นิ่งเสียเถิด” ขุนเดชค่อยลูบหลังเจ้าน้องน้อยแผ่วเบาพลางเอ่ยปลอบประโลมหวังให้เจ้าสินธุ์คลายเศร้า

“นิ่งเสียเถิดคนดีของพี่”

 :o12: คุณยายสิ้นเสียแล้ว เจ้าสินธุ์จะอยู่อย่างไรต่อไปต้องติดตาม  o18

@ คุณ kasarus ตอนต่อไปยังไม่มาค่ะ(มาเร็วๆนี้แน่ๆ) แต่มาต่อของเมื่อวานก่อน อย่าลืมมาอ่านด้วยนะคะ
@ คุณ uknowvry ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ :pig4: อย่าลืมอ่านตรงที่มาเพิ่มด้วยนะคะ
@ คุณ nongrak ลองเดาๆดูนะคะ เดี๋ยวเนื้อเรื่องจะเฉลยในตอนท้ายค่ะ แต่คิดว่าคุณ nongrak อาจจะเดาได้ก่อนจบตอน แต่ว่าน่าสงสารสินธุ์เนอะ :monkeysad: ไม่ใช่แค่เป็นใบ้นะคะ ไม่ค่อยฉลาดด้วยค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2012 22:22:57 โดย Made »

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
มารออ่านจ้า ขอตอนต่อไปด้วยนะครับ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
โอ๊ะ โอ... ย้อนยุคขนาดนี้ เล่นเอาเดาเรื่องไม่ออกเลยแหะ แต่สนุกค้าบ

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
เพิ่งเห็นว่ามีตอนพิเศษ แต่ไม่เข้าใจว่ามันจะต่อกับตอนปัจจุบันอย่างไร
สินธุ์น่าสงสารจังทำไมถึงพูดไม่ได้นะ


ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
สงสารสินธุ์อะ แล้วพี่เดชจะพากลับบ้านยังงัยล่ะนิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
จุดประทัดฉลองนิยายใหม่  :mc4: :mc4:
ถ้าไม่เข้ามาแอบส่อง ก็ไม่เห็นว่าแอบอัพนิยายใหม่ 55
ดีนะที่เข้ามา   :กอด1:

เรื่องนี้นายเอกดูรันทดนะค่ะ คงได้กินมาม่าแทนข้าวทั้งเรื่อง
เป็นใบ้ยังไม่พอ ไม่ค่อยฉลาดอีกต่างหาก  :sad4: ชะตาชีวิตยิ่งกว่านางเอกละครเจ็ดสี

จะติดตามเรื่อยๆนะค่ะ ไม่ทิ้งค่ะไม่ทิ้ง  :L2:

Made

  • บุคคลทั่วไป
ครานั้น 3

เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=DLlaqMtwpu0

“เก็บข้าวของแล้วเสร็จแล้วหรือ” ขุนเดชเดินเข้ามาในห้องนอนพลางเอ่ยถามเจ้าน้องน้อยที่นั่งเหม่อลอยคล้ายไม่รู้ว่าตนเข้ามา

นับตั้งแต่คุณยายชื่นสิ้นบุญ ขุนเดโชก็เป็นธุระคอยจัดการเรื่องต่างๆทั้งสิ้น โดยตั้งศพสวดอภิธรรมเสียสองคืน แขกเหรื่อจะมีก็หาไม่ ซ้ำนางปริกยังแสดงท่าทีขุ่นเคืองเป็นหนักหนา ทั่วทั้งบ้านเป็นอันรู้ทั่วกันว่าเรือนนี้คงจะรื้อถวายวัดเป็นแน่ จะถามหาถึงหลานคนตายรึก็มิมี ด้วยนางไม่อยากเลี้ยงเจ้าคนบ้าใบ้ให้เป็นภาระ แต่ที่มิได้เอะอะโวยวายให้มากความก็เห็นจะเกรงใจขุนเดชเพียงเท่านั้น

เจ้าสินธุ์เมื่อได้ยินดังนั้นก็เร่งเก็บเสื้อผ้าเครื่องใช้ลงในหีบ บางหีบน้อยใหญ่นั้นหรือก็ตระเตรียมไว้แล้ว ดังท่านผู้เฒ่าได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า

“ไปเถิด” ขุนเดชกล่าวพลางยกหีบน้อยๆที่บรรจุข้าวของมีค่าเดินนำเจ้าสินธุ์ไปที่ท่าน้ำ ส่วนเครื่องใช้อื่นนั้นตนให้พวกบ่าวไพร่ที่เกณฑ์มาช่วยงานขนกลับ

เมื่อเรือพายเทียบท่าน้ำบ้านพระยามณูปกรณ์ ร่างสูงก็สั่งบ่าวไพร่นำของเจ้าสินธุ์ไปยังเรือนหลังที่ตนอาศัย แล้วค่อยพาเจ้าน้องน้อยเดินไปยังเรือนใหญ่

เจ้าสินธุ์เดินกำชายเสื้อพี่เดชไว้มั่น เนื่องด้วยผู้คนเรือนนี้ต่างมองตนด้วยท่าทีสนใจ บ้างทำท่าตกใจ แต่มิทันเอ่ยอันใดเพียงเพราะเมื่อขุนเดชปรายตามองก็ต่างหลบตาก้มหน้าทำงานกันเสียสิ้น

เมื่อเดินขึ้นเรือน ก็ประจวบเหมาะกับเวลาสำรับเย็น ทั้งพระยามณูปกรณ์ คุณหญิงเอื้อมภรรยาเอกและหลวงภูมีภักดี บุตรชายคนโตต่างนั่งล้อมสำรับ

ขุนเดชแปลกใจเพียงเล็กน้อยที่วันนี้เจ้าคุณพ่อมานั่งร่วมสำรับเรือนใหญ่ เนื่องด้วยท่านมักร่วมสำรับ ณ เรือนแม่เดือน เพราะรักตามใจบุตรสาวเพียงคนเดียวยิ่ง

ครั้นพ่อเดชเดินขึ้นเรือนก็มิมีผู้ใดแสดงท่าทีผิดแผก ด้วยชายหนุ่มได้แจ้งแก่เจ้าคุณพ่อไว้แล้วว่าจะพาเพื่อนเล่นแต่วัยเยาว์มาอาศัยที่เรือน

“มิต้องตื่นกลัวไป ไหว้เจ้าคุณพ่อพี่เสียก่อน” ขุนเดชเอ่ยแก่เจ้าสินธุ์พลางค่อยจับคลายมือเจ้าน้องน้อยที่กำชายเสื้อตนไว้มั่น

เจ้าสินธุ์มองพี่เดชด้วยลังเล แต่เมื่อชายหนุ่มพยักหน้า ร่างบางจึงเพียงเม้มริมฝีปากก่อนค่อยปล่อยมือจากชายเสื้อแล้วคลานเข่า นั่งเคียงขุนเดช

เพียงเห็นหน้าเจ้าร่างน้อยเท่านั้น ทั้งพระยามณูปกรณ์และคุณหญิงเอื้อมต่างมีท่าทีตะลึงงันนิ่งไปชั่วครู่

เจ้าสินธุ์เมื่อค้อมหัวไหว้ด้วยท่าทีนบนอบแล้วก็ได้แต่หวาดหวั่นเนื่องด้วยผู้ใหญ่ทั้งสองมิกล่าวอันใด

“มีนามว่าอย่างไรรึเจ้า” พลันเจ้าของเรือนทั้งสองค่อยคืนสติเมื่อหลวงภูมีภักดีถามเจ้าสินธุ์ด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู

“สินธุ์ขอรับ” ขุนเดชตอบคำ

“เป็นลูกเต้าใครกันรึพ่อเดช” คุณหญิงเอื้อมเอ่ยถามด้วยท่าทีร้อนรนผิดวิสัย

“หลานคุณยายชื่น อาศัยแถบคลองฝางขอรับ” ครั้นได้ฟังคำตอบ คุณหญิงก็เพียงมองสามีที่พิศดูเจ้าสินธุ์ไม่วางตาก่อนเอ่ยชวนให้คนทั้งสองอยู่ร่วมสำรับเย็น

“เช่นนั้นหรือ มาเถิดกินข้าวกินปลากันเสียก่อน”

เมื่ออยู่ร่วมสำรับเย็นจนแล้วเสร็จ ขุนเดชและเจ้าสินธุ์ก็ลากลับเรือน

มิทันที่ทั้งสองจะเดินถึงเรือน นางบ่าวสาวใช้นางหนึ่งก็เดินรี่เข้ามาหา

“แม่พิศจะรีบเร่งไปไหนหรือ” ขุนเดชเอ่ยถามนางด้วยท่าทีนอบน้อม เนื่องด้วยนางพิศเป็นบ่าวคนสนิทของคุณแม่และยังคอยเลี้ยงตนจนเติบใหญ่ และแม้นคุณแม่จะสิ้นบุญไปแล้ว แต่ขุนเดชยังคงอาศัยอยู่เรือนเดิม โดยมีนางพิศคอยดูแลการเรือนทั้งสิ้น

“จะเร่งไปหาพ่อคุณนั่นแหละเจ้าค่ะ หายไปเสียหลายวัน บ่าวเห็นก็แต่หลังอยู่ไวไว แล้วนี่กินข้าวปลามาหรือยังเจ้าคะ”

“ร่วมสำรับกับเจ้าคุณพ่อเมื่อครู่นี้เอง”

“แม่พิศ นี่สหายชั้น ชื่อสินธุ์” ขุนเดชบอกแก่แม่พิศ ขณะเจ้าร่างบางประนมมือไหว้

“โถ พ่อคุณ มิต้องไหว้บ่าวดอกเจ้าค่ะ” เมื่อแรกนั้นนางพิศเห็นหน้าพ่อสินธุ์ก็ให้สะดุ้งตกใจ ดังพวกบ่าวโรงครัวกล่าวโดยแท้ว่าสหายพ่อขุนเดชนั้นละหม้ายแม่หญิงเนียรนัก แลยิ่งกิริยามารยาทท่าทางด้วยแล้ว ยิ่งพิศก็ยิ่งเหมือนแม่หญิงมิมีผิด หรือคนผู้นี้จะเป็นบุตรแม่หญิงเนียรเสียกระมัง และแม้นนางจักสงกาสักเพียงใด ทว่าก็มิกล้ายุ่งเรื่องนายให้มากความ

“พ่อขุนเดชจะให้บ่าวจัดห้องให้หรือไม่เจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามยามเดินใกล้ถึงเรือน

“มิต้องดอก” ด้วยขุนเดชเกรงเจ้าน้องน้อยจะมิยอมหลับนอนเอาแต่นั่งมองเหม่อ จึงตัดสินใจให้เจ้าสินธุ์นอนร่วมห้องกับตน

นางพิศได้ยินดังนั้นก็ไม่ต่อความเพียงมองคนทั้งสองขึ้นเรือนแล้วจึงเดินกลับยังเรือนนอนของตน

ตั้งแต่สิ้นแม่หญิงดวง ก็มิมีผู้ใดนอกจากขุนเดโชอาศัย ณ เรือนหลังนี้ และด้วยความรักสันโดษของเจ้าของเรือน จึงไม่มีบ่าวไพร่คนใดต้องอยู่คอยปรนนิบัติ มีเพียงนางพิศที่พ่อขุนเดชเอ่ยให้อาศัยบนเรือน แต่ด้วยนางนั้นก็มีครอบครัว จึงไม่เห็นสมควรจะให้ลูกผัวอาศัยร่วมเรือนนาย

หลังจากลงอาบน้ำที่ท่าน้ำแล้ว เจ้าสินธุ์ก็มานั่งรับลมบริเวณชานบ้าน ส่วนขุนเดชนั้นเจ้าร่างบางเห็นหายไปยังห้องที่อยู่อีกฟากของเรือนได้สักครู่ใหญ่แล้ว

เจ้าน้องน้อยเหม่อมองพลางคิดคำนึงถึงคุณยายและพี่รื่น หากป่านนี้คุณยายยังอยู่ ตนคงได้สวดมนต์อยู่ในห้องพระเป็นแน่ หรือมิเช่นนั้นคงได้ฟังพี่รื่นเล่าถึงย่านร้านตลาดมากมาย
“คุณเจ้าขา เมื่อรุ่งเช้าบ่าวไปหาซื้อสมุนไพรแถบป่ายา จึงเลยไปเชิงสะพานชีกุน ปิ่นปักผมนี้งามนัก มาเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจักเกล้าจุกให้...”
และพี่รื่นมิเคยลืมซื้อขนมหวานจากป่าขนมมาฝาก นึกได้เพียงเท่านี้ เจ้าร่างบางก็ให้น้ำตาร่วงเผลาะเป็นสาย เพราะยามนี้ตนคงมิได้กินขนมอีกเป็นแน่ อยู่เรือนผู้อื่นก็คงมิกล้าทำอันใด

“คิดถึงคุณยายรึเจ้า” ขุนเดชออกจากห้องพระมาก็เห็นเจ้าน้องน้อยนั่งกอดเข่าอยู่ตรงชานบ้าน แสงจันทร์วันเพ็ญยังสะท้อนหยดน้ำตาบนใบหน้านวล เพียงเห็นเจ้าร่างบางโศกเศร้า จิตใจตนก็พลอยร้อนรนนัก

เมื่อขุนเดชมานั่งเคียง เจ้าสินธุ์ก็ค่อยปาดน้ำตา กระนั้นหน้าตาแดงก่ำ น้ำตาคลอหน่วยและท่าทีเศร้าซึมก็มิวายให้คนมองมิใคร่สบายใจนัก

“หากวันพรุ่งพี่เสร็จงานราชการแต่หัววัน พี่จักพาเจ้าไปกราบพระ”

“อยู่เรือนนี้ก็คิดเสียเถิดว่าเป็นเรือนเจ้า จะหยิบใช้สิ่งใดก็ตามใจเถิด หากขาดเหลือก็ให้เอ่ยแก่แม่พิศ...มีเรื่องอันใดก็กล่าวแก่พี่...คุณแม่พี่สิ้นบุญเสียแล้ว ทั่วทั้งเรือนจึงมีเพียงพี่แลเจ้า...”

ด้วยไม่รู้จะทำอันใดให้เจ้าร่างน้อยคลายเศร้า คนพูดน้อยไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไร จึงกล่าวยืดยาวผิดวิสัย แม้กระนั้น เจ้าสินธุ์กลับนิ่งฟังอย่างคนตั้งใจ ตากลมเพ่งมองแต่เพียงดวงหน้าผู้พูด วงหน้าเนียนแดงระเรื่อบริเวณจมูกแผ่ไปถึงแก้ม กรุ่นกลิ่นมะลิจากร่างน้อยเพียงบางเบา

ขุนเดโชคล้ายนิ่งไปชั่วขณะ ชายหนุ่มค่อยยกมือไล้แก้มเจ้าน้องน้อยแผ่วเบา มือสากเชยคางมนแล้วค่อยก้มจูบหน้าผากนวล
ใบหน้าคมคายค่อยผละออกมา เจ้าสินธุ์เพียงมองพี่เดชนิ่งอยู่อย่างนั้น ด้วยมิอาจเข้าใจการกระทำดังกล่าว ทว่าความเศร้าคล้ายถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ มีเพียงความรู้สึกอุ่นของริมฝีปากประทับตราตรึงเท่านั้น


รุ่งเช้าวันต่อมา พ่อเดชได้พาเจ้าสินธุ์ไปร่วมสำรับเช้า ณ เรือนแม่เดือนดังเช่นปรกติ

เมื่อก้าวขึ้นเรือน เจ้าสินธุ์ก็ต้องหวาดระแวงว่าตนได้ทำอันใดผิดไปรึไม่ เนื่องด้วยบ่าวไพร่เรือนนี้ต่างจ้องมองตนด้วยท่าทีประหลาดใจนัก แม้กระทั่งพระยามณูปกรณ์และหญิงวัยกลางคนที่นั่งล้อมสำรับก็มองตนไม่วางตาเช่นกัน มีเพียงหญิงสาวแรกรุ่นผู้หนึ่งมองตนด้วยท่าทีเคลือบแคลง กระนั้นดรุณีผู้นี้ก็ยังงามนัก นางนุ่งห่มผ้าจีบสีดำสอดเส้นเงินแล่ง จีบหน้านางชักชายพกยาวตกลงมาตรงกลาง ชายระเกือบถึงพื้น ห่มสไบผ้าฝ้ายสีขาว นิ้วเรียวประดับด้วยแหวนเพชรพลอยเม็ดน้อย เล็บย้อมสีแดง ผิวพรรณหรือก็ขาวนวล ผมไว้ยาวประบ่าหวีแสกกลางเงางามด้วยน้ำมันหอม พิศดูงามแลภูมิฐานนัก

นางตรงเข้าหาเดินเคียงพี่เดช มิวายหันมาถลึงตาใส่เจ้าสินธุ์ด้วยทีท่าโกรธเคือง ก่อนจะหันไปพูดคุยออดอ้อนพี่ชายด้วยกิริยาน่าเอ็นดู

“พี่เดชมีงานราชการยุ่งหรือจ๊ะ ที่เรือนก็มิมีผู้ใดอยู่....” นางแสร้งถาม แม้นจักทราบว่ากิจธุระของขุนเดโชนั้นเกี่ยวข้องกับชายบ้าใบ้ที่พึ่งเดินขึ้นเรือนมานี้

“พี่มีกิจธุระสำคัญ” ขุนเดชตอบเพียงสั้นๆ หากแต่แฝงความรักใคร่เอ็นดูในแววตาต่อคู่สนทนาอยู่มากนัก

“สำคัญกว่าน้องรึไม่”

“ผู้ใดจะสำคัญกว่าแม่แพงน้องพี่ไปเสียได้” ยังมิทันที่ขุนเดโชจะได้เอ่ยอันใด พลันหลวงภูมีภักดีก็ตอบคำด้วยเกรงน้องชายตนจักกล่าวให้แม่แพงขุ่นใจ

...............................
 :m23: ได้เท่านี้อยู่เลยค่ะ
พอดีการบ้านเยอะมากๆเลย เลยแต่งได้นิดเดียว
มองดูปฏิทิน เราหายไปตั้งเป็นอาทิตย์เลยแฮะ
ก็เลยขอลงก่อนแล้วกันเนอะ อาจจะน้อยไปหน่อย(ไม่หน่อยล่ะ)
ฝากด้วยนะคะ :impress: เปิดตัวนางร้ายกันสักหน่อย

@ คุณ takara แหะๆ ชีวิตเจ้าสินธุ์รันทดเบาๆค่ะ พี่เดชเลยพาลงเรือกลับเรือนไปแล้ว

@ คุณ suck_love นิยายเก่าแต่ตอนพิเศษใหม่ค่ะ เกี่ยวกับเรื่องหลักอยู่น้าาา ดีใจที่เข้ามาส่องจ้า  :m20: ถูกใจกับคำเปรียบเทียบ คงประมาณละครเจ็ดสีจริงๆด้วย
ฝากติดตามตอนนี้ด้วยน้าาาา

 :กอด1: ยังไงก็ติชมกันได้นะคะ

 :m22: มาต่อค่ะ อย่าลืมมาอ่านกันนะคะ

“จักลวงน้องอีกหรือพี่ไท น้องหรือจักเทียมงานราชการของพี่ได้” แม่แพงหยุดฟังคำพี่ชายคนโตพลางโต้กลับด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แม้นคนทั้งเรือนต่างพากันเอาอกเอาใจนาง หากแต่ในบางครา พี่ไทและเจ้าคุณพ่อก็ช่างเอาใจใส่ต่อราชการนัก มีเพียงพี่เดชที่แม้นจักเงียบขรึม กระนั้นหากนางออดอ้อนอยากได้สิ่งใด พี่เดชมิเคยขัดแม้เพียงสักครา

หลวงภูมีภักดีไม่ตอบอันใด นอกจากงานราชการแล้วตนมักไปเที่ยวร่ำสุราตามประสา มิใคร่มีเวลาคอยเอาใจแม่แพงนัก จึงเพียงยิ้มมุมปากเอามือไพล่หลังมองแม่แพงพูดคุยเจื้อยแจ้ว

พลันชายหนุ่มก็แลเห็นสหายของน้องชายยืนเคว้งอย่างคนไม่รู้จักทำอย่างไร ร่างน้อยอายุคงราวสิบห้าสิบหก วงหน้าหรือก็หวานล้ำ พิศที่ใดล้วนพริ้มเพราน่าเอ็นดู ตากลมโศกคู่นั้นจับใจเป็นหนักหนา มองอย่างไรก็มิรู้เบื่อ เช่นนี้กระมัง พ่อเดชจึงรักใคร่เอ็นดูนัก ตั้งแต่เล็กแต่น้อยตนก็รู้เห็นเพียงน้องชายจักออกไปยามบ่ายเพื่อไปพบสหาย หากมิได้ติดใจว่าจักเป็นผู้ใด นึกเพียงว่าไปพบบุตรชายเจ้าคุณกลาโหมและบุตรหลวงเจ้าเทพเท่านั้น

ขุนเดชที่เดินเคียงฟังน้องสาวเจรจา ลืมคนที่เดินตามมาเมื่อครู่ไปเสียสนิทใจ เมื่อลงนั่งล้อมสำรับแล้ว เห็นเจ้าน้องน้อยยืนนิ่งจึงเรียกให้มานั่งเคียง

“สินธุ์...”

“น้องมิได้เตรียมสำรับเผื่อผู้อื่น เป็นลูกหลานพระน้ำพระยาก็หาไม่ ถือดีอย่างไรจักมาร่วมสำรับ”

มิทันเจ้าสินธุ์จักทำอันใด แม่หญิงแพงกลับมองเจ้าสินธุ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางกล่าววาจาไม่เว้นไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น

“หากเช่นนั้นพี่คงมิอาจอยู่ร่วมสำรับ” พ่อเดชได้ยินดังนั้นก็ให้ขุ่นใจเป็นกำลัง ซ้ำเห็นเจ้าน้องน้อยหน้าตาถอดสีซีดเซียว จึงค่อยจับจูงเจ้าร่างบางเดินลงเรือนไป

“แม่แพง!เป็นสาวเป็นนางพูดจาเยี่ยงนั้นได้อย่างไร” แม่เดือนคล้ายลมจับ กล่าวเอ็ดบุตรสาวได้ไม่เต็มเสียงนัก

หลวงภูมีภักดีเพียงส่ายหน้าอย่างผิดหวังแล้วลงเรือนไปอีกคน ผู้ใดจักคาดได้ น้องสาวที่ตนเอ็นดูหนักหนา หาญกล่าววาจามุ่งร้ายผู้อื่น กิริยาหรือก็ราวมิมีผู้ใดสอนสั่ง อับอายพวกบ่าวไพร่ในเรือนยิ่ง

ข้างพระยามณูปกรณ์นั้นไม่เอ่ยอันใด ทว่าท่าทีมิใคร่พอใจนัก

แม่แพงเห็นดังนั้นก็ให้โกรธาแค้นเคืองเจ้าสินธุ์เป็นหนักหนา นางชังคนผู้นี้นัก ตั้งแต่เล็กแต่น้อยพี่เดชและเจ้าคุณพ่อมิเคยรักใคร่เอ็นดูผู้ใดเท่าเทียมนาง หากเพลานี้ บ่าวทั้งเรือนลือกันให้หนาหูว่าพี่เดชพาสหายมาอยู่ที่เรือน บ้างก็ว่าคนผู้นี้เป็นลูกชายชู้ของแม่เนียร ภรรยาอีกคนของเจ้าคุณพ่อ กระนั้น เจ้าคุณพ่อกลับมิกล่าวอันใด เมื่อถามคุณแม่ ก็เพียงตอบว่าเจ้าคุณพ่อนั้นรักใคร่แม่เนียรนัก แม้นรู้ว่านางมีชายชู้ ก็มิอาจหักใจ คิดจะรับลูกที่เกิดแต่ชายอื่นเป็นลูกตน ทว่าหญิงแพศยาสิ้นไปเสียก่อน มิเช่นนั้น นางคงได้อยู่ร่วมเรือนไอ้ลูกชู้ผู้นี้เสียกระมัง

‘คอยดูเถิดไอ้ใบ้ คิดจักมาเทียมกู เห็นทีจักต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง’

 :m32:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2012 18:54:03 โดย Made »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
มีงานอันใดเร่งทำเถิดหนา
เราจักรอตอนต่อไปของเจ้า :กอด1:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
จะเจออะไรอีกรึป่าวนะ สงสารสินธุ์อะ

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
สงสัยสินธ์จะเจอกับยัยตัวอิจฉาอีกคนเป็นแน่
แล้วพี่เดชจะคอยคุ้มครองน้องสินธ์ได้หรือเปล่านะ

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
น้ำออกไปอย่าลืมหยิบน้องผสมไปนะ 5555

น่ารักดีเนอะๆ หุหุ

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
มาอ่านรวดเดียวจบเลยสนุกมากๆๆ
อยากให้ต่อเรีื่องจอมทัพกับพี่ภู อีกเยอะๆๆ
เรื่องในชาติก่อนก็พอจะเดาออกว่าใครเป็นใคร

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆๆที่เขียนมาให้อ่านกันคะ
ชอบสำนวนภาคอดึตชาติมาก  o13 o13 o13

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อ่านตอนนี้แล้วต้องย้อนกลับไปดูตอนแรกเสียหลายรอบว่าใครเป็นใคร
แต่ดูท่าท่านเจ้าคุณน่าจะรู้แล้วนะว่าสินธุ์เป็นใครมีเบื้องหลังมาอย่างไร
งานนี้ต้องมาลุ้นกันว่าแม่หญิงแพงจะป่วนสองหนุ่มของเราได้มากแค่ไหน

Made

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่สามมีต่ออีกนิดหน่อยนะคะอย่าลืมเลื่อนกลับไปอ่านตรงกระทู้ข้างบนกันซักนิด

ครานั้น 4

เพลาชาย แดดแรงถึงกลางกระหม่อม ผู้คนภายในบริเวณบ้านพระยามณูปกรณ์ต่างพากันยุ่งง่วนกับกิจการงานบนเรือนตามปรกติ ด้วยแดดแรงถึงขนาด จึงมิใคร่มีผู้ใดออกจากเรือน มีเพียงพวกลูกข้าทาสวิ่งเล่นอยู่กลางลานแถบเรือนนอนของพวกบ่าวไพร่เท่านั้น และยังมีนางบ่าวผู้หนึ่งเดินเร่งฝีเท้าพลางเหลียวซ้ายแลขวาดังหาบางสิ่ง นางเดินเร็วรี่จนใกล้ถึงหมู่เรือนทรงไทย จึงได้แวะถามไถ่พวกบ่าวไพร่ที่เดินสวนกัน

“อีแผ้ว เอ็งเห็นพ่อสินธุ์รึไม่”

“สหายท่านขุนเดชล่ะหรือ ข้าเห็นอยู่แถบท่าน้ำกระมัง”

นางบ่าวที่เดินสวนกันตอบพลางพยักเพยิดไปทางศาลาท่าน้ำ ที่แลเห็นร่างบางนั่งอิงเสาศาลาอยู่ไกลๆ

ลมอุ่นพัดผ่านริมตลิ่ง น้ำใสไหลเอื่อยมองเห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมา ปลาน้ำจืดรูปร่างแบน ลายสลับขาวดำ ว่ายริมผิวน้ำ ตากลมดำจดจ้องไปยังแมลงตัวจ้อย พลันพ่นน้ำพุ่งตกต้องภู่ภมรที่บินเรี่ยผิวน้ำ เจ้าปลาลายขาวดำรี่เข้าฮุบเหยื่อโดยทันใด

เสียงฝีเท้ากระทบไม้กระดานเพียงแผ่ว ทว่าฝูงปลาต่างดำดิ่งลึกว่ายหายไป

ร่างน้อยค่อยสะดุ้งพิศผู้มาใหม่ด้วยท่าทีสงกา กระนั้นริมฝีปากบางหยักรั้งขึ้นยิ้ม ยังท่าทีน้ำใสใจจริงให้ผู้พบเห็นรักใคร่สนิทใจอย่างไม่ยากเย็น

“เพลาชายแล้ว ยังมิรับสำรับอีกหรือเจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามสหายพ่อขุนเดชด้วยความเป็นห่วงระคนร้อนใจ

ผู้ถูกถามมิตอบอันใดเพียงส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยยังคงเกรงต่อเหตุการณ์ยามเช้าอยู่มาก จึงได้แต่ชะเง้อคอยพี่เดชกลับมา

“รับสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ กะเดี๋ยวบ่าวจักไปยกสำรับมาให้ หากมิยอมกินข้าวปลา พ่อขุนเดชจักได้โกรธาบ่าวเป็นแน่”

“คนมิเต็มใจจักกินข้าว ก็มิต้องฝืนใจดอก มาอยู่เรือนผู้อื่นมิรู้จักเจียมเนื้อเจียมตน มีข้าวให้กินก็ดีถมไป ยังทำรีๆรอๆให้น่ารำคาญ”

มิทันที่เจ้าสินธุ์และนางพิศจะทำการอันใดก็เป็นต้องก้มหน้าหลบตาเมื่อแม่หญิงแพงเดินมาท่าน้ำพร้อมบ่าวรับใช้อันได้แก่ นางแผ้วและนางตาด

“กล่าววาจาเยี่ยงนี้มิงามเจ้าค่ะแม่หญิง” นางแผ้วพูดเตือนแม่นายของตนเสียงเบาอย่างหวั่นเกรง นางตาดนั้นก็ค่อยลูบเท้านายหวังให้คลายโกรธเกรี้ยวไปบ้าง

“ใยต้องใส่ใจ เป็นข้าทาสบ้านใดเสียก็มิรู้ เคราะห์ดีพี่เดชเมตตาดอก” แม่หญิงแพงมิเพียงไม่ฟังอันใด ซ้ำยังจ้องมองเจ้าสินธุ์ราวจะฉีกเนื้อเถือหนังก็มิปาน

แม้นเจ้าสินธุ์จักมิใคร่พอใจก็เพียงอดกลั้นมองเมินไปทิศอื่น มือน้อยกำชายโจงกระเบนบีบแน่น แววตาฉายแววร้าวรานระคนเจ็บปวด

นางพิศเห็นดังนั้นจึงค่อยสะกิดพาพ่อสินธุ์เดินไปยังเรือนของขุนเดโช

เจ้าสินธุ์ข่มอารมณ์ไว้ในอกแล้วเดินอย่างเจียมเนื้อเจียมตนเยื้องย่างลงจากศาลาท่าน้ำ ยังความขัดเคืองต่อแม่แพงอันมิเห็นความทุกข์ร้อนจากไอ้คนบ้าใบ้ จึงเร่งเดินตามติดเงื้อมือหมายจะเข้าตบตีให้สาแก่ใจ

“จักทำเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ หากแม่นายเดือนรู้เข้า จักมิได้ลงเรือนหนาแม่นายท่าน” นางบ่าวติดตามทั้งสองเห็นดังนั้นก็ให้กระวีกระวาดยื้อยุดฉุดแขนนายตน ด้วยแม่นายเดือนกำชับเป็นมั่นเหมาะเมื่อยามเช้าให้พวกนางคอยดูแลแม่หญิงแพงมิให้ไปก่อเรื่องราว มิเช่นนั้นจักลงหวายพวกนางเป็นแน่

“ปล่อยข้า บอกให้ปล่อยอย่างไรเล่า” ด้วยความโกรธา นางจึงมิฟังอันใด สะบัดแขนขาดิ้นเร่าๆจนนางพี่เลี้ยงยื้อยุดไว้ไม่อยู่
นางพิศและเจ้าสินธุ์เห็นดังนั้นก็เร่งเดินคล้ายจักวิ่งให้ไกล ทว่าเคราะห์ยังดีที่หลวงภูมีภักดีเสร็จจากราชการเดินขึ้นจากท่ามาเสียก่อน

“จักเที่ยวระรานผู้อื่นอีกรึแม่แพง” หลวงภูมีภักดีเอ่ยเสียงเข้มระคนขุ่นเคืองเมื่อเห็นน้องสาวตนจักตั้งท่าตบตีเจ้าสินธุ์ที่บัดนี้เดินหนีไปจนลับตา

แม่แพงได้ยินเช่นนั้นก็เพียงแต่หยุดนิ่งค่อยเก็บกลั้นความโกรธก่อนกล่าวตัดพ้อพี่ชายด้วยน้อยอกน้อยใจเป็นหนักหนา

“หากผู้อื่นมิทำให้น้องขุ่นใจ น้องหรือจักกล้าระรานผู้ใด พี่ไทก็เถิดเห็นผู้อื่นดีกว่าน้องแล้วใช่ฤาไม่” นางเอ่ยพลางมองพี่ชายด้วยน้ำตาคลอ

“พี่มิเคยเห็นผู้ใดดีกว่าเจ้า ถูกก็ว่าตามถูก ผิดก็ว่าตามผิด” เมื่อเห็นน้ำตาน้องสาว หลวงภูมิภักดีก็คล้ายจะใจอ่อน จึงทำเมินกล่าวเพียงไม่กี่คำแล้วเดินไปยังเรือนขุนเดช

“เห็นฤาไม่พี่แผ้วพี่ตาด เพราะไอ้คนใบ้นั่นเทียว” ด้วยวาจาดังตำหนิว่าตนนั้นผิด แม่แพงจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันผินกายเดินจ้ำกลับเรือนอย่างแค้นเคือง


หลวงภูมีภักดีเดินถึงเรือนน้องชายเห็นนางพิศลงกระไดจึงเอ่ยถามความยังเหตุการณ์เมื่อครู่ เมื่อทราบความจึงนึกเวทนาเจ้าร่างน้อยระคนร้อนรุ่มในอกอย่างประหลาด

“แล้วนี่ แม่พิศจักไปยกสำรับใช่ฤาไม่”

“เจ้าค่ะ บ่าวกล่อมอยู่เป็นนาน พ่อสินธุ์จึงจะยอมกินข้าวปลา”

“มิต้องดอก ข้าว่าจักพาไปร่วมสำรับที่เรือนใหญ่ แม่พิศไปบอกโรงครัวให้จัดสำรับเพิ่มเถิด” หลวงภูมีภักดีสั่งความจบก็เดินขึ้นเรือนไป


เสียงตักน้ำล้างเท้าตรงตีนกระไดและเสียงเดินขึ้นเรือนทำให้คุณหญิงเอื้อมละมือจากมาลัยที่กรองอยู่ด้วยคิดว่าบุตรชายเสร็จจากราชการมาร่วมสำรับเป็นแน่ แลเมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นว่าสหายพ่อขุนเดชค่อยคลานเข่านั่งคอยท่าอีกคน

“มีอันใดรึพ่อไท”

“ลูกชวนพ่อสินธุ์มาร่วมสำรับจักได้ฤาไม่ขอรับ” หลวงภูมีภักดียิ้มพลางทอดเสียงดังออดอ้อนคุณหญิงเอื้อมเช่นเมื่อครั้งยังเยาว์

“ใยจักมิได้เล่า ดีนักเทียว หากเจ้ามีงานราชการ แม่จักได้มิกินข้าวแต่เพียงผู้เดียว”

คุณหญิงเอื้อมเอ่ยพลางพิศเจ้าสินธุ์ด้วยความเมตตา ด้วยตนได้ยินพวกบ่าวในเรือนเล่าลือกันว่าแม่แพงนั้นมิยอมให้เจ้าร่างน้อยนี้ร่วมสำรับซ้ำยังกล่าววาจาดูหมิ่น เพียงพ่อสินธุ์พูดมิได้ นางก็นึกเอ็นดูนัก กระนั้นยังถูกดูแคลน นางจึงเวทนาอย่างสุดจิตสุดใจ

หลังจากกินข้าวแล้วเสร็จ คุณหญิงเอื้อมจึงนั่งกรองมาลัยดังเดิม ส่วนหลวงภูมีภักดีนั้นเดินไปนั่งใคร่ครวญงานราชการยังศาลาหอกลาง มีเพียงเจ้าสินธุ์ที่มิรู้จะทำอันใด นั่งเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบเรือน

เรือนนี้ใหญ่กว้างร่มรื่นงดงามดังจิตใจกว้างขวางของแม่เรือน บ่าวไพร่แวดล้อมตั้งแต่สาววัยกำดัดกระทั่งแก่เฒ่าผมสีดอกเลาต่างง่วนทำกิจการงานของตนด้วยท่าทีสงบ บ้างก้มคัดดอกไม้ บ้างทำแป้งร่ำอยู่ตรงชานเรือน

เมื่อพิศเพ่งมองชานเรือนก็ให้รู้สึกสงบใจด้วยกอไม้และอ่างบัวเรียงราย ทั้งตะโกนาทิ้งกิ่งเขียวชอุ่มในกระถาง แพงพวยออกดอกสีบานเย็นสดสลับกับนมสวรรค์ต้นเตี้ยชูช่อสีแสด ยังพุ่มข่อยตัดแต่งสวยงามในกระถางกระเบื้องเคลือบ

ข้างฟากตั่งเตียงยกพื้นอันเป็นที่นั่งของคุณหญิงเอื้อมนั้นมีเสื่อหวายปูซ้อนทัพด้วยพรมเปอร์เซียทอลายประณีตและมีหมอนอิงสามเหลี่ยมที่บัดนี้เจ้าของนั่งอิงกรองมาลัยอย่างคล่องแคล่ว ข้างกายฝั่งซ้ายยังโตกเตี้ยเครื่องเงินเชี่ยนหมาก ข้างกันมีกระโถนเคลือบแลป้านน้ำชาเครื่องสังคโลกสีเขียวไข่กา

คุณหญิงทันรู้สึกตนว่าถูกจ้องมิได้วางตาจึงเรียกเจ้าสินธุ์พลางถามไถ่ความ

“มีอันใดฤาพ่อสินธุ์”

เจ้าร่างบางไม่ตอบคำเพียงชี้ไปยังพานทองใส่มะลิและกลีบกุหลาบแดงสดที่วางอยู่เคียงกัน

คุณหญิงเอื้อมแลบ่าวไพร่ต่างมองด้วยท่าทีสนอกสนใจพลางคิดแปลความกิริยานั้นไปต่างๆนานา

“มีอันใดกับดอกไม้...จักกรองมาลัยหรือ” ผู้สูงวัยกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงฉงนสงสัยอยู่ในที

เจ้าสินธุ์ยิ้มบางค่อยพยักหน้า ส่งสายตาออดอ้อนวอนขอ ด้วยเพราะพี่เดชเอ่ยว่าจักพาตนไปกราบพระหลังเสร็จจากงานราชการแลเพลานี้ตนเพียงนั่งนิ่งมิมีงานการอันใด เจ้าร่างน้อยจึงคิดกรองมาลัยบูชาพระประธาน หวังผลบุญส่งไปยังคุณยายผู้ล่วงลับ

“กรองมาลัยได้หรือเจ้า” คุณหญิงเอื้อมสอบถามอีกคราให้แน่ใจด้วยมิใช่หน้าที่บุรุษที่จักใส่ใจการเรือน แลยิ่งกรองมาลัยด้วยแล้วนางมิเคยพบพานบุรุษใดกระทำเยี่ยงนี้มาก่อน

เจ้าร่างน้อยเพียงพยักหน้าหนักแน่น ตากลมใสจดจ้องคอยท่า ท่าทีน่ารักใคร่น่าเอ็นดู มิว่าผู้ใดเห็นเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนปรนต่อคนผู้นี้เป็นแน่

“กรองมาลัยมิใช่เพลิดเพลินดังวิ่งเล่นดอกหนา” แม้นคุณหญิงจักเอ่ยท้วง ทว่าสั่งความให้นางบ่าวสาวใช้คัดแบ่งดอกไม้ใส่กระจาดใบน้อยให้เจ้าร่างบางได้กรองมาลัยสมดังใจหมาย

มือน้อยหยิบจับเลือกดอกไม้อย่างคล่องแคล่ว สักครู่จึงปรากฏมาลัยกลมยกดอกลายเกลียว สีขาวพิสุทธิ์ของมะลิสลับกุหลาบกลีบอ่อนขึ้นวนเป็นเกลียวขนานรอบเข็มอย่างปราณีต จวบจนร้อยอุบะด้วยดอกรักแลดอกกุหลาบตูมห้อยเป็นชายเพียงพวงเดียวจนแล้วเสร็จ นางบ่าวที่นั่งรายล้อมจึงค่อยชี้ชวนกันพิศมาลัยงามมิวางตา

ตัวคนร้อยมาลัยได้งามยังมิทันรู้สิ่งใด ใจจดจ่อยังเข็มมาลัยแลดอกไม้ กระทั่งคุณหญิงเอื้อมเอ่ยถามจึงค่อยรู้ตนว่าผู้อื่นนั้นล้วนนิ่งอึ้ง บ้างชี้ชวนกันให้มองมาลัยในมือน้อย

“คุณยายชื่นสอนเจ้ากรองมาลัยใช่ฤาไม่” แม่นายของเรือนยกมาลัยขึ้นพิศด้วยแววตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด ฝีมือกรองมาลัยงดงามเช่นนี้ มิมีผู้ใดเทียมคุณยายชื่นเป็นแน่

เมื่อเจ้าสินธุ์พยักหน้ารับคำ คุณหญิงจึงยิ้มอย่างพึงใจแล้วเอ่ยไหว้วานเจ้าร่างบางให้มากรองมาลัยที่เรือนในวันพรุ่ง

“วันมะรืนจักเป็นวันพระใหญ่ วันพรุ่งเย็นชายบ่ายคล้อย เจ้ามาช่วยข้ากรองมาลัยเถิดหนา”

เจ้าร่างน้อยตกลงใจอย่างไม่อยากเย็น นับแต่ตนย้ายมาอยู่เรือนพี่เดชนั้นก็มิรู้จักทำอันใด ได้นั่งกรองมาลัยดังคุณยายพร่ำสอนจึงถือเป็นการดีโดยแท้

จวนบ่ายคล้อย เจ้าสินธุ์กรองมาลัยได้ถึงสามพวง ก็ให้รู้สึกตนว่ามีคนนั่งลงเคียง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด เจ้าร่างบางจึงเพียงอมยิ้มวางเข็มมาลัยลงกับกระจาดดอกไม้ทันที

ชายหนุ่มผู้มาใหม่ไหว้แม่นายของเรือนด้วยความเคารพ คุณหญิงเห็นพ่อเดชขึ้นเรือนมาจึ่งรู้แน่ว่ามาตามเจ้าสินธุ์ ด้วยนิสัยใจคอเงียบขรึม รักสันโดษ หากไม่มีกิจธุระสำคัญอันใด เป็นการยากนักหากจักได้พบเห็นพ่อเดชมายังเรือนหลังนี้

“มาตามพ่อสินธุ์ไปที่ใดฤาพ่อ”

“ไปกราบพระวัดไชยวัฒนารามขอรับ”

“ไปเถิด เห็นจักนั่งกรองมาลัยคอยท่าพ่อเดชเสียกระมัง หากแต่วันพรุ่งสักเย็นชายบ่ายคล้อย ป้าจักให้พ่อสินธุ์มาช่วยกรองมาลัยที่เรือนนี้ล่ะหนา พ่อจะว่าอันใดฤาไม่” ด้วยเห็นว่าเจ้าสินธุ์นั้นอยู่ในความดูแลของพ่อเดช คุณหญิงจึงเห็นสมควรจะต้องบอกกล่าวแก่ชายหนุ่มไว้เสียก่อน

“หากพ่อสินธุ์ว่าอย่างไร กระผมก็เห็นดีด้วยขอรับ”

หลังจากไหว้ขอบคุณคุณหญิงเอื้อมแล้ว เจ้าสินธุ์จึงได้นำมาลัยทั้งสามพวงคล้องแขนเดินตามพี่เดชไปยังท่าน้ำ หากยังมิทันเดินจนถึงท่า ก็เห็นแม่หญิงแพงเร่งเดินเข้ามาหา

หญิงสาวพึ่งกราบขอโทษพี่เดชเมื่อขึ้นท่ามาได้เพียงครู่ แลด้วยขุนเดชรักตามใจน้องสาวนัก จึงมิได้ติดใจโกรธเคืองแม่แพงให้มากความ

“พี่เดชจักไปที่ใดหรือเจ้าคะ ให้น้องไปด้วยได้ฤาไม่” แม่แพงรีบถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายตนจักออกไปกับไอ้คนบ้าใบ้

ขุนเดโชเพียงพยักหน้าอนุญาต แม่แพงก็หันไปกวักมือเรียกพวกบ่าวไพร่แลหญิงสาวผู้หนึ่งที่เจ้าสินธุ์เห็นยืนคอยท่าอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่

“ให้แม่มะลิไปเป็นเพื่อนน้องเถิดหนาเจ้าคะ” แม่หญิงแพงเร่งเอ่ยขอให้สหายของตนไปด้วย เนื่องจากแม่มะลินั้นปันใจให้กับพี่ชายของนางมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ซ้ำนางยังมิเคยเห็นพี่เดชยุ่งเกี่ยวกับหญิงใด แม้นพวกบ่าวสาวๆในบ้านจักชะม้อยชายตาอย่างไรก็มิเป็นผล

ตามธรรมดานั้น หากขุนนางผู้ใดจักมีเมียกี่คนก็ย่อมได้ แต่จักมีเมียเอกที่จักมิมีนางน้อยๆอื่นใดทัดเทียม แลศักดิ์ของเมียเอกก็มักจะคู่ควรเป็นลูกพระน้ำพระยาเช่นกันหรือจักเป็นหญิงที่พระเจ้าอยู่หัวประทานให้ก็ตามแต่พระประสงค์ ขุนนางบางบ้านนั้นมีเมียทาสเมียบ่าวกันเสียให้วุ่น หากพี่ชายทั้งสองของนางนั้นมิเคยมีเมียบ่าวในบ้านแลมิเคยเลี้ยงดูผู้ใดออกหน้าออกตา พวกบ่าวสาวใช้ในเรือนล้วนอยากเป็นเมียของพี่ชายนางทั้งสิ้น แต่นางมิเห็นผู้ใดจักถูกใจนางเท่าสหายนางดอก แม่มะลิมิเพียงงามคมขำดอกหนา การบ้านการเรือนก็ล้วนคล่องมือ ทั้งยังมีศักดิ์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพระยาท้ายน้ำ เช่นนี้นางมิเห็นผู้ใดเหมาะสมจักเป็นแม่เรือนของพี่เดชเท่าเทียมแม่มะลิแม้นเพียงสักคน

ขณะลงเรือที่ท่าน้ำ เจ้าสินธุ์ก็เป็นต้องหวั่นวิตกยืนนิ่งไม่ไหวติง ริมฝีปากบางเม้มแน่นพิศดูผู้อื่นลงเรือก็เห็นโคลงเคลงน่าหวาดเสียวนัก เนื่องด้วยหนนี้เป็นเพียงหนที่สองที่ตนจักได้ลงเรือพาย ใจดวงน้อยจึงแกว่งไกวคล้ายจักมิกล้าเขยื้อนกายเสียอย่างนั้น

ขุนเดโชเห็นเจ้าน้องน้อยนิ่งงัน มิขยับกายก็ตระหนักรู้ว่าเจ้าร่างบางหวั่นกลัวจักพลัดตกจมน้ำ จึงลงเรือแลยื่นมือคอยประคองเจ้าร่างน้อยให้ก้าวลงเรือจนสำเร็จ

และแม้นว่าเจ้าสินธุ์จักหวั่นเกรงว่าจักจมก้นคูคลองสักเพียงใด ทว่ามือแข็งแรงคล้ายคอยท่าประคองตนอย่างมั่นคงนั้นก็ให้คลายใจได้อยู่มากโข

ลมเย็นปะทะกระทบผิวกายช่วยคลายร้อนจากแรงแดดที่แม้นจักบ่ายคล้อยก็ให้แสบร้อนอยู่สักเล็กน้อย

ขบวนเรือพายบ้านพระยามณูปกรณ์ทั้งสี่ลำมุ่งหน้าจากคลองประตูฉะไกรน้อยออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างช้าๆ

โดยเรือลำแรกนั้นเจ้าสินธุ์นั่งหน้าเรือ พี่เดชนั่งกลางแลมีบ่าวชายคอยพายคัดท้ายอยู่หลังสุด ส่วนลำที่สองคือเรือของแม่หญิงแพงแลแม่หญิงมะลิ สองลำที่เหลือเป็นพวกบ่าวไพร่ที่คอยติดตาม โดยมีบ่าวสาวใช้ของแม่หญิงทั้งสองเสียหนึ่งลำ และหากตนมิได้คาดเดาผิดไป อีกลำเป็นพวกบ่าวชายที่พี่เดชจักให้คอยระแวดระวังคอยคุ้มภัยแก่แม่หญิงทั้งสองเสียกระมัง

สองข้างฝั่งน้ำมิได้มีเรือนหลังใหญ่ดังบ้านพี่เดช มีเพียงเรือนเครื่องผูกสร้างด้วยไม้ฝาขัดแตะมุงด้วยจากหรือหญ้าคา หลังคาหน้าจั่วหรือแบบเพิงหมาแหงนเรียงรายทั้งสองฝั่ง จะมีท่าน้ำงามของเรือนไม้เครื่องสับสร้างด้วยไม้กระดานก็น้อยเต็มที  บ้างก็มีเรือนแพตามริมฝั่งน้ำ ทั้งผู้คนพายเรือสวนไปมา ผู้คนเหล่านั้นหากรู้จักพี่เดชก็ให้ไหว้ทักทายด้วยท่าทีนบนอบ ยังให้เจ้าสินธุ์มองตามสายตาไปสบเข้ากับตาคมคล้ายจับจ้องตนอยู่ก่อนหน้า

ขุนเดโชยิ้มเพียงมุมปากพิศเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้เหลียวซ้ายแลขวาด้วยท่าทีใคร่รู้ กลิ่นมะลิบางเบาจากเจ้าร่างบางที่นั่งอยู่หัวเรือยังให้จิตใจสงบชุ่มเย็นมิรับรู้แม้นเพียงไอแดด บ้างบ่าวไพร่บ้านข้าราชการอื่นๆที่ตนเข้าสังกัดพายเรือสวนกันก็ต่างทักทายตามประสา กระนั้นเมื่อเลื่อนสายตาจับจ้องยังเจ้าร่างน้อยอีกคราก็ให้สบเข้ากับตากลมโศกที่จดจ้องตนพลางยิ้มให้ด้วยท่าทีเปี่ยมสุขก่อนค่อยผินหน้าไปยังทิศเดิม มือน้อยแตะราผิวน้ำดังเพลิดเพลินใจเป็นหนักหนา

เรือพายค่อยเคลื่อนจนบัดนี้แลเห็นย่านสิ่งก่อสร้างแปลกตา เรือนนั้นมิได้ปลูกสร้างด้วยไม้ดังเรือนทั่วไป กระนั้นใต้ถุนกลับทึบกลมกลืนกับเสาเรือน(เปนย่านจีนอยู่ตึกสองฟากถนนหลวง) ผู้คนตามท่าหรือก็ล้วนมีแต่บุรุษ ซ้ำบางคนยังผิดแผกกว่าผู้ใดที่เจ้าสินธุ์เคยพบ ด้วยบุรุษเหล่านั้นร่างขาวกำยำอยู่ดอก กระนั้นผมดำยาวกลับพันทบกันยาวลงกลางหลัง มิเหมือนชายชาวสยามแลไม่เหมือนดังตนที่แม้นจักผมยาวหากแต่เกล้าจุกไว้ แลแม้นบ่าวชายจักคัดท้ายเรือไปไกลมิวายให้ต้องเหลียวมองด้วยฉงนในใจนัก

เจ้าร่างน้อยมองซ้ายขวาอย่างมิเคยพบพานด้วยคราแรกที่ลงเรือมาอยู่เรือนพี่เดชนั้นตนมิได้ใส่ใจยังสองฝั่งน้ำ เพียงครู่ก็ปรากฏปรางค์ยอดสูงผ่านทิวไม้เห็นอยู่แต่ไกล

เมื่อเรือสี่ลำจอดเทียบท่า ขุนเดชจึงก้าวขึ้นฝั่งพลางค่อยยื่นมือคอยรับเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้ทรงตัวมิใคร่อยู่ซวนเซปะทะอกกว้าง

“เป็นอันใดฤาไม่” ขุนเดชเอ่ยถามพลางพิศเจ้าร่างบางที่แม้นว่าจักซวนเซ กระนั้นยังระแวดระวังมิให้มาลัยงามได้แตะต้องสิ่งใด

แม่แพงเห็นดังนั้นก็ให้ขุ่นใจยังท่าทีใส่ใจของพี่เดชที่มีต่อไอ้ใบ้เป็นหนักหนา ยังให้แม่มะลิหลากใจระคนวาดหวังให้ขุนเดโชสนใจในตัวนางดังคนผู้นั้นแม้นเพียงสักเล็กน้อย

แม่มะลิพิศใคร่ครวญชายร่างบางมาตั้งแต่ลงเรือด้วยมิเคยพบพานมาก่อน เป็นสหายพี่เดชล่ะหรือ หากแม่แพงบอกตนว่าคนผู้นี้น่าชิงชัง ไม่รู้จักกิริยามารยาทแต่อย่างใด กระนั้นแม้นเพียงเพลานี้นางยังมิเห็นสิ่งใดผิดแผก เพียงพี่ขุนเดชเอาใจใส่สนิทสนมกว่าคนผู้อื่น

เมื่อตั้งตัวได้ เจ้าสินธุ์ก็ให้ตื่นตาตื่นใจด้วยความวิจิตรงดงาม อุโบสถหลังใหญ่ริมท่าน้ำ ระเบียงคดประดิษฐานพระประธานปางสมาธิบนฐานชุกชี รายล้อมด้วยใบเสมา ยังองค์พระปรางค์ประธานตั้งอยู่บนฐานไพทียกพื้นขนาดใหญ่ปิดทองตรึงด้วยหมุดสาดแสงสีทองไปทั่วคุ้งน้ำ มีจัตุรมุข(มีมุขยื่นออกมาทั้ง ๔ ด้าน) แลมุขด้านตะวันออกทะลุเข้าสู่เรือนธาตุ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปนั่ง ส่วนยอดขององค์ปรางค์นั้นเป็นรัดประคดซ้อนกันถึง ๗ ชั้นล้วนลวดลายใบขนุนแลกลีบขนุน ส่วนบนสุดเป็นทรงดอกบัวตูม ล้อมด้วยเมรุทิศและเมรุราย บ้างเป็นภาพปูนปั้นเล่าพุทธประวัติ บ้างลวดลายเขียนสีเป็นเรื่องราว งามจับตาเป็นหนักหนา

ต่อหน้าพระประธานอันรามปางมารวิชัยฉายรัศมีสีทองน่าเคารพบูชาจนมิกล้าจักเงยหน้ามอง เจ้าร่างน้อยก้มกราบน้ำตาคลอด้วยใจศรัทธา ขอพรให้คุณยายไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

“พี่เดชเจ้าขา น้องแลแม่มะลิจักไปเลือกซื้อผ้าแพรไหมแถบเชิงตะพานประตูในไก่ได้ฤาไม่เจ้าคะ” เมื่อกราบพระประธานแล้ว ก่อนลงเรือกลับ แม่แพงคิดจักเป็นแม่สื่อแม่ชักให้แม่มะลิแลพี่ชายตนได้คุ้นเคยกัน จึงขอพี่ชายให้พาไปซื้อของยังตลาดน้อย
แลด้วยมิเปนเรื่องอันหนักหนา ขุนเดโชจึงตามใจน้องสาวอย่างเช่นเคย

ตลาดน้อยในยามนี้มีพวกจีน‘นั่งร้านขายของสรรพสำเภา ไหมแพร ทองขาวทองเหลือง ถ้วยชามเครื่องสำเภาครบ มีตลาดสดขายสุกรปลาของสดเช้าเยนอยูในย่านในไก่ ย่านสามม้าแต่เชิงตะพานในไก่ตวันออกไปถึงหัวสะพานมุมกรุงเทพมหานคร จีนทำเครื่องจันอับแลขนมทำโต๊ะเตียงแลถังน้อย แลทำสรรพเครื่องเหล็ก แลมีตลาดขายของสดข้าวเยนแต่หัวโรงเหล็กไปจนปตูช่องกุด...’ (จากหนังสือคู่มือท่องเที่ยวอยุธยาเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา) ผู้คนต่างเดินจับจ่ายซื้อหาของตามตนต้องการ

แม่แพงแลแม่มะลิต่างเลือกดูแพรไหมมากมาย ทั้งห่อยังไม่ได้แกะอยู่ในม้วนกระดาษชุบน้ำมัน แลส่วนที่วางขายอยู่เรียงราย ห้อมล้อมไปด้วยบ่าวชายซึ่งคอยคุ้มกัน ยังพวกนางบ่าวไพร่ที่ตามมาจากเรือน

ข้างฝั่งเจ้าสินธุ์และขุนเดชนั้นเดินรั้งท้ายอยู่ห่างๆ กระนั้นเจ้าร่างน้อยชะเง้อมองขนมแห้งต่างๆด้วยแปลกตานัก

“พี่เดชเจ้าขา แพรไหมม้วนนี้งามเหลือเกิน...” แม่แพงเห็นพี่เดชมิยอมห่างเจ้าสินธุ์แม้แต่น้อยจึงค่อยชักชวนพี่ชายตนให้เดินเคียงแลลอบสังเกตไอ้ใบ้ที่ดูท่าจักตื่นใจพิศดูเพียงสิ่งของมิสนใจผู้คนรอบกายพลางยิ้มอย่างหมายมาด

“หากเจ้าชอบใจก็เลือกดูเถิด” ขุนเดชบอกน้องสาวด้วยท่าทีเอ็นดูพลางพิศแพรไหมที่แม่แพงหยิบยกเอ่ยถามเจื้อยแจ้วว่างามฤาไม่

“ซื้อให้แม่มะลิได้ฤาไม่เจ้าคะ” เมื่อพี่ชายเอ่ยตามใจ แม่หญิงแพงจึงออดอ้อนให้พี่ชายตบปากรับคำซื้อข้าวของให้แก่สหายตน หากมิทันที่ขุนเดชจักเอ่ยอันใด แม่หญิงมะลิก็ทัดทานด้วยเกรงอกเกรงใจเป็นหนักหนา

“มิเปนใดดอกเจ้าค่ะ น้องมิใคร่รบกวน อัฐก็นำติดตัวมาด้วยแล้ว...”

“ผ้าแพรเพียงเท่านี้ คงมิทำให้พี่ล่มจมดอก” ด้วยเห็นแม่มะลิเป็นสหายแต่วัยเยาว์ของแม่แพง ขุนเดโชจึงนึกเอ็นดูนางประดุจน้องสาว หากนางอยากได้อันใดก็จึงเต็มใจซื้อหาให้ทั้งสิ้น

แม้นแม่หญิงมะลิจักเอ่ยทัดทาน กระนั้นได้ฟังคำพี่ขุนเดชก็ให้ซาบซึ้งใจเป็นหนักหนา นางลอบก้มยิ้มหน้าตาแดงระเรื่อ ทว่าก็แต่งเป็นเลือกแพรไหมอย่างสนอกสนใจ
....................................................

@ คุณ yeyong  :sad2: เร่งทำงานแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเลยค่ะ วันนี้ก็เลยมาต่อตอนต่อไปให้แล้ว แต่ว่ายังไม่จบ ว่างๆลองแวะเข้ามาดูได้นะคะ ไว้จะมาต่อที่เดิม
@ คุณ takara เจอแน่นอนค่ะ แม่นางร้ายเค้าแขวะเช้าแขวะเย็นก่อนเวลาอาหารเลยค่ะ :laugh:
@ คุณ nongrak งานนี้สินธุ์โดนไปเต็มๆค่ะ  :o9: ส่วนพี่เดชไม่แน่ใจว่าจะคอยคุ้มครองได้รึป่าวนะคะ ต้องรอลุ้นจ้า
@ คุณ inspirer_bear แหม แซวพ่อสินธุ์จนได้นะคะ สมัยนั้นยังไม่มีน้องผสมขายค่ะ ถ้ามีสงสัยไม่ลืมหยิบแน่ๆ เอหรือจะให้พ่อสินธุ์ลงค้นหีบดูดีน้า เผื่อจะเจอน้องผสมหยิบติดมือมาด้วย
@ คุณ akiko ดีใจที่ชอบค่ะ อย่าลืมแวะมาอ่านด้วยนะคะ ขอโทษจริงๆที่มาช้ามากเลย พอดีเวลาการบ้านเยอะแล้วมันก็เครียดๆ เลยพลอยทำให้ไม่มีอารมณ์แต่งไปเลยล่ะค่ะ( :z6: โดนคนอ่านตื๊บ โทษฐานแต่งตามอารมณ์)
@ คุณ kasarus ท่านเจ้าคุณรู้แล้วค่ะ แถมเอ็นดูเสียด้วย ส่วนเรื่องแม่หญิงแพง คอนเฟิร์มว่ายังป่วนได้อีกค่ะ

 :กอด1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2012 02:00:58 โดย Made »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
จะติดตามต่อไปนะคะ

ว่าแต่แม่แพงนี่ใช้ผีอีแพงกลับชาติมาเกิดหรือเปล่าเนี่ย
เป็นสตรีที่ใจหยาบจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
แล้วกันแม่แพง ทำแบบนี้ได้งัย สินธุ์ออกจะน่ารัก เดี๋ยวฟ้องพี่เดชเลย

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
พ่อไทก็จะมาหลงเสน่ห์เจ้าสิรธุ์อีกคนแล้วเหรอ
อย่ามาแย่งของพ่อเดชสิ เค้าอุตส่าห์หอบหิ้วกันมา
ใครๆ ก็พากันรักเจ้าสินธุ์กันหมด งี้แม่แพงก็เป็นหมาหัวเน่าสิ
แล้วชีก็จะมาพาลเอากับเจ้าสินธุ์ให้เดือดร้อน

ว่าแต่ท่านเจ้าคุณยังไม่มีบทพูดเลยนะเนี่ย ได้แต่แสดงออกทางสีหน้า

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 :เฮ้อ: มีนางตัวร้ายเพิ่มมาละ
ร้ายแบบแว๊ดๆ เหมือนย้อนกลับไปดู นางทาส ยังไงยังงั้น

พี่ไทยังไงก็ห้ามนะค่ะ นาทีขุนเดชเท่านั้นที่เป็นพระเอก 5555

ปล  อย่าลืมมาต่อนะค่ะ คุณอิ๋ง ยังติดตามอยู่ค่ะ   
คำไหนคำนั้นไม่ทิ้งแน่นอน  :กอด1:

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
อ่านแล้วเริ่มรู้ละ ว่าใครเป็นใคร ในอดีตชาติ สงสารพ่อสินธุ์ของเรา พูดก็ไม่ได้ ยังโดนคนรังแกอีก
 :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ยัยแม่หญิงแพงช่างร้ายเช่นนี้ขออย่าได้คู่เลย
สินธ์น่าสงสารอยู่แล้วยังจะมาตั้งท่ารังเกียจกันอีก
ดีนะที่มีคนมาเห็นไม่เช่นนั่นสินธ์คงได้เจ็บตัวเป็นแน่

บวกหนึ่งครับท่าน

Made

  • บุคคลทั่วไป
เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=vh-G0uGPlqI

ครานั้น 5

เจ้าสินธุ์กังวลห่วงเพียงขนมแห้ง พิศอยู่เป็นนานว่าควรจักซื้อดีฤาไม่ มือน้อยกำถุงเงินอย่างชั่งใจ กระทั่งเงยหน้าจักถามพี่เดชก็ให้สะดุ้งตกใจด้วยมิเห็นพี่เดชแม้นเพียงเงา มีเพียงผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่

เจ้าร่างน้อยมิรู้จักทำอันใดจึงเหลียวซ้ายแลขวาพลางออกวิ่งตามหาพี่เดชอย่างไม่รู้ทิศทาง

จวบจนยามพลบค่ำ เจ้าร่างบางก็ยังมิพบผู้ใด ใจดวงน้อยเคว้งคว้างหวาดหวั่นเป็นนักหนา เหงื่อกาฬก็ให้โทรมกาย ทั้งกระหายเหนื่อยหอบเป็นกำลัง

ด้วยมิรู้ทิศทาง เจ้าสินธุ์จึงมิอาจรู้ได้ว่าตนอยู่ที่ใด บัดนี้รอบกายแวดล้อมไปด้วยเรือนก่ออิฐอย่างฝรั่ง บ้างมุงกระเบื้องดูแปลกตา สองข้างทางบ้างเป็นโรงน้ำชา บ้างมีหญิงสาวนุ่งเพียงผ้าซิ่นเปลือยอกอยู่ตามช่องประตู แววตาพวกนางคล้ายจักนิ่งเฉยเบื่อหน่าย บ้างโศกเศร้าอาทร บ้างแววไวแพรวพราวส่งสายตาเชิญชวน

เจ้าสินธุ์เห็นดังนั้นจึงให้ก้มหน้าหลบตาเดินเลี่ยงเร่งฝีเท้าผ่านไปโดยไว ทว่ายิ่งเดินก็คล้ายจักมืดลงทุกขณะ ตามรายทางยิ่งมีหญิงเปลือยอกแลชายหนุ่มหลากวัย ทั้งพวกผิวกายขาวผมยาวมัดทบลงกลางหลังดังเห็นริมน้ำเมื่อบ่าย ทั้งพวกผิวกายคล้ำผมหยักศก ไว้หวดเคราดวงตาดุคมเดินเข้าออกโรงน้ำชา กระทั่งชายชาวสยามก็มีมิใช่น้อย

เจ้าร่างน้อยเดินก้มหน้ามิมองอันใดกระทั่งปะทะเข้ากับคนผู้หนึ่งก็ให้สะดุ้งตกใจ ยกมือไหว้ขอลุแก่โทษ

“@#%$&*” ด้วยคำสบถแปร่งหูมิเคยได้ยิน เจ้าสินธุ์จึงเงยหน้ามอง หากให้แปลกใจด้วยชายผู้นี้รูปกายหน้าตาแปลกตาหนักหนา ทั้งผมหยักศกสีอ่อน แลดวงตาสีฟ้า กระนั้นหากนุ่งห่มอย่างชาวสยาม

“เป็นบุตรชายบ้านใดออกมาเที่ยวเล่นหาความสำราญใช่ฤาไม่” พลันเจ้าสินธุ์ก็ให้หลุดพ้นจากห้วงภวังค์เมื่อชายหน้าตาประหลาดพูดกับตน สายตาแพรวพราวอย่างถูกใจมองร่างน้อยอย่างสำรวจจาบจ้วง

เจ้าสินธุ์เพียงส่ายหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง กระนั้นบุรุษร่างใหญ่กลับคว้าแขนตนไว้มั่น

เจ้าร่างบางจึงเพียงมองอย่างแคลงใจพลางค่อยกระตุกมือกลับ ทว่าชายผิวซีดมิยอมปล่อย ซ้ำยังกำแน่นกว่าเดิม ดวงตาสีฟ้าฉายแววหื่นกระหายอย่างปิดไม่มิด

“จักมิพูดกับข้าสักหน่อยหรือ ฤาจักต้องจูบซักทีสองทีเสียกระมัง”

เจ้าสินธุ์เพียงก้มหลบตาส่ายหน้าน้อยๆด้วยตกตะลึง ใจประหวัดถึงแต่พี่เดช มือน้อยเร่งแกะมือใหญ่ด้วยพัลวัล

กระนั้นชายร่างสูงใหญ่กลับดึงตนเข้าประชิดตัวพลางเชยคางพิศใบหน้านวลอย่างถ้วนถี่

“เป็นลูกหญิงโรงชำเราใดฤา ผิวกายนุ่มหอมยวนใจข้านัก ร่างก็แน่งน้อยแต่เพียงเท่านี้ มาเถิด ข้าจักจ่ายให้อย่างงามเทียว”

ชายหนุ่มรูปกายประหลาดผู้นี้ว่าพลางชูถุงอัฐอ้วนพีตรงหน้าเจ้าร่างน้อย ทว่าเจ้าสินธุ์เพียงขืนตัวแลเร่งแกะมือใหญ่อย่างสุดกำลัง
 
“เช่นนั้นข้าจักให้สร้อยทองอีกเส้น” คนพูดว่าพลางปลดทองมารวมไว้กับถุงอัฐ กระนั้นเจ้าสินธุ์ก็ให้หวั่นเกรงส่ายหน้าด้วยแววตาตื่นกลัว

“หากพูดจายากนัก ข้าจักไม่ปราณีแล้วหนา” ว่าจบชายผิวซีดร่างใหญ่ใตก็อุ้มเจ้าสินธุ์พาดบ่า

บัดนี้ เจ้าร้างน้อยหวาดกลัวสุดใจ ด้วยคนผู้นี้แลดูมิประสงค์ดีนัก ทั้งใช้กำลังฝืนใจ จักพาตนไปที่ไดก็สุดจักคาดเดา นึกได้เพียงเท่านี้ เจ้าร่างบางจึงดิ้นสุดกำลัง ทว่าอย่างไรคนผู้นี้ก็คล้ายจักมิสะทกสะท้าน เพียงหัวร่อแผ่วอยู่ในลำคอ

ตากลมโศกมองไปยังคนผู้อื่นที่เดินสวนกันก็มิมีผู้ใดใคร่จักใส่ใจตนแม้สักน้อย ต่างผ่านเฉยดังเห็นเป็นเรื่องสามัญ เจ้าสินธุ์จึ่งให้น้ำตาร่วงเผลาะด้วยหวั่นใจเป็นหนักหนา เจ้าร่างน้อยดิ้นปัดป่ายสุดแรงกำลัง กระทั่งร่วงตกลงพื้นแลแม้นจักกลิ้งล้มลุกคลุกคลานก็ให้ลุกวิ่งอย่างไม่รู้ทิศทาง กระทั่งพุ่งเข้าชนกับคนกลุ่มหนึ่งจนล้มพับนั่งกับพื้น เป็นเหตุให้ชายประหลาดเข้าจับกุมตนได้อีกครา
 
“พ่อสินธุ์ มาทำอันใด ณ ที่นี้ฤา” เมื่อเจ้าสินธุ์เงยหน้ามองก็ให้ยินดีด้วยคนตรงหน้านั้นคือหมื่นรามราชเดช เจ้าร่างบางจดจำได้ว่าคนผู้นี้คือสหายของพี่เดช ไม่ผิดเป็นแน่ มือน้อยจึงไขว่คว้าแลดิ้นรนหมายจักวิ่งเข้าหาหมื่นรามให้พากลับเรือน

หมื่นรามเห็นดังนั้นก็สั่งให้บ่าวชายติดตามล้อมตัวชายชาวฝรั่งไว้

“ปล่อยสหายข้าบัดเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มยืนประจันหน้าชายร่างใหญ่พลางเอ่ยด้วยเสียงดุดัน

แลแม้นอ้ายฝรั่งใหญ่จักขุ่นเคืองโกรธาสักปานใดก็มิกล้าต่อกรด้วยคนหมู่มาก จึงเพียงปล่อยมือจากเจ้าร่างบางผินกายจากไปอย่างมิใคร่พอใจนัก

เจ้าร่างน้อยเมื่อพ้นจากชายประหลาดก็วิ่งเข้าเกาะแขนหมื่นรามร่ำให้สะอึกสะอื้น ยังหมื่นรามมิรู้จักทำอย่างไร จึงเพียงลูบหลังพลางกล่าวปลอบใจหวังให้เจ้าร่างน้อยคลายสะอื้น

“มิเปนอันใดดอกหนา มิมีผู้ใดจักทำอันใดเจ้าได้ดอก”

เจ้าสินธุ์พยักหน้ารับคำพลางป้ายน้ำตา ยังให้ตากลมบวมช้ำ ใบหน้าหรือก็ล้วนแดงก่ำ ผู้ใดพบเห็นก็ให้นึกเวทนาเป็นแน่แท้

“ไปกินน้ำชากับพี่เสียก่อนเถิด” หมื่นรามว่าแล้วก็ค่อยพาเจ้าร่างบางผินกายเข้าไปยังโรงน้ำชาตรงหน้า

เจ้าร่างน้อยพิศมองรอบกายด้วยมิเคยพบพานย่านร้านค้าเช่นนี้มาก่อน ทั้งผนังก่ออิฐฉาบปูนมิใช่ดังเรือนไม้ ยังพวกไม้แกะสลักเป็นรูปงู(มังกร) นก ดูผิดตา ทั้งโคมไฟแดงห้อยภู่ โต๊ะเก้าอี้มุก แลป้านน้ำชาเครื่องเคลือบลวดลายประณีตมิคุ้นตา

“เจ้ามากับผู้ใดฤา ใยจึงถูกอ้ายฝรั่งผู้นั้นฉุดคร่าเสียได้” หมื่นรามถามความเจ้าสินธุ์แล้วยื่นกระดานชนวนแลดินสอหินแก่เจ้าร่างน้อยด้วยหวังจักสื่อความให้กระจ่างแจ้งแลบางครารู้สึกตนผิดแผกยามเอ่ยคำแต่เพียงผู้เดียว

เจ้าสินธุ์ก้มเขียนหนังสือ หากยังมิทันจบคำหมื่นรามที่จ้องมองอยู่ก็เอ่ยสำทับขึ้นเสียก่อน

“มากับพ่อเดชหรอกหรือ ดีจริงเทียว ข้าห่วงกังวลเป็นนานว่าสหายข้าเป็นอันใดมิใคร่มาเที่ยวโรงชำเรา(ซ่อง)เหมือนดังแต่ก่อน เช่นนั้น เพลานี้พ่อเดชอยู่ที่ใดเล่า ใยจึงปล่อยเจ้าให้ถูกฉุดคร่าเสียได้”

เจ้าสินธุ์ได้ยินเช่นนั้นก็ให้นึกถึงพี่เดชสุดใจ น้ำตาคลอหน่วยคล้ายจักร่วงหล่น ป่านนี้มิรู้พี่เดชจักใส่ใจตามหาตนหรือไม่ กระทั่งเมื่อบ่าย มิรู้ว่าตนพลัดหลงหรือพี่เดชนึกรำคาญใจจึงมิอยากให้ตนร่วมเรือนกระมัง

หมื่นรามเห็นน้ำตาเจ้าร่างน้อยคลอหน่วยก็ให้คิดไม่ตกว่าจักทำอย่างไร ไพล่คิดไปถึงสหายตนว่าจักร้อนรนออกเที่ยวหาเจ้าร่างน้อยนี้ถึงสักเพียงไหน

“เอ้า ตั้งท่าจักร่ำไห้เสียแล้ว เอาเถิด อย่างไรข้าจักพาเจ้ากลับเรือน...”

หากยังมิทันหมื่นรามจักกล่าวจบ ก็ปรากฏบ่าวชายวิ่งพรวดพราดเข้ามาทรุดตัวหมอบกราบ

“ท่านหมื่นขอรับ บัดนี้แม่นางฝรั่งขึ้นท่ามาแล้วขอรับ” บ่าวผู้นั้นกล่าวจบก็ให้หายใจหอบด้วยเร่งวิ่งจากท่ามาแจ้งข่าวแก่นายตน

“จำเริญเสียแล้วสิกู ไปเถิดพ่อสินธุ์” หมื่นรามว่าพลางจับจูงเจ้าร่างบางออกทางประตูโรงน้ำชาแลค่อยลัดเลาะไปยังท่าน้ำหน้าตลาด

“เร่งไปเอาเรือเข้า อ้ายเจิม อ้ายมิ่ง ชักช้าจะมิทันการ”

เจ้าสินธุ์มองหมื่นรามอย่างแปลกใจ ด้วยฉงนสงใสยังท่าทีเร่งรีบทั้งลับๆล่อๆคล้ายจักหลบลี้หนีผู้ใด

“สินธุ์!” เสียงทุ้มคุ้นหูระคนยินดียังให้เจ้าร่างน้อยหันควับไปตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด เจ้าร่างบางจึงเร่งวิ่งเข้าหาด้วยยินดียิ่ง

ขุนเดชรวบร่างเจ้าน้องน้อยเข้าแนบอกอย่างห่วงหาพลางกระซิบถ้อยคำพึมพำฟังมิได้ศัพท์ ด้วยเมื่อรู้ตนว่าคลาดกับเจ้าน้องน้อยก็จวนพลบค่ำเสียแล้ว ยังใจให้ร้อนรนพะวงหา เร่งบ่าวคัดท้ายเรือไปส่งน้องสาวแลแม่มะลิยังเรือน แลฝากความให้อ้ายบุญบ่าวคนสนิทแจ้งความแก่พี่ไทให้ส่งคนออกตามหา ส่วนตนนั้นนึกเพียงจักไปยังโรงชำเราของพ่อรามให้คัดคนเร่งออกตามอีกแรง ทว่าเคราะห์ดีเป็นหนักหนา บัดนี้เจ้าน้องน้อยมิเปนอันใดแลกลับคืนมาแล้ว

“พี่มิให้ไปไกลตาพี่แล้วหนา พ่อคุณของพี่”

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ขุนเดโชก็ให้ใส่ใจเจ้าสินธุ์ยิ่ง หากคราใดจักพาเจ้าน้องน้อยออกไปเที่ยวยังย่านร้านตลาด ก็มิเคยละทิ้งเจ้าร่างบางแม้นเพียงสักครา ยังสั่งอ้ายบุญคอยติดตามพ่อสินธุ์ด้วยเกรงเจ้าร่างน้อยจักพลัดหลงมิคืนกลับ แลหากวันใดว่างเว้นจากราชการ ก็เพียงนั่งจักตอกเคียงเจ้าสินธุ์ยังศาลาท่าน้ำหน้าเรือน

ข้างฝ่ายแม่หญิงแพงก็ให้ชิงชังแค้นเคืองเจ้าสินธุ์เป็นทบทวี ด้วยพี่เดชมิใคร่ใส่ใจนางดังแต่ก่อน ทั้งพี่ไทแลเจ้าคุณพ่อก็ต่างเอ็นดูไอ้ใบ้เสียยิ่งกว่าเอ็นดูนาง ยังคุณหญิงเอื้อมเอ่ยชม ถูกใจมันเป็นหนักหนา พวกบ่าวไพร่ต่างเล่าลือยกยอกันว่ามิมีผู้ใดจักกรองมาลัยได้งามเทียมมัน คุณแม่นั้นหรือให้ก็เอ่ยถึงมิได้ขาดปาก คอยดูเถิด สักวันนางจักให้ผู้คนชังไอ้ใบ้ดังใจนางให้เสียจงได้

“แม่แพง แม่จักไปสองแควเสียสองสามวัน เจ้าอยู่ทางนี้ก็ช่วยดูแลการเรือนทีเถิด” แม่เดือนเอ่ยฝากเรือนต่อบุตรสาวพลางเร่งเก็บข้าวของจำเป็นลงเรือไปเยี่ยมคุณน้าน้องสาวคุณแม่ เหตุเพราะเมื่อรุ่งเช้าบ่าวทางโน้นเร่งมาแจ้งข่าวว่าคุณน้าล้มป่วยเจ็บหนักลุกจากหอนอนมิได้มาหลายวันแล้ว

“เจ้าค่ะ คุณแม่มิต้องเป็นห่วง” แม่หญิงแพงรับปากพลางลอบยิ้มนัยหน้า ด้วยเรือนใหญ่ก็มิมีผู้ใดคุมเรือนด้วยคุณหญิงเอื้อมไปเข้าเฝ้านายเก่า วันพรุ่งจึงจักกลับ ข้างเจ้าคุณพ่อ พี่เดช แลพี่ไทก็ไปราชการ จวนเย็นชายบ่ายคล้อยกระมังจึงจักกลับมา

แม่แพงจึงเพียงเดินเข้าหอนอนเพื่อตระเตรียมทำการบางสิ่ง

ล่วงเข้าหน้าหนาว ลมเย็นโชยมาให้ต้องกระชับผ้าห่มคลุมให้คลายหนาวไปบ้างแลแดดอ่อนๆฉายกระทบฝากระดานให้อบอุ่นขึ้นบ้าง มือน้อยค่อยหยิบจับคัดมะลิ ข้างกายเจ้าสินธุ์ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งจดจ้องคอยท่ามิวางตา

“พ่อสินธุ์ ข้าพึ่งทำขนมกรุบแล้วเสร็จเมื่อเช้า ว่าจักแบ่งมาให้เจ้าบ้าง ตามข้าไปเอาที่เรือนเถิด”

เมื่อเจ้าสินธุ์เงยหน้ามองผู้พูดก็ให้ประหลาดใจด้วยมิใคร่แน่ใจนักหากแม่หญิงแพงจักเอ่ยกับตนด้วยไม่มีท่าทีโกรธเคือง

กระนั้นเมื่อเห็นแม่แพงยืนคอยท่าจึงมิอาจปฏิเสธ ค่อยวางกระจาดมะลิไว้ข้างกายแล้วเดินตามแม่หญิงไปยังโรงครัว

“ยิ้มก็มาด้วยกันเถิดหนา จักได้เอาไปแบ่งสหายเจ้าอย่างไรเล่า” แม่แพงมิวายเอ่ยชวนนางลูกข้าทาสที่นั่งมองไอ้ใบ้กรองมาลัยด้วยอีกคน

หลังกลับจากโรงครัว เจ้าสินธุ์จึงแบ่งขนมกรุบในจานส่วนหนึ่งให้เด็กสาวนำไปให้พวกลูกข้าทาสที่วิ่งอยู่กลางลาน อีกส่วนนั้นไว้ให้ตนแลแม่ยิ้ม

กระทั่งกรองมาลัยสวมจุกให้เด็กสาวแล้วก็พลันได้ยินเสียงเอะอะจากเรือนใหญ่ สักครู่แม่แพงแลนางบ่าวสาวใช้หลายคนจึงลงเรือนเดินเมียงมองดังหาบางสิ่ง

“พ่อสินธุ์เห็นสร้อยข้อมือของข้าบ้างฤาไม่” แม่หญิงแพงเดินมาถามขัดจังหวะเจ้าสินธุ์ที่นั่งฟังแม่ยิ้มเอ่ยเจื้อยแจ้วอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ

เจ้าร่างบางเพียงส่ายหน้าด้วยตนเพียงแต่นั่งกรองมาลัย มิเห็นสร้อยข้อมืออันใดตกหล่น กระนั้นก็ช่วยลุกเดินตามหาดังบ่าวคนอื่นๆ

“ไอ้ใบ้!! สร้อยข้อมือข้าใยจึงมาอยู่ใต้กระจาดมะลิเจ้า” แม่หญิงแพงเอ็ดเจ้าสินธุ์เสียงดัง เมื่อเดินค้นตามศาลาท่าน้ำแล้วให้พบสร้อยข้อมือทองฝังพลอยแดงของตน

“ยามข้าถามใยจึงตอบเยี่ยงมิรู้เห็นอันใด ที่แท้แล้วเป็นเจ้าเห็นมันตกหล่นแล้วคิดจักยึดเป็นสมบัติตนใช่ฤาไม่” ยังมิทันที่เจ้าสินธุ์จักได้คิดใคร่ครวญ แม่หญิงแพงกลับเอ่ยวาจาพรั่งพรูมิได้หยุด ยังให้พวกบ่าวไพร่ทั้งเรือนต่างพากันจดจ้อง

เจ้าร่างน้อยจึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ กระนั้นแม่แพงคล้ายมิฟังอันใด ตะเบ็งเสียงด่าทอด้วยโกรธเคืองเป็นกำลัง

“หนอย หน้าด้านหน้าทนจริงเทียว จับได้คาตาถึงเพียงนี้ยังกล้าโป้ปด อ้ายสม อ้ายยอด เอามันไปโบยสักหนึ่งยก(สี่สิบที)ให้รู้สำนึกเสียบ้าง”

มิมีบ่าวไพร่คนใดขยับกาย ด้วยคุณหญิงเอื้อม แม่นายใหญ่ของเรือนมิได้สั่งการด้วยตนเอง พวกตนจึงมิกล้าลงมือทำการอันใด ทว่าเมื่อได้ยินแม่หญิงแพงสั่งการอีกคราก็จึงเร่งเข้าคุมตัวสหายพ่อขุนเดชด้วยเกรงจักถูกลงโทษไปเสียอีกคน

ท่ามกลางลานหญ้าบัดนี้เต็มไปด้วยพวกบ่าวไพร่ที่ต่างมาคอยเมียงมองพ่อสินธุ์ที่ถูกมัดมือนั่งคู้ตัวหน้าตาซีดเซียว ข้างกันมีร่างกำยำของอ้ายยอดยืนกำหวายอันโตเท่าหัวแม่มือแน่น นายยอดคล้ายมิใคร่เต็มใจจักลงหวายนัก มือไม้หรือก็ให้สั่นเทา ด้วยเมื่อคราก่อนลูกตนป่วยหนัก สหายพ่อขุนเดชก็ให้อัฐไปหาซื้อยามารักษาจนหายดี

“แม่หญิงแพงเจ้าขา บ่าวขอเถิดหนาเจ้าคะ” นางพิศถลันตัวก้มหน้าไหว้ตัวสั่นงันงกตรงหน้าแม่หญิงแพงที่มองเจ้าสินธุ์อย่างสมใจ

“อ้ายยอด ข้าสั่งให้โบยบัดเดี๋ยวนี้ มัวรีรออันใดกันเล่า” ใบหน้าเย็นชามิแม้แต่จักชายตามองนางบ่าวสาวใช้เรือนพี่เดช ซ้ำยังสั่งให้บ่าวชายเร่งโบยไอ้ใบ้ที่ได้แต่หมอบนิ่ง

เสียงหวายหวดแหวกอากาศกระทบเนื้อให้ทุกผู้ที่ได้ยินสะดุ้งตกใจ รอยแดงปรากฏบนผิวเนื้อยังให้ผู้พบเห็นได้แต่เวทนาระคนหวาดหวั่น แรงหวายแสบร้อนเพียงใดนั้นพวกบ่าวไพร่ข้าทาสทุกคนต่างรู้ดี

“อ้ายยอด เอ็งยั้งมือใช่ฤาไม่ หวดหวายให้เต็มแรง มิเช่นนั้นข้าจักให้บ่าวชายคนอื่นโบยเอ็งอีกคน”

..........................................
เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ(กันงงนะคะ) สถานที่ที่เจ้าสินธุ์คลาดกับพี่เดชแล้วหลงทางคือตลาดบ้านจีน อยู่ปากคลองขุนละครไชย ที่นี่มีหญิงละครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาดสี่โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือและทางบก มีตึกกว้านร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด(จากหนังสืออยุธยายศยิ่งฟ้า)

เรามาทายกันดีกว่าค่ะ ว่าคนในอดีตชาติคือใครในภาคปัจจุบัน
๑.เจ้าสินธุ์
๒.ขุนเดโช
๓.หลวงภูมีภักดี
๔.ขุนทัพไพรีพ่าย
๕.หมื่นรามราชเดช
๖.นางรื่น
๗.แม่พิศ
๘.แม่หญิงแพง
๙.แม่หญิงมะลิ

ไว้อาทิตย์หน้าเจอกันนะคะ
@ คุณ yeyong อุ๊ย ไม่ใช่ผีอีแพงค่า พอดีนางไม่ค่อยแม่นคาถาอาคม ลองเดาดูนะคะว่าจะเป็นใครในภาคปัจจุบัน ฝากตอนนี้ด้วยค่ะ
@ คุณ takara นั่นสิ ยัยแม่แพงนี่ร้ายจริงเชียว อย่างนี้ต้องรีบฟ้องพี่เดชให้ไวเชียวค่ะ
@ คุณ kasarus เอ อิ๋งว่าพี่ขุนเดชเค้าคุมแจขนาดนี้ก็คงไม่มีสิทธิ์ได้ยุ่งแล้วล่ะค่ะ ใครๆก็รักเจ้าสินธุ์เนอะ แม่แพงเราทนเน่าไม่ไหว แผลงฤทธิ์ซะ ส่วนบทท่านเจ้าคุณตอนหน้ามีแน่นอนค่ะ(ได้พูดตอนสุดท้าย :laugh:)
@ คุณ suck_love นั่นหน่ะสิ นาทีนี้ต้องพ่อขุนเดชเท่านั้นล่ะค่ะ พี่ไทยังไม่ได้ทำอะไรตอนพิเศษแนวย้อนยุคก็จะจบเสียแล้ว ยิ่งอ่านฉากวันนี้รับรองว่าหนีไม่ไกลนางทาสแน่นอน
ปล.มาต่อแล้วค่ะ ตัวเองก็อย่าลืมมาอ่านนะจ๊ะ  :กอด1:
@ คุณ akiko ยังไงก็ลองทายดูนะคะว่าใครเป็นใคร อ่านตอนนี้นี่จะสงสารสุดๆไปเลยล่ะค่ะ
@ คุณ nongrak อู้ยยย ร้ายขนาดนี้คงไม่น่าจะมีใครมีเอาไปเป็นแม่เรือนหรอกค่ะ ให้ขึ้นคานไปเลยเนอะ ยังไงก็ต้องมีคนมาช่วยสินธุ์ได้ทันท่วงที(ไม่งั้นเดี๋ยวจบเร็ว) ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

 :man1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2012 22:28:50 โดย Made »

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ตายล่ะ เจ้าสินธุ์ จะเป็นอะไรมากมั้ยล่ะนั่น

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อ่านไปน้ำตาแทบไหล สงสารเจ้าสินธุ์เหลือกำลัง
ใครก็ได้รีบกลับมาช่วยให้ทันก่อนจะครบสี่สิบทีเถอะ

เล่นเกมทายตัวละคร
เจ้าสินธุ์---หนูน้ำ
ขุนเดโช---นายคี
หลวงภูมีภักดี---พี่ภู
ขุนทัพไพรีพ่าย---จอมทัพ
หมื่นรามราชเดช---ชายฟิว
แม่หญิงแพง---พราว

เดาได้แค่นี้อะ คนอื่นไม่แน่ใจ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
นางทาสชัดๆค่ะคุณอิ๋ง แม่หญิงแพงก็ร้ายเกิ๊น  :beat: เหมือนดูบ่วงยังไงยังงั้น 55 
(ตกลงจะบ่วงหรือนางทาส งงตัวเอง  :laugh: :laugh:)

ส่วนเรื่องร่วมสนุกเราเดาไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร
นอกจาก ขุนเดช คีย์ กะ เจ้าสินธ์ น้องน้ำ ทักษะความจำเป็นศูนย์จริงๆ  :เฮ้อ:


อยากให้ขุนเดชรีบกลับมาทำโทษแพงได้แล้ว โบยเจ้าสินธ์ได้เยี่ยงไร  :z6: เชอะ เดี๋ยวเราตามตบแพงถึงบ้านหรอก

ปล  ยังอ่านและตืดตามอยู่นะค่ะ   :กอด1:

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
สงสารสินธ์นัก แม่มดใจร้ายยัยแพงช่วยเอามันไปเก็บทีเถอะ
แล้วใครจะมาช่วยสินธ์กันคราวนี้ ยัยร้ายนี่จ้องจะทำร้ายสินธ์เสียจริง

บวกหนึ่งสำหรับให้ใครมาช่วยสินธ์โดยไว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด