ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
…………………….
ตอนพิเศษ ลูกไก่ในกำมือ
วรชิตไม่รู้ว่าบนโลกนี้มีสักกี่คนที่ใช้นามสกุล ‘วงศ์กีรติ’
เขาไม่รู้ว่านามสกุลนี้มีคนใช้ซ้ำโดยที่ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกากันหรือไม่
แต่ถ้าพูดถึง ‘วงศ์กีรติ’ ที่เป็นญาติโกโหติกากับ ‘กอบกุล วงศ์กีรติ’ แล้วล่ะก็ เขารู้จักอยู่ 1 คน
‘จิณณะ วงศ์กีรติ’
จิณณะคนนี้ไม่เคยอวดกับใครว่าเป็นทายาทเศรษฐี หนำซ้ำยังชอบทำตัวติดดิน ในเวลางานใส่เสื้อโปโลสกรีนชื่อที่ว่าการ นอกเวลางานใส่เสื้อแถมและกางเกงบอล เครื่องประดับเดียวที่มีคือนาฬิกาสปอร์ตเรือนละไม่กี่พันที่ถลอกปอกเปิกเพราะใส่มานาน
แต่...เรื่องฐานะทางบ้านนั้นปิดกันยาก
นามสกุลวงศ์กีรติติดหราตามท้ายชื่อ
แถมวันแรกที่มาทำงาน ก็ดันขับรถยุโรปหรูป้ายแดง
เจ้าตัวบอกใครต่อใครว่าเป็นแค่คนนามสกุลซ้ำ ส่วนรถคันนี้ได้มาเพราะถูกหวย
ใครจะเชื่อก็เชื่อไปเถอะ แต่วรชิตรู้ว่าไม่ใช่
จิณณะ ไม่ใช่ ‘วงศ์กีรติที่นามสกุลซ้ำ’ และไม่ได้ ‘รวยเพราะถูกหวย’ แต่เป็นหนึ่งในทายาทของ ‘กอบกุล วงศ์กีรติ’ ซึ่งรวยมากกก...จากการทำธุรกิจ
ต่อให้คนที่ตกข่าวสารบ้านเมืองมากที่สุด ก็ยังรู้ว่านอกจากคุณกอบกุลจะใหญ่แล้ว หล่อนยังเป็นจอมบงการด้วย ทุกสิ่งในวงศ์กีรติล้วนอยู่ในกำมือของหล่อน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินประเภทไหน ต้องผ่านสายตาและการกำกับของหล่อนเสมอ และทุกคำสั่งของหล่อนล้วนเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น
แล้วคนอย่างนี้จะให้หนึ่งในทายาทมารับราชการตำแหน่งเล็กๆในต่างจังหวัดอย่างนั้นน่ะหรือ
ผลประโยชน์คืออะไรเล่า?
เพื่อเส้นสายอย่างนั้นหรือ?
เส้นสายที่ได้มาจากตำแหน่งปลัดอำเภอในพื้นที่นอกกรุงเทพไม่น่าใช่ ‘เป้าหมาย’ ของคุณกอบกุลแน่นอน
ดังนั้นการที่จิณณะรับราชการย่อมไม่ได้รับการอนุมัติจากต้นตระกูล
แต่จิณณะก็ทำ
คนหัวแข็งที่กล้าชนแม้กระทั่งกับย่าตัวเองที่ใครๆก็พากันขยาด บ้าบิ่นถึงขั้นก้าวเท้าออกจากความสุขสบาย มาใช้ชีวิตสมบุกสมบันในต่างจังหวัด คนแบบนี้...น่าสนใจสำหรับวรชิต แถมพอคบหาก็ชักถูกใจนิสัยใจคอ พอสนิทสนมก็เริ่มถามไถ่เรื่องส่วนตัวจนไปถึงเรื่องความรัก
คนแบบจิณณะ...จะมีคนรักแบบไหน
แต่เรื่องแบบนี้ต่อให้จะสนิทใจกันระดับหนึ่งก็ไม่ถามกันโต้งๆ อาศัยว่าค่ำวันหนึ่ง อากาศดี ฟ้าโปร่ง วรชิตเลยชวนเพื่อนมาดื่มเหล้าที่หน้าบ้าน แล้วก็ลองเลียบๆเคียงๆถามด้วยความอยากรู้
“มึงมาอยู่ต่างจังหวัดยังงี้ แฟนมึงไม่ว่าเหรอวะ กูเห็นเสาร์อาทิตย์ก็ไม่กลับกรุงเทพ”
“แฟน?” จิณณะทวนคำ แล้วยกเหล้าขึ้นกระดก
“อย่าบอกนะ ว่ามึงไม่มีแฟน?” วรชิตย้อนถาม หรี่ตาเหมือนจับผิด
คำถามเหมือนจะดูแคลนกันนิดๆ หนุ่มโสดอย่างจิณณะก็เลยโยนภาระให้เพื่อนเสียเลย
“กูรอมึงแนะนำให้สักคนไง ขอแบบพร้อมกัดก้อนเกลือกินร่วมหัวจมท้ายไปกับกูนะ”
“กัดก้อนเกลือกินยังพอว่า แต่ให้ร่วมหัวจมท้ายไปกับมึงเนี่ย...”
วรชิตไม่อยากซ้ำเติมว่าคนอย่างจิณณะที่กล้างัดข้อแม้กระทั่งกับคุณกอบกุล จะมีใครบ้าดีเดือดร่วมหัวจมท้ายไปด้วย
“เฮ้ย! ดูถูก! กูหล่อนะ!” นอกจากจะบ้าแล้ว ยังหลงตัวเองอีกต่างหาก
วรชิตส่ายหัวไปมา
“ส่ายหัวหมายความว่าไง กูเคยถูกชวนไปแคสต์งานด้วยนะเว้ย! เกือบได้เป็นพระเอกละ”
“ขี้โม้ไอ้ปลัด!”
“มึงก็ปลัด”
“กูไม่ใช่ปลัดขี้โม้อย่างมึงนี่หว่า”
“กูไม่ได้โม้ กูแค่จินตนาการในโลกคู่ขนานเว้ย!”
“ส่วนโลกความจริงของมึงคือเป็นปลัดและไม่มีแฟน ใช่มะ?” วรชิตย้อน แล้วหัวเราะเย้ย ถามย้ำ
“กูถามจริง สรุปตอนนี้มึงไม่มีแฟน แล้วก่อนหน้านี้มึงเคยมีแฟนมั้ย”
“เคยสิวะ! กูบอกแล้วไงว่ากูหล่อ”
“แฟนที่ไม่ได้คบเพราะมึงหล่อล่ะ มีมั้ย”
“มีสิ! กูนิสัยดีนะ!”
เรื่องนี้วรชิตไม่เถียง ถึงจิณณะจะบ้าบิ่น แต่ก็ใจดี ใครตกทุกข์ได้ยาก เจ้าตัวพร้อมช่วยเสมอ ขนาดเดือนก่อน วรชิตชักหน้าไม่ถึงหลัง ทั้งๆที่ปิดเงียบที่สุด แต่ไม่รู้จิณณะรู้ได้อย่างไร กลับเป็นฝ่ายเสนอเงินให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย วรชิตเกรงใจแทบตาย แต่เรื่องเงินทอง เกรงใจมากไป ก็ยิ่งเครียด สุดท้าย เขาจึงยืมเท่าที่จำเป็น
แต่ก็นั่นล่ะ...จิณณะก็คือจิณณะ นอกจากจะให้ยืมแล้ว บางวันก็ทำทีเป็นสั่งอาหารมาเยอะๆแล้วแบ่งมาให้เขาช่วยกิน อ้างว่าสั่งตอนหิวเลยเยอะเกินกว่าจะกินหมด แต่ดูก็รู้ว่าตั้งใจเลี้ยงข้าวเขา
จิณณะนิสัยดี มีน้ำใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเจ้าตัวมาจากครอบครัวเศรษฐี ถึงได้แสดงความใจดีจากเนื้อแท้ออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ก็มีเศรษฐีอีกหลายคน ที่แม้จะมีเงินมาก แต่ก็ไม่ใจดีไม่ใช่หรือ
“ว่าแต่...มึงถามเรื่องแฟนกูทำไม หรือว่า...” จิณณะทิ้งจังหวะเล็กน้อย แล้วทำเป็นยิ้มกรุ้มกริ่ม “...แอบชอบกูเรอะ” คนหลงตัวเองจะคิดอะไรได้ นอกจากเรื่องนี้
วรชิตสำลัก ไอโขลกจนหน้าดำหน้าแดง เป็นฝ่ายคนถามที่หัวเราะร่วน แต่ก็หยิบน้ำส่งให้
“มึงไม่ต้องเล่นใหญ่ไอหนักขนาดนั้นก็ได้นะ เอ้า กินน้ำๆ”
วรชิตไอจนเหนื่อย หันมามองเพื่อนอย่างคาดโทษ
“คนอย่างมึงเนี่ยนะไอ้จิณ กูจะรอดูหน้าแฟนเลย”
จิณณะลอยหน้าลอยตา ยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องสนุก “รับรองว่าแฟนกูหน้าหล่อ ร่างใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง หน้าตึงนมตั้ง ซิกแพ็กเป็นแผง! ฮ่าฮ่า!”
“มึงพูดเองนะ!” วรชิตชี้หน้า แต่จิณณะยังคงไม่ยี่หระ
“แล้วก็ต้องกล้าชนกับย่ากูด้วย”
“โอ้โห นี่มึงกะจะโสดจนตายเหรอ จะมีใครในโลกกล้าชนกับย่ามึงนอกจากมึง”
“ก็ไม่มีไง ฮ่าฮ่า!” พูดแล้วก็หัวเราะด้วยความสะใจ แต่วรชิตหมั่นไส้จนแก้มกระตุก ยกมือไหว้ท่วมหัว
“สาธุ!! ขอให้แฟนของไอ้จิณเป็นผู้ชายหล่อๆ ร่างใหญ่ อกผายไหล่ผึ่งอะไรของมันนั่นน่ะ แล้วก็กล้าชนกับย่าไอ้จิณ และทำให้ไอ้จิณกลายเป็นลูกไก่ในกำมือได้ด้วยเถิด!”
“ลูกไก่ในกำมือ?” จิณณะทวนแล้วหัวเราะลั่น “กำมือย่ากู กูยังไม่อยู่ นับอะไรกับกำมือคนอื่น ฮ่าฮ่า”
พูดอีกก็ถูกอีก กระทั่งมือที่เต็มไปด้วยเงินทอง อำนาจ บารมีอย่างคุณกอบกุล จิณณะยังดิ้นรนจากมา แล้วจะมี ‘กำมือ’ ไหนกุมเขาได้?
“เอ้า! แต่ถือว่ามึงเป็นเพื่อนกู กูจะช่วยสาธุไปด้วยก็ได้ ธุจ้า! อยากกลายเป็นลูกไก่ จะร้องจิ๊บๆให้เพื่อนดูจ้า!” จิณณะ ยกมือไหว้ท่วมหัวไปกับวรชิต ก่อนจะหัวเราะร่วนอย่างไม่จริงจัง
...ก็ใครที่ไหนจะมาจริงจัง หาคนที่หล่อกว่านั้นไม่ยาก หาคนอกผายไหล่ผึ่งอะไรนั่นก็ไม่ยาก แต่ที่หาไม่ได้คือคนที่กล้าชนกับคุณกอบกุล และที่หายังไงก็หาไม่เจอคือคนที่จะทำให้จิณณะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ...
กระทั่งกับหัวแถวของตระกูลวงศ์กีรติ จิณณะยังต่อกรด้วย แล้วคิดหรือว่าเขาจะยอมอยู่ในกำมือของใคร
Impossible!
...............................
อันที่จริง วรชิตก็ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่ตนเอง ‘สาธุ’ ไปนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่...พอรู้ตัวอีกที ก็พบว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลับเป็นไปได้ สิ่งที่เคยพูดออกไปดันเป็นจริงสมพรปาก!
จิณณะมีแฟนเป็นผู้ชายหล่อๆ จะหล่อมาก หล่อน้อย เรื่องนี้ขึ้นกับรสนิยมแต่ละคน แถมรูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง หน้าตึงแน่นอน แต่นมตั้ง ซิกแพ็กเป็นแผงมั้ย ไม่รู้ จะลองถามจิณณะดูอีกที และที่เห็นคาตาคือกล้าชนกับย่าของจิณณะด้วย ที่เห็นตำตาที่สุดก็คือ ‘คนคนนี้’ ทำให้ทายาทแตกแถวของตระกูลวงศ์กีรติกลายเป็นลูกไก่ในกำมือไปโดยปริยาย!
นี่สิ! หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก!
แต่...ก็ยังมีบางคนไม่ยอมรับความจริง
วันนี้ จิณณะมีเวลาว่างแวะมารำลึกความหลังเมื่อครั้งเป็นปลัดอำเภอ กินข้าวเที่ยงกับอดีตเพื่อนร่วมงานอย่างวรชิตที่ร้านข้าวแกงข้างที่ว่าการ กินไปกินมา วรชิตก็ชวนกินเหล้าตอนเย็น
“เย็นนี้มึงว่างมั้ย พี่อำนาจชวนกินเหล้า”
“เย็นนี้เหรอ...” จิณณะทวน ทำหน้านึก มื้อเย็นวันธรรมดา เขาและพิทักษ์จะกินข้าวด้วยกันเสมอ
เห็นเพื่อนทำหน้าคิด วรชิตก็ชักเกรงใจ จิณณะในเวลานี้ทำธุรกิจ เวลางานย่อมไม่ใช่ ‘เข้าแปดออกสี่’ อยู่แล้ว
“เฮ่ย แต่ถ้ามีธุระไม่เป็นไรนะเว้ย”
จิณณะส่ายหน้า อันที่จริงก็ไม่เชิงเรียกว่า ‘ธุระ’
“เปล่า แต่ปกติกูกินข้าวกับพี่ทิศ เดี๋ยวบอกพี่ทิศก่อน...” พอออกตัวว่าต้องบอกคนรัก ก็รับรู้สายตาของเพื่อนสนิททันที คนปากไวเลยตั้งคำถามทันควัน “...อะไร มองกูทำไม”
วรชิตยิ้มล้อเลียน
“กูก็แค่...คิดว่าปากกูกับมึงนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
“ปากศักดิ์สิทธิ์?”
“อ้าว! ก็สมัยก่อน มึงเคยท้าไง ว่าขอให้มีแฟนรูปหล่อ กล้าชนกับย่ามึง กูยังคิดอยู่เลยว่าโลกนี้จะมีได้ไง สรุปมีจริงว่ะ” จิณณะกำลังจะหัวเราะเออออไปด้วยแล้ว ถ้าเพื่อนไม่เสริมขึ้นมา
“...ที่สำคัญ เขาทำให้มึงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือด้วย!”
คำว่า ‘ลูกไก่ในกำมือ’ ทำเอาคนถูกตราหน้าว่า ‘ลูกไก่’ ถึงกับชะงักกึก คำว่า ‘ในกำมือ’ ทำให้เลือดยโสโอหังของวงศ์กีรติเริ่มไหลพล่าน
“ลูกไก่ในกำมือ? หมายถึงกูเป็นลูกไก่ในกำมือพี่ทิศเรอะ?” จิณณะตั้งคำถามอย่างเอาเรื่อง แต่วรชิตทำหน้าเหรอหราย้อนถาม
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่สิวะ! ไม่ใช่แน่ๆ!”
วรชิตไม่พูดแต่มองราวกับไม่เชื่อ จิณณะรู้สึกเหมือนถูกท้าทาย
…วงศ์กีรตินั้นฆ่าไม่ได้ หยามก็ไม่ได้!...
“มึงไม่เชื่อกูเหรอ?! อ่ะ! เดี๋ยวมึงดู! พี่ทิศต่างหากเป็นลูกไก่ในกำมือกู!”
วรชิตทำหน้าพยักเพยิดเหมือนเชิญทำให้ดูสักทีเถอะ!
จิณณะวางช้อน แล้วหันไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากด ไม่กี่อึดใจปลายสายก็รับ
“ฮัลโล! พี่ทิศ!”
ประโยคแรก เสียงสั้น กระชับ ดุดัน
“...กินข้าวยัง”
ประโยคต่อมา...ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ
วรชิตสำลักพรวด เสียงแรกก็ว่าเคร่งขรึมจริงจัง แต่ทำไมประโยคต่อมามันถึงอ่อนยวบยาบจนน่าใจหายอย่างงี้วะ?!
เห็นเพื่อนไอโขลก จิณณะถึงรู้ตัวว่าเขาเผลอใช้น้ำเสียงปกติที่คุยกับคนรัก เลยกระแอมไอตั้งสติแล้วเริ่มใหม่
...ใช่! คนเราเริ่มใหม่ได้เสมอ!...
“เปล่า! ผมจะบอกว่าวันนี้ผมไม่กลับไปกินข้าวกับพี่นะ!”
...ไงล่ะ! ฟังน้ำเสียงคนจริงซะก่อน!...
“จะไปกินเหล้ากับไอ้ชิต! อื้อ! ตอนนี้ก็นั่งกินข้าวกับมันอยู่ เดี๋ยวกินเสร็จ มันกลับไปทำงาน ผมก็ว่าจะอยู่แถวนี้แหละ แล้วตอนเย็นจะไปกินเหล้ากับมัน พี่ทิศหาอะไรกินเองได้เลย ไม่ต้องรอ!”
น้ำเสียงจริงจัง สีหน้าก็จริงจัง เรื่องสีหน้านี้ไม่ได้บอกคนปลายสายแน่นอนเพราะพิทักษ์ย่อมไม่เห็น แต่บอกวรชิตนี่ล่ะ ว่าคนอย่างจิณณะ วงศ์กีรติ ไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือใคร!
แต่...สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพลูกไก่!
ปลายสายพูดอะไรสักอย่าง วรชิตไม่ได้ยิน แต่เห็นสีหน้าจริงจังของจิณณะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วประโยคต่อมา น้ำเสียงก็เริ่มเปลี่ยนด้วย
“ก็...เดี๋ยวนั่งรอข้างล่างไง ไม่ตามไอ้ชิตขึ้นไปถึงโต๊ะหรอก...”
จากนั้นเจ้าตัวก็เงียบเหมือนฟังปลายสาย แล้วก็ทำหน้านึกตามไปด้วย
“อ่า...ให้ผมไปรอที่คลับเฮ้าส์ของพี่เหรอ แต่ตอนเย็นก็ต้องกลับมาที่นี่อีกอยู่ดี...อื้อ นี่นั่งกินข้าวอยู่ร้านป้าข้างที่ว่าการอ่ะ”
ไม่รู้ว่าจิณณะรู้ตัวมั้ย ว่าสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงห้าวเป้งเปลี่ยนเป็นสีหน้าครุ่นคิดรับฟังปลายสาย น้ำเสียงก็อ่อนลงราวกับคนละคน
วรชิตนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เห็นสีหน้าและได้ยินเสียงของเพื่อนรัก แต่เขาไม่กระโตกกระตาก ว่าเริ่มเห็นขนสีเหลืองงอกออกมาบนตัวจิณณะแล้ว
...เดี๋ยวคอยดูว่าจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมืออย่างสมบูรณ์แบบมั้ย...
“หือ? อยากกินพะแนงร้านป้า? คลับเฮ้าส์มีกับข้าวน้อยเหรอ ถึงมาอยากกินร้านนี้...ก็ได้ๆ เดี๋ยวผมซื้อไปให้ เอาพะแนงอย่างเดียวเหรอ แปบนึง ผมดูให้ว่ามีอะไรอีก”
แล้วเจ้าตัวก็ลุกจากโต๊ะเดินไปส่องที่ตู้กระจกกับข้าวราดแกง ก่อนจะรายงานปลายสายว่ามีเมนูอะไรบ้าง ส่วนสีหน้าจริงจังอะไรนั่นก็ลืมไปเถอะ เพราะตอนนี้เจ้าตัวกำลังยิ้มและหัวเราะระหว่างที่คุยโทรศัพท์ด้วยซ้ำ
วรชิตมองตามเพื่อนรักผู้ลืมอุดมการณ์
...ตอนแรกใครนะบอกว่าไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือ...
...ตอนแรกใครนะทำเสียงเข้มหน้าตาจริงจัง...
...แล้วดูตอนนี้สิ เดินไปสั่งกับข้าวให้งกๆ ไม่มีฉุกใจสักนิดเดียว!...
...ไอ้ลูกไก่จิณณะ! ตอนมันสาธุน่ะร้องจิ๊บๆเห็นเป็นเรื่องสนุก เป็นไงล่ะ! ได้จิ๊บสมใจ!...
จิณณะเดินวนอยู่หน้าตู้กระจก มองกับข้าวหลากหลาย ต่อรองกับปลายสายที่จะเอาแค่พะแนงอย่างเดียว
“มีไข่ลูกเขยด้วยนะพี่ ไม่อยากเหรอ”
ดูท่าปลายสายคงตามใจให้สั่งมาด้วย จิณณะถึงยิ้มกริ่มหันไปสั่งกับข้าวเพิ่ม...ไม่ได้เพิ่มแค่ไข่ลูกเขย แต่เพิ่มหมูก้อนทอดไปด้วยอีก 5 ชิ้น แล้วพอเหลือบตาไปเห็นป้ายเขียนว่า ‘วันนี้มีสละลอยแก้ว’ เลยสั่งเพิ่มไปอีก อ้อ...สั่งทองม้วนสดไปฝากลูกน้องคนรักอีก 5 กล่องตามประสาสายเปย์
จ่ายเงินรับของแล้ว ก็หิ้วกลับมาที่โต๊ะ ตอนนั้นเองที่เห็นสายตาของวรชิต แล้วก็เพิ่งนึกออกว่าก่อนจะโทรศัพท์ เขาประกาศอะไรไว้บ้าง
แต่...นึกๆดูแล้ว เขาก็ไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือของพิทักษ์ซะหน่อย! เย็นนี้เขาจะมากินเหล้ากับวรชิตไง! งดกินข้าวเย็นกับพิทักษ์ 1 วัน!
“สรุปว่า...” วรชิตเกริ่นให้
“สรุปว่าเย็นนี้กูไปกินเหล้ากับมึง”
“แล้ว...” วรชิตถามด้วยสายตาที่มองไปยังถุงกับข้าวที่จิณณะถือกลับมาที่โต๊ะ
“อันนี้มื้อเที่ยงของพี่ทิศ”
“อ้อ...สรุปว่ากินข้าวเที่ยงกับกูเสร็จ จะเอากับข้าวไปส่งคุณพิทักษ์ก่อนแล้วค่อยกลับมาที่นี่”
“เออสิ กูบอกพี่ทิศแล้วว่าเอากับข้าวไปส่งอย่างเดียว แล้วจะกลับมารอมึง”
วรชิตทำเป็นพยักหน้าเหมือนจะเชื่อลมปากอดีตเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่วายทิ้งท้าย
“แต่ถ้าคุณพิทักษ์ไม่ปล่อยมึงกลับมา ก็เจอกันที่ร้านเลยแล้วกันนะ”
“ทำไมพี่ทิศจะไม่ปล่อยกูกลับมาวะ”
วรชิตไม่ตอบ แต่ยักไหล่เหมือนไม่อยากพูด
...ลูกไก่ในกำมือ เจ้าของกำมือจะปล่อยออกมาเมื่อไร หรือจะดึงกลับไปตอนไหน คนนอกมองเห็น แต่ที่มองไม่เห็นก็ไอ้ลูกไก่ตัวนั้นแหละ!...
ขนสีเหลืองงอกขึ้นมาทั้งตัวแล้วยังไม่รู้อีก ไอ้ลูกไก่จิณณะ!
..............................
หลังมื้อเที่ยงทบทวนความหลังครั้งเป็นปลัดอำเภอ จิณณะก็แยกกับวรชิต เอากับข้าวไปส่งพิทักษ์ที่สนามกอล์ฟ ออกปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าส่งกับข้าวอย่างเดียว แล้วจะกลับมาหาเพื่อนที่ที่ว่าการ เพราะอยากรำลึกความหลังเสียหน่อย
วรชิตวางเงินร้อยนึงเลย พิทักษ์ไม่ปล่อยลูกไก่ออกมาก่อนถึงเวลานัดหรอก!
อ้อ! วรชิตขอวางอีกร้อยนึง จิณณะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าพิทักษ์จะไม่ปล่อยตัวเองออกมาจนกว่าจะถึงเวลานัด!
ลูกไก่ที่ชื่อจิณณะขับรถออกจากที่ว่าการไปยังสนามกอล์ฟของคนรัก ตอนไปถึงก็เกือบบ่ายโมงแล้ว แต่กลับพบว่าพิทักษ์ยังไม่ได้กินอะไรสักอย่าง
“ป้าไพบอกผมว่าพี่ยังไม่ได้กินข้าว ผมบอกแล้วนี่นาว่าให้กินก่อน” จิณณะเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของคนรักพร้อมกับเสียงโวย หลังจากเมื่อกี้ เจอแม่บ้านในแพนทรีบอกเขาว่าพิทักษ์รอกับข้าวจากเขา เลยไม่ยอมให้ยกอาหารเข้าไปให้
พิทักษ์ละสายตาจากงานบนโต๊ะขึ้นมามองคนรักที่ทำหน้าหงิก
“ก็จิณบอกว่าจะซื้อพะแนงมาฝาก” เขาตอบแล้วส่งยิ้มให้ แต่สีหน้าของจิณณะไม่คลายเลยสักนิด
“ผมบอกว่าจะซื้อมาฝาก แต่น่าจะมาช้า ให้พี่กินไปก่อน เดี๋ยวพะแนงตามมา”
จิณณะคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ถ้าเป็นเรื่องปากท้องล่ะก็ บ่นได้เป็นวรรคเป็นเวร
ส่วนพิทักษ์ เมื่อไรที่ถูกคนรักบ่นเรื่องนี้ เขาก็จะทำเพียงยิ้มจางๆ ไม่เถียงสักคำ
ไม่กี่อึดใจ แม่บ้านก็ยกอาหารตามเข้ามาในห้องทำงาน วางลงที่โต๊ะกระจกหน้าโซฟา
ตอนแรกหล่อนเตรียมข้าวผัดปูไว้เป็นอาหารกลางวันของพิทักษ์ แต่พิทักษ์บอกให้เปลี่ยนเป็นข้าวสวยและให้รอกับข้าวจากจิณณะ ซึ่ง...กับข้าวของจิณณะก็สมกับที่รอ เพราะมีทั้งพะแนง ไข่ลูกเขย หมูก้อนทอด และสละลอยแก้วอีกถ้วย
พิทักษ์ลุกจากโต๊ะทำงานมาเตรียมตัวกินมื้อกลางวันที่เลทไปร่วมชั่วโมง เห็นกับข้าวเพิ่มจากที่สั่งก็หันมาทางคนรัก
“ไหนว่ามีพะแนงกับไข่ลูกเขยไงจิณ”
ถ้าเรื่องปากท้อง จิณณะบ่น พิทักษ์ไม่เถียงน่ะใช่
แต่ถ้าเป็นเรื่องใช้เงิน พิทักษ์บ่น ส่วนจิณณะไม่เถียง...เรื่องนี้ไม่ใช่
“ก็! ผมเห็นว่าน่ากินอ่ะ สละลอยแก้วร้านป้าไม่ใช่จะได้กินง่ายๆนะ! บางทีหมดไวกว่ากับข้าวอีก!”
“แล้วหมูทอด?”
“ก็! เผื่อพี่อยากกินของแห้งๆไง ถ้ากินไม่หมดก็เก็บไว้กินมื้อเย็นก็ได้นี่นา!”
เห็นสายตาของพิทักษ์แล้ว ก็เกรงว่าจะถูกบ่นอีก คนพูดเก่งเลยต้องหาทางเบี่ยงประเด็น “กินข้าวๆ! นี่บ่ายโมงแล้ว ยังไม่กินอะไร เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะพอดี”
“นั่งกินด้วยกันสิ” พิทักษ์ชวน
“ผมกินกับไอ้ชิตมาแล้ว”
“งั้นกินผลไม้มั้ย”
จิณณะกำลังจะบอกว่าเขาอิ่มแล้ว ไม่อยากกินอะไรอีก แต่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน “...นั่งกินเป็นเพื่อนกัน”
น้ำเสียงและสายตาไม่ได้อ้อนวอน แต่ชวนให้หัวใจอ่อนยวบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ก็ได้”
แล้วคนที่อิ่มมาแล้ว ก็นั่งลงร่วมโต๊ะกับคนรักอีกรอบ
ถ้าวรชิตมาเห็นเข้า ก็คงพูดได้ประโยคเดียวเท่านั้น
...ไอ้ลูกไก่จิณณะ!...
...อิ่มท้องจะแตก แต่พอถูกชวนนิดเดียวก็ตามน้ำไปเฉยเลย!...
..............................