บทที่๑๔
พวงแก้มขาวขึ้นสีชมพูระเรื่อยามได้ยินเสียงกระซิบของพระสวามี
เข้าห้องนอนงั้นหรือ...
ทันทีที่หยางจินคลายอ้อมแขนซูฮวาก็ยกมือทั้งสองข้างมาปิดหน้าทันที แค่คิดว่าหลังจากเข้าห้องแล้วจะเกิดอะไรขึ้นซูฮวาก็รู้สึกหน้าร้อนจนแทบบ้าแล้ว!
“ซูฮวา” หยางจินแกล้งเรียกคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เล่นเอาคนฟังขนลุกเกรียว
“ฮื่อ” ร่างบางบิดกายไปมาเพื่อสะบัดไล่ฝ่ามือหนาซึ่งเอื้อมมาลูบไล้พวงแก้มของตน
หยางจินใจเย็นพอที่จะนั่งรอเฉยๆ ให้พระชายาของตนเขินอายจนเลิกเขินไปเอง ผ่านไปสักพักซูฮวาก็เอามือลง เงยหน้ามองหยางจินตาปริบๆ ในดวงตาคู่ใสคล้ายมีแววออดอ้อนอยู่ ท่านอาจารย์! ได้โปรดอย่าทำเรื่องแบบนั้นกับข้าเลย! หยางจินคิดว่าสายตาของมู่ซูฮวาสื่อความหมายประมาณนี้
หลังจากเห็นสายตาวิงวอนของผู้เป็นศิษย์หยางจินก็ตอบสนองด้วยการจูงมือบางให้เดินตามตนออกมาจากสวน
“ท่านอาจา— สามี...ท่านจะพาข้าเข้าห้องจริงหรือ” ร่างบางก้มหน้างุด ส่งเสียงอ่อยๆ อย่างคาดหวังว่าอีกคนจะยอมเลิกรา หารู้ไม่ว่าการเรียกสามีว่าสามีมันทำให้สามีเสียอาการขนาดไหน
หยางจินหันกลับมามองคนตัวเล็ก เขายกยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมที่ปล่อยยาวสยายของพระชายาน้อย “ตั้งแต่ได้รับพระราชทานวังแห่งนี้มาข้าก็ไม่เคยนอนในห้องของตนเองเลย คืนนี้เจ้าไปนอนที่ห้องของข้าแล้วกัน ตกลงไหม”
ชายหนุ่มคิดว่าเตียงในห้องของตนน่าจะกว้างขวางกว่าเตียงในห้องของ พระชายา
ซูฮวาปฏิเสธความต้องการของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่ได้ตอบอะไร คนเขาลากให้เดินไปทางไหนก็แค่เดินตามไปด้วยใจที่เต้นระส่ำ พอเดินเข้ามาในห้องส่วนพระองค์ของชินอ๋องแล้วร่างบางก็เริ่มสั่นเป็นลูกกวางตกน้ำ
มือของพระชายาน้อยกำลังสั่น
หยางจินก้มลงมองมือเล็กที่เขากอบกุมเอาไว้ด้วยสายตาอ่านยากราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็พาซูฮวาไปที่เตียง ทันทีที่ก้นแตะฟูกร่างบางก็นั่งหลังตรงแน่วยังกับอยู่ในค่ายทหารทันที ดวงตาคู่ใสมองตรงไปข้างหน้าแต่คล้ายไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ
“ซูฮวา อย่าเกร็ง” หยางจินกล่าวพลางถอดเสื้อตัวนอกของตนเองออก
ได้ยินสามีสั่งแล้วซูฮวาก็พยายามหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เกร็งแต่พออีกคนถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่กางเกงใบหน้างามก็ขึ้นสีแดงจัดอีกครั้ง
คราวก่อนที่ร่วมราตรีกันหยางจินไม่ได้ถอดเสื้อเลย หลังจากแก้ผ้าซูฮวาเสร็จร่างสูงก็แค่ปลดกางเกงแล้วก็ใส่เอาๆ แต่คราวนี้พอมาถึงกลับถอดเสื้อของตนเองออกก่อนเป็นอย่างแรก พระชายาน้อยมองร่างกายกำยำอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อของท่านแม่ทัพอย่างเผลอไผล
สมบูรณ์แบบมาก
หยางจินเป็นคนหล่ออยู่แล้ว ร่างกายของเขายังหล่อกว่าอีก
ร่างบางจับจ้องกล้ามท้องของพระสวามีอย่างลืมอาย คนถูกมองเองก็ไม่ได้อายอะไรเช่นกันเขาออกจะภาคภูมิใจด้วยซ้ำ หยางจินเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะคว้ามือบางขึ้นมาแตะกล้ามท้องของตนพลางถามเสียงทุ้มว่า “ชอบหรือ”
เพียงเท่านั้นแหละซูฮวาก็ดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
“ย๊า!” ร่างบางคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงอีกครั้งทั้งๆ ที่คราวที่แล้วก็ทำแบบนี้และมันก็ช่วยคุ้มกะลาหัวให้ไม่ได้เลยก็ตาม
เห็นลูกกวางน้อยกระโดดผล็อยหายเข้าไปในกองผ้าห่มแล้วหยางจินก็ได้แต่ยืนกลั้นยิ้ม ช่างน่าขย้ำอะไรเช่นนี้! แล้วร่างสูงก็ไม่รอช้า เขาคลานตามขึ้นไปบนเตียง ไม่ได้กระชากผ้าห่มออกให้คนตัวเล็กขวัญเสียแต่กลับสอดมือเข้าไปในผ้าห่ม ฝ่ามือหยาบกร้านสัมผัสโดนส่วนไหนซูฮวาก็สะดุ้งจนน่าสงสาร
“ฮื่อ” เสียงหวานร้องประท้วง
“ภรรยา เจ้าจะขัดขืนสามีหรือ” พอหยางจินถามคำนี้ออกมาร่างบางก็ชะงักกึก
หลักคุณธรรมภรรยาไหลบ่าเข้ามาในหัว ใบหน้างามภายใต้ผ้าห่ม ฉายแววหม่นหมองเศร้าสร้อย หยางจินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ พระชายาน้อยก็หยุดขัดขืน ร่างบางค่อยๆ กระดึ๊บออกมาจากผ้าห่ม
ซูฮวาพลิกตัวนอนบนเตียง ประสานมือบนหน้าท้องอย่างสงบ ใบหน้าเหมือนคนกำลังปล่อยวางโลกใบนี้ก็ไม่ปาน
“เชิญสามีทำตามใจชอบเลย” น้ำเสียงหวานที่เคยอัดแน่นด้วยความร่าเริง คึกคักและขวยเขินเป็นนิจกลับจืดจางจนคนได้ยินรู้สึกใจหาย หยางจินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าอยู่ดีๆ เกิดอะไรขึ้นกับภรรยาตัวน้อยของตน
ใช่ หยางจินไม่รู้ว่าคำว่าภรรยาที่เขาเอ่ยออกมามันมีผลกระทบอย่างไรต่อจิตใจผู้ฟัง
เห็นซูฮวาทำหน้าปลงสังขารแล้วหยางจินก็เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะ
“สามี” ซูฮวากะพริบตาปริบๆ ร่างบางอุตส่าห์นอนทำใจเป็นหมูขึ้นเขียงอยู่นานสองนานแต่อีกคนกลับนั่งจ้องตนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งอยู่อย่างนั้นมันน่ากลัวนะเหวย! ซูฮวาเดาไม่ออกจริงๆ ว่าพระสวามีกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เสียงเรียกของซูฮวาก็เหมือนไปสับรางอะไรบางอย่างภายในหัวของหยางจินเข้า
ร่างสูงปัดเรื่องไร้สาระออกจากหัว เขาหันกลับมามองหน้าซูฮวาอีกครั้งก่อนเขาจะต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อพบว่าในมือของพระชายาน้อยนั้นยังถือน้ำตาลปั้นอยู่!
ซูฮวามองตามสายตาของอีกฝ่ายก่อนจะร้องโอ๊ะออกมา ร่างบางรีบลุกขึ้นมาหันรีหันขวาง พยายามมองหาอะไรมาห่อขนมในมือเอาไว้แต่เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่ห้องของซูฮวาเจ้าตัวก็เลยไม่รู้ว่าอะไรวางไว้ตรงไหนบ้าง
เห็นพระชายาตัวน้อยเดินเตาะแตะไปยังห้องทำงานขนาดเล็กที่เชื่อมติดอยู่กับห้องนอนแล้วหานชินอ๋องก็ได้แต่เดินตามไป ชายหนุ่มแย่งน้ำตาลปั้นมาจากมือบางส่งผลให้ริมฝีปากบางที่เริ่มบวมนิดๆ เบะออกอย่างงอแง
“น้ำตาลปั้นของข้า”
หยางจินต้องทำใจแข็งก่อนจะโยนมันทิ้งไปส่งๆ
“เดี๋ยวข้าซื้อให้ใหม่”
“หลี่หมิงไม่อนุญาตให้ข้ากินน้ำตาลปั้นสองไม้ติดๆ กันหรอก” ซูฮวายืนบิดไปบิดมามองเจ้าน้ำตาลปั้นอย่างอาลัยอาวรณ์
“ข้าจะตีนางถ้านางกล้ามาห้ามเจ้า”
“ท่านจะตีนางไม่ได้นะ! ที่นางทำถูกต้องแล้ว ท่านแม่เองก็ห้ามข้ากินน้ำตาลปั้นมาตั้งแต่เล็กเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ พอโตมาข้าถึงได้เก็บกดอยากกินมันนัก เป็นข้าเองที่ไม่รู้จักโต” ซูฮวายอมรับว่าตัวเองผิดเพื่อปกป้องหลี่หมิง
นอกจากหลักคุณธรรมภรรยาแล้วฮูหยินมู่ผู้เป็นมารดาก็มักจะสอนซูฮวาให้มีจิตใจโอบเอื้ออารี ไม่ถือตน ไม่กดขี่ข่มเหงผู้น้อย และไม่ได้เพียงแค่สอน แต่ทุกคนในสกุลมู่ต่างยึดถือปฏิบัติตาม พวกเขาสร้างโรงทาน ตั้งโต๊ะแจกโจ๊กและอื่นๆ อีกมากมาย
ซูฮวาผู้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมอันอัดแน่นด้วยความรักใคร่กลมเกลียวเช่นนี้จึงได้มีหัวใจอันเมตตา
แต่ก็ไม่ต้องถึงขั้นยอมรับโทษแทนสาวใช้ก็ได้กระมัง
หยางจินรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “งั้นให้ข้าตีก้นเจ้าแทนแล้วพรุ่งนี้ข้าจะซื้อน้ำตาลปั้นชดใช้ให้เจ้าเอง”
“ตีเหรอ...” พระชายาน้อยรู้สึกกลัวเจ็บ
“ไม่เจ็บหรอก”
“ตีอย่างไรให้ไม่เจ็บ” ซูฮวาขมวดคิ้วอย่างเคลือบแคลง
“หันก้นของเจ้ามาสิ”
“...”
“...”
“...” ซูฮวามองรอยยิ้มของพระสวามีที่ทอประกายยิ่งกว่าดวงดาวบนฟ้ายามราตรีด้วยใบหน้านิ่งอึ้ง ร่างบางอ้าปากพะงาบๆ หมายจะด่าคนที่กล่าววาจาบัดสีบัดเถลิงออกมาแต่อีกฝ่ายกลับไม่เปิดโอกาส มือหนาจับพลิกร่างบางให้หันหน้ากลับไปทางโต๊ะทำงาน
“เจ้าเอาแขนเท้าโต๊ะไว้นะ” หยางจินใจเย็นถึงขั้นอธิบายทีละลำดับขั้น เขาจับมือบางไปวางเท้าไว้กับโต๊ะก่อนจะจับแผ่นหลังเรียวให้ก้มลงไปอีกหน่อย
ซูฮวาหน้าแดงจนไม่อาจแดงมากไปกว่านี้ได้แล้ว แต่หยางจินเห็นแค่เพียงใบหูเล็กที่ขึ้นสี เขาแอบนึกเสียดายในใจแต่หากอยากทำในห้องแบบนี้ละก็ท่านี้จะเป็นท่าที่สบายที่สุดสำหรับพระชายาของเขาแล้ว แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้าใบหน้าสุขสมยามร่วมรักกันแต่หยางจินก็ตัดใจได้
เขาเดินไปหยิบขี้ผึ้งหอมมาถือไว้ แอบมองคนตัวเล็กที่โค้งตัวเท้าโต๊ะหลับตาปี๋อย่างเอ็นดู
หยางจินยิ้มเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ เขาเดินกลับไปซ้อนหลังร่างบางส่งผลให้คนตัวเล็กสะดุ้งอย่างแตกตื่น ดวงตาคู่คมมองแผ่นหลังบางที่สั่นเทาเพราะอาการประหม่าอย่างย่ามใจก่อนที่เขาจะลงมือปลดอาภรณ์ของคนตรงหน้าอย่างเร่งรีบ
เพราะเสียเวลามานานแล้วหยางจินจึงไม่รอช้า เมื่อจับซูฮวาเปลื้องผ้าเรียบร้อยเขาก็ปาดเอาขี้ผึ้งหอมตลับใหม่มาเต็มนิ้วก่อนจะสอดนิ้วแรกเข้าไปในช่องทางสีหวาน
“อื๊อ” ร่างบางกระตุกเฮือก คนงามพยายามกัดปากเพื่อกลั้นเสียงร้องเอาไว้
หานชินอ๋องไม่ได้ถือสา เขาคิดว่าการเฝ้ารอฟังเสียงแผ่วเบาที่เล็ดลอดจากการสะกดกลั้นอย่างสุดความสามารถของคนตัวเล็กก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
หยางจินค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายของคนตัวเล็กอย่างใจเย็น ระหว่างนั้นเขาก็ก้มลงไปขบเม้าคลอเคลียใบหน้าสีชมพูนั่นก่อนจะฝากรอยรักเอาไว้เต็มซอกคอและแผ่นหลังขาวนวล
“ผิวกายของเจ้าเองก็หวานล้ำไม่แพ้ริมฝีปากของเจ้าเลย”
ซูฮวาแทบคลั่งเมื่อได้ยินบุรุษที่กำลังเล้าโลมตนอย่างเร่าร้อนกล่าววาจาเกี้ยวกันออกมาโต้งๆ
“ฮื่อ อื๊อ...” สะโพกมนสั่นระริกเพราะถูกพระสวามีเล่นทีเผลอ
เนื่องจากซูฮวาหันหลังให้ร่างสูงแถมยังหลับตาปี๊ร่างบางเลยไม่รู้เลยว่า หยางจินกำลังทำอะไรอยู่ ได้ยินแค่อีกฝ่ายพูดจาเกี้ยวกันก็เลยเก้อเขิน ใครเล่าจะคิดว่าคำพูดนั่นเป็นกับดักเบี่ยงเบนความสนใจ!
มือหยาบกร้านของแม่ทัพใหญ่บีบก้นสีลูกท้อของภรรยาตนอย่างมันเขี้ยวก่อนจะแยกเจ้าลูกท้อน้อยออกและสอดใส่แก่นแกนของตนเองเข้าไปอย่างเชื่องช้า
ซูฮวาเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอท่วมดวงตา
หยางจินเห็นน้ำตาที่เริ่มหยดแหมะๆ ลงบนโต๊ะก็เลยถาม “เจ็บหรือ”
คำถามนี้ซูฮวาลำบากใจที่จะตอบ ซูฮวาไม่ได้เจ็บ แต่ถ้าหากตอบว่าเจ็บแล้วหยางจินถามว่าเจ้าร้องไห้ทำไมแล้วซูฮวาจะตอบว่าอะไรได้อีก จะให้ตอบไปตามตรงหรือว่ารู้สึกดีจนน้ำตาไหล บ้าไปแล้ว หัวเด็ดตีนขาดซูฮวาก็ไม่พูดออกไปหรอก
“ฮื่อ” ซูฮวาเลือกที่จะตอบไม่เป็นภาษาแทน
“ซูฮวา” หยางจินเรียกขณะพยายามแทรกกายเข้าไปให้ช้าที่สุด
สุดท้ายใบหน้างามก็เหลียวมามองพระสวามีของตน ซูฮวาเม้มปากแน่น สองแก้มขึ้นสีชมพูปลั่ง “ท่าน จะ จูบข้า...ที”
คำว่าทีนั้นแผ่วเบาจนแทบกลืนหายไปกับสายลมแต่น้ำเสียงอันแผ่วเบานี้กลับมีอิทธิพลต่อคนฟังอย่างยิ่ง หยางจินแทบจะก้มลงไปมอบรสจูบให้ภรรยาตนทันทีที่สิ้นคำขอ แต่เพราะรีบร้อนก้มลงมาเร็วเกินไปหน่อยร่างกายของเขาก็เลยสอดลึกเข้าไปในร่างกายของร่างบางลึกขึ้นมาก
“อึก...” ซูฮวาเปล่งเสียงครางในลำคอเนื่องจากถูกครอบครองริมฝีปากเอาไว้
หยางจินกอบกุมมือเรียวที่เขาสั่งให้เท้าโต๊ะเอาไว้เมื่อรู้สึกได้ว่าแข้งขาของพระชายาน้อยเริ่มสั่นจะน่ากลัวว่าจะทรุดลงไป
“อ๊า อ๊ะ อื๊อ...อะ อือ...” ร่างสูงตัดสินใจกระแทกสะโพกเข้าไปจนสุดในจังหวะเดียวกับที่เขาผละริมฝีปากออกมา นั่นทำให้ซูฮวาเผลอเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม
“ซูฮวา เด็กดีของข้า ยกสะโพกขึ้นมาสูงอีกหน่อยไหวไหม”
“อือ” ซูฮวาขานรับไม่เป็นภาษา
ร่างบางรู้สึกเหมือนสติของตนกำลังล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ไปแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงยอมปฏิบัติตามคำสั่งของหานชินอ๋องอย่างว่าง่ายปานนี้ สะโพกขาวที่ สั่นเทาค่อยๆ แอ่นขึ้นตามความต้องการของคนเบื้องหลัง
“เก่งมาก” หานชินอ๋องส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคออย่างพึงพอใจ ร่างกายของภรรยาตัวน้อยช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ขนาดเขาเคยรุกอย่างหนักหน่วงมาแล้วตลอดคืนแต่กลับยังคับแน่นเหมือนใหม่
“ฮ๊า...” ใบหน้างามเชิดขึ้นเมื่อหานชินอ๋องเริ่มขยับกายกระแทกกระทั้น
เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นท่ามกลางห้องทำงานส่วนตัวของหานชินอ๋อง ผสานกับเสียงลมหายใจและเสียงหวานครางกระเส่า ซูฮวาไม่เหลือสติมากพอจะสะกดกลั้นเสียงน่าอายของตนอีกต่อไปแล้วนั่นทำให้หานชินอ๋องรู้สึกอิ่มเอมจนไม่รู้จะอิ่มอย่างไรแล้ว
“ซูฮวาของข้า...”
“อ๊า ฮ๊ะ อึก”
“สะ มี” มือบางกำปลายนิ้วของหานชินอ๋องไว้แน่น
พอได้ยินภรรยาของตนกล่าวเรียงตนเสียงกระเส่าเช่นนั้นแล้วหานชินอ๋องก็รู้สึกราวกับพายุเพลิงขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจ “เรียกข้าอีกสิ”
“สามี ฮึก...” ซูฮวาน้ำตาร่วงเผาะๆ นึกน้อยใจว่าหานชินอ๋องผู้นี้ทำไมเรื่องมากนัก เดี๋ยวก็ให้เท้าแขนกับโต๊ะบ้างละ ให้ยกก้นขึ้นอีกบ้างละ คราวนี้มาขอให้เรียกชื่อ แต่ละอย่างที่สั่งให้ทำช่างยากเย็นเหลือเกิน
“หยางจิน เรียกข้าว่าหยางจิน” ร่างสูงอยากตีก้นเจ้าเด็กโง่เสียให้เข็ด ทำไมถึงไร้เดียงสาจนน่าลงโทษขนาดนี้นะ
“อือ” ซูฮวาเม้มปากแน่น รู้สึกลังเลว่าควรเรียกคนยศใหญ่กว่าแถมยังอายุมากกว่าตั้งเจ็ดปีด้วยชื่อห้วนๆ ดีหรือไม่ แต่เพราะช่องทางรักเบื้องหลังยังถูกอีกฝ่ายกระแทกกระทั้นไม่ได้หยุดพระชายาน้อยก็เลยไม่เหลือสติสำหรับไตร่ตรองอะไรแล้ว
“พะ พี่หยางจิน”
!!
เรียกเสร็จแล้วก็ก้มหน้างุดๆ ซูฮวาอับอายอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าตนกล้าดีอย่างไรถึงเรียกหานชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ออกไปอย่างนั้น ตรงกันข้ามกับผู้ฟังที่รู้สึกคล้ายหัวใจจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ
คนโดนเรียกว่าพี่หยางจินคิดว่าตนต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะตั้งแต่เกิดมายี่สิบสามปีเขาไม่เคยยิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยเลยจริงๆ
คงเพราะถูกเติมเต็มจนแทบล้นแล้ว คราวนี้หานชินอ๋องจึงเสร็จเร็วเป็นพิเศษ ชายหนุ่มไปถึงฝั่งฝันหลังจากพระชายาตัวน้อยไม่นานนัก เขาพ่นของเหลวสีขุ่นเข้าไปในช่องทางอันคับแน่นที่จนถึงขณะนี้ก็ยังคงบีบรัดเขาไม่หยุดหย่อนจนหยดสุดท้ายจึงก้มลงไปประทับจูบแผ่นหลังขาวผ่องและค่อยๆ ถอนตัวออกมา
“ยืนไหวไหม” เสียงทุ้มถาม โดยไม่รอคำตอบเขาก็อุ้มคนตัวน้อยไปวางไว้บนเตียง
ซูฮวาคิดว่าเขาจะต่ออีกรอบและอีกหลายๆ รอบอย่างแน่นอนเลยไม่ได้ดึงผ้าห่มขึ้นมา แต่ผิดคาดที่หานชินอ๋องกลับทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กันก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้
ซูฮวาทำหน้าตกใจสุดขีด ช่างน่าเอ็นดูจนคนที่มองอยู่ข้างๆ ต้องเลื่อนหน้าเข้ามาจูบหน้าผาก
คราวก่อนเพราะโดนกระทำอย่างต่อเนื่องซูฮวาก็เลยผล็อยหลับไปก่อน ไม่มีโอกาสได้เข้านอนพร้อมกันแบบนี้
ร่างบางกะพริบตามองหานชินอ๋องตาปริบๆ “สามี?”
หยางจินรู้สึกขัดใจกับคำเรียกของซูฮวานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา เขาเลือกที่จะรั้งร่างบางเข้ามากอดแทน เพราะขืนให้ซูฮวาพูดคำว่าพี่หยางจินออกมาอีกรอบพี่หยางจินผู้นี้คงตบะแตกโยนผ้าห่มทิ้งแล้วขึ้นไปขย่มร่างบางอีกหลายๆ รอบแน่ๆ
“พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นในเมืองนะ”
“ท่านไม่ต้องไปกองทัพหรือ” แม้จะยังแปลกใจที่อีกฝ่ายทำแค่รอบเดียวแต่ซูฮวาก็ยิ้มจนแก้มแทบแตก
หยางจินจับจ้องรอยยิ้มของซูฮวาของเผลอไผล รอยยิ้มนี้สิรอยยิ้มที่แท้จริงของมู่ซูฮวา ไม่ใช่รอยยิ้มแสนฝืนตอนที่เขาสั่งให้ร่วมหลับนอนด้วย
“ข้าหยุดได้” อันที่จริงแล้วเขาเป็นถึงชินอ๋อง ไม่จำเป็นต้องเข้าทำงานทุกห้าวันหยุดสองวันเหมือนพวกขุนนางทั่วไปเลยก็ได้ ท่านอ๋องหลายคนก็แค่นอนกินเงินประจำตำแหน่งอยู่บ้าน แต่ด้วยความรับผิดชอบอันสูงส่งทำให้เขาเข้ากองทัพไปฝึกฝีมือทหารทุกวัน
“จะดีหรือ”
“จากวังอ๋องไปกองทัพ หากขี่ม้าก็ต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วยาม ถ้าเจ้าให้ข้าไปทำงานข้าก็ต้องออกไปก่อนรุ่งสาง”
ในที่สุดซูฮวาก็รู้เสียทีว่าทำไมคืนนั้นตนถึงตื่นมาไม่เจอหานชินอ๋อง ที่แท้เขาก็ต้องออกจะบ้านเร็วเพื่อไปเข้างานให้ทัน!
“ฮะๆๆ ท่านช่างสมเป็นหานชินอ๋องจริงๆ!” หากเป็นคนอื่นคงตัดพ้อจนแทบขาดใจไปแล้วที่สามีเห็นงานดีกว่าภรรยาที่เพิ่งร่วมหอกันคืนแรก แต่มู่ซูฮวากลับหัวเราะคิกคักอยู่ในอ้อมแขนของหานชินอ๋อง
“ข้าอยากเป็นขุนนางบ้าง! การสอบถังชื่อเดือนหน้าจะพยายามให้เต็มที่เลย” ซูฮวาคิดว่าผู้ชายที่ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานน่าชื่นชมนักเจ้าตัวน้อยก็เลยอยากเป็นให้ได้แบบหานชินอ๋องบ้าง
ได้ยินแล้วหยางจินก็เผลอกระชับอ้อมแขนของตนแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้า...ช่างน่ารักเหลือเกิน”