“บุ๋น” มือเย็นๆแตะที่แขนเขาเบาๆทำให้คนที่เหม่อลอยกลับมาสู่ปัจจุบัน “หยุดเดินทำไม” ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจก่อนจะจับแขนของบุ๋นไว้หลวมๆ
“ผม…เอ่อ…คิดอะไรเพลินไปหน่อย” บุ๋นตอบกลับไปตามความจริง สายตาเลื่อนลงมามองมือของหมอที่จับแขนเขาอยู่ “กลัวผมหายหรอครับ”
“เปล่า” คำถามที่ถามมาทำเอามือที่จับอยู่ปล่อยออกอย่างรวดเร็ว “นึกว่าหลง”
“เกือบหลงแล้วครับ” ร่างสูงหัวเราะ “พี่จะเดินไปไหนก็จูงผมไปด้วย” บุ๋นยื่นแขนไปตรงหน้าหมอฐานทัพ
จะลากจะดึงหรือจะฉุด…บุ๋นยอมทุกอย่างเลย
“โตแล้ว” ฐานทัพส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้งโดยหันกลับมามองบุ๋นเป็นพักๆ “ถ้าเหนื่อยไปหาที่นั่ง”
“ไม่ไปครับ” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “ผมอยากจะเดิน” กับพี่
“อืม อยากได้อะไร”
“อยากได้ครับ” บุ๋นตอบอย่างลืมตัว “อยากได้หมอ…”
“หืม?”
“หมอนครับ…อยากได้หมอน” เขาแก้ตัวยกใหญ่ นิ้วชี้ไปที่บูธสำนักพิมพ์เด็กที่มีหมอนหน้าตุ๊กตาห้อยแขวนไว้อยู่
“เอาไปทำไม” ฐานทัพถามกลับมาอย่างไม่เข้าใจ
“นั่นสิครับ ไม่รู้” บุ๋นหัวเราะแห้งๆ
ไม่ได้อยากได้หมอน…บุ๋นอยากได้หมอ
“อืม” ฐานทัพหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋าขึ้นมากดรับหลังจากที่สั่นอยู่ในกางเกงมาพักหนึ่ง แค่มองหน้าจอแว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าใครโทรมา
บุ๋นหันไปมองทางอื่นเมื่อเห็นว่าหมอกำลังคุยธุระ ถึงแม้หมอฐานทัพจะไม่ได้ทำท่าว่าเป็นความลับแต่เขาก็ไม่อยากทำตัวเหมือนกำลังแอบฟัง
“ก็ได้ ไว้เจอกัน” เขาพูดก่อนจะกดวางสายลงแล้วหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “คินโทรมา”
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“มันขอกลับก่อน บอกว่ามีธุระ”
“แล้วพี่ปกป้องล่ะครับ?”
“กลับพร้อมกัน มันซื้อหนังสือครบแล้ว ขี้เกียจรอ”
“อ่าว งั้น…” รอยยิ้มของบุ๋นค่อยๆเผยขึ้นมา แม้จะไม่ได้หวังให้เป็นแบบนี้แต่เขาก็อดดีใจไม่ได้ “เหลือผมกับพี่หรอครับ”
“อืม”
“งั้น…” บุ๋นยิ้มกว้าง “พี่อยากเดินให้ทั่วงานไหมครับ เห็นพี่คินเคยบอกว่าพี่ไม่เคยเดินทั่ว”
“ไหว?” ฐานทัพถามกลับ เท่าที่เดินมาบุ๋นก็น่าจะรู้ว่าเขาเดินช้าและใช้เวลาในการดูหนังสือนาน ขืนให้ดูทั่วงานคงได้กลับตอนงานปิด
“ครับ ผมไหว”
“พูดเองนะ”
“ครับ” บุ๋นยิ้ม เขาอยากจะทำแบบนี้อยู่แล้ว แอบคิดไว้ตั้งแต่แรกแต่ไม่กล้าพูดออกไปเพราะรู้ว่าหมอมากับเพื่อนๆ “พี่อยากไปตรงไหนผมไปกับพี่ได้หมดเลย”
ถึงจะไม่ได้ชอบงานสัปดาห์หนังสือมากมายแต่พอเห็นคนข้างๆก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ หมอฐานทัพดูมีความสุขมาก แม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่เขารับรู้ได้ว่าหมอรู้สึกผ่อนคลายเพราะได้อยู่กับสิ่งที่ชอบจริงๆ
“จบไปผมจะทำไร่ให้สวยๆแบบนั้นเลย” บุ๋นพูดพร้อมกับชี้ไปที่ภาพหน้าปกของบูธที่กำลังเดินผ่าน
“อืม ดี”
“พี่ชอบไหม” เขาหันไปถามคนข้างๆเพื่อถามความคิดเห็น
“ชอบ”
“งั้นมาอยู่กับผมไหม”
คำถามที่ตั้งใจถามออกมาตรงๆทำให้คนที่กวาดสายตาดูหนังสืออยู่หันไปมองหน้าบุ๋นตรงๆ ฐานทัพไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมีความนัยแฝงอยู่หรือต้องการถามแบบนั้นจริงๆ
“เรียนหมอ จะไปอยู่ไร่ได้ยังไง”
“ได้สิครับ” บุ๋นระบายยิ้ม “ก็คนทำไร่จะไปอยู่ที่เดียวกับหมอ”
“…” คำตอบของบุ๋นทำให้ฐานทัพชะงักอีกครั้ง
“พี่จะได้อยู่กับสิ่งที่พี่ชอบ”
“เพ้อเจ้อ” แม้จะพูดตัดบท แต่เขาเห็นถึงแววตาจริงจังที่บุ๋นมองมา
ลึกๆเขารู้สึกว่า…บุ๋นจะทำอย่างที่พูดได้จริงๆ
รถโดยสารจอดลงหน้ามหาวิทยาลัยหลังจากที่ทั้งสองคนเดินจนทั่วงานแล้ว ถุงหนังสือที่เพิ่มมาสองถุงอยู่ในมือของบุ๋นหนึ่งถุงและฐานทัพอีกหนึ่งถุง นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่ม บุ๋นเดินข้างๆฐานทัพที่นั่งเงียบมาตลอดทาง อาจเพราะเดินจนเหนื่อยหมดพลังงานไปมากเลยทำให้เขาไม่ได้ชวนคุยอะไรต่อ
ทั้งคู่จอดรถจักรยานไว้ที่บริเวณที่จอดจักรยานหน้ามหาลัยเพื่อที่จะได้ขับกลับหลังจากที่ลงรถแล้ว ความเหนื่อยล้าทั้งวันทำให้ฐานทัพอยากจะกลับไปถึงห้องเร็วๆเพื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ ผิดกับบุ๋นที่ไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยล้าออกมาให้เห็นทั้งๆที่เดินตามเขาทั่วงาน
แปลก…
“พี่จะกลับเลยหรอครับ” คำถามแรกถามขึ้นหลังจากที่เขาทั้งคู่ไม่ได้คุยกันมาตลอดทาง
“อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ เขาเหนื่อย อยากกลับไปนอน
“อ่อ ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ ท่าทีของเขาเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ยอมพูดออกมาจนอีกฝ่ายต้องถามกลับ
“มีอะไร”
“ผมยังไม่อยากกลับ” เขาพูดในสิ่งที่รู้สึกออกมา แม้ว่าจะดึกแล้วและใกล้จะถึงเวลาเข้าหอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากกลับ
แค่เขียนชื่อเข้าหอเลยเวลาไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา
“อยากไปไหน”
“หิว” บุ๋นลูบท้องน้อยๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาเดินเที่ยวงานจนลืมไปเลยว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรอีกนอกจากไอศครีมที่หมอซื้อให้
“ลืม” ฐานทัพเองก็พึ่งรู้ตัว พอเห็นบุ๋นทำท่าลูบท้องความหิวก็แล่นเข้ามาทันที
ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินข้าว
“ร้านปิดแล้ว” เขาบอกคนที่ยืนทำหน้าหงอยอยู่ข้างๆ “เซเว่นไหม” พอเห็นท่าทางของบุ๋นก็อดสงสารไม่ได้
“ครับ เซเว่น” ในเวลานี้ขอแค่มีอะไรตกถึงท้องก่อนกลับเข้าหอก็ดีมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับข้าวข้างทางหรือมาม่าอะไรก็กินได้หมด
หิว
บุ๋นเดินนำไปที่เซเว่นไม่ไกลจากที่จอดรถ ดีที่เซเว่นในมหาลัยเปิดถึงตีหนึ่งทำให้เขายังมีที่พึ่งพิงอยู่บ้างในเวลาสีทุ่ม เพียงเวลาไม่กี่นาทีเขาก็เดินออกมาจากเซเว่นพร้อมกับถุงขนมปังกับนมอีกสองกล่อง
“ผมซื้อมาเผื่อพี่ด้วยนะ” บุ๋นชูถุงเซเว่นที่บรรจุขนมปังกับนมไว้ข้างในอย่างภูมิใจ “รอดตายแล้ว”
“ขอบคุณ” ฐานทัพเอ่ยออกมา ความจริงเขาก็จะเดินเข้าไปซื้อแต่นึกขึ้นได้ว่าที่หอยังมีขนมปังอยู่เลยคิดว่าจะกลับไปกินที่หอ
“พี่รีบไหมครับ” บุ๋นถามลองเชิง
“ไม่รีบ”
“งั้นเราไปหาที่นั่งกินกัน”
“อืม”
พอเห็นว่าฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธคนข้างๆก็ยิ้มออกมา บุ๋นเดินนำไปที่อ่างเก็บน้ำของมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากเซเว่นหน้ามหาวิทยาลัยมากนัก อ่างเก็บน้ำของมหาลัยเป็นที่ๆนักศึกษาชอบมานั่งคุย บางคนก็มานั่งเพื่อรับบรรยากาศบริเวณรอบๆ เขาเองก็เคยปั่นจักรยานผ่านหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสแวะมานั่ง วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี
บุ๋นเลือกนั่งบริเวณที่อยู่ใกล้กับไฟที่ส่องให้เห็นบรรยากาศรอบข้างแบบสลัวๆ แม้จะไม่ได้สว่างมากแต่ก็พอเห็นทัศนียภาพรอบด้าน บริเวณอ่างเก็บน้ำมีผู้คนอยู่เป็นจุดประปราย อาจเพราะเวลาที่เริ่มดึกไปทุกทีทำให้คนน้อยลงเรื่อยๆ เขายืดขาออกคลายความเมื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวันก่อนจะหันไปมองหมอฐานทัพที่ย่อตัวนั่งลงข้างๆ
“บรรยากาศดีนะครับ พี่ว่าไหม”
สายตาของเขาทอดมองออกไปสุดสายตา ความเงียบรอบข้างทำให้ได้ยินเสียงแมลงที่อยู่ตามต้นไม้ ลมเย็นๆพัดผ่านกระทบใบหน้าเป็นระลอก แม้ว่ารอบข้างจะยังคงเห็นคนอยู่บริเวณใกล้ๆกันแต่เขากลับรู้สึกเหมือนเขาอยู่กับหมอฐานทัพแค่สองคน
“ของพี่ครับ” บุ๋นยื่นถุงขนมปังที่ซื้อมาเหมือนกันให้ฐานทัพก่อนจะฉีกถุงของตัวเองแล้วกินขนมปังทันทีด้วยความหิว
“อืม” ฐานทัพรับมาถือไว้แล้วฉีกกินตาม “พึ่งเคยมา”
“เหมือนกันครับ” บุ๋นหันไปยิ้มบางๆ “ผมนึกว่าพี่จะเคยมาแล้วซะอีก”
“ไม่เคย” แม้ว่าเขาจะอยู่ปีสามแล้วแต่ถ้าให้พูดตามความจริง ยังมีอีกหลายที่ในมหาวิทยาลัยที่เขาไม่เคยย่างกรายเข้าไป ไม่ใช่เพราะไม่อยากไป แต่ไม่มีเวลาที่จะไป
“งั้นก็ถือว่าได้มาแล้วนะครับ”
“ชอบ” เขาพูดออกมาสั้นๆ “เย็นดี”
“ชอบเหมือนกันครับ” บุ๋นหันหน้ากลับไปมองน้ำในสระที่มืดจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาของดวงจันทร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงแสงสีส้มเหลืองบนท้องฟ้า
ลมที่กระทบใบหน้าคล้ายกับเป็นการไล่ความเหนื่อยล้าทั้งวันของฐานทัพให้หายไปกลายเป็นความสดชื่น คนตัวสูงเหยียดขายาวตามคนข้างๆ ดวงตาทั้งสองมองไปยังจุดเดียวกันกับที่อีกคนกำลังมอง
“โรแมนติก” บุ๋นพูดก่อนจะหันไปถาม “พี่ว่าไหมครับ”
“ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับแทบจะทันที “โรแมนติกยังไง” คนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนถามออกมาซื่อๆอย่างคนไม่รู้ทำเอาคนที่ถามถึงกับอธิบายต่อไม่ถูก
“เอ่อ…ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย” บุ๋นเกาหัว “คือบรรยากาศมันเหมาะ แบบว่าถ้ามากับแฟน มัน…เอ่อ มันโรแมนติก” เขาไม่ได้ขยายความมากกว่าเดิม
“อ่อ อืม คงใช่” คนที่ไม่เคยมีแฟนอย่างฐานทัพคงยากที่จะเข้าใจ
“พี่ครับ ผมลืมบอกไปเลย” พอนึกขึ้นได้เขาก็รีบพูดออกมา “ผมติดตัวจริงบาสมหาลัยแล้วนะ พอดีพึ่งรู้เมื่อสองวันที่แล้ว เห็นพี่สอบเลยไม่ได้บอก”
“อืม” เขาพยักหน้า “ดีแล้ว”
“อีกสองอาทิตย์ก็จะได้ลงแข่งสนามจริงแล้ว หลังจากนี้ผมคงต้องซ้อมหนักกว่าเดิม”
“อืม”
“พี่จะมาดูผมแข่งใช่ไหมครับ?” ถามออกไปอย่างมีความหวัง การแข่งขันครั้งนี้มันเดิมพันด้วยเรื่องในอดีตของเขาว่าเขาจะก้าวผ่านมันไปได้ไหม
และอยากให้กำลังใจมาอยู่ใกล้ๆ
“จะพยายาม” ครั้งนี้ฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธออกไป เขาไม่กล้ารับปากแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ “ใกล้ๆเตือนอีกที”
“ครับ ผมอยากให้พี่มานะ”
“ทำไมถึงอยากให้ไป” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป ทุกๆครั้งเวลาที่บุ๋นชวนเขาแววตาของเจ้าตัวจะเต็มไปด้วยความหวัง ทั้งๆที่ตัวฐานทัพเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากให้เขาไป
“อยากได้กำลังใจ” บุ๋นตอบออกไปตรงๆ เขาหันไปมองหน้าคนข้างๆชัดๆ “ถ้าผมพลังหมดขึ้นมาจะทำยังไง”
“อยากได้เครื่องดื่มชูกำลัง?” ฐานทัพถามออกไปอย่างไม่เข้าใจนัก ถ้าพลังหมดก็ต้องดื่มอะไรที่รู้สึกสดชื่นไม่ก็ได้ผ้าเย็นๆ
แต่นั่นคือเหตุผลที่อยากให้เขาไปอย่างนั้นหรอ
“เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้าช้าๆ “อยากโดนชาจพลัง”
“ตลก”
“ผมพูดจริงนะ”
บุ๋นค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือของหมอฐานทัพช้าๆ แม้ว่าจะกลัวหมอปฏิเสธแต่ร่างกายมันไปไวกว่าความคิดเสมอ เขาค่อยๆยกมือของหมอฐานทัพขึ้นมาวางไว้บนหน้าผากเขาเหมือนที่หมอเคยทำก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“อืม…หายเหนื่อยเลย”
ฐานทัพได้แต่นิ่งอึ้งกับสิ่งที่คนตรงหน้าทำ เขาไม่ได้ดึงมือกลับและไม่คิดปฏิเสธสัมผัสจากคนตรงหน้า ความงุนงงและความสับสนทำให้เขาปล่อยให้อีกฝ่ายชาจพลังอย่างเต็มที่ก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไป
“ช่วยได้จริงๆหรอ”
“ครับ” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับ “ขออยู่แบบนี้อีกสักพักนะครับ”
“…” แม้จะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไปแต่ฐานทัพกลับทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ “อืม”
ความอบอุ่นจากฝ่ามือของหมอฐานทัพที่ประทับลงบนหน้าผากสามารถไล่ความเหนื่อยล้าของบุ๋นให้หายเป็นปลิดทิ้ง แม้จะอยากค้างอยู่อย่างนี้อีกสักพักแต่เขาก็ต้องห้ามใจตัวเอง แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วที่หมอไม่ดึงมือกลับ ดีเท่าไหร่แล้วที่หมอไม่ปฏิเสธสิ่งที่เขาทำ
“ขอบคุณนะครับ” บุ๋นค่อยๆดึงมือของฐานทัพออกจากหน้าผากอย่างอ้อยอิ่ง แม้จะไม่อยากปล่อยมือคนตรงหน้าก็ตาม
“อืม” ฐานทัพที่ยังคงงงอยู่ตอบกลับมาสั้นๆ
“พี่โกรธรึเปล่าครับ” คนที่แคร์ความรู้สึกของคนตรงหน้ามากถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ควรจะทำ แต่ร่างกายมันขยับเคลื่อนไหวไปเอง
“ไม่” น้ำเสียงเรียบๆตอบกลับมา “บุ๋น”
“ครับ?”
“ตัวอุ่น ไม่สบาย?” หมอฐานทัพก็ยังคงเป็นหมอฐานทัพ ท่าทางซื่อๆของหมอเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ดูประดิษฐ์ขึ้นมา
“เปล่าครับ ผมสบายดี” บุ๋นระบายยิ้มออกไปเพื่อให้คนข้างๆสบายใจ
“อ่อ อืม” เขาคงรู้สึกไปเอง “ดีแล้ว”
ฐานทัพหลบสายตาคนตรงหน้าเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาเองก็ไม่เคยนับ แต่ช่วงหลังๆเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่กล้าที่จะมองรอยยิ้มนั้นตรงๆ ทุกครั้งที่บุ๋นยิ้มความรู้สึกข้างในของเขามันดูวุ่นวายแปลกๆ
“พี่อยากลองชาจพลังดูไหมครับ?” บุ๋นถามหลังจากเห็นคนข้างๆเงียบไป
“ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ
“พี่จะได้รู้ว่ามันช่วยได้จริงๆ” บุ๋นยื่นมือไปตรงหน้า เขาไม่ได้มีความคิดที่อยากจะฉวยโอกาสสัมผัสตัวหมอฐานทัพแต่เขาแค่อยากให้หมอได้รับรู้ความรู้สึกที่เขาได้รับจากหมอ
มันช่วยได้จริงๆ
“อืม” มือเย็นๆสัมผัสมือที่ยื่นมาช้าๆ ฐานทัพวางมือของคนข้างๆไว้บนหน้าผากของตัวเองอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมือมายังร่างกายของเขาเหมือนพลังงานของแบตเตอรี่ที่กำลังถูกชาจ
อืม…
“รู้สึกเหมือนผมไหมครับ?”
“อืม”
“ถ้าพี่เหนื่อย ผมจะคอยอยู่ข้างๆเพื่อชาจพลังให้พี่เอง”
ฐานทัพสบตาคนตรหน้านิ่ง เขาค่อยๆถอนมือของบุ๋นออกจากหน้าผาก ความอบอุ่นยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย รอยยิ้มจากคนยิ้มยากปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณ”
-------------------
ช่วงก่อนหน้านี้ได้กลับบ้านที่เชียงใหม่แล้วไปนั่งอ่างแก้วที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ความรู้สึกตอนนั้นบอกได้เลยว่าบรรยากาศรอบข้างโรแมนติกมากๆ ในหัวก็คิดถึงหมอฐานทัพกับบุ๋นขึ้นมาจนต้องขอเอาแรงบันดาลใจจากสถานที่มาเขียนไว้ในนิยายเพื่อให้คนอ่านได้เข้าถึงบรรยากาศไปกับเราด้วย
ขอบคุณอ่างแก้วนะคะที่ให้เรายืมสถานที่มาเขียนให้นักอ่านได้อ่าน ^^
ติดตามการอัพนิยายได้ทาง Fan page : perlina.
หรือติดแฮชแท็ก #ผมจีบหมอ พูดคุยกันได้ทางทวิตเตอร์ @perlinjun