Lies 5 : Don’t cry snowman
ผมทั้งที่ยังร้องไห้อยู่กลับต้องตกใจที่ฌาเอ่ยชื่อนั้นออกมา แต่ก็ยังตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อครู่เลยห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ เป็นสภาพน่าอนาจจนฌายังหัวเราะ
“กุสตัฟ เอารถกลับอพาร์ทเม้นท์ให้หน่อย”
“อะไรนะ”
“ฉันเอาหมวกนิรภัยมาอันเดียว ให้เขาซ้อนกลับไม่ได้”
“อะไรนะ เชี่ยแม่ง ไม่เอาโว้ย หนาวจะตาย ใครจะไปขับ”
“ถือว่าขอนะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเลย”
“ชิท”
ฌาโยนกุญแจรถให้กุสตัฟพร้อมยกยิ้ม บอกที่จอดรถก่อนจะพาผมเดินไปขึ้นรถบัส ผมยังสะอื้นไม่หาย แต่ก็เดินตามฌา ปล่อยให้เขาจูงมือไปเรื่อยๆ มีความคิดหลายอย่างตีกันอยู่ในหัว ทั้งเรื่องที่อยากเล่า ทั้งเรื่องที่ปิดบัง ทั้งเรื่องที่อยากรู้
แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป มีแค่เสียงสะอึกสะอื้นลอบดังมาเป็นระยะๆ กระทั่งขึ้นรถแล้วผมก็ยังไม่หยุดร้อง สะอึกสะอื้นจนฌาต้องลูบหัวผมเพื่อปลอบใจ คนในรถมีไม่กี่คนเหลือบมองมาทางผมเป็นพักๆ
ฌาพาผมมาถึงอพาร์ทเม้นท์ เข้าสู่สถานที่ปลอดภัยอีกครั้ง ผมร้องไห้โฮ คิดว่าคืนนี้จะไม่ได้กลับมาที่นี่เสียแล้ว
“ไม่ร้องแล้วสิ พี่ยังอยากจะดุเราอีกเยอะเลยนะ”
“ไม่...ไม่ดุ ฮือออ”
“ก็อยากทำตัวให้ดุทำไมล่ะ...คิดว่าโลกนี้ทุกคนต้องใจดีกับเจนหมดเลยหรือไง”
ฌาว่าพร้อมขยับตัวหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมปล่อยให้เขาเช็ดน้ำหูน้ำตาไปทั้งๆ ที่ยังปล่อยโฮไม่หยุด สรรพนามเรียกผมที่คุ้นหูทำให้ผมสงสัยฌามากกว่าเดิม เสียยังรวบรวมประโยคในหัวไม่ได้ เลยได้แต่ปล่อยให้ฌาบ่นไป เช็ดหน้าผมไป
“...คิดง่ายไปแล้ว หนีทุกคนมาอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วคิดว่าจะใช้ชีวิตได้เหรอ นิวซีแลนด์ปลอดภัยก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะต้องเป็นคนดี เข้าใจมั้ย”
“ผมรู้ รู้หน่า...ฮึก”
“รู้แล้วยังจะทำอีก มาอยู่กับใครก็ไม่รู้ ดีแค่ไหนแล้วไม่โดนทำร้าย”
“ก็ก่อนหน้านี้ผม...เคยคุยกับเขามาก่อน...คิดว่าเขา...เป็นเพื่อน...จะเป็นคนดี...”
“แล้วเป็นยังไงล่ะ”
“ก็...ฮึก....ทีฌา...ยังดีกับผมเลย”
“...นี่จำกันไม่ได้จริงๆ เหรอ”
“...”
“ไม่ได้ชื่อฌา ชื่อฌาณ... ฌอเฌอ-สระอา-ณอเณร”
“...”
ผมเบิกตาโตเมื่อความทรงจำเก่าวิ่งเข้ามาในหัว ชื่อแปลกๆ แบบนี้ผมจำได้แม่น มีไม่กี่คนหรอกที่จะชื่อนี้แถมยังรู้จักผมดี ฌาณ...ชื่อที่เอาคำว่าฌานกับญาณมารวมกัน ทำให้ตอนเด็กผมสับสนเวลาเขียนชื่อของเขา ใบหน้าของเจ้าของชื่อสมัยเด็กแล่นขึ้นมาในความทรงจำ ฌาณเป็นคนข้างบ้านสมัยผมอยู่ประถม พี่ชายที่คอยมาเล่นกับผมแทนพี่แท้ๆ เพราะอายุใกล้กับผมมากกว่า คนที่ผมตัวติดหนึบตั้งแต่ป.หนึ่งถึงป.หก จนกระทั่งเขาย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเมื่อขึ้นม.ปลาย...
“ฌาณ...?”
“อืม ฌาณ”
“ฌาณ...จริงๆ เหรอ”
“อืม ฌาณที่เจนคอยวิ่งตามต้อยๆ ตอนเด็กๆ ไง”
สิ้นสุดเสียงของเขา น้ำตาผมทะลัก ร้องไห้โฮหนักกว่าเดิมจนฌาณตกใจ รีบกอดพร้อมลูบหัวลูบหลังผมใหญ่ ปลอบใจให้ผมหยุดร้องเสียแต่ผมห้ามน้ำตาไม่ได้
ความกลัวที่ต้องอยู่คนเดียวมาตลอดหนึ่งเดือนถูกปลดปล่อยเมื่อรู้ว่าคนข้างตัวผมเป็นคนที่เคยรู้จักกันดี ผมไม่เคยอยู่คนเดียวในที่ต่างแดนแบบนี้มาก่อน คิดว่าไม่น่าจะยาก แต่มันก็ไม่ง่าย ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองปลอดภัยอย่างนิวซีแลนด์แล้วก็ตาม คิดว่าโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ แบบฌา แต่กลับไม่ใช่ เขาเป็นคนรู้จักผมมาก่อนแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น...ฌาณ โกหกผมทำไม...”
“ก็เราโกหกพี่ก่อนทำไม...”
“...”
“ไจบอกว่าเจนนินทร์จะมาที่นี่ ตอนแรกเราบอกว่าจะไปกับเพื่อน แต่ไจดันไปเจอเพื่อนเราที่ไทยเลยรู้ว่าโดนน้องชายตัวเองหลอก หมอนั่นแทบจะบินมาหาอยู่แล้ว ดีที่พี่บอกว่าจะดูแลให้”
“...”
“โกหกพี่ชายทำไมหืม เจนนินทร์”
“...ผม...”
ผมโกหกไจที่เป็นพี่ชายคนรองของผมจริงๆ อย่างที่ฌาณว่า บอกเขาไปว่าจะมาเที่ยวสองคนกับเพื่อนสนิท ทว่าจริงๆ แล้วผมมาที่นี่แค่คนเดียว ไจคงไปเจอเพื่อนผมเข้าเลยความลับแตก...
“ผมทะเลาะกับเพื่อน...”
“...อันนี้ก็โกหกใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ผมพูดจริงนะ”
“แล้วทำไมไม่ติดต่อหาไจบ้าง”
“ผม...ลบแอพที่ใช้ติดต่อหมดแล้ว ทั้งเฟส ไลน์ อินสตราแกรม”
“เฮ้อ... ดีนะที่ไจขอที่อยู่เราไว้ก่อนเราจะมาที่นี่ พี่เลยแอบตามดูได้”
“...แอบดู?”
“คิดว่าการที่พี่มาเจอเราเป็นเรื่องบังเอิญหรือไง”
“...แล้วไม่ใช่เหรอ...”
“ตามมาตั้งเกือบอาทิตย์ จู่ๆ ก็เห็นเจนรีบร้อนออกมาจากที่พักเดิม เดินสุ่มมั่วขึ้นรถบัสแถมยังลงสถานีไปเรื่อยอีก”
“ฌาณ... ตามมาด้วยหรือตอนนั้น”
“ใช่ แอบเดินตามจนรู้ว่าเราไม่มีที่ไปนั่นแหละถึงได้ออกมาทัก”
“...”
“บางทีความบังเอิญก็ช่วยเราได้นะ เหมือนอย่างที่กุสตัฟบังเอิญเจอเจนวันนี้ แต่ไม่ใช่กับทุกครั้ง รู้ไหม...”
“...รู้แล้ว”
“พี่แทบบ้าตอนเจนหายไป ไจต้องฆ่าพี่แน่ถ้าเราเป็นอะไร”
ผมไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป ประตูห้องก็มีเสียงเคาะดังขึ้นมา ฌาณผละตัวออกไปจากผมก่อนเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน หรือก็คือกุสตัฟ
“นี่กุญแจรถนาย จอดไว้ให้ที่เดิมแล้ว หนาวเป็นบ้าฉันจะแข็งตายอยู่กลางถนนแล้ว”
“ขอบคุณมาก เข้ามาก่อนไหม”
“...ไม่ล่ะ”
“...กุสตัฟ ขอบคุณจริงๆ เลือกร้านอาหารรอได้เลย”
“คิดมากน่า”
สิ้นสุดประโยค ฌาณก็ปิดประตู หันกลับเข้ามาสบตากับผมอีกครั้งพร้อมถอนหายใจ
“ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาไป เดี๋ยวชงโกโก้ให้”
ผมพยักหน้ารับคำ เช็ดน้ำตาที่เกรอะเต็มหน้าออก ทำตามคำพูดของฌาณอย่างง่ายดาย
ฌานชงโกโก้ให้ผมทันทีที่ผมออกจากห้องน้ำ ผมได้ดื่มโกโก้ร้อนๆ ฝีมือของเขาแล้วถึงค่อยใจเย็นลง ค่อยๆ เอ่ยบอกเรื่องราวให้เจ้าของห้องรับรู้ไปอย่างช้าๆ เล่าทุกอย่างไปตามความจริงที่เจอมา ทั้งเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ผมหนีมาพร้อมทิ้งเสื้อผ้าไว้จำนวนหนึ่งเพราะไม่มีเวลาเก็บ
และก็รู้จากเขาว่าตำรวจที่ฌาณพามาด้วยนั้นฌาณไปเจอตอรพวกเขากำลังออกตรวจตราอยู่แถวนั้นพอดีเลยขอให้มาด้วยกัน
“น่าจะแจ้งตำรวจจับ”
“...แต่ก็ไม่มีหลักฐานนี่”
“เฮ้อ...เรานี่นะ...”
“...”
“เอาเถอะ ต่อไปห้ามไปไหนคนเดียวแล้วนะ”
“อือ...” ผมรับคำ
“เข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวไว้จะพาไปซื้อเสื้อใหม่ที่ New market”
ผมพยักหน้า หลังจากดื่มโกโก้จนหมดแก้วแล้วจึงปีนขึ้นเตียงเข้านอนอย่างว่าง่าย เสียแต่ดันตาค้าง เมื่อขบคิดเรื่องราวที่ผ่านมาในวันนี้... มีหลายเรื่องวิ่งวนอยู่ในหัวมากเกินไป ผมจำฌาณไม่ได้จริงๆ และตั้งใจจะมาที่นี่โดยไม่ต้องการให้มีคนรู้จักมาร่วมเดินทางด้วยรวมถึงไม่ต้องการรู้จักใคร แต่กลับกลายเป็นว่าในช่วงที่ผมกำลังแย่ กลับมีคนที่เคยรู้จักคอยช่วยอยู่ข้างๆ เสียอย่างนั้น...
ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองคิดตื้นแค่ไหน เป็นเด็กหนีเที่ยวที่มั่นใจว่าตัวเองอยู่รอดได้ แต่ความเป็นจริงไม่ง่ายอย่างที่คิด เกือบจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายโดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้อีกครั้ง... ผมไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะปกติถ้ามีเรื่องอะไรผมแค่ฟ้องไจก็จบแล้ว หรือถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นผมก็มีเพื่อนคอยช่วยเหลือตลอด
ผมไม่เคยรับน้ำใจจากคนไม่รู้จัก และไม่คิดว่าพวกเขาจะยอมช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างผมด้วย อีกอย่างคือผมไม่ใช่คนพูดเก่ง สถานการณ์ตรงนั้นมันพูดยากนะ ถ้าลองขอความช่วยเหลือคนอื่นไปต่อหน้าซีน มันคงแก้ตัวให้ตัวเองสารพัดวิธีที่จะทำให้ผมไม่มีทางหนีอยู่ดี
พอไม่มีไจผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย และไม่มีใครเป็นหูเป็นตาให้เหมือนตอนอยู่ไทย
มาคิดดูถึงรู้ว่าผมโชคดีจริงๆ ที่เจอกุสตัฟ
ผมนอนพยายามหลับตานิ่ง ปัดเรื่องวันนี้ให้ออกจากหัว แต่หลับไม่ลงเสียทีจนกระทั่งฌาณขึ้นมานอน
ผมพลิกตัวไปหาเขา
“...ยังไม่นอนอีก”
“...ผมนอนไม่หลับ”
“เป็นอะไร...ไม่มีอะไรแล้ว...”
“ผมกลัว...ถ้าไม่มีฌาณจะเป็นยังไง”
“...แต่ก็มีไง ไม่ต้องห่วงหรอก ไจไม่ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวหรอก ถึงไม่มีพี่ ไจก็คงแอบส่งคนอื่นมาเฝ้าน้องชายตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ”
เพราะผมบอกพี่ไปว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนซี้ ปกติแล้วเพื่อนคนนี้คอยช่วยเหลือผมได้ทุกอย่าง ไจเลยวางใจ และอย่างที่ฌาณว่า ไจคงไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวแน่ๆ ถ้ารู้ว่าผมต้องอยู่คนเดียว เขาต้องรู้ว่าผมใช้ชีวิตคนเดียวได้แย่แค่ไหน
“...ฌาณ”
“หือ”
“จริงๆ แล้วฌาณก็รู้มาตลอดเลยดิว่าผมโกหกอ่ะ”
“ใช่ ไอ้เด็กเลี้ยงแกะ โกหกมันทุกอย่าง”
“ง่ะ...ก็นี่ไง...ผมไม่ได้เชื่อคนง่ายหมดทุกคนสักหน่อย ผมก็ระแวงฌาณเหมือนกันนั่นแหละ”
“ระแวงแต่ก็ยอมนอนเตียงเดียวกันกับคนแปลกหน้าเนี่ยนะ”
“ง่า...ก็มัน...”
“จริงๆ พี่เองก็พยายามทำให้เจนรู้เหมือนกันว่าพี่ไม่ใช่คนแปลกหน้า”
“...”
“ไม่มีใครเขาจู่ๆ ก็มาชวนคนไม่รู้จักที่เจอกันข้างถนนมาแชร์ห้องกันหรอกนะ...ไม่มีใครเขายอมล้างจาน ทำอาหาร ซักผ้าให้รูมเมทด้วย ไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง”
“ก็...ก็ผมคิดว่าเพราะผมจ่ายตังให้ฌาณเยอะนี่”
“จ่ายให้เยอะแค่ไหนถ้าเป็นแค่เมทส่วนใหญ่เขาก็ไม่ยอมทำให้หรอก ไม่ใช่แม่บ้านนี่”
“งือ...”
“ที่ยอมพาไปเที่ยว ให้ยืมเสื้อ ชงโกโก้ ดูแลตอนเป็นไข้ให้นี่คิดว่าเพราะใจดีเหรอ”
“อือ...ไม่ใช่เหรอ”
“ทำเพราะอยากให้เจนรู้สึกตัวต่างหากว่ามันไม่ปกติ อย่างที่ไจว่า เราอยู่คนเดียวไม่น่ารอดจริงๆ”
ครานี้เขาบ่นพร้อมถอนหายใจ ผมเบ้หน้า แต่เพราะฌานปิดไฟห้องแล้วทำให้มองไม่เห็นว่าผมรู้สึกยังไง ผมแอบเคืองๆ ฌาณนิดหน่อยที่หลอกผม ทำเป็นไม่รู้จักกัน เหมือนผมเล่นเป็นคนโง่โกหกอยู่คนเดียวเลย
“บอกมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ฌาณจะโกหกทำไม”
“อยากลองเชิงไง...แล้วพี่ก็โกหกแค่เรื่องชื่ออย่างเดียวด้วย...”
ผมจ้องเขา มองไปยังดวงตาสีรัตติกาล คาดเค้นว่าเขาพูดเรื่องจริงหรือเปล่า
“...โอเค ไม่มีคนในคลาสชื่อชาช่าอีกเรื่องก็ได้ นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว มีแต่เรานั่นแหละ”
“ผมจำเป็นเถอะ...อีกอย่าง ฌาณบอกว่าไม่ใช่คนกรุงเทพนี่” ผมร้องแย้ง เมื่อตอนเด็กๆ เขาอยู่บ้านติดกับผมและเรามักเล่นด้วยกันตลอด จะให้ไม่เป็นคนกรุงเทพได้ยังไงในเมื่อบ้านเขาอยู่ข้างบ้านผมอ่ะ
“ก็ไม่ใช่ไง พี่เกิดเชียงใหม่ แต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพ...จำไม่ได้เหรอ”
“...”
“นี่แหละนะคนเรา แถมตอนพี่มาเรียนที่นี่พ่อแม่พี่ก็ย้ายกลับไปอยู่เชียงใหม่ ไม่รู้เหรอ”
“รู้...” แต่จำไม่ได้นี่...ตอนนั้นผมยังเด็กมากนี่นา
“ขี้โกหกแล้วยังขี้ลืม”
“ผมเปล่า”
แน่นอน ผมโกหก ผมจำไม่ได้จริงๆ นี่ ผ่านมาตั้งขนาดนั้น ผมก็คิดว่าฌาณไปใช้ชีวิตใหม่แล้ว คงลืมกันไปเหมือนที่ผมลืมฌาณนั่นแหละ
“...เจนนินทร์จอมเอาแต่ใจ”
“...ผมไม่ได้เอาแต่ใจสักหน่อย”
“แต่ขี้โกหกใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ ผมโกหกเพราะจำเป็นหรอก ฌาณนั่นแหละโกหกผม”
“ตอนแรกก็แค่ลองเชิง แต่ใครจะไปคิดว่านายจำพี่ไม่ได้จริงๆ”
“โห ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ตั้ง 8 ปี ใครจะไปรู้ว่าฌาณโตมาแล้วจะหน้าแบบนี้”
“แบบนี้นี่คือยังไง?”
“ก็...ก็เป็นแบบนี้ไง”
“หึ แต่เจนไม่เปลี่ยนเลย พี่จำเราได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก”
“แต่ฌาณหน้าเปลี่ยน...”
ฌาณหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับลูบหัวผมก่อนเอ่ย
“ที่จริง...พี่ติดต่อกับไจตลอดเลยได้เห็นหน้าเจน ไจชอบส่งรูปเรามาให้กับเอาแต่บ่นว่าเราชอบงอแง”
“...ไม่ได้งอแง”
“หึ”
“ทำไมไจไม่เห็นบอกเลยว่ายังติดต่อกับฌานอยู่ ตอนแรกผมเข้าใจว่าฌาณเรียนที่ออสเตเรียซะอีก”
“ก็ปกตินะ คนเคยสนิทนี่ มีแต่เรานั่นแหละ พอพี่ย้ายออกไปแล้วก็ไม่ติดต่อมาเลย แล้วพี่ก็เรียนที่นิวซีแลนด์มาตลอดต่างหาก”
“ก็...ตอนนั้นผมยังเด็กนี่ ใครจะไปจำได้เล่า”
“อ้าง หึ”
“ก็...”
“เอาเถอะ นอนซะ พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวไม่สบายอีก”
“อือ...ฌาณ...”
“หืม”
ผมเงียบไปพักนึง ครุ่นคิดว่าจะขอเขาในสิ่งที่คิดในหัวดีมั้ย แต่ถ้าฌาณเป็นฌาณที่ผมรู้จักล่ะก็ เรื่องแค่นี้เขาต้องไม่ว่าแน่ๆ... ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมขอมันออกจะแปลกๆ แต่ผมห้ามความต้องการตัวเองไม่ได้อ่ะ...ผมทำใจก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
“...ตอนนี้รู้จักกันแล้ว ผมกอดได้มั้ย”
“...ก็นอนกอดพี่ทุกคืนอยู่แล้วนี่”
“หือ”
“กลิ้งมากอดพี่ทุกคืนอยู่แล้ว ยังจะขอกอดอะไรอีก”
ผมไม่ทันได้ถามอะไรต่อฌานก็คว้าผมเข้าไปซุกอกอุ่น แม้จะตกใจเล็กน้อยกับสัมผัสที่ไม่คุ้นชิน ทว่ากลับคุ้นเคยจนทำให้ผมคลายความกังวลไปได้ง่ายๆ อ้อมกอดอบอุ่นของฌาณทำให้ผมเริ่มง่วง เคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนที่คอยลูบหัวผมช้าๆ พร้อมกับได้ยินเสียงนุ้มทุ้มว่าอะไรบางอย่าง ก่อนจะผล็อยหลับไป
“เด็กน้อย...”
พระอาทิตย์ลุกมาทำงานแล้ว...ส่วนผมนอนขึ้นอืดอยู่บนเตียงทั้งวัน ปล่อยให้ฌาณคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน ดีที่ผมไม่ได้เป็นไข้อย่างที่นึกกลัว แต่คราวนี้กลับแปลกกว่าทุกทีเมื่อผมโดนคนแก่กว่าดุให้ลุกไปล้างจานหลังจากที่ผมกินสปาเกตตี้บนเตียงเสร็จ
“ง่ะ...ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นให้ผมล้าง”
“เพราะอยากให้เจนสะกิดใจไง ตอนนี้รู้จักกันแล้วเพราะงั้นไปล้างจาน”
“เกี่ยวด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นถ้าความไม่แตกผมก็ไม่ต้องล้างจานไปตลอดเลยงั้นสิ”
“ไม่หรอก กะจะบอกเร็วๆ นี้นั่นแหละ”
“บรือออออ” ผมกระพือปากเหมือนสมัยเวลาเป็นเด็กยามไม่พอใจ ไจดุผมเสมอว่ามันไม่สุภาพ แต่ผมก็ติดที่จะทำแบบนี้อยู่ดี
“เดี๋ยวเถอะ”
“ถ้างั้นฌาณเอาเงินผมคืนมาเลย” ผมยังคงร้องงอแง ขี้เกียจล้างจาน อากาศหนาวๆ แบบนี้ไม่อยากให้มือเปียกนี่นา แถมผมยังจ่ายราคาค่าห้องให้ฌาณไปตั้งเยอะตามข้อตกลงที่ให้เขาดูแลผม
“อ่ะ มาเอาไปเลย” แต่ฌาณกลับไม่สนใจเมื่อหยิบเงินหนึ่งฟ่อนขึ้นมายื่นให้ผม
“...”
“ไม่เคยเอาไปใช้อยู่แล้ว ว่าจะคืนให้ขากลับนั่นแหละ”
“ฌาณ...”
“ไม่งอแง ไปล้างจานเองเลยไป”
“บรือออออ” ผมงอแงอีกครั้งก่อนลุกจากเตียง นำจานที่เคยมีสปาเกตตี้แสนอร่อยของฌาณไปไว้ในซิงค์ ก่อนเริ่มเปิดน้ำ ทันทีที่หยดน้ำสัมผัสกับมือผม ผมก็สะดุ้งทันที
“ฌาณ มันเย็นไปอ่ะ”
“เด็กโง่ น้ำอุ่นอยู่ตรงนี้”
เขาดุผมอีกครั้งพร้อมกับเข้ามาเปิดวาล์วน้ำอุ่นให้ ผมไม่รู้นี่ มันไม่เหมือนที่บ้านอ่ะ พอมีน้ำอุ่นแล้วผมถึงได้วางใจ ลงมือหยิบสก็อตไบร์ทขึ้นมา ก่อนจะลงมือขัด ทว่าโดนฌาณเอ่ยห้ามไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิ ล้างน้ำให้หมดก่อน”
“ง่ะ...” ผมทำตามที่เขาบอก ใช้สายน้ำชโลมจานที่เปรอะคราบซอสจนหมด ก่อนจะนำสก็อตไบร์ทมาถู
“ผิดด้านแล้ว เอาด้านที่เป็นสีเขียวถูจานสิ”
“...”
ผมเปลี่ยนข้างสก็อตไบร์ท ลงมือขัดใหม่จนเกิดฟองฟ่อด ผมไม่เคยล้างจานเองนี่ ไจไม่เคยให้ผมแตะอะไรแบบนี้เลย แถมไม่เคยมีใครสอนผมด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าฌาณยืนซ้อนหลังผมเพื่อคอยจับตาดูว่าผมล้างจานถูกหรือเปล่า...ผมดูโง่ไปเลยอ่ะ
“ดีมาก เสร็จแล้วเอาไปตากตรงนี้” เขาบอกพร้อมชี้ชั้นวางจาน ผมเสียบจานให้เข้ากับร่องจนมันวางพอดีถึงได้ปล่อยมือ ก่อนนำช้อนส้อมที่ทำความสะอาดแล้วไปไว้ในตะกร้าข้างๆ เป็นอันเสร็จ
“ทำได้มั้ย”
ผมพยักหน้า
“ดีแล้ว ครั้งต่อไปถ้ากินเสร็จก็ล้างจานด้วย”
“ฌาณ...” ผมร้อง ไม่อยากล้างจานนี่ แต่พอเห็นตาดุๆ ของฌาณผมก็หงอทันที แต่ผมยังต้องพึ่งเขาอีกเยอะ เพราะงั้นผมยอมล้างจานก็ได้
ฌาณบอกว่าวันนี้จะพาผมไป New market ย่านช็อปปิ้งที่น่าสนใจอีกที่ ให้ผมหาซื้อเสื้อกันหนาวเพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ผมทิ้งไว้ที่หอซีนคนชั่ว และไม่คิดจะไปขอเอากลับมา เพราะฉะนั้นเมื่อทานข้าวล้างจานเสร็จฌาณจึงบอกให้ผมไปเตรียมตัว ผมอยากเอ้อระเหยอยู่อีกสักพัก แต่ร้านค้าที่นี่ปิดไว ตอนหกโมงบางทีก็ปิดเกือบหมดทุกร้านแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงบ่ายจึงถือเป็นฤกษ์งามยามดี
ผมเปลี่ยนชุด แต่งตัวไม่นานก็พร้อมออก ส่วนฌาณแต่งตัวรอตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว พอถึงเวลาเขาก็แค่หยิบโค้ทกับผ้าพันคอมาสวม
“เสร็จแล้ว” ผมบอกเขา ฌาณพยักหน้ารับก่อนยกมือมาทาบหน้าผากผม
“ไม่มีไข้นะ”
“ไม่มี ผมสบายดี”
“ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกนะ”
“อือ”
ผมตอบรับพี่ชายตรงหน้า ฌาณคงกังวลว่าผมจะไม่สบายเพราะร้องไห้หนักเมื่อคืน แต่ผมยังแข็งแรงดี การได้ออกไปข้างนอกกับฌาณคงทำให้ผมสดชื่นขึ้นหน่อย
เราออกเดินทางกันประมาณบ่ายโมง นั่งรถบัสไปเพราะฌาณมีหมวกนิรภัยแค่ใบเดียว ผมร้องบอกว่าจะซื้อเพิ่มให้ตัวเองแต่โดนฌาณดุกลับมาเลย บอกว่าสิ้นเปลือง อยู่แป๊บเดียวก็กลับแล้ว ให้นั่งรถบัสไป ผมเบ้ปาก อยากลองซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่นี่บ้างนี่...
เมื่อมาถึงย่าน New market ฌาณพาผมเดินดูช็อปต่างๆ ที่นี่ดูไม่ต่างจาก Queen street เท่าไหร่ ในแง่ของผู้คนและข้าวของ แต่ตัวสถาปัตยกรรมค่อนข้างต่างกันมาก ที่นี่ไม่ค่อยมีตึกสูงเท่าไหร่ เป็นช็อปชั้นสองชั้นตั้งเรียงรางข้างทาง ทว่าแต่ละช็อปมียี่ห้อติดหรูหรา ผมเลือกเดินเข้าเดินออกตามแต่ละร้าน สุ่มดูบ้าง เข้าตามแบรนด์ช็อปที่ผมมักซื้อเสื้อผ้าเวลาอยู่ไทย จนได้เสื้อกันหนาวเพิ่มมาทีละถุงสองถุง
ส่วนฌาณคอยเดินตามผมอยู่ไม่ห่าง เขาเดินดูเสื้อผ้าเช่นกันแต่ไม่ได้เลือกซื้ออะไร แถมเสื้อผ้าที่ฌาณสนใจเห็นจะมีแต่เสื้อผ้าสีดำ
“ฌาณทำไมถึงมีแต่เสื้อผ้าสีดำอ่ะ”
“...All blacks ไง”
“คือไรอ่ะ?”
“ชื่อทีมรักบี้ของที่นี่ ดังมากนะ”
“ผมไม่ดูรักบี้” อันที่จริง ผมไม่ดูกีฬาอะไรเลยต่างหาก
“ไว้กลับไปจะเปิดให้ดู”
“...” ผมไม่ได้อยากดูสักหน่อย
“อันที่จริง คนที่นี่ก็นิยมใส่สีดำหรือสีทึมๆ แบบนี้กันนะ นิวซีแลนด์เป็นเมือง old fashion คนไม่ค่อยแต่งตัวกันมากหรอก”
ผมพยักหน้า เป็นตามที่ฌาณว่าจริงๆ ผมไม่ค่อยเห็นคนที่นี่แต่งตัวจัด ถ้าคนไหนใส่โค้ทหรือบู้ทสีสดๆ ก็อนุมานได้เลยว่าเป็นชาวต่างชาติ
ผมเลือกเสื้ออีกสองสามชุด เข้าออกแต่ละที่เป็นว่าเล่น ถูกใจก็ซื้อ ไม่ถูกใจก็ไม่เอา จนถุงช็อปปิ้งในมือผมเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นฌาณที่คว้าไปช่วยถือ ก่อนปล่อยให้ผมมีความสุขกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าต่อ อันที่จริงผมซื้อของพวกนี้ที่ Queen street เองก็ได้ แต่ไหนๆ ฌาณก็พามาเที่ยวทั้งทีเลยไม่อยากปล่อยให้เสียเที่ยว
ตอนแรกผมคิดว่าคงไม่ได้จำเป็นต้องออกห้องเท่าไหร่ เพราะผมกลัวเจอเพื่อนชั่ว คิดว่าเอาแต่อยู่ในห้องไปเรื่อยๆ ก็ได้เลยไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม แต่พอฌาณเฉลยว่าเป็นฌาณ ผมเลยมั่นใจว่าเขาจะต้องพาผมไปเที่ยวข้างนอกแน่ๆ และผมจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา คิดได้อย่างนั้นผมเลยเลือกช็อปปิ้งให้สมกับที่อัดอั้นมานาน ทว่าก็ไม่ใช่ทุกร้านที่ผมจะถูกใจ
จนฌานเอ่ยขึ้นเมื่อช่วงหลังๆ ผมเข้าๆ ออกๆ ร้านเสื้อแต่ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ “ถ้ายังไม่ถูกใจไว้จะพาไปที่ Takapuna beach”
“ไป”
ผมตอบทันควันส่วนคนชวนก็ยกยิ้ม
จนผมช็อปจนพอใจแล้วฌาณก็พากลับห้อง บอกให้เอาของไปเก็บก่อนที่จะให้เตรียมตัวออกไปทานข้าวข้างนอกอีกครั้ง ผมถึงได้รู้ว่าฌาณตั้งใจจะไปหากุสตัฟที่ร้าน ตอบแทนที่เขาช่วยผมเมื่อวันนั้น แน่นอนผมยินดีอย่างยิ่ง เลยใส่โค้ทตัวใหม่เพื่อไปเลี้ยงข้าวเย็นเขาเลย
ระหว่างเดินทางฌาณเล่าว่ากุสตัฟมาหาเขาเมื่อเช้า ตอนที่ผมกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ ฌาณจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนเขาฟัง ทั้งเรื่องที่ผมเจอทั้งเรื่องที่จริงๆ แล้วผมกับฌาณรู้จักกัน ผมไม่รู้ว่ากุสตัฟว่าอะไรไหมแต่ฌาณบอกจะไปรับเขาที่ทำงานพิเศษผมเลยคิดว่ากุสตัฟน่าจะไม่ได้คิดมากเรื่องที่ฌาณบอกจะเลี้ยง แถมดูเหมือนจะไม่อยากรับค่าตอบแทนอะไร ฌาณถึงต้องบุกไปหาถึงที่
และตามคาด เมื่อกุสตัฟเห็นพวกเรามารอหน้าร้าน เขาก็สบถคำหยาบมากมายใส่ฌานทันทีจนผมยิ้มขำ
“ชิท บอกแล้วว่าไม่ต้อง น้องชายนายก็เหมือนน้องชายฉันนั่นแหละ กลับไปเลย ชิ่วๆ”
“หน่า อุตสาห์มาถึงที่นี่แล้วทั้งที ไปด้วยกันหน่อย”
“แม่งเอ๊ย นายนี่มัน...”
“กุสตัฟ ให้ผมขอบคุณคุณเถอะนะครับ ถ้าไม่ได้คุณวันนั้นผมคงแย่” ผมร้องขัดขึ้นมาเมื่อเขามีทีท่าว่าจะไม่ยอม
“หา...อะไรนะ นี่นาย...พูดภาษาอังกฤษได้งั้นเหรอ”
“อ่า ฉันลืมบอกไป”
“แม่งเอ๊ย พวกนายนี่มัน”
“ไปว่าเขานู่น ฉันไม่เกี่ยวนะ เขามันเด็กเลี้ยงแกะ”
“ไนล์...ฉันหมายถึง เจน...นายไม่ควรโกหกเพื่อนพี่ชายนายนะ ดีแค่ไหนที่ฉันไม่ได้นินทานายออกไป โอ้พระเจ้า พวกนายนี่มันแย่สุดๆ เลย คุยภาษาไทยนินทาฉันได้แต่ฉันไม่รู้เรื่องเนี่ย”
“ไปกันใหญ่แล้วกุสตัฟ มาเถอะ ยืนตากลมเดี๋ยวเจนป่วยอีก มีร้านอาหารดีๆ แถวนี้เยอะแยะเลยนี่ นายอยากเข้าร้านไหนล่ะ”
“ไม่เข้าสักร้านนั่นแหละแม่งเอ๊ย”
“งั้นให้ฉันเลือก...Cloody ดีมั้ยล่ะ”
“โอ้ ชิท เลี้ยง Wendy ฉันก็พอ โอเคมั้ย”
“โอเค ป่ะ Cloody”
“ชาร์ล!”
สุดท้ายฌาณก็โอบไหล่เพื่อนเขาไว้ ส่วนผมก็เดินตามหลังไม่ห่างเพื่อไม่ให้กุสตัฟเดินหนี กุสตัฟร้องโวยวายแต่สุดท้ายก็ยอมเดินดีๆ ตามพวกเรามาร้านอาหารที่ฌาณว่า Cloody เป็นร้านสเต็กที่ดูหรูหราอยู่พอตัว หน้าร้านเป็นตึกเก่าดูขลังแต่สวยงามแบบออริจินัล ส่วนในร้านกลับตกแต่งอย่างโมเดิร์น โดยใช้ไม้สีเข้มเป็นหลัก พร้อมกับไฟสีส้มและมีอะไรไม่รู้ระยิบระยับไปหมด
พวกเรานั่งลงตามที่เด็กเสิร์ฟจัดที่ให้ ก่อนเริ่มดินเนอร์กัน กุสตัฟบ่นไม่หยุด แต่พอหนีไม่ได้เลยเลือกสั่งมาเสียเต็มคราบ แน่นอน ไม่มีปัญหาสำหรับผม สเต็กที่นี่รสชาติดีพอสมควรเลย ไม่เหนียวไม่คาวแถมซอสราดก็อร่อย เสียแต่ผมกินได้นิดเดียวก็อิ่ม ไม่เหมือนสองคนนั้นที่กินเยอะ กินได้หลายอย่าง ผมอิจฉาชะมัด ถึงแม้ว่าผมจะกินได้ไม่เยอะเท่า แต่ก็พยายามชิมอาหารแต่ละจานอยู่เหมือนกันจนท้องป่อง
จากนั้นก็เข้าสู่วงสนทนา ผมเพิ่งรู้ว่ากุสตัฟกับฌาณเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ฌานอยู่ไฮสคูล ตอนฌาณเพิ่งมาที่นี่ใหม่ๆ ก็ได้เข้าเรียนพิเศษเพื่อปรับภาษา และได้เจอกับกุสตัฟที่กำลังจะเข้ามหาลัยที่โคลัมเบีย เลยมาเรียนภาษาเหมือนกัน เจอกันแค่ไม่กี่เดือนก่อนที่กุสตัฟต้องกลับไปเรียนต่อที่โคลัมเบีย ส่วนฌานก็ใช้ชีวิตที่นี่ไปเรื่อยๆ แล้วทั้งคู่ได้มาเจอกันอีกครั้งตอนที่กุสตัฟกลับมาต่อโทที่โอ๊คแลนด์เพราะที่ทำงานต้องการ ฌาณจึงชวนให้มาพักที่เดียวกันเสียเลย
เพราะงั้นตอนนี้กุสตัฟก็อายุ 28 เข้าไปแล้ว ส่วนฌาณอายุ 25 ความต่างของอายุไม่ได้ทำให้ความเป็นเพื่อนของสองคนนี้ลดลงเลย พวกผมคุยกันเรื่อยเปื่อยจนอาหารหมด กุสตัฟดุผมใหญ่เลยเรื่องที่ผมโกหกเขาและเรื่องที่ผมไปคบเพื่อนเลวๆ ผมก็ได้แต่ก้มหน้าขอโทษเขา บทเรียนคราวนี้จะไม่ลืมจริงๆ
แล้ววันนี้ของผมก็กลับมาปกติธรรมดา และจบวันด้วยท้องที่เต็มไปด้วยเนื้อและพุงป่องๆ
❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄
ถึงจะเฉลยแล้วแต่ระหว่างนี้ก็ลองจับผิดกันดูเล่นๆ นะคะ 555555