ตอนที่ 15 : เช้าที่แสนสดใสของเบิ้ม
“เบิ้ม ซื้อไอติมให้หน่อย”
เช้าที่แสนสดใสของเบิ้มถูกขัดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจของเด็กเวร ทำเอาคนยืนยิ้มมีความสุขกับการได้นอนกอดคนรักทุกคืนชะงักค้าง...ก้มมองเด็กชายซึ่งมองมาตาแป๋วแบบไม่รู้ความผิด
“สันไม่ให้กินไอติมไม่ใช่เหรอครับ” เบิ้มเอ่ยเสียงขรึมแกมดุ ก่อนหน้านี้มีเด็กซนคนหนึ่งเป็นหวัดแล้วออดอ้อนขอกินไอติม แน่นอนว่าพี่เลี้ยงย่อมใจอ่อน ผลคือทำเอาเด็กเวรเจ็บคอ นอนป่วยไปอีกสามวัน
“สันไม่ให้กินแต่ถ้าเบิ้มซื้อก็ไม่เป็นไรหรอก”
แม้ตอนนี้จะหายดีแล้ว แต่คมสันก็ยังไม่วางใจ เกิดคุณหนูสุดที่รักเจ็บคอขึ้นมาอีกจะทำยังไง เวลาไอแต่ละทีเล่นเอาใจคนเห็นแทบขาดรอนๆ ไปด้วย เบิ้มเลยส่ายหน้าปฏิเสธ
วันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นคิวที่ประธานต้องมาเล่นกับลูกชาย แต่เพราะมีนัดแทรกกะทันหัน ทำให้พวกเขาต้องมายืนอยู่ที่สนามบินเพื่อรอรับคนสำคัญของครอบครัวชาติบดินทร์ คนสำคัญที่ประธานไม่ได้รับเกียรติให้มารวมกลุ่มด้วย มีเพียงไอ้เบิ้ม คมสัน และเด็กชายกิจภัทรเท่านั้น
ขณะนี้เวลาเก้าโมงตรง คมสันปลีกตัวไปดูว่าเครื่องแลนดิ้งแล้วหรือยัง ทิ้งให้ไอ้เบิ้มถูกเด็กเวรวอแวขอกินไอติม
“บอกว่าลืมก็ได้ คมสันไม่ว่าอะไรนายหรอก ซื้อไอติมให้ฉันเร็ว”
ว่ากันว่าเด็กยิ่งโตก็ยิ่งพยศ เพราะจะจำกัดให้อยู่ในกรอบตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้ และเด็กเวรที่เหมือนจะไม่ค่อยมีสมองก็เริ่มจะแสดงออกถึงวัยต่อต้าน เริ่มไม่เชื่อฟังพี่เลี้ยงแล้ว
เบิ้มมองดวงตาใสแป๋วแบบอยากกินจริงๆ นะ แต่ขอคมสันคงไม่ได้เลยมาขอไอ้เบิ้มแทนก็ปลงตก นับตั้งแต่คืนดีกับคนรัก พวกเขาก็ใช้ชีวิตแบบสามคนพ่อแม่ลูกจนตาชักจะฝ้าฟาง เห็นเด็กนี่น่ารักน่าชังขึ้นชอบกล แม้จะไม่ใจอ่อนเท่าคมสัน แต่เบิ้มก็รับมือกับเด็กไม่เก่ง พอโดนตื๊อมากๆ เข้าก็ตัดใจเดินไปซื้อให้
ความซวยอยู่ที่คมสันกลับมาเห็นภาพไอ้เบิ้มส่งไอติมให้เด็กเวรพอดี
ขนแขนถึงกับลุกเกรียว
แล้วดูเจ้าเด็กแก่แดดนี่ซะก่อน กินไอติมโชว์คมสัน ราวรู้อยู่แล้วว่าพี่เลี้ยงไม่กล้าดุด่าซ้ำเติม ใช่ คมสันไม่กล้ากับเด็กเวรหรอก แต่มาไล่บี้กับเขานี่!!
เบิ้มลอบสะดุ้งเฮือกๆ ในใจเมื่อคนรักยิ้มหวานขณะเดินเข้าใกล้
“ฉันไม่ให้คุณหนูกินไอติม นายซื้อทำไม” น้ำเสียงยามเอ่ยราบเรียบไร้อารมณ์ แต่โปรดดูแววตาใต้กรอบแว่นนั่นซะก่อน แฝงความตำหนิไม่ปิดบังจนไอ้เบิ้มลอบละอาย
“อ้าว ยังห้ามกินหรอกเหรอ พอดีลืมน่ะ”
แต่ถึงละอายก็ไม่วายโกหกหน้าตาย แม้จะไม่เนียนสักนิดแต่เรียกเสียงหัวเราะสดใสพร้อมนิ้วโป้งจากเด็กเวรที่เป็นคนเสนอความคิด อาจเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ พอเห็นเด็กเวรหัวเราะเริงร่าคมสันจึงยอมถอย ไม่ซักไซ้เอาผิดไอ้เบิ้ม
หลังจากทะเลาะกันครั้งนั้น หลายๆ อย่างก็ปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
อย่างแรก เด็กเวรเริ่มสนิทสนมกับเบิ้มโดยลืมเรื่องดริฟๆ แล้ว กล้าหันมาขอให้ช่วย เอาแต่ใจใส่ ทั้งที่ปกติจะขอกับคมสันแค่คนเดียว
อย่างที่สอง เบิ้มเริ่มกล้าที่จะมีปากมีเสียงมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนรักสั่งอะไรก็ต้องทำตามนั้นไม่บิดพลิ้ว
ส่วนอย่างที่สาม คมสันเริ่มกล้าที่จะแสดงความเป็นตัวเอง แบบที่ไม่ใช่...ปีกนางฟ้าแล้วน่ะนะ
ต่อให้เบิ้มจะรักหลงอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่พอได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ในวันที่เปิดใจกันก็คงจะเห็นคมสันเป็นนางฟ้าไม่ได้แล้ว ซึ่งคมสันเองก็ดูจะผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเบิ้มรับได้ และเริ่มส่งสายตาวาวๆ เป็นเชิงจับผิดแกมตำหนิให้เขาเสียวสันหลังเป็นพักๆ โดยไม่ปิดบังความรู้สึกของตัวเองแล้ว
“เบิ้ม ทิ้งให้หน่อย”
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้บรรยากาศเวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันหลอมรวมกลมเกลียวอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆ เด็กเวรคงชอบใจมาก เพราะอย่างน้อยก็มีคนมาถ่วงดุลกับคมสันคนเข้มงวด ถนอมคุณหนูประหนึ่งแก้วบางใสกลัวแตกร้าว
ถึงจะเป็นเด็กดีและรักคมสันมากแค่ไหน เด็กวัยต่อต้านย่อมอยากแหกกรอบบ้างเป็นธรรมดา
“ครับ” แล้วผลบุญไม่ก็ผลกรรมเลยมาตกแก่ไอ้เบิ้มผู้นี้ รับไม้ไอติมเปล่าๆ ไปทิ้งถังขยะ ก่อนจะเดินมาประกบเด็กเวรข้างขวา โดยมีคมสันประกบข้างซ้าย
“ใกล้จะปิดเทอมแล้ว คุณหนูอยากทำอะไรบ้างครับ” คมสันชวนคุยฆ่าเวลา
“ฉันอยากว่ายน้ำเป็น!”
“ให้เบิ้มสอนที่บ้านก็ได้ครับ”
“ครับ ผมจะสอนให้เอง” เบิ้มรับคำ ลอบคิดในใจว่าอยากสอนคมสันด้วย แต่ไม่รู้คนรักจะตกลงมั้ย “แล้วไม่อยากไปเที่ยวกันบ้างเหรอ ปิดเทอมหลายเดือน น่าจะลองไปต่างประเทศบ้างนะครับ”
พลันคมสันตวัดตาจ้องจนไอ้เบิ้มแทบหยุดหายใจ
เขาทำอะไรผิด!
“น่าสนุก” เด็กเวรรับคำ ก่อนจะเชิดหน้าเย่อหยิ่ง “แต่ฉันไม่เคยเที่ยวไกลๆ ในประเทศยังไม่เคย ข้ามไปต่างประเทศเลยก็เป็นความคิดที่ไม่เลว”
กลายเป็นไอ้เบิ้มที่ตระหนกตกใจแล้ว!
ทั้งที่บ้านรวยมีทั้งเวลาและการเงินเหลือเฟือแต่กลับไม่เคยเที่ยวค้างคืนนอกบ้าน เหลือเชื่อ!
ขณะจะหันไปถามคมสัน พลันเด็กเวรก้าวเดินเร็วๆ ไปหยุดยืนขวางท่ามกลางฝูงคนที่กำลังเดินออกจากเกท และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวเป็นเป้าสายตาแสนโดดเด่นจนทำให้ผู้มาเยือนสังเกตเห็นได้รวดเร็ว
“ภัทร!”
คนคนนั้นเป็นผู้หญิงวันกลางคนที่สวยไม่สร่างสมกับเคยเป็นดาราดังในสังกัดเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ แม้จะอายุเกือบสี่สิบแต่รูปร่างผอมเพรียวบ่งบอกว่าดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ใบหน้าแทบไร้ริ้วรอย ผมยาวดัดลอนถึงสะโพก สวมเสื้อโค้ตราคาแพงและลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หนึ่งใบ
เบิ้มรีบอาสาเข้าไปช่วยถือทันที
“ขอบคุณจ้ะ” หญิงสาวเอ่ยกับเบิ้ม ก่อนจะหันไปหาคมสัน “นี่น่ะเหรอบอดี้การ์ดที่เล่าให้ฟัง”
“ครับ คุณหญิง”
คมสันยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของอีกคนหนึ่งคฤหาสน์ หรือก็คือ...แม่แท้ๆ ของเด็กชายกิจภัทรนั่นเอง!
แม้จะไม่เคยบินกลับมาเจอหน้าลูกชาย แต่เธอหมั่นติดต่อกับคมสันเสมอ ทำให้รู้เรื่องราวหลายอย่างแม้ตัวจะไม่อยู่ก็ตาม น่าตลกตรงที่...ทั้งที่ตัวไม่อยู่ แต่กลับรู้เรื่องของลูกชายดีกว่าพ่อแท้ๆ ซึ่งแวะมาหาทุกอาทิตย์ซะอีก ประธานสมกับเป็นผู้ออกค่าเลี้ยงดูจริงๆ นอกจากให้เงิน ก็แทบทำหน้าที่พ่อที่ดีไม่ได้เลย
เมื่อคืนระหว่างตะกองกอดคนรักในอ้อมอก เบิ้มที่รู้กำหนดการณ์วันนี้ก็ถามว่าทำไมคุณหญิงที่ดูจะรักลูกชายถึงไม่อยู่ด้วยกัน
คำตอบของคมสันคือ...เพราะเธอมีครอบครัวใหม่ที่ต่างประเทศ
หากจะให้เล่าถึงตรงนั้น ก่อนอื่นก็ต้องเกริ่นก่อนว่าประธานและคุณหญิงคบกันและแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ ผู้ชายย่อมชอบของสวยๆ งามๆ ประธานคนเจ้าชู้จึงหลงรักปักใจกับคุณหญิงที่ขณะนั้นเป็นดาราสาวแสนสวยในสังกัดของตัวเอง เมื่อมีประธานตามจีบ มีหรือฝ่ายหญิงจะไม่คล้อยตาม ทั้งคู่ต่างรักหลงในหน้าตาและฐานะของอีกคน ตกลงปลงใจกันโดยไม่รู้สักนิดว่านิสัยเข้ากันไม่ได้
ปีแรกที่แต่งงาน ยังพอประคองรอดเพราะเป็นช่วงแรกรัก ปัญหามาเริ่มต้นเมื่อมีลูกชาย ประธานเลี้ยงเด็กไม่เป็น ดูแลใครไม่เป็น สนใจแต่เรื่องตัวเอง ส่วนคุณหญิงก็เริ่มทนเป็นแม่บ้านไม่ไหว ถ้าแค่คอยดู คอยเล่นกับลูกก็ว่าไปอย่าง แต่ให้เช็ดอึ เช็ดฉี่ รับมือกับเด็กที่เอะอะร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่อยากทำเหมือนกัน การมีลูกชายไม่ต่างกับตรวนล่ามเท้าให้เธอถูกขังอยู่กับที่ ทั้งคู่เริ่มทะเลาะกันมากขึ้น จนกระทั่งคมสันช่วยเกลี้ยกล่อมและหาทางลง
จากนั้นไม่นาน ประธานก็มีคนรักใหม่ที่ตามอกตามใจและเป็นแม่บ้านอย่างที่ต้องการ ส่วนคุณหญิงนั้นเพราะทำอาชีพดาราที่รักที่ชอบไม่ได้แล้วเนื่องจากถ้าจะทำต้องเซ็นสัญญากับบริษัทของสามี เลยเลือกไปเป็นนางแบบที่ต่างประเทศ จนกระทั่งพบรักกับช่างภาพคนหนึ่ง ทั้งคู่ไม่ได้แต่งงาน แต่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ปัญหามันอยู่ที่...
‘ช่างภาพคนนั้นมีลูกติด’ตอนคมสันพูดประโยคนี้ น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจจนเบิ้มต้องลูบหลังปลอบโยน
สรุปแล้วที่คุณหญิงไม่กลับไทยมาเจ็ดปีเพราะลูกของช่างภาพคนนั้นยังเล็ก เธอเลยต้องคอยดูแลและจัดการเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน เพราะช่างภาพเป็นอาชีพอิสระ ฝ่ายชายจึงเป็นคนเลี้ยงลูกซะเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่คุณหญิงใช้ชีวิตได้ตามใจและช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย
ได้ยินแบบนี้เบิ้มก็เข้าใจว่าทำไมคมสันถึงพยายามปกปิดเด็กเวรนัก
พ่อแท้ๆ มีครอบครัวใหม่ และกำลังจะมีลูกชายที่น่ารักอีกคน
ส่วนแม่แท้ๆ ทั้งที่มีลูกรออยู่ประเทศไทย เมื่อไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร ก็มีคนรักใหม่แล้วหาเงินเลี้ยงลูกคนอื่นซะงั้น
ถ้าเด็กเวรรู้เข้าจะเสียใจขนาดไหน คมสันเลยเลือกที่จะปิด ใช้ความรักของตนเข้าทดแทน สร้างครอบครัวใหม่ให้กับเด็กชายเผื่อจะได้ไม่นึกน้อยอกน้อยใจกับพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเอง
“ภัทร มาให้กอดเร็ว” ไม่เจอหน้าลูกชายมานานหลายปี คุณหญิงเองก็คงนึกละอาย เลยรีบอ้าแขนรอลูกชาย
“ไม่เอาหรอก ฉันโตแล้ว เท่แล้ว” เด็กเวรไม่กอดแม่ แต่กอดอกเชิดหน้า
“โตแล้วเท่เกี่ยวอะไรกับที่ไม่ให้แม่กอดล่ะ” คุณหญิงอมยิ้ม เพราะโทรคุยกันเป็นระยะ เลยไม่ถึงกับลืมนิสัยของลูกชาย
“ก็ดูเป็นลูกแหง่ มันไม่เท่น่ะสิ!”
คุณหญิงหัวเราะ ก่อนจะเป็นฝ่ายถลาไปกอดหมับจนลูกชายดิ้นขลุกขลัก
แต่ดิ้นไปแค่สองสามทีก็ยืนนิ่ง ปล่อยให้มารดาบังเกิดเกล้านัวเนียแก้คิดถึงจนพอใจ
ความจริงแล้วเด็กเวรค่อนข้างอ่อนข้อให้คุณหญิงมากกว่าประธานเยอะทีเดียว เพราะถ้าท่านประธานเป็นคนถลามากอด เด็กชายต้องวิ่งหนีมาหลบหลังไอ้เบิ้มแน่ๆ
ขนาดไม่ค่อยมีสมองยังแยกแยะออกว่าใครใส่ใจมากกว่า
เบิ้มมองภาพตรงหน้าพลันซาบซึ้งจุกอกยินดีปนหน่วงอย่างบอกไม่ถูก
“ว่าแต่....ทำไมคุณหนูไม่เคยไปเที่ยวเลยล่ะสัน” ปล่อยสองแม่ลูกกอดรัดฟัดเหวี่ยงซะให้พอ เบิ้มก็ก้มกระซิบถามคมสัน
“นายคิดว่าฉันมีเวลาพอหรือไง” คมสันเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนคุณหนูอยู่อนุบาล ฉันต้องคอยห้ามประธานและคุณหญิงที่เจอหน้าเป็นทะเลาะกันทุกวัน เพราะช่วงนั้นคุณหนูยังเล็กเกินกว่าจะให้ทั้งคู่จู่ๆ ก็ย้ายออกจากบ้าน พอขึ้นชั้นประถม ฉันก็ต้องจัดตารางให้ประธานกับคุณหญิงแวะเวียนมาหาโดยไม่ให้คุณหนูฉุกใจว่าต่างคนต่างแยกกันออกไป การเที่ยวไกลๆ แบบครอบครัวน่ะตัดทิ้งได้เลย พอคุณหนูขึ้นมัธยม ฉันต้องอ่านหนังสือแทบตายเพื่อจะเรียนมหาลัยให้จบในสามปี แล้วปีนี้เพิ่งรับตำแหน่งผู้ช่วยเลขา กำลังเรียนรู้งานและพยายามจะสร้างผลงานเพื่อไม่ให้คนในบริษัทดูถูกว่าเป็นเด็กเส้น ฉันจะเอาเวลาไหนพาเขาไปเที่ยว”
ประหนึ่งอัดอั้นมานาน ไม่ก็เห็นคุณหญิงแล้วหน้ากากแตก พอได้ทีคมสันเลยระบายออกมารวดเดียวจนเบิ้มตั้งตัวไม่ทัน รีบตบหลังคนรักพร้อมปลอบโยนเสียงเบาโดยไม่ให้คนอื่นสังเกตว่าพวกเขาคือคนรักกัน
โอ๋ๆเบิ้มได้แต่คิดในใจ เพราะถ้าพูดคำนั้นออกไปต้องโดนมองแรงแน่ๆ
คมสันน่ะเกลียดการที่มีคนปฏิบัติใส่อย่างสงสารหรือเห็นว่าอ่อนแอที่สุด
เพราะเป็นนิสัยติดตัวที่ทำให้จิตใจแข็งแกร่งจนปัจจุบัน เบิ้มเลยไม่อยากเปลี่ยนสักเท่าไหร่ ได้แต่คล้อยตามให้อีกฝ่ายสบายใจ เวลาอีกฝ่ายเหนื่อยล้าเมื่อไหร่ก็จะหาจังหวะมากอดเขาเอง
สรุปแล้ว ขณะที่คมสันติดแหมะกับเด็กเวร เด็กชายก็ติดแหมะกับคมสันจนแทบไม่ได้เรียนรู้โลกกว้าง
มิน่าล่ะถึงได้โตมาขาดๆ เกินๆ ขนาดนี้
“นี่ ฉันรู้แล้วนะว่าเมียอีกคนของคุณท้อง อย่าให้เขามาระรานลูกของเราเชียวนะ ไม่งั้นฉันไม่เอาคุณไว้แน่!”
เบิ้มถึงกับชะงักเมื่อเดินมาได้ยินคุณหญิงของบ้านคุยโทรศัพท์โดยบังเอิญ...หรือไม่บังเอิญ เพราะเขาถูกเรียกตัวให้มาหาที่ห้องรับแขก ขณะที่คมสันกำลังกล่อมเด็กเวรให้นอนหลับ แม้เด็กชายกิจภัทรจะบอกว่าไม่ต้องมาห่มผ้าให้ทุกคืนก็ได้ แต่คมสันไม่วางใจ กลัวเด็กกำลังโตแอบเล่นเกม
“โอ๊ะ คิดว่าฉันจะกลัวเหรอ อยากบอกภัทรก็บอกสิ ฉันก็บอกได้เหมือนกันว่าคุณคิดจะหย่ากับฉันเพราะจะไปจดทะเบียนกับยัยผู้หญิงนั่น!”
เบิ้มกุมขมับ ตัดสินใจเดินวนเวียนแถวบันไดเพราะไม่อยากขัดจังหวะการทะเลาะของสองสามีภรรยาผู้หมดรักแม้จะถือทะเบียนสมรส
“คิดได้ก็ดี อย่าให้เรื่องลามมาถึงลูกเรา และอย่าคิดแผลงๆ จะหย่าก่อนเวลาด้วย เพราะบอกไว้เลยว่าฉันไม่หย่า! ฉันจะหย่าก็ต่อเมื่อบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์เป็นของกิจภัทรตอนอายุสิบแปดเท่านั้น เขาโตพอจะรับกิจการเมื่อไหร่เราจบกัน จำไว้!”
เสียงตะโกนโวยวายสื่อว่าคุณหญิงเป็นคนแรงและไม่ยอมใคร มาเจอท่านประธานที่ให้ใครขัดใจเป็นไม่ได้ ก็เหมือนน้ำมันกับไฟ แทบจะจุดบ้านเผาให้วอดวาย
ยิ่งเห็นก็ยิ่งเข้าใจคมสัน ต่อให้ตอนแรกอาจะไม่รักเด็กเวร แต่พอถึงตอนแตกหักขึ้นมา ก็วางใจไม่ลง
ไม่ว่าจะยกให้พ่อหรือให้แม่ ก็ไม่มีใครเลี้ยงดีเท่าคมสันเลี้ยงเอง
ก็ไม่แปลกที่คมสันจะหวงคุณหนูยิ่งกว่าจงอ่างหวงไข่
“อ้าว สัน เบิ้ม มาพอดี” คุณหญิงวางสายแล้ว ก่อนจะหันมาเรียกเบิ้มกับสันที่คนหลังเพิ่งเดินมาสมทบ วันนี้เด็กเวรนอนเร็วกว่าเคย อาจเพราะก่อนหน้านี้เรียนว่ายน้ำกับไอ้เบิ้มจนเหนื่อย
“มานั่งตรงนี้สิ” พอไม่ได้คุยกับประธาน คุณหญิงก็เป็นไม่ขี้โมโหเหมือนเดิม เธอมีความเป็นตัวเองสูงมาก ใจกล้าและออกจะดื้อแกมหัวรั้น ...เด็กเวรได้นิสัยไม่ดีของพ่อและแม่มาเต็มเปี่ยมเลยนะเนี่ย
“คงตกใจสินะที่ฉันกลับมากะทันหัน พอดีมีสองเหตุผลหลักที่ต้องมาให้ได้น่ะ”
“อะไรหรือครับ” คมสันถามสุภาพ
“เหตุผลแรก ฉันอยากมาดูคนรักของสันด้วยตาตัวเอง” คุณหญิงพูดมามองเบิ้มอย่างสำรวจตั้งแต่หนังหัวยันเล็บขบ เบิ้มพยายามตีหน้าขรึม แม้ในใจจะลอบนินทาไปหลายกระทง “ฉันซาบซึ้งใจทุกวันที่สันช่วยดูแลภัทร เลยอยากมาดูให้มั่นใจว่าจะมีคนดูแลสันได้ดีไม่แพ้กัน”
“ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังครับ” เบิ้มรีบให้คำปฏิญาณ ขณะลอบจับมือคมสันเบาๆ...แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาจะเป็นความลับกับเด็กเวร แต่เปิดเผยต่อหน้าประธานและคุณหญิงผู้ล่วงรู้คำขอร้องของคมสันตั้งแต่อีกฝ่ายสิบขวบ...
“งั้นก็ดีแล้ว” คุณหญิงพยักหน้าพอใจ บางทีเธออาจฉุกคิดได้ว่าถ้าคมสันเลือกแล้ว...ยังไงก็ต้องเลือกได้ดีกว่าสมัยเธอยังสาวแล้วหลงผิดเลือกสามีห่วยๆ มาครองคู่ “เหตุผลที่สอง...ฉันรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้มาหาภัทรตลอดเจ็ดปี แต่เพราะสถานการณ์ที่นั่นค่อนข้างแย่มากจริงๆ ลูกชายของ...เอ่อ...คนรักใหม่ฉันป่วย ต้องใช้เงินจำนวนมาก ฉันรู้สึกผิดกับภัทรตลอด แต่ก็จำเป็นจริงๆ”
คมสันไม่พูดอะไร
“ภัทรใกล้จะปิดเทอมแล้วใช่มั้ย”
“ครับ” ครั้งนี้คมสันยอมตอบแต่โดยดี
“ฉันอยากจะชดเชยช่วงเวลาเจ็ดปีที่หายไป เธอก็รู้นะสัน ว่าฉันเองก็รักลูก แม้จะเลี้ยงเขาไม่เป็นแต่ก็ไม่ถึงกับเอาเงินโยนแบบใครบางคน ตอนนี้ภัทรเองก็โตแล้ว และฉันเองก็ทำงานติดต่อกันจนเหนื่อยแล้ว อยากจะพักบ้าง...”
คุณหญิงยิ้มหวาน ราวดีใจที่ตัวเองได้ชดเชยให้กับลูกชาย
“เลยอยากจะพาเขาไปเรียนภาษาเพิ่มช่วงปิดเทอมที่อเมริกาน่ะ”
-----------
กำลังหวานแหววไม่ทันไร ก็มีเรื่องให้ต้องตัดสินใจกันอีกแล้วค่ะ
แน่นอนว่าคมสันไม่มีทางให้ไป แต่กับพี่เบิ้มที่กำลังหาทางเลี้ยงเด็กเวรด้วยวิธีของตัวเองเพื่อไม่ให้โตมาเสียคนนั้น...แอบเข้าทาง
เพราะถ้าอยู่กับคมสัน แม้ในใจจะนึกค้านยังไงก็ปฏิเสธคนรักไม่ได้
แต่ถ้าแอบหนีไปกับเด็กเวร รับรองสนุกสนานแน่นอนค่ะ 5555
เพจนักเขียนที่ปวดหัวแทนคมสัน#จอมมารคมสัน
Twitter : MajaYnaja