แปดโมงนิดๆ เราก็ออกจากสถานีรถไฟใต้สนามบินนาริตะครับ ถ้วยฟูนั่งหลับมาตลอดทางจากโตเกียวออกมาสนามบิน เพราะมันตื่นตั้งแต่ตีสี่กว่า เราสองคนช่วยกันลากกระเป๋าออกมาจากรถไฟ กระเป๋าค่อนข้างหนักมากเพราะของฝากที่ไอ้แสบซื้อนั้นแทบจะฝากทุกคนที่มันรัก ตั้งแต่เด็กในร้านไปจนถึงลูกน้องผม แถมมีแพลนจะเข้าไปซื้อขนมในดิวตี้ฟรีอีกต่างหาก กันดั้มที่มันขนกลับมาก็ไม่ใช่น้อย เราก็เลยพะรุงพะรังกันพอสมควร
หลังจากเช็คอิน โหลดกระเป๋าเดินทางที่น้ำหนักสองใบรวมกันแล้ว แม้แต่พนักงานประจำเคาท์เตอร์ยังช่วยลุ้น ซึ่งมันพอดีเป๊ะมากราวกับโชคช่วยให้ไม่ต้องเสียเงินซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม หลังจากกระบวนการเรื่องตั๋วเรียบร้อย เราสองคนก็ตัดสินใจเข้าไปรอข้างในเพื่อจะได้เดินดิวตี้ฟรีด้วย และแน่นอน...ร้านแรกที่มันพุ่งทะยานเข้าไปคือร้านขายขนมที่มีคนมากมายพอๆกับขนมที่วางขาย
“นี่ๆ อันนี้ขึ้นชื่อ” มันหยิบกล่องขนมที่ห่อด้วยกระดาษสีเหลืองอ่อนมีรูปกล้วยสีเหลืองอยู่ตรงกลางขึ้นมา เราเคยกินกันมาแล้วเพราะถ้วยฟูซื้อแพ็คเล็กๆขนาดสี่ชิ้นจากโตเกียว ทาวเวอร์มาลองชิม และมันตั้งใจจะซื้อกลับไปฝากครอบครัวผมและมัน
“เอาสองกล่องพอมั้ย บ้านพี่ธันกล่องนึง บ้านฟูกล่องนึง”
“อือ” บ้านผมไม่ค่อยเน้นขนมหวาน กล่องเดียวก็เกินพอ
“งั้น...ฟูซื้อฝากเพื่อนอีกกล่องดีกว่า” มันพึมพำหงุงหงิงแล้วหยิบอีกกล่องมาถือเอาไว้ ก่อนจะมองซ้ายมองขวาหาขนมอย่างอื่น ผมก็เลยต้องเตือนมันหน่อย เดี๋ยวมันลืม
“อย่าลืมช็อกโกแลตที่เมฝากซื้อนะ”
“ร้านขายช็อกโกแลตต้องเดินไปอีกที่นึงน่ะ ร้านนี้มีขายแค่ขนมของโตเกียว” มันอธิบายอย่างกับเคยมาเดินดิวตี้ฟรีนาริตะ แล้วดูมันทำหน้าเถอะครับ เชิดหน้าจมูกจะทิ่มเพดานอยู่แล้ว ผมรู้ว่ามันกำลังเห่อตัวเองขนาดหนักที่อัดความรู้ใส่สมองมาเอนเตอร์เทนผมตั้งแต่วันแรกยันวันกลับ
“อ้าว แล้วช็อกโกแลตอันนั้นไม่ใช่ของโตเกียวเหรอ” ผมถามมัน ทั้งๆที่เคยได้ยินมาว่าช็อกโกแลตยี่ห้อดังที่ใครไปใครมาญี่ปุ่นก็ต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับเมืองไทยนั้นไม่ใช่ของโตเกียว
ไอ้แสบเหลือบมอง แล้วทำเป็นถอนหายใจเบาๆเหมือนกำลังระอาที่ผมไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ผมต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ ไม่อยากให้มันรู้ตัวว่าผมกำลังขำมันอยู่
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ช็อกโกแลตนั่นเป็นของฮอกไกโด พี่ธันรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวฟูไปจ่ายตังค์ก่อน แล้วจะพาไป” มันทิ้งท้ายประโยคด้วยสีหน้าเหมือนเสียไม่ได้ที่จะต้องมาคอยพาผมไปนั่นมานี่ ซึ่งหน้าตาแบบนี้น่าเตะมาก
ถ้วยฟูจ่ายเงินเรียบร้อย ก็พาผมเดินไปหาร้านที่จะขายช็อกโกแลตยี่ห้อโปรดของเม ร้านนั้นอยู่ค่อนข้างไกลทีเดียวครับ ซ้ำยังเป็นร้านแคบๆที่มีคนรุมเยอะไม่แพ้ร้านขนมที่เราเพิ่งจากมา หน้าร้านมีตู้แช่ชอกโกแลตขนาดไม่ใหญ่นัก คล้ายตู้ขายไอศกรีมตามห้างฯบ้านเรา แต่ในตู้นั้นมีแต่ช็อกโกแลตกล่องสี่เหลี่ยมจตุรัสหลากหลายสีวางเรียงรายให้เลือกหยิบ
“น้องเมเอารสชาเขียวเนอะ พี่ธันเอามั้ย” มันก้มลงหยิบช็อกโกแลตกล่องสีเขียวอ่อนขึ้นมาสองกล่องตามที่เมฝากมา ผมไล่สายตาอ่านป้ายที่มีชื่อรสชาติของช็อกโกแลตซึ่งวางอยู่ในตู้แช่แล้วก็ไม่รู้จะเลือกอะไรดีเพราะมันมีเยอะเจนตาลาย สุดท้ายเลยยกประโยชน์ให้ถ้วยฟูเป็นคนตัดสินใจ
“ถ้วยฟูเลือกแล้วกัน พี่กินด้วย” ผมบอกมัน แล้วเดินไปดูที่เชลฟ์วางกล่องขนมใกล้ๆ ซึ่งเป็นมันฝรั่งทอดกรอบชุบช็อกโกแลตนั่นเองครับ ผมหยิบมาดูอย่างสนใจ เพราะที่เมืองไทยไม่มี น่าจะลองซื้อกลับไปชิม มีแบบกล่องใหญ่ที่มีหลายรสชาติด้วย เลยตัดสินใจหยิบมากล่องนึง พอกลับไปที่ถ้วยฟูอีกที ปรากฏไอ้แสบหยิบช็อกโกแลตออกมาเกือบสิบกล่อง
“ถ้วยฟู! จะซื้อไปขายเหรอ”
“โฮย หยาบคาย จะซื้อไปกินเองหรอก ก็เมื่อกี้พี่ธันให้ฟูเลือกแทนไม่ใช่เหรอ นี่ไง...อันที่เลือกแทนพี่ธัน” มันบอกแล้วโบ้ยหน้าลงมาที่กล่องช็อกโกแลตในมือทั้งสิบกล่อง ผมถึงกับพูดไม่ออก ยกประโยชน์ให้มันเลือกแทนก็จริง แต่ไม่ใช่หมายความว่าให้มันเลือกเป็นสิบกล่องแบบนี้!!!
มันมองหน้าผม คงจะเห็นท่าว่าผมจะดุ มันก็เลยทำหน้าละห้อย ตาโศก ดูรู้เลยว่ากำลังเล่นละครตบตา
“ก็...ฟูไม่เคยกินเลยนะ ช็อกโกแลตพวกนี้ ที่เมืองไทยมีขายก็จริง แต่แพ้งแพง ฟูเป็นแค่เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ซื้อของแพงๆแบบนั้นกินไม่ได้หรอก ที่พอจะทำได้ก็คือพอมาที่นี่ก็ลองซื้อมาชิม ตอนแรกก็ตั้งใจจะซื้อกล่องเดียวนะ แต่ว่า...แต่ว่าถ้าซื้อกล่องเดียวก็จะไม่ได้ชิมรสอื่นๆ ก็เลยต้องซื้อหลายกล่อง จะได้ชิมทุกรส แต่ถ้า...ถ้าพี่ธันไม่อยากให้ซื้อเยอะ ฟูก็...” ทั้งๆที่บอกตัวเองแล้วแท้ๆว่ามันกำลังตีบทโศก แต่ไอ้ถ้วยฟูมันคงจะทำบุญมาดีเกินไป ถึงจะรู้ว่ามันเสแสร้งทำหน้าเศร้า แต่ผมก็ยังใจอ่อนกับมันอยู่ดี
“เอามานี่มา เดี๋ยวพี่จ่ายให้” พอผมบอกไปแบบนั้น ไอ้แสบก็ถึงกับทำตาโตเป็นไข่ห่าน วิบวับขึ้นมาเชียว
“จะจ่ายให้ด้วยเหรอ?!!” หน้าตามันออกนอกหน้าเลย ว่าถ้าผมจ่ายให้ มันจะก้มลงหยิบช็อกโกแลตมาเพิ่ม แต่ผมรีบชี้หน้ามันเสียก่อน
“พอเลย เท่านั้นพอแล้ว” ผมทำเสียงเข้ม ไอ้คนที่ทำตาวิบวับเมื่อกี้ก็กลายเป็นทำตาเศร้าเหมือนเดิม
“ก็ไม่ได้จะเอาอะไรเพิ่มสักหน่อย...” มันกล้อมแกล้มบอกแล้วเดินไปรอที่แคชเชียร์ให้ผมเดินตามไปจัดการ
เราออกจากร้านมาได้แบบที่มีถุงขนมถุงใหญ่อยู่ในมือผม แถมมือมันมีถุงขนมที่ซื้อจากร้านก่อนหน้านี้อีก ผมเลยกำชับมันว่าห้ามซื้ออะไรอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นตอนขึ้นเครื่องจะไม่มีที่เก็บ ไอ้แสบก็ยินยอมแต่โดยดีแล้วเดินตามผมต้อยๆไปนั่งที่หน้าเกทรอเวลาเรียกขึ้นเครื่อง นั่งเพลินๆริมหน้าต่างกระจกมองดูเครื่องบินลำนั้นลำนี้บินลงมาจอดแล้วก็แอบใจหายเหมือนกันนะครับ ที่ถึงเวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว
“เป็นไง ทริปนี้” นั่งข้างกันเงียบๆมาพักหนึ่ง เสียงของถ้วยฟูก็ดังขึ้น ผมหันไปมองหน้ามัน นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะยอมตอบ
“ตอนแรก...พี่คิดว่าเราอาจได้ค้างคืนที่นาริตะคืนนึง แล้วเช้าวันต่อมาก็บินกลับกรุงเทพฯเลย”
“โฮ!!!!!” ถ้วยฟูร้องปากหวอที่ผมดูถูกกันขนาดนี้ แต่ก่อนที่มันจะโวยวายอะไร ผมก็รีบชิงพูดต่อเสียก่อน ไม่อย่างนั้นอาจเจอมันเล่นน้ำตาทำพิษแบบตอนก่อนจะมาที่นี่อีก
“แต่มันไม่ใช่ ถ้วยฟูพาพี่เข้าโตเกียว พาพี่ไปทุกที่ พอเหนื่อย ถ้วยฟูก็หาที่พักให้ พอหิว ถ้วยฟูก็พาไปหาข้าวกิน พี่ไม่คิดว่าถ้วยฟูจะเตรียมตัวมาดีขนาดนี้ การมาเที่ยวด้วยกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่มาเที่ยวแล้วเราได้สนุกด้วยกัน เรามีความสุขด้วยกัน เรามีความทรงจำดีๆร่วมกันนี่สิที่ทำยาก แต่ถ้วยฟูแสดงให้พี่เห็นว่าถ้วยฟูทำได้” ผมพูดก่อนจะหันไปมองหน้ามัน ถ้วยฟูได้แต่มองผมกลับมาเงียบๆ ก่อนจะก้มหน้าลงเบือนสายตาหนีไปทางอื่น
“ขอบคุณนะถ้วยฟู ทริปนี้เป็นทริปที่ดีที่สุดทริปหนึ่งของพี่เลย”
“เหมือนกัน...ทริปนี้ก็ดีที่สุดทริปหนึ่งในชีวิตฟูเหมือนกัน” มันบอกเสียงเบาแต่ยังไม่ยอมหันกลับมามองหน้าผม สายตามันเหลือบไปทิ้งเอาไว้กับเครื่องบินที่จอดอยู่นอกหน้าต่างกระจกบานสูงแทน ทว่า...พอผมเอื้อมมือไปจับมือมันที่วางอยู่บนเก้าอี้ สิ่งที่ได้กลับมาคือการบีบเบาๆจากมือของมัน
“แล้วไว้เรามากันอีก” ผมบอกมัน ก่อนที่ระหว่างเราจะกลายเป็นความเงียบเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้มีแต่เสียงประกาศและเสียงผู้คนรอบข้างที่ดังเซ็งแซ่ แล้วหลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ๆ ก็มีเสียงประกาศจากไฟลท์บินของเราให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้
...และเมื่อนั้น...เราก็ทิ้งโตเกียวเอาไว้เบื้องหลัง แล้วหวังว่าในไม่ช้า เราจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
รักนี้...อิน โตเกียวFIN
((แถม))
“อ๊ะหือ!! มีแต่รูปมึงทั้งนั้นเลยนะ! นี่มึงไปคนเดียวเหรอ” ไอ้โจถาม ขณะเปิดดูรูปที่ผมเอามาอวด ซึ่ง...ก็อย่างที่บอกว่านักท่องเที่ยวหล่อๆแต่งตัวประหนึ่งนายแบบอย่างผมก็ต้องมีรูปเดี่ยวมากมายเป็นภูเขาเหล่ากา
“รูปคู่ก็มีโว้ยยยยย” ผมรีบบอกแล้วจิ้มนิ้วให้มันดูรูปคู่ของผมและมายเลิฟที่มีบ้างประปราย
“แล้วมึงได้ไปโตเกียว สกาย ทรีมั้ย” ไอ้โจถามอีก ตอนที่มันดูไปจนถึงรูปที่เราถ่ายกันในวัดอาซาคุสะชื่อดัง ในขณะที่ผมมองมันงงๆกับคำถาม
...อะไรคือ โตเกียว สกาย ทรี...
“คืออะไรวะ” ผมย้อนถาม ก็ว่าไปทุกที่ตามแพลนเที่ยวที่ไอ้โจไปนี่หว่า แต่จำไม่เห็นได้ว่ามีไอ้ทรีๆอะไรนี่ด้วย
“อ้าว ก็โตเกียว สกาย ทรีไง ที่อยู่ใกล้ๆอาซาคุสะ” ไอ้โจเงยหน้าจากรูปขึ้นมาตอบ
“ใกล้อาซาคุสะ?!”
“ใช่ มันเพิ่งสร้างเสร็จไม่นานนี่เอง ตอนนี้เป็นแลนด์มาร์คนะเว้ย ใครไปโตเกียวก็ต้องแวะไปทั้งนั้นแหละ”
“ไม่เห็นมีเขียนในแพลนของมึงที่ให้กูมาเลย” ผมบอกมัน
“อ้าว! ก็กูเพิ่งบอกเมื่อกี้ว่ามันเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน รู้สึกว่ากูไปเที่ยวกลับมาได้ 2-3 เดือนมั้ง มันถึงเพิ่งเปิดให้เที่ยว”
“หมายความว่าแพลนเที่ยวของมึงไม่อัพเดต?”
“ก็จะอัพเดตได้ไงล่ะวะ ไปตั้งแต่ปีนู้นนนนนน”
“แล้วทำไมมึงถึงไม่บอกกู!!!!!! %$#&@!!!!”
FIN
ลอกแพลนของโจจนไร้สติคือถ้วยฟูนะคะ ฮ่าฮ่า
เป็นตอนพิเศษที่ยาวที่สุดเท่าที่บัวเคยเขียนมา แต่เป็นตอนพิเศษที่ปั่นจบอย่างรวดเร็ว
จริงๆตอนแรกจะเขียนเรื่องใหม่หลังจากเขียนหอยจบ แต่ช่วงนั้นคิดถึงโตเกียวมากเลย ก็เลยเอาเรื่องนี้ที่เขียนไปไม่กี่หน้าตอนอยู่ที่นู่นมาเขียนต่อ แล้วสุดท้าย ก็มาจบที่ 8 ตอนนี่ล่ะค่ะ
ขอบคุณมากๆสำหรับคนอ่าน คนเม้นท์ และทุกๆคนที่ยังคิดถึงพี่ธันและถ้วยฟูนะคะ บัวเขียนถ้วยฟูมานานแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีหลายๆคนมาบ่นคิดถึงถ้วยฟูให้ได้ยินอยู่เสมอ ดีใจมากๆที่ถ้วยฟูเป็นที่รักของทุกๆคนและอยู่ในความทรงจำของทุกคน บัวตั้งใจเขียนถ้วยฟูเพื่อให้คนที่อ่านรู้สึกอารมณ์ดีและผ่อนคลาย ไม่ว่าจะในเรื่องหลักหรือในตอนพิเศษ ซึ่งถ้าคนอ่านอารมณ์ดีไปกับถ้วยฟูเหมือนที่บัวตั้งใจ บัวจะดีใจมากเลยค่ะ (แต่ถ้วยฟูเป็นคาแรกเตอร์ที่ตอนเขียนจะมันมือมาก สนุกกับการเขียนมาก แต่พอเขียนเสร็จปุ๊บจะหมดพลังทันที เหมือนถูกสูบพลังไปเลยล่ะค่ะ ฮ่าฮ่า)
ขอบคุณพื้นที่บอร์ดที่ให้โอกาสบัวได้พบปะคนอ่านเหมือนเคย
แล้วไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้า แต่อาจต้องพักสักเดือนนึงเพื่อเคลียร์งานนิดหน่อย แต่จะกลับมาแน่นอนนนนน
ฝากเนื้อฝากตัวสำหรับเรื่องต่อไปด้วยนะคะ
ป.ล. เห็นมีคนสงสัยเรื่องช่วงเวลาที่ถ้วยฟูกะพี่ธันคบกัน คือถ้วยฟูกะพี่ธันรู้จักกันตั้งแต่ถ้วยฟูเข้าปีหนึ่งค่ะ(ใครมีเล่มจะรู้ว่าเขาเจอกันตั้งแต่สมัยนู้นนนนน) มารักกันตอนปีสอง ย้ายมาอยู่ด้วยกันหลังจากถ้วยฟูเรียนจบปีสี่(หมายความว่าถ้วยฟูกะพี่ธันคบกันมา 2 ปีถึงย้ายมาอยู่ด้วยกัน) และหลังจากที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ 5 ปี (รวมแล้วเป็นคบมา 7 ปี) ก็มาเที่ยวโตเกียวนี่ล่ะค่ะ เพราะงั้นอายุคร่าวๆของถ้วยฟูในตอนสเปเชียลนี้คือ 26-27 ค่ะ ^^