บทส่งท้าย หลังเหตุการณ์ไฟไหม้เรือนตระกูลจาง เรียกได้ว่าแทบไม่เหลือทรัพย์สินใดๆ รวมไปถึงธุรกิจก็เป็นอันต้องชะงัก งานนี้ตระกูลจางคงใกล้เคียงกับกิจการล้มละลายเลยกระมัง
หย่งคังคิดแล้วก็ปวดหัว มีเรื่องต้องไปสะสางมากมายนัก ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนป่วยที่เนื้อตัวถูกพันด้วยผ้าราวกับมัมมี่ ป่านนี้เขาออกจากสถานีอนามัยแห่งนี้ไปนานแล้ว ไหนจะเรื่องงานศพนายเลี่ยงหวง ไหนจะเรื่องบ้าน ไหนจะเรื่องธุรกิจ ไหนจะจื่อเยี่ยนที่หายตัวไป
คิดแล้วก็อดห่วงไม่ได้
“คิดอะไรอยู่ หน้าเครียดเชียว” ซื่อหลางเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยพร้อมชาและขนมหวาน หย่งคังไม่ทันรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเข้ามาตอนไหนเลยด้วยซ้ำ
“ไม่มีอะไรหรอก” คนเจ็บส่ายหัว
“นี่... ถ้ามีอะไรก็บอกข้าสิ อย่าเก็บไว้เข้าใจหรือไม่”
หย่งคังลอบยิ้ม “งั้นก็อยากบอกว่าข้ารักท่านนะ”
“จ...เจ้าพูดอะไรเนี่ย” หลี่ซื่อหลางเสหน้าที่แดงเถือกไปอีกทาง ก่อนจะวางชาและขนมลงบนโต๊ะข้างๆ เตียง “ข้าเอาขนมมาให้ เผื่อเจ้าจะหิว”
“หิว แต่ไม่อยากกินขนม” มือไวกว่าปาก หย่งคังดึงตัวซื่อหลางให้มานั่งบนตัก “กินท่านแทนได้หรือไม่"
“หยุดคิดเลย!”
…สาบานว่านั่นไม่ใช่เสียงของหลี่ซื่อหลาง ปั้ก!!
ตามด้วยการปาถุงซาลาเปาที่หลี่ซื่อหลางฝากซื้อแล้วยังกำชับว่าให้เอามาฝากคนเจ็บอย่างหย่งคังด้วยตัวเองอีก
จะให้ผูกมิตรอะไรนักหนา เหม็นขี้หน้า! นี่ถ้าพี่ซื่อหลางไม่ขอก็ไม่มีวันทำแน่ๆ
“ฟานตง!” ร่างโปร่งเท้าเอวทำท่าจะเอ็ดน้องคนกลาง “ทำไมทำเช่นนี้เล่า หัวร้างข้างแตกขึ้นมาจะแย่เอารู้หรือไม่”
“เจ็บจัง...” ได้ที่หย่งคังก็กอดเอวซื่อหลาง ไถหัวกับไหล่มนออดอ้อนเป็นการใหญ่
“มารยานัก!”
ฟานตงเห็นแล้วของขึ้น ชี้หน้าด่าอีกฝ่ายเอาเป็นเอาตาย “ตัวใหญ่อย่างกับควายอย่ามาพูดเจ็บจังไม่เข้ากับหน้าเถื่อนๆ ว้อย! พี่ซื่อหลาง อย่าไปเชื่อนะ!”
ฝ่ายคนกลางได้แต่ถอนหายใจ เขาแกะมือปลาหมึกของหย่งคังออกก่อนจะเดินไปหาฟานตง
“ไม่เอาน่า หย่งคังไม่สบายอยู่นะ เจ้าไปเล่นที่อื่นดีหรือไม่”
“ข้าโตแล้วนะ!”
“จ้า จ้า” ซื่อหลางลูบหัวฟานตงอย่างเอ็นดู “งั้นก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดีนะ ข้ารักเจ้า”
“รักมากกว่าหย่งคังหรือไม่” ถามด้วยสีหน้าหมาหงอย เห็นแล้วก็ลำบากใจจะตอบจริงๆ
“อ่า...รักเท่ากันน่ะ”
“ไม่เอา!! / ไม่เอา!!”
เป็นการประสานเสียงร้องครั้งแรกของน้องทั้งสองคนที่หลี่ซื่อหลางรักไม่ต่างกัน
“เสียงดังอะไรกันพวกเจ้า” เหมือนจิ้งอี้จะเป็นวีรบุรุษของวันนี้ เข้ามาได้จังหวะพอิบพอดี “อ่าว ฟานตง ข้าเห็นหยงเทียนตามหาเจ้าให้ทั่ว”
“ตามหาข้า?”
ฟานตงพับเรื่องพี่ชายรักใครมากกว่ากันทันทีที่ได้ยินชื่อคนรัก
“ก็ใช่น่ะสิ” จิ้งอี้ยักไหล่ “พลิกแผ่นดินหาเจ้าอยู่ข้างนอกนู่นน่ะ”
“งั้นข้าจะไปหาหยงเทียนแปบเดียว” ว่าแล้วก็เดินไปกระซิบกระซาบกับคนเพิ่งมาใหม่ “พี่จิ้งอี้จับตาดูเจ้านั่นไว้นะ ข้าไม่ไว้ใจเลย กลัวจะทำอะไรพี่ซื่อหลางอีก”
“ไม่ต้องห่วง เชื่อมือข้าได้”
พยักหน้าให้กันเหมือนสัญญาลูกผู้ชาย ก่อนไปหานตงยังไม่วายเขม่นใส่หย่งคังที่นอนอยู่บนเตียงอีกรอบ
เฮ้อ... นิสัยหวงพี่นี่แก้ไม่หายเลยสินะ
“อย่าคิดมากเลย ฟานตงก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ” จิ้งอี้เอ่ยด้วยท่าทางชาชิน เขาเห็นเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ฟานตงเด็กๆ แล้ว
“นั่นสิ...” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ “ข้าเลี้ยงตามใจเขาเกินไปหรือเปล่านะ”
“ท่านน่ะเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดในโลกแล้ว อย่ากังวลเลย” หย่งคังยิ้ม ซื่อหลางยิ้มตอบ เหมือนโลกทั้งโลกกลายเป็นสีชมพูไปเสียแล้ว
“นี่ๆ” จิ้งอี้ยกมือขึ้นเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง “บางทีข้าก็คิดนะ ว่าข้ายังจำเป็นอยู่หรือไม่"
“เจ้าเป็นเพื่อนข้านะ เดี๋ยวข้าไปหาชาให้เจ้าก่อนละกัน” หลี่ซื่อหลางเปลี่ยนเรื่อง เดินออกไปหมายจะซื้อชาร้อนมาให้คนที่อุตส่าห์ถ่อมาเยี่ยมคนเจ็บถึงในเมือง
ลับหลังหลี่ซื่อหลาง จิ้งอี้ก็เปิดบทสนทนาทันที
“หย่งคัง เจ้าน่ะ จริงใจกับหลี่ซื่อหลางจริงๆ ใช่หรือไม่”
“ชีวิตข้าก็ให้เขาได้” อีกฝ่ายตอบไม่หลบสายตา ไม่มีความลังเลในน้ำเสียง
“ก็ดี...” จิ้งอี้ว่าพลางพิจารณาคนตรงหน้าไปด้วย “ถ้าทำเขาเสียใจข้าไม่ไว้หน้าคุณชายอย่างเจ้าหรอกนะ”
“ก็แล้วแต่ท่าน”
จิ้งอี้ยักไหล่ “ก็นะ ว่าแต่จ้าวางแผนจะไปอยู่ที่ไหนต่อล่ะ”
“ไว้หายดีแล้ว ข้าจะกลับไปสะสางเรื่องของตระกูลเสียหน่อย”
“กลับไปบริหารงานต่องั้นรึ”
หย่งคังส่ายหน้า “ข้าก็ไม่แน่ใจ ประเมินความเสียหายแล้วท่าจะเสียมากว่าได้ ข้าอาจต้องขายทุกอย่าง แล้วเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ใหม่”
“พูดเหมือนง่ายๆ เลยนะเจ้าเนี่ย”
“ก็ไม่ง่ายหรอก” หย่งคังเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ข้าจะทำเพื่อซื่อหลาง ฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก”
“ก็ดีแล้ว”
“ข้ากลับมาแล้ว!” จู่ๆ ฟานตงก็ถลาเข้ามาในห้อง ไม่รู้รีบอะไรนักหนา ทำอย่างกับว่าหนีอะไรมาอย่างนั้นแหละ
“อ่าว พี่ซื่อหลางล่ะ” รีบถามทันทีเมื่อไม่เห็นเงาพี่ชายตนเองอยู่ในห้อง
“ไปหาซื้อชาน่ะ” จิ้งอี้ตอบคลายความสงสัย “แล้วหยงเทียนล่ะ ไม่มากับเจ้าเหรอ”
“เฮอะ!” ฟานตงเปลี่ยนสีหน้าทันที “เจ้านั่นจะไปตายที่ไหนก็ไปสิ ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”
“พูดเรื่องอะไรของเจ้าเนี่ย ทะเลาะกับหยงเทียนมา?”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
“ฟานตง” หยงเทียนที่สภาพเหมือนไล่จับอะไรอยู่เดินมาหยุดตรงหน้าฟานตง
“เจ้าหนีข้าทำไม”
“ไม่ได้หนี!” หันหน้าไปอีกทางท่าทีหงุดหงิดเสียเต็มประดา
...แหม่ หนีอยู่ชัดๆ... นั่นเป็นความคิดของทุกคนที่นั่งอยู่ในห้อง
“ข้าขอโทษถ้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ”
“ข้าไปมีสิทธิ์ไม่พอใจคนดังด้วยเหรอ เฮอะ!”
อ่า...อย่างนี้นี่เอง จิ้งอี้หัวเราะคิกคักเมื่อเข้าใจสถานการณ์ ได้ที่ราดน้ำมันลงกองเพลิงเสียหน่อย ชีวิตพ่อลูกสองอย่างเขาช่วงนี้ไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่
“จริงสิน้า...พักหลังๆ หยงเทียนโดนทาบทามไปเป็นลูกเขยตระกูลนู่นตระกูลนี่ชนิดหัวบันไดไม่แห้งเลยนี่นา”
ปรี๊ด!!
ราวกับปรอทความอดทนฟานตงขึ้นถึงจุดขีดสุด
บ้าเอ้ย! เพราะการทำตัวเป็นวีรบุรุษของหยงเทียนคราวนั้น เจ้าตัวก็เหมือนได้แจ้งเกิดกลายเป็นที่หมายปองของสาวๆ ถึงขั้นที่พวกนางแย่งจะเอาเป็นพ่อของลูกให้ได้!
ก็ใช่ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของหยงเทียน เขาเองเป็นคนที่พาหยงเทียนไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้ เอาแต่ใจจนอีกฝ่ายต้องเสี่ยงตายเข้าไปในกองเพลิงแทนตน
ถึงอย่างนั้น... คิดทีไรก็หงุดหงิดอยู่ดี!
“หลีกไป!”
ฟานตงหันหลังกลับทำทาจะเดินหนีอีกรอบ แต่ถูกคว้าไว้เสียก่อน
“เราต้องคุยกันนะ”
“ไม่คุยว้อยยย!!”
“แต่ข้ารักเจ้า!”
“ก...เกี่ยวอะไรเนี่ย!!” ฟานตงไม่ใช่แค่หน้าแดงเท่านั้น แต่ตัวแดงไปทั้งตัวเลยต่างหาก แหงล่ะ ถูกบอกรักท่ามกลางสักขีพยานแบบนี้ ต่อให้หน้าด้านฉาบปูนไว้หลายชั้นก็สะเทือนกันทั้งนั้น
“รักๆๆๆๆ รักเจ้าคนเดียว! ข้าไม่สนใจแม่นางพวกนั้นแม้แต่คนเดียว คนที่ข้ารักคือเจ้า ฟานตง ข้าจะไม่ทำรักกับใครนอกจากเจ้า!”
พรืด!
หย่งคังกับจิ้งอี้เกือบสำลักน้ำลายตัวเองในความกล้าหาญของหยงเทียนเสียแล้ว
“จ...เจ้าบ้า!!!”
ฟานตงตีอกชกลมเล็กน้อยก่อนจะวิ่งออกจากห้องด้วยความเร็วแสง ประหนึ่งว่าถ้าสามารถหายตัวไปได้ก็คงทำแล้ว ทิ้งไว้แต่คนตัวสูงที่ยืนเอ๋ออยู่ต่อหน้าสักขีพยานรักอีกสองหน่วยในห้องผู้ป่วย
“นี่ข้าทำอะไรผิดหรือ”
หยงเทียนถามอย่างคลางแคลงใจ รักก็บอกว่ารัก คนปากตรงกับใจผิดตรงไหน
“ข้าคิดว่าเพราะประโยคสุดท้ายนะ” จิ้งอี้ยักไหล่ หย่งคังพยักหน้าตาม
“ก็ข้าเห็นหย่งคังชอบพูดแบบนั้นกับพี่ซื่อหลางนี่นา...” หยงเทียนพึมพำ หากคนในห้องก็ได้ยินชัดเจนทุกคำ
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าว่าฟานตงคงไม่โกรธท่านแล้ว” หย่งคังให้กำลังใจ
“งั้นข้าไปตามฟานตงล่ะ” หยงเทียนรีบร้อนไปตามหาคนรัก ก่อนไปก็ไม่ลืมหันมาอวยพรคนเจ็บ “หายไวๆ ล่ะ”
“ขอบใจ”
หลังจากที่หยงเทียนไป หย่งคังก็หันไปหาจิ้งอี้ “หยงเทียนเป็นคนดีนะ”
“อ่า ใช่ๆ” จิ้งอี้พยักหน้า “เจ้านั่นตัวใหญ่แต่ซื่อบื้อมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ”
“นั่นเป็นคำชมหรือเปล่า”
“คิดว่าใช่นะ” พ่อลูกสองยักไหล่
“ขอโทษที่ไปนาน ข้าหลงทางน่ะ” ซื่อหลางเดินเข้ามาพร้อมกับชาสองสามถ้วยในถาด
“วันหลังไม่ต้องลำบากก็ได้ เจ้านี่ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย” จิ้งอี้ไม่วายดุเพื่อนรัก ร่างโปร่งยิ้มรับเจื่อนๆ
“ข้าก็อยากทำอะไรที่ทำได้น่ะ"
“ก็เป็นเสียแบบนี้แหละนะเจ้าเนี่ย” จิ้งอิ้หยิบถ้วยชาที่ยังร้อนๆ ขึ้นมา “ดื่มชาแล้วก็กลับดีกว่า ข้าไม่อยากเป็น กขค”
“ก...กออะไรนะ” ซื่อหลางถาม
“อ่อ เปล่าหรอก” ดื่มชารวดเดียวก่อนจะวางถ้วยใส่ถาดตามเดิม “ไปล่ะ! หายไวๆ ล่ะคุณชาย”
จิ้งอี้เดินออกไปท่ามกลางความงุนงงของคนในห้อง มาไวไปไวเสียเหลือเกิน เอาเถอะ หลี่ซื่อหลางหันไปให้ความสนใจกับคนป่วยแทน
“แผลเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บอยู่หรือไม่”
“ก็ไม่เจ็บเท่าไหร่ ไกลหัวใจน่ะ”
หลี่ซื่อหลางยิ้มรับ “ได้ยินแบบนั้นข้าก็โล่งใจ ข้าว่าเจ้าน่าจะดื่มชะ...” ไม่ทันจะเดินไปหยิบชาให้คนป่วยดื่ม มือปลาหมึกก็รวบตัวร่างโปรงลงไปนั่งกับเตียง ก่อนจะถูกฉกชิงความหวานจากริมฝีปาก
“อ...อื้อ!” ซื่อหลางพยายามเสหน้าหลบจูบที่กำลังจะประทับลงอีกครั้ง “ที่นี่สถานทีอนามัยนะ!”
“แปลว่าที่บ้านทำได้?”
“เจ้าลามกไปแล้ว!”
“กับท่านคนเดียวนั่นแหละ” ว่าแล้วก็ประทับจูบที่แก้มอีกฝ่าย
“อ้ะ! หยุดเลย”
หลี่ซื่อหลางแกะมืออีกฝ่ายหมายจะหลุดจากพันธนาการ หย่งคังมีสีหน้าเจ็บปวดทันที
“แค่กอดก็ไม่ได้หรือ?”
หันไปมองแววตาหม่นแสงนั่นแล้วใจอ่อนทุกที ซื่อหลางถอนหายใจ “แค่กอดนะ”
“อืม”
หย่งคังตระคองร่างโปร่งอย่างทะนุถนอมราวกับเขาสามารถแตกสลายได้อย่างไรอย่างนั้น หลี่ซื่อหลางเอ่บทำลายความเงียบอีกครั้ง “หย่งคัง”
“หืม?”
“ออกจากที่นี่แล้ว เจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป”
หย่งคังเลิกคิ้ว “เป็นห่วงหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ท่านน่ารักจริงๆ” หย่งคังทำท่าจะขโมยจูบอีก ผีตาแก่ลามกเข้าสิงอีกแล้วสินะ ซื่อหลางได้ทีตีแขนที่ไม่มีผ้าพันแผลพันอยู่ไปหนึ่งทีเบาๆ จนคนที่โดนตีแทบไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
“อย่าเปลี่ยนเรื่องได้หรือไม่ บอกข้ามาเร็ว”
“ก็ได้ ข้ายอมแล้ว” หย่งคังยิ้มอ่อน “ข้าคงจะไปทำเรื่องงานศพจางเลี่ยงหวงนั่นแหละ แล้วก็ดูว่ายังเหลืออะไรจากไฟไหม้บ้างหรือไม่ สินค้าจากไร่สวนก็ส่งมาแต่ไม่มีคลังจัดเก็บอีกแล้ว คงต้องขายสินค้าแก้ขัดไปก่อน”
“พอจะมีอะไรที่ข้าช่วยได้หรือไม่”
“อยู่ข้างๆข้านี่ไง” หย่งคังตอบในทันที เขาคิดแบบนั้นจริงๆ หากไม่มีคนตรงหน้า เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าชีวิตต่อไปจะอยู่อย่างไร จะมีแรงที่อยากต่อสู้ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ ไม่รู้เลยจริงๆ
ทว่าอีกฝ่ายกลับเงียบไปเสียอย่างนั้น หย่งคังเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“เป็นอะไรไป”
“...ข้าอยากทำให้อะไรเพื่อเจ้าบ้าง”
“แค่มีท่านอยู่ ข้าก็มีแรงฮึดต่อสู้แล้ว”
หลี่ซื่อหลางยิ้มรับ “งั้นพอออกจากที่นี่แล้ว เจ้าจะย้ายไปอยู่กับข้าใช่หรือไม่”
“ได้หรือ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรนะ มีหนี้ก้อนโตตามหลังอีก”
“แล้วอย่างไร? ข้ามีเงินเก็บอยู่ ฉะนั้นข้า...”
“ข้าขอไม่รับ” หยงคังเอ่ยแทรก ซื่อหลางมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที
“ข้าไม่ได้รังเกียจเงินท่าน อย่าเข้าใจผิด” หย่งคังรีบแก้ความก่อนอีกฝ่ายจะคิดมาก “ข้าแค่อยากสะสางหลายๆ เรื่องก่อนน่ะ จื่อเยี่ยนก็หายตัวไป ข้าเป็นห่วงเขา”
“งั้นหรือ”
“ข้าไม่หายไปไหนหรอก” ว่าแล้วก็จูบซับหน้าฝากอีกฝ่าย
“ข้ารู้”
ซื่อหลางเอ่ยเสียงเบา “ถ้าเจ้าหายไปอีก คราวนี้ข้าไม่ยอมแล้วจริงๆ ด้วย”
“จะลงโทษอะไรข้าหรือ?” หย่งคังพูดน้ำเสียงระรื่น “มัดกับเตียงก็เร้าใจดีนะ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ!”
“แล้วอะไรล่ะหืม?” คนตัวใหญ่เกยคางกับไหล่มน แอบสูดดมความหอมจากต้นคอคนในอ้อมแขน ถ้าเขาไม่บาดเจ็บอยู่ล่ะก็ คืนนี้จะไม่จบแค่นอนกอดกันแน่ๆ
“ข้าจะหนีไปในที่ๆ เจ้าตามไม่เจอน่ะสิ ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว”
หย่งคังชะงัก “...ไม่เอานะ...”
“ขึ้นอยู่กับเจ้านั่นแหละ"
“ซื่อหลาง ข้าขอล่ะ ห้ามทำแบบนั้น เข้าใจหรือไม่ ห้ามไปอยู่ในที่ๆ ข้าไม่เห็นท่าน” หย่งคังกระชับอ้อมกอดราวกับกลัวว่าหลี่ซื่อหลางจะหายไปจริงๆ
“ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะไม่ไปไหน มีอะไรก็บอกข้า อย่าแบกรับไว้คนเดียว ข้าก็พร้อมจะเดินไปพร้อมกับเจ้า”
“งั้นให้ถึงตอนนั้น เวลาข้าจะไปทำธุระที่ไหน ท่านก็ไปด้วยดีหรือไม่” หย่งคังเสนอความคิด “จะได้เรียนรู้เป็นคู่ชีวิตกันและกัน ช่วยกันทำงาน สร้างกิจการใหม่ด้วยกัน”
“จริงหรือ?”
แววตาประกายเหมือนเด็กได้ของเล่นของหลี่ซื่อหลางทำเอาหย่งคังแทบอดใจไม่ไหว เย็นไวตัวเรา เย็นไว้ คนตัวใหญ่พยายามท่องในใจ
“ข้ารักท่านนะ ซื่อหลาง”
เจ้าของชื่อยิ้มรับ จูบกลับแผ่วเบาราวกับผีเสื้อกระพือปีก
“ข้าก็รักเจ้า หย่งคังของข้า”
-------------------------------------------------------------
ร่างกายของหย่งคังใช้เวลาฟื้นฟูเพียงไม่นาน เขาก็สามารถเดินเหินยกของนู่นนี่นั่นได้เป็นปกติ เหลือก็แต่แผลเป็นตามตัวที่ยังคงเป็นเครื่องเตื่อนความจำให้นึกถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น
ซึ่งเขาคงจำไปจนวันตายนั่นแหละนะ
ทางด้านหลี่ซื่อหลางก็ปิดกิจการขายน้ำเต้าหู้อย่างไม่มีกำหนด เขาใช้เงินเก็บซึ่งมากพอสำหรับการไปกับหย่งคังในทุกที่ เรียนรู้ระบบกิจการการค้าขายของตระกูลจาง และเริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งกับคนรัก
ส่วนฟานตงก็ใช้เวลาส่วนใหญ่กับหยงเทียน ทำงานพิเศษอย่างขยันขันแข็ง และคอยเฝ้าบ้านรอวันพี่ซื่อหลางกลับมา
กระทั่งหนึ่งปีให้หลัง
เรือนตระกูลจางที่เคยจมหายไปในทะเลเพลิง บัดนี้ได้ถูกสร้างบูรณะขึ้นมาใหม่ แม้ไม่สวยหรูยิ่งใหญ่เหมือนอย่างเก่านัก แต่สำหรับหย่งคังและซื่อหลางก็ถือว่าเป็นบ้านที่น่าอยู่ทีเดียว ทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนเล็ก ที่ตอนนี้ถูกเรียกว่า ‘เรือนดอกท้อ’ เนื่องจากหย่งคังเล่าว่าสมัยเด็ก เขามีต้นท้อเป็นเพื่อน
...ฟังดูน่าเวทนานิดๆ ยังไงไม่รู้สินะ...
เอาเถอะ เอาที่คนรักสบายใจ ซื่อหลางจึงหาต้นดอกท้อมาปลูกเสียเต็มสวน จนกลายเป็นสวนดอกท้อที่สวยงามกว่าที่ไหนๆ ไปเสียแล้ว
ส่วนบริเวณเรือนใหญ่ก็ถูกปรับแต่งให้เป็นร้านอาหาร พ่อครัว และคนช่วยดูแลร้านล้วนเป็นคนรับใช้เก่าของตระกูลจางทั้งสิ้น ทุกคนอยู่กับแบบครอบครัว มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน
ทางด้านกิจการส่งออกผักและผลไม้สดก็มีซื่อหลางคอยช่วยดูแลในส่วนนี้ เป็นเหมือนตัวแทนหย่งคังก็ว่าได้ เพราะหย่งคังต้องออกไปพบปะสร้างสัมพันธไมตรีกับคู่ค้าสมาคมมากมาย เพื่อที่จะก่อร่างสร้างตัวให้มั่นคงกว่านี้
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน หย่งคังออกไปเจรจากับคนในวังเรื่องผักและผลไม้ที่จะถูกส่งเข้าคลังเพื่อกักตุนไว้สำหรับหน้าหนาวที่กำลังจากมาถึง ถือเป็นช่วงโหดหินของกิจการตระกูลจางทีเดียว
“ข้ากลับมาแล้ว” หลังน้ำเสียงอ่อนล้าเอ่ยขึ้น หลี่ซื่อหลางก็รีบปรี่เข้ามาหาคนรักทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ต้องส่งผลผลิตให้ทันสิ้นเดือนหน้าน่ะ”
“งั้นหรือ” หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าครุ่นคิด “ข้าคิดว่าทันอยู่นะ"
“ซื่อหลาง” หย่งคังไม่พูดพร่ำทำเพลง แม้จะเหนื่อยจากงาน เจ้าตัวก็งัดแรงเฮือกสุดท้ายอุ้มคนรักในท่าเจ้าสาวหายลับเข้าไปในห้องนอนทันที
“เดี๋ยวสิ!” หลี่ซื่อหลางประท้วงหลังจากถูกวางลงบนเตียง หย่งคังที่โดดขึ้นคร่อมเริ่มมือปลาหมึก มือลากผ่านส่วนไหนเป็นต้องเอาเสื้อผ้าเขาติดมือออกไปด้วย “หย่งคัง ยังกลางวันอยู่เลยนะ”
“ก็ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ทำกันเลย” พูดทั้งที่ยังสูดดมกลิ่นหอมจากตัวอีกฝ่ายราวกับเสพติด
“ก็เจ้างานยุ่งเองไม่ใช่หรือ”
“ใครกันแน่” หย่งคังแอบเคืองนิดๆ ที่ช่วงหลังมานี้หลี่ซื่อหลางจริงจังกับงานเสียจนบางครั้งก็ลืมไปว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ “ไม่เอาแล้ว ท่านไม่ต้องทำงาน อยู่ต้อนรับข้าที่บ้านเฉยๆ ก็พอไม่ได้หรือ”
“เช่นนั้นข้าจะต่างอะไรกับตุ๊กตาเล่า”
หย่งคังประทับจูบบนลาดไหล่มน “ท่านก็น่ารักเหมือนตุ๊กตาอยู่แล้ว”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”
“ข้าอยากมีเวลากับท่านมากกว่านี้”
หลี่ซื่อหลางตระคองใบหน้าคนรัก ย้ำด้วยเสียงจริงจัง “ข้าไม่ไปไหนหรอก ข้าอยู่กับเจ้า...อ่อ จริงสิ! เกือบลืมเลย”
“อะไรหรือ?” หย่งคังขมวดคิ้วสงสัย
“มีจดหมายจากจื่อเยี่ยนมาถึงเจ้านะ”
“จริงหรือ?” หย่งคังแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ลุกสิ ข้าจะไปหยิบมาให้”
หย่งคังลุกตามคำสั่งคนรัก เดี๋ยวนี้ซื่อหลางชี้ไม้เป็นไม้ ชี้นกเป็นนกไปเสียหมด ไม่ว่าอะไรเขาก็พร้อมเชื่อฟังคนรักเหมือนถูกมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น
“มันมาถึงเมื่อเช้าน่ะ ขอโทษที่ข้าแอบอ่านนะ ตัวข้าเองก็อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรเช่นกัน” ร่างโปร่งมีสีหน้ารู้สึกผิด ได้ที่หย่งคังจึงประทับจูบแก้มใสหนึ่งที
ฟอด!
“ไว้ข้าจะลงโทษท่านคืนนี้เลยดีหรือไม่ อย่างเช่นมัดกับเตียงเหมือนคราวก่อน? หรือจะลองในห้องครัวก็ตื่นเต้นดี?”
“อ...อ่านจดหมายไปเลย!”
คนที่ตัวแดงเหมือนมะเขือเทศสุกเดินหายลับหลังประตูไปอย่างรวดเร็ว สงสัยจะกลัวคำขู่ของหย่งคังเสียเต็มประดา
…น่ารักเสียจริง... หย่งคังเอ่ยกับตัวเองในใจ ก่อนจะเปิดจดหมายอ่าน
ถึง คุณชายเล็ก
ก่อนอื่นข้าต้องขอโทษที่หายตัวไป ถึงแม้ตอนแรกข้าไม่คิดจะบอกท่านเรื่องที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าก็ตัดสินใจว่าบอกท่านน่าจะดีกว่ากระมัง หวังว่าคุณชายเล็กจะสบายดีและกิจการรุ่งโรจน์ ส่วนข้านั้นสบายดี มีหมาตัวใหญ่นิสัยเสียคอยอยู่เป็นเพื่อน เช่นนั้นท่านก็เลิกออกตามหาข้าได้แล้ว ขอให้ท่านโชคดี
จื่อเยี่ยนเลี้ยงหมา? ไม่ยักรู้มาก่อนว่าคนตัวเล็กชอบเลี้ยงสัตว์ เอาเถอะ อย่างไรเสียคำพูดในจดหมายช่างฟังดูเป็นจื่อเยี่ยนดีจริงๆ
“ทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่” หย่งคังยิ้มอ่อน
ในเมื่อรู้ว่าจื่อเยี่ยนสบายดี หย่งคังก็เหมือนยกหินหนักๆ ออกจากตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ต่อไปนี้เขาก็คงหายห่วงเพื่อนเก่าได้แล้ว ก็เพียงแต่หวังว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีก
...มาเจอกันอีกครั้งที่นี่
หลังสวนดอกท้อ...
(จบ)
คุยกันสักนิด
เย้ๆๆ จบกันไปแล้วกับหลังสวนดอกท้อค่าาาาาาา
ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ติดตามกันมา
แม้เราจะหายไปช่วงนึงก็ตาม T T ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
เรามีแพลนว่า อาจจะมี ภาค 2 ตามมา
ยังไงก็รอติดตามกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ <3