✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 181833 ครั้ง)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ฟินเลยนะฟางเอ๋อร์
น่ารักมากๆเลยฮรือออ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
เป็นตอนที่น่ารักมาก

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เครียดแต่ก็ยังมีช็อตให้แอบเขิน

ออฟไลน์ Fer.lentz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีใจที่น้องจื่อในทีี่สุดก็ได้บอกความจริงซักที~
แต่พี่ไป๋นี่ ช่วงหลังไม่เหลือความเป็นท่อนไม้ล้าว กลายเป็นไม้เลื้อยอย่างเดียวเลย

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
รอตอนต่อไปใจจดใจจ่อเลยจ้าาาาา  :mew1:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เจ้าท่อนไม้​รู้​ความจริง​แล้ว​ ฉากรอกลับจากไปรบเหมือนเมียมารอผัวเลย​ เขินมากค่ะ​ จื่อฟางจะได้กลับโลกปัจจุบัน​มั้ยคะ​

ออฟไลน์ TrebleBass

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมาๆ  คีะ  ละมุนละไมหวานมาก

ติดตาม

ออฟไลน์ ciaiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
นึกว่าจะได้สนุกกันซะอีก
5555ไม่ได้เสียดายที่ไม่มี
แต่แค่รอคอยค่ะ

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
จื่อฟางจะวาดภาพเปลือยให้ท่อนไม้ไป๋ไว้ดูเฉยๆ เหรอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แอบเครียดนิด ๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านวนตอนขึ้นม้าหลายรอบมากค่ะ เขินไปหมด ฮือ ความจริงคุณไป๋ลุคนี้แบบเผ็ชไปสามบ้านแปดบ้านเร้าใจที่สุด อ่านไปสูดยาดมไป จะล้ม ใจบางไปหมด อยากช่วยตรวจดูว่าเป็นแผลไหม มาเปิดเสื้อตรงนี้ค่ะ แค่กๆ

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
บรรยายรายละเอียดออกมาเป็นภาพเลยค่ะ จินตนาการงี้โลดแล่นนนนนน

เจ้าหนุ่มหยางชวีจะมีคู่ไหมค่ะ อิอิ

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้นมาก อยากให้ทั้งสองคนหนีไปด้วยกันเร็วๆจัง

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
บทยี่สิบสาม:ดอกเหมยกลางลมหนาว

ณ จวนสกุลเสิ่น

มืดค่ำแล้วแต่คุณชายเสิ่นยังไม่กลับ สร้างความร้อนใจให้กับจางต้าอย่างมาก ถือว่าดีที่นายท่านยังไม่ทราบเรื่องที่คุณชายเสิ่นออกไปรับไป๋ผูอวี้ที่ประตูเมือง ตั้งแต่ฟ้าแจ้งจนยามนี้ก็ยังไม่กลับมา เขาจึงถูกเจ้าคนหน้าตายหยางชวีซักถามไม่หยุดจนรู้สึกรำคาญ

“ข้าถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย คุณชายเสิ่นไปที่ใด”ผู้ติดตามเอ่ยถามเสียงนิ่ง คิ้วขมวดมุ่นคล้ายหมดความอดทน ช่วงนี้สถานการณ์ในราชสำนักไม่ค่อยดี จางต้าปล่อยให้คุณชายหลุดรอดสายตาไปได้อย่างไร

“ข้าบอกว่าไม่รู้อย่างไรเล่า!”จางต้ากัดฟันตอบ บอกเจ้าคนหน้าตายไปตั้งสองสามรอบแล้ว เหตุใดไม่ฟังกันบ้าง อีกอย่างหากเป็นผู้อื่นที่พาคุณชายออกไป เขาคงไม่นิ่งนอนใจเช่นนี้

“ไม่รู้ได้อย่างไร หากเกิดเรื่องไม่ดีกับคุณชาย เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”หยางชวีไม่เข้าใจจริง ๆว่าบ่าวผู้นี้เซ่อซ่าหรือโง่กันแน่

“คุณชายเสิ่นไปกับไป๋ผูอวี้”บ่าวรับใช้จำต้องพูดออกมา “คนผู้นั้นดูแลคุณชายได้”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขารังแกคุณชาย”หยางชวีมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่อยากพูดถึงนัก

“อา!”จางต้าส่งเสียงร้องอย่างนึกรำคาญขณะที่สาวเท้าหนีห่างจากอีกฝ่าย “เหตุใดวันนี้เจ้าพูดมากนัก เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าไป๋ผูอวี้พาคุณชายเสิ่นไปทางไหน”ร่างของจางต้าชะงักกึก หมุนตัวไปมองใบหน้าเรียบเฉยของหยางชวีอีกครั้ง
“อ้อ นึกออกแล้ว!เจ้าลองไปถามเว่ยหลงดูสิเขาอาจจะรู้ก็ได้”จางต้าเสนอ คิดว่าอย่างน้อยผู้ติดตามบ้ากำลังนั่นน่าจะรู้ หยางชวีนิ่งไปอย่างใช้ความคิด เมื่อประมวลผลแล้วว่าคำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุผลจึงแค่นเสียงหึในลำคอ ปรายตามองทีหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไปโดยไม่บอกกล่าว

จางต้าถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สลัดเจ้าคนหน้าตายออกไปได้เสียที เขาตั้งใจจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนแต่สายตาเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่ยืนอยู่บนกำแพงจวนเสียก่อน บ่าวรับใช้ชะงัก จ้องมองไปที่ร่างนั้น แม้มองจากที่ไกลก็ยังบอกได้ว่างดงามราวสตรี เงาร่างปริศนาสวมใส่ชุดสีม่วงปักลายสง่าที่ทำให้จางต้านึกถึงคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย แต่พักนี้ไม่ค่อยเห็นคุณชายใส่เสื้อผ้าหรูหราเช่นนั้นมากนัก เขากระพริบตาพบว่าร่างนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว จางต้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม เป็นผู้ใดกันนะ?หรือฮ่องเต้ส่งคนงามผู้นี้มาเฝ้าจวน บ่าวรับใช้ขบริมฝีปากความกังวลคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดแต่ยามนี้เมืองหลวงมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บ่าวรับใช้จึงคิดว่าค่อยรายงานคุณชายเสิ่นทีหลัง เมื่อคิดได้ดังนั้นก็กลับเข้าไปในเรือน

…...

ร่างของชายงามเจาเฟิงกระโดดลงมาจากกำแพงสกุลเสิ่นด้วยท่าทางทุลักทุเล ฮ่องเต้เจี่ยผิงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยรับไม่ให้ร่างนั้นล้ม แต่เสิ่นจิ้งเฟยก้าวออกห่างส่งสายตาเย็นชามาให้ ไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ผู้มาเยือนอีกร่างก็ปรากฏ เป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี

“พวกเจ้า...”หานตงจ้องเขม็งไปที่ร่างของชายงามครู่หนึ่งเป็นความงามที่แตกต่างจากคุณชายเสิ่น แต่สายตาที่จับจ้องมาให้ความรู้สึกคุ้นชินยิ่ง ชายหนุ่มมองเห็นเจ้าของร่างสูงยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก รอบตัวคนผู้นั้นคล้ายกับแผ่ความสูงศักดิ์ออกมาจนเขาไม่กล้าสบตามอง หานตงผงะไปด้วยความตกใจรีบคุกเข่าคาราวะ เขาเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“ไม่ต้องมากพิธี เราแค่มาเดินเล่น”ฮ่องเต้หนุ่มไม่อยู่ในอารมณ์พูดคุยกับผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยาง เขาจึงมองปราดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ คว้าข้อมือเล็ก ๆของเสิ่นจิ้งเฟย เดินนำกลับไปที่รถม้าที่จอดห่างออกไปไม่ไกล

หานตงยังคงก้มหน้ารับรู้ถึงแรงกดดันขององครักษ์ที่มองไม่เห็นกาย เมื่อรถม้าคันนั้นเคลื่อนตัวออกไปชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมา นึกถึงเมื่อครั้งที่ได้เผชิญหน้ากับหลิวอ๋องก็บ่นอยู่ในใจ เหตุใดเขาต้องโผล่มาในสถานการณ์เช่นนี้ทุกที หานตงเหม่อมองไปทางทิศที่รถม้าเพิ่งจากไป ชายงามเมื่อครู่...สายตายามที่จดจ้องเขาช่างคุ้นเคยนัก หานตงได้ยินนายท่านเอ่ยถึงฮ่องเต้ ระยะนี้ฝ่าบาทโปรดปรานชายงามเจาเฟิงมากเป็นพิเศษ เรื่องนี้ทำให้นายท่านหวังว่าฮ่องเต้จะลดความสนใจไปจากคุณชายเสิ่น หานตงรู้สึกคลุมเครือ ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงมาเฝ้าดูคุณชายก็แสดงว่าความลุ่มหลงยังไม่หมดไป แม้ว่าจะมีชายงามที่โปรดปรานข้างกายก็ตาม หานตงได้แต่ทำสีหน้าไร้ความสึก เรื่องของเจ้าแผ่นดินไม่คิดอยากกล่าววาจาเรื่อยเปื่อย


…….

รถม้าเคลื่อนตัวออกห่างจวนสกุลเสิ่นเข้าไปทุกขณะแต่ความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ในอกยังไม่จางหาย เมื่อครู่เสิ่นจิ้งเฟยได้พบกับจางต้า เจ้าบ่าวขี้แย ‘คงสบายดีสินะ’ เขายกยิ้มจางเมื่อนึกถึงเรื่องขำขันของบ่าวผู้นั้น รอยยิ้มลดลงเมื่อคิดถึงผู้ติดตามของบิดา หานตง...แต่ไหนแต่ไร เด็กหนุ่มก็มิเคยคิดชื่นชอบเจ้านั่น คนผู้นั้นมักใช้สายตาสั่งสอนมองมาที่เขาเสมอทั้งยังชอบทำตัวสะเออะเรื่องผู้อื่น แต่เมื่อได้พบเจออีกครั้งก็อดรู้สึกถึงความหลังมิได้ แม้จะบอกว่าเกลียดเสิ่นมู่หยางจนไม่อาจให้อภัยแต่เขาก็ยังมีความรู้สึกเป็นห่วงอยู่เล็กน้อยเมื่อครั้งที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายถูกนำตัวไปไต่สวนที่กรมอาญา เสิ่นจิ้งเฟยสะบัดความคิดทิ้งเมื่อรู้สึกว่าถูกสายตาของคนข้างกายจ้องมอง ฝามืออุ่นของฮ่องเต้ยังคงกอบกุมข้อมือไว้จนแน่น

“ปล่อย”เขาเอ่ยเสียงห้วนอย่างไม่เกรงกลัว

“แค่จับข้อมือเจ้า ก็ไม่ได้หรือ”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ มือนั้นลูบข้อมือของเขาเบา ๆก่อนละจากไป ผิวเนื้อบริเวณนั้นร้อนวูบวาบจากการสัมผัสของอีกฝ่าย เสิ่นจิ้งเฟยขมวดคิ้วใช้แขนเสื้ออีกข้างเช็ดให้ความรู้สึกดังกล่าวหายไป

“เห็นเจ้ารังเกียจข้าเช่นนี้แล้วเศร้าใจนัก นึกถึงวันวานที่เจ้ามักมาคลอเคลียข้างกาย”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อแกล้งเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น รู้ดีว่าเรื่องไหนทำให้ชายงามมีโทสะได้ และก็ได้ผลทันตาเพราะชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาเย็นชาที่อาบไปทั้งร่าง

“พูดเรื่องเก่าไปก็ไม่มีประโยชน์ ดีแต่ทำให้ข้ารังเกียจท่านเสียเปล่าๆ”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำ มองออกไปนอกหน้าต่างฉลุลวดลาย

“ไม่เห็นเป็นไร จะมากหรือน้อยเจ้าก็รังเกียจข้าอยู่ดี”เจี่ยผิงไหวไหล่ สายตาจับจ้องร่างของชายงามไม่วางตา เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายร้องขอตนด้วยเรื่องใดจึงกล่าวขึ้น “ว่าอย่างไร จื่อฟางไม่อยู่หรือ”

“ไม่อยู่”ชายงามตอบเสียงเบา สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องใด เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ยอมทำตามคำขอของเขาโดยไม่มีเรื่องอื่นมาต่อรอง เขาอยากออกมานอกวังหลวงส่วนหนึ่งก็เพราะอยากพูดคุยกับจื่อฟาง อีกส่วนก็เพราะเบื่อหน่าย

“เจ้าอยากคุยกับเขาคงไม่ใช่เพราะหารือวิธีฆ่าเราหรอกกระมัง”ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงหยอกล้อแต่สีหน้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เสิ่นจิ้งเฟยหันมอง เลิกคิ้วน้อย ๆ

“หากข้าอยากฆ่าท่าน ข้าทำไปนานแล้ว”เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา จะกล่าวให้ถูกคือไม่มีจังหวะเสียมากกว่าเพราะสุนัขของฮ่องเต้วนเวียนอยู่นอกตำหนักตลอดเวลา เจี่ยผิงโคลงศีรษะ รอยยิ้มผุดน้อย ๆ

“อืม...ข้าตายด้วยน้ำมือเจ้าคงมีความสุขกว่าใต้น้ำมือพี่น้องสายเลือดเดียวกัน”บุรุษหนุ่มนึกถึงการก่อกบฏที่ใกล้จะเกิดขึ้นเร็ว ๆนี้ เขารู้สึกได้ เหตุการณ์วุ่นวายที่เมืองอี้โจวก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่ให้แม่ทัพเมิ่งและไป๋ผูอวี้กลับมาก็เพราะต้องการให้อีกฝ่ายตายใจ หากเขาแสดงท่าทีว่าล่วงรู้การเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นก็เกรงว่าจะทำให้หลิวอ๋องและช่างอิ่นเปลี่ยนแผน  หลิวอ๋องกำลังหาจังหวะเวลาลงมือ  ช่างอิ่นก็เช่นกัน กำลังรอให้หลิวอ๋องเพลี้ยงพล้ำแล้วเข้ามาแทรกแซงโจมตี

“สายเลือดเดียวกัน?พวกท่านดูไม่ใคร่กลมเกลียวกันเท่าใดนัก”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขึ้น ย้อนนึกไปยามที่ได้พบปะท่านอ๋องและองค์ชายใหญ่ ทั้งสองคนล้วนต้องการให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญสิ้น ส่วนคนผู้นี้...ก็ยังถือว่าพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากลงมือกับพี่น้องอีกสองคน หากฮ่องเต้ตัดใจกำจัดองค์ชายใหญ่ตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา

เจี่ยผิงไม่ได้เอ่ยตอบคำ เพียงถอนหายใจหลับตาไปครู่หนึ่ง ความเงียบคืบคลานครอบงำภายในรถ เสิ่นจิ้งเฟยมองออกไปด้านนอกอีกครั้งเพื่อตรวจดูว่าอาชามุ่งไปทางใด

“ท่านจะไปที่ใด”ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อมองเห็นเส้นทางที่ไม่คุ้นตา

“ข้าตั้งใจจะไปพูดคุยกับไป๋ผูอวี้เล็กน้อย”ฮ่องเต้ตอบสั้นๆ แม่ทัพเมิ่งกลับมารายงานสถานการณ์แล้ว แต่เขายังไม่ได้เจอกับคนแซ่ไป๋ เวลานี้หลิวอ๋องไม่อยู่เขาถึงได้จังหวะออกมานอกวัง เห็นว่าสบโอกาสแวะเวียนไปสนทนากับไป๋ผูอวี้ รายงานของแม่ทัพเมิ่งกล่าวชื่นชมถึงคนผู้นั้นไม่น้อย ทำให้ที่ปรึกษาเกาจวีถังค่อนข้างหงุดหงิดเพราะคาดเดาความคิดของเขาออก

“...เขาไม่อยู่”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงลังเล เมื่อครู่ได้ยินบ่าวรับใช้พูดคุยกันว่าจื่อฟางถูกคนแซ่ไป๋พาตัวไปที่ใดสักแห่ง ส่วนลึกของจิตใจพลันรู้สึกถึงความริษยา หากเป็นตัวเขาจะมีผู้ใดยอมช่วยเหลือหรือไม่ ไป๋ผูอวี้เป็นคนซื่อตรงยึดมั่น หากคนผู้นั้นออกปากว่าจะช่วยเหลือก็ย่อมทำตามนั้น สหายของเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีผู้ใดที่ช่วยเหลือได้ ยกเว้นยกบารมีอำนาจของบิดามาพูดคุย เด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกริษยานิด ๆ จื่อฟางดูจะมีความสุขในร่างของเขา

“ไม่อยู่รึ”ฮ่องเต้หนุ่มเลิกคิ้ว...จื่อฟางเองก็ไม่อยู่ที่จวนหรือทั้งคู่...จะออกไปด้วยกัน อารมณ์คุกรุ่นไม่ทราบที่มาปั่นป่วนอยู่ในอก เจ้าเด็กนั่นดื้อด้านนัก ร่างของเสิ่นจิ้งเฟย...เจี่ยผิงจ้องมองชายงามข้างกาย แต่เสิ่นจิ้งเฟยก็อยู่ตรงนี้กับเขาไม่ใช่หรือ แม้ร่างกายจะเป็นของเจาเฟิง นึกถึงคำกล่าวของไป๋ผูอวี้ ‘ชื่นชอบที่ตัวตน’ ตัวตน จิตวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยอยู่กับชายหนุ่ม เขาบอกกับคนแซ่ไป๋ว่าจะให้อิสระกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่การปล่อยวางสิ่งที่ตั้งมั่นมานานปีไม่ใช่เรื่องง่าย คำพูดของเขาจึงมีช่องว่างมากมายเพราะอยากใช้ช่องวางมาต่อกรกับไป๋ผูอวี้ในภายภาคหน้า คนมีฝีมือเช่นนั้นเขาไม่คิดปล่อยไปง่าย ๆ ถ้าเห็นว่าใช้งานได้ก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า บุรุษหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์โกรธ

เสิ่นจิ้งเฟยกำมือพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของคนข้างกาย เมื่อไหร่คนผู้นี้จะปล่อยวางได้ เมื่อไหร่จะเข้าใจ คงเพราะเกิดมาก็ได้แต่สิ่งที่ต้องการกระมัง

“เจ้ามีที่ใดอยากไปหรือไม่”ฮ่องเต้เจี่ยผิงเอ่ยถาม ยังคงพยายามควบคุมอารมณ์ในอก

“ไม่มี”เสิ่นจิ้งเฟยตอบ แม้จะมีสถานที่อยู่ในใจแต่หากต้องไปกับฮ่องเต้สองคน เขาไม่ไปเสียดีกว่า

“บอกข้ามา อีกเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสได้เที่ยวสนุกแล้ว”

“ท่านแน่ใจเหรอ”

“แน่นอน แต่หากเจ้าอยากไปหอผูเยว่ ข้าต้องบอกว่าเสียใจด้วย หอคณิกานั่นเหลือเพียงเถ้าถ่านเสียแล้ว”เจี่ยผิงยกยิ้ม รู้สึกว่าดีนักที่มีคนเผาทำลายไปได้ นอกจากจะเป็นสถานที่โปรดของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วยังเป็นจุดพบเจอของหลิวอ๋อง ฮ่องเต้หนุ่มเฝ้ามองปฏิกิริยายาของชายงาม ใบหน้าแฝงแววเย็นชาเผือดซีดด้วยความตระหนก

“ถ้าอย่างนั้นผู้คนที่หอผูเยว่ก็ตายหมดเลยรึ”

“มีเพียงมาม่าและคนงานอีกจำนวนหนึ่ง”เขาตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก

“อ้อ…”เสิ่นจิ้งเฟยถอนหายใจ แม่เล้านั่นไม่อยู่ในความสนใจของเขาเท่าใดนัก นางตายก็ดีตอนที่ยังอยู่นางชอบพูดจาเยาะหยันเขากลาย ๆ มิรู้ว่าไปกินรังแตนที่ใดมาหรือนางเคยปรนนิบัติรับใช้หลิวอ๋องก็ไม่ทราบได้ เด็กหนุ่มนึกถึงลู่เจียง แม้จะเคยปรนนิบัติบนเตียงไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็ยังจำนางได้ รู้สึกก่ำกึ่งระหว่างดีใจกับเศร้าใจ ดีใจที่นางไม่ตาย เศร้าใจที่นางยังอยู่รอด ถ้าเป็นเถ้าถ่านไปด้วยก็คงดี เสิ่นจิ้งเฟยไม่ต้องการตัวถ่วงอีกคนมาเกี่ยวข้อง

“เจ้าอยากไปที่ใด”อีกฝ่ายย้ำถามทำเสียงคล้ายรำคาญใจ แต่แรกเสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ได้อยากไปหอผูเยว่อยู่แล้วจึงเอ่ยชื่อสถานที่หนึ่งที่อยู่ในใจออกไป ชายงามกลั้นหายใจเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศเงียบงันที่เกิดขึ้น กดดันเสียจนหายใจไม่สะดวก ฮ่องเต้เจี่ยผิงเคลื่อนไหววูบเดียวก็ประชิดตัวกดร่างของเขาไว้ด้วยร่างกายสูงใหญ่ เสิ่นจิ้งเฟยออกแรงดิ้น แม้ร่างกายนี้ไม่ได้อ่อนแอแต่ก็สู้กำลังของคนด้านบนไม่ได้ เด็กหนุ่มถลึงตาใส่อย่างดุร้ายไม่เผยท่าทีอ่อนแอออกไปให้อีกฝ่ายเห็นแม้แต่เสี้ยวเดียว

“เจ้าบอกว่าอยากไปหอร้องรำสกุลฟู่?”เจี่ยผิงก้มมองชายงามใต้ร่างด้วยแววตาเยียบเย็น เหตุใดคนผู้นี้ชอบล้อเล่นกับโทสะของเขานัก เขามิใช่คนใจกว้าง เสิ่นจิ้งเฟยน่าจะรู้จักเขาดี

“ก็ท่านถามความต้องการของข้าไม่ใช่หรือ”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำ เบนสายตาออกจากใบหน้าเดือดดาลของฮ่องเต้ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยโทสะ วูบหนึ่งมีประกายเจ็บปวดสะท้อนให้เห็น เสิ่นจิ้งเฟยกลืนน้ำลาย เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

“แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเอ่ยออกมาได้ตามใจชอบ จิ้งเฟย เจ้าคาดหวังให้ข้ายินดีรึ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก ความต้องการฉีกกระชากคุณชายผู้นี้ยิ่งมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว แต่เจี่ยผิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับความรู้สึกไว้ในส่วนลึก เขาจะไม่ผิดคำพูด ในเมื่อบอกว่าจะไม่บังคับล่วงเกินก็จะไม่ทำ มิเช่นนั่นเสิ่นจิ้งเฟยก็จะยิ่งอยากบินหนีไปจากเขา ชั่วครู่หนึ่งฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกเกลียดชังเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งนัก เกลียดที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ เขาเป็นถึงโอรสสวรรค์ ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่คนเร่ร่อนสกุลฟู่ผู้นั้น แต่ชายหนุ่มจำต้องรักษาท่าที เขาผละออกจากอีกร่าง ปล่อยให้เสิ่นจิ้งเฟยหายใจได้สะดวก

“ฟู่เทียนสือไม่อยู่ในเมืองหลวง เขาออกเดินทางไปท่องเที่ยว ครั้งล่าสุดเขามาหาจื่อฟางที่จวนเพื่อบอกลา หากเป็นแต่เดิมเขาจะสนใจเจ้าหรือ ที่ผ่านมาก็หายหน้าเป็นเวลานาน จิ้งเฟย เจ้าไม่เข้าใจรึ ตั้งแต่แรกก็มีแต่ข้ากับเจ้า เจ้ากับเขาไม่มีทางบรรจบกัน”

ภายในรถม้ามีแต่ความเงียบงันที่น่าอึดอัด เสิ่นจิ้งเฟยยังคงหายใจไม่สะดวกจากบรรยากาศกดดันรอบตัว ในอกเต้นระส่ำ มองเห็นฮ่องเต้เจี่ยผิงมองออกไปนอกหน้าต่าง สองมือกำแน่น ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ

‘ลูกผิง จงจำเอาไว้ ในวังหลวงแห่งนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่รักเจ้าจากใจจริง หากเจ้าได้อำนาจเมื่อใด ทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือของเจ้า’

อยู่ในกำมือของข้าอย่างนั้นหรือ...เสด็จแม่ตรัสถูกแล้ว เจี่ยผิงลืมตาก้มมองมือที่กำแน่นจนเจ็บของตน จึงคลายออก จ้องมองฝามืออันว่างเปล่าด้วยสายตาเรียบนิ่ง หากข้าปล่อยมือ ทุกอย่างก็จะว่างเปล่าใช่หรือไม่

~•~


จื่อฟางยังไม่อยากกลับจวนสกุลเสิ่นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่สำรวจบ้านหลังเล็กอย่างรวดเร็ว บ้านหลังนี้เป็นเรือนสี่ประสานแบบชาวบ้านสามัญทั่วไป มีเพียงลานบ้าน ห้องโถงกลาง เรือนปีกซ้ายขวา แต่ห้องนอนใหญ่ถูกลั่นกลอนไว้ เขาเปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออกจึงปล่อยผ่าน เด็กหนุ่มใช้นิ้วถูเสาบ้านก็พบว่ามีฝุ่นเกาะแสดงว่าเรือนแห่งนี้ไม่ค่อยได้ใช้นัก เทียบกับจวนสกุลเสิ่นหรือคฤหาสก์สกุลไป๋ไม่ติด แต่บ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกจับต้องได้มากกว่า  ไป๋ผูอวี้บอกว่าเป็นที่นัดพบสหาย คงเป็นพวกบัณฑิตที่น่าเบื่อเหล่านั้นกระมัง ร่างบางเดินวนกลับมาที่ลานบ้าน พบว่าไป๋ผูอวี้กำลังผ่าฟืนเพื่อจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่เจ้าม้าสีขาว

“ม้าดีตัวนี้ชื่ออะไรรึ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้เอื้อมมือไปลูบขนแผงคอของเจ้าม้าเบา ๆ

“เสวี่ยไป๋”ไป๋ผูอวี้ตอบ ยืดตัวมองอีกฝ่าย

“ขาวราวหิมะ ก็เหมาะสมดี”จื่อฟางพยักหน้าช้า ๆ เสวี่ยไป๋หายใจดังฟืดฟาดในอากาศราวกับกำลังโต้ตอบ เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ไป๋ผูอวี้สำรวจมองจื่อฟางด้วยสายตาใคร่รู้ ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายบอกว่าตนเองคือจื่อฟางไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ได้รักษาท่วงทีอย่างคุณชายอีกต่อไป ไม่ได้ดูเหมือนคนที่ต้องระวังท่าทีตลอดเวลา ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดจึงขมวดคิ้ว

“เจ้าไม่กลับจวนสกุลเสิ่นหรือ”ท่าทางดั่งคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกกลับมาอีกครั้ง

“ข้าอยากค้างที่นี่”จื่อฟางตอบหน้าซื่อ

“เจ้าล้อเล่นแล้วกระมัง”ไป๋ผูอวี้ปรายตามองนิ่งงัน หากคุณชายท่านนี้ไม่กลับจวนสกุลเสิ่นเกรงว่าจะเกิดเรื่องเข้า เมืองหลวงกำลังเกิดคลื่นลูกใหญ่ เสนาบดีเสิ่นคงไม่นิ่งนอนใจ 

“ข้าพูดจริง มิได้ล้อเล่น”ร่างบางยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของชายอีกคน เอาเท้าเขี่ยเศษท่อนฟืนไปด้วย “ดูเหมือนเสิ่นมู่หยางจะอนุญาติให้ข้าเล่นสนุกกับเจ้าได้”ระหว่างที่พูดแววตาของจื่อฟางเปล่งประกายซุกซน ชายหนุ่มเบื้องหน้าเลิกคิ้วน้อย ๆ ไม่คิดว่าเสนาบดีเสิ่นจะยอมให้บุตรชายมาข้องเกี่ยวกับเขา แต่เมื่อมานึกดูอีกที ก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเสียทีเดียวเพราะรอบตัวเสิ่นจิ้งเฟยก็มีแต่บุรุษที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไป๋ผูอวี้ย่นคิ้วเมื่อนึกถึงบุคคลเหล่านั้น แต่คำว่าเล่นสนุกทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย คนอย่างเขาไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการเล่นสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ในเมื่อถลำลึกมาถึงเพียงนี้ ย่อมคิดจริงจังแล้ว

“จื่อฟาง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใช่พวกเล่นสนุก”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ แม้จะยังไม่คุ้นกับชื่อเรียก แต่ก็อยากเอ่ยชื่อนี้ให้ชินปาก เขาไม่ได้มองร่างตรงหน้า สายตาจับจ้องไปยังเสวี่ยไป๋ที่หายใจเป็นไอขาวออกมา

“ถ้าข้าชอบเล่นสนุก คงไม่ปล่อยให้เจ้าพามาไกลถึงขั้นนี้”จื่อฟางเอ่ยตอบ สายตาจริงจังของฝ่ายนั้นหยุดลงที่ร่างของเขา ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังเกิดขึ้นอยู่นอกประตู เป็นเสียงของชายสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกัน ก่อนที่เงาร่างคุ้นตาสองร่างจะปรากฏ เว่ยหลงและหยางชวีโผล่มาพร้อมกับลมหนาวเย็น เว่ยหลงมีสีหน้ารำคาญใจ บนแผ่นหลังแบกห่อของบางอย่างมาด้วย ส่วนผู้ติดตามของเขายังคงมีสีหน้าเช่นเดิม แม้ว่าหัวคิ้วจะย่นน้อย ๆ

“คุณชายเสิ่น เหตุใดท่านถึงหายตัวมาอยู่ที่นี่ หากนายท่านทราบเรื่องจะเป็นห่วงเอา”ผู้ติดตามไม่ได้ชายตามองไป๋ผูอวี้ราวกับมองไม่เห็น เว่ยหลงทำเสียงฮึดฮัด ก้าวมาด้านหน้า

“คุณชาย ข้านำใบชาแห้งและของที่คุณชายต้องการมาส่งแล้วขอรับ”ชายร่างกำยำรายงาน กวาดตามองเสิ่นจิ้งเฟยครู่หนึ่ง พบว่าคุณชายรูปงามดูแปลกตาไปไม่น้อย คงเพราะรอยเปื้อนสีดำที่แก้ม การแต่งตัวที่ละม้ายคล้ายสตรี หยางชวีที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงกระแอมกระไอ

“เจ้ากลับไปเถอะหยางชวี คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่”จื่อฟางบอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่คัดค้าน

“อะไรนะขอรับ”หยางชวีอ้าปากหมายเอ่ยเตือน แต่เว่ยหลงทำสีหน้าหงุดหงิดส่งเสียงในลำคอขัดจังหวะ

“ศิษย์น้อง เหตุใดต้องทำเหมือนว่าคุณชายของเจ้าเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนด้วย เขาเป็นบุรุษซ้ำยังขึ้นเตียงกับคุณชายของข้าแล้ว ถ้าหากเป็นที่หลานโจว คุณชายเจ้าคงได้แต่งเข้าสกุลไป๋”เว่ยหลงไม่ใช่คนพูดจาอ้อมค้อมจึงกล่าวออกไปตรง ๆ ที่เมืองหลานโจวก็มีผู้ที่ชื่นชอบบุรุษ นายบำเรอรูปร่างงดงามยังเคยได้แต่งเป็นอนุให้กับพวกเศรษฐีมาแล้ว แม้ว่าเว่ยหลงจะยังรู้สึกตะขิดตะขวนใจเกี่ยวกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่เขาก็ยอมปล่อยผ่าน ในเมื่อคุณชายไป๋ชื่นชอบอีกฝ่ายถึงขั้นพามาที่แห่งนี้ทั้งยังยกเรื่องนั้นมาพูดก็ต้องทำใจ

“เจ้า…!พูดจาเหลวไหลต่อหน้าคุณชายเสิ่นได้อย่างไร”หยางชวีที่เคยหน้าตายถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ จื่อฟางรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบไปกับคำพูดของเว่ยหลง เจ้าบ้านั่นพูดจาตรงไปแล้ว เขาเหลือบมองชายหนุ่มข้างกายที่ยังคงท่วงท่าสุภาพบุรุษไว้ได้ แต่มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกายวิบวับ 

“เว่ยหลง เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงเรียบ เว่ยหลงเพียงไหวไหล่ รู้อยู่แก่ใจว่าคุณชายไป๋พอใจกับคำพูดของเขา จะว่าไปคุณชายของตนก็น่าตีนัก

“ข้ากล่าวผิดไปแล้ว”เขาเอ่ยเสียงห้วน หันมองหยางชวีครู่หนึ่ง เจ้านั่นกลับมาใช้สีหน้าเช่นเดิม แต่ยังคงดูไม่พอใจ

จื่อฟางกระแอมเบา ๆ “หยางชวี ข้าไม่เป็นไร เจ้าก็ได้ยินที่ท่านพ่อพูด คืนนี้ข้านอนค้างที่นี่ ดูสิ ข้าปวดเมื่อยไปหมด”เด็กหนุ่มบิดเอวไปมา เริ่มรู้สึกว่าปวดเมื่อยตามท่อนแขนท่อนขาเข้าแล้วจริง ๆ

“แต่ว่า…”

“เอาล่ะ เข้าไปด้านในเรือนเถิด อากาศเริ่มเย็นแล้ว”ไป๋ผูอวี้เอ่ยขัด จื่อฟางเห็นด้วย ไม่อยากยืนเถียงกับผู้ติดตามอีกจึงรีบสืบเท้าเข้าไปผิงไฟในห้องรับรอง หยางชวีตามเข้ามาอย่างเสียไม่ได้ ภายในห้องจุดกระถางไฟเรียบร้อยแล้ว ไป๋ผูอวี้เริ่มจัดการแกะห่อชาแห้งเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย พบว่าเว่ยหลงนำใบชาเตียนหงมาด้วย ชายหนุ่มเหลือบมองผู้ติดตามพลางก่นด่าอยู่ในใจว่าเจ้าคนผู้นี้รู้ดีเกินไปแล้ว ชาเตียนหงเหมาะสำหรับคนสุขภาพอ่อนแออย่างเสิ่นจิ้งเฟย

“คุณชายเสิ่น มีจดหมายถึงท่านขอรับ”หยางชวีโพล่งออกมาราวกับเพิ่งนึกออก อันที่จริงเขาก็ลืมไปครู่หนึ่งเพราะได้เจอคนน่ารำคาญเช่นเว่ยหลง ระหว่างทางไปคฤหาสน์สกุลไป๋ เขาพบนายทหารจากกรมอาญาผู้หนึ่งบอกว่ามีจดหมายสำคัญถึงคุณชาย ชายหนุ่มหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อส่งให้เสิ่นจิ้งเฟย

“จากผู้ใดรึ หรือจากฟู่เทียนสือ”จื่อฟางรับจดหมายมาด้วยสีหน้าใคร่รู้

“ข้าน้อยคิดว่าไม่ใช่ขอรับ”ผู้ติดตามส่งเสียงตอบ ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วเงยหน้ามองมาจากที่นั่งของตนเมื่อได้ยินชื่อนั้น ‘ฟู่เทียนสือ’ เขาไม่รู้จักคนผู้นี้เป็นการส่วนตัว แต่สกุลฟู่เป็นคณะร้องรำที่โด่งดัง มักเดินทางไปแสดงต่างเมืองไม่หยุดพัก แต่ละเมืองสกุลฟู่จะหยุดพักไม่นาน ยกเว้นเมืองฉางอันที่มีหอร้องรำของสกุลฟู่มาตั้งกิจการ แม้คนดูแลจะมิใช่ฟู่เทียนสือ แต่คณะร้องรำทั้งหมดเป็นผู้ร่ำเรียนจากสกุลฟู่โดยตรง มีเจียงฉวี่ต้าคนสนิทของฟู่เทียนสือเป็นเถ้าแก่ดูแลแทน

“เจ้ารู้จักเขา?”ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“อืม ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ข้าเคยรู้จักฟู่เทียนสือ เขาเป็นสหายเก่าแก่ของข้า”จื่อฟางสบตากับชายอีกคนเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าเสิ่นจิ้งเฟยต่างหากที่เป็นสหาย จะว่าไปเขาก็ไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับไป๋ผูอวี้เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างพูดยาก ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ส่งผลต่อความคิดที่เขามีต่อฟู่เทียนสือ แต่มันรบกวนจิตใจมากกว่าแสดงให้เห็นว่าเจ้าคนแซ่ฟู่มีความสำคัญระดับหนึ่งกับเสิ่นจิ้งเฟย

เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ซักถามมากความจื่อฟางก็คลี่จดหมายอ่าน ตัวอักษรสวยงามขีดเขียนเป็นจังหวะเร่งรีบ มีรอยหมึกหยดกระจายอยู่ทั่ว รอยเปื้อนบนกระดาษบ่งบอกว่าผู้เขียนไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีนัก

‘เสิ่นจิ้งเฟย ข้าหลี่ฮุ่ยจือเอง ที่ข้าเขียนจดหมายถึงเจ้า เจ้าคงรู้ดีกระมังว่าเกิดเรื่องใดกับบ้านข้า ดูเหมือนฝ่าบาทจะคิดลงดาบกับสกุลหลี่แล้ว! ข้าไม่มีส่วนรู้เห็นใดกับบิดาของข้าทั้งสิ้น จิ้งเฟยเจ้าก็รู้จักข้ามานาน ข้าขอร้องเจ้า ช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ นำความไปบอกพระองค์ให้ข้าที เจ้าจำได้รึไม่ที่โรงเตี๊ยมครานั้น ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการบอกพระองค์ก่อนจะสายเกินไป’

จื่อฟางกวาดตาอ่านด้วยจิตใจที่สั่นไหว ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดจะทำอะไรกับสกุลหลี่กันแน่ ในยามนี้พวกสกุลหลี่ถูกกักขังอยู่ในจวนมิใช่หรือ? เขากัดริมฝีปากเงยหน้ามองคนในห้อง

“ข้าอยากเขียนจดหมาย หากระดาษหมึกพู่กันให้ที”จื่อฟางบอกกับไป๋ผูอวี้ ร่างนั้นหันไปสั่งเว่ยหลงอีกที ชายร่างกำยำรับคำก่อนหายออกไปจากห้องโถง ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกระดาษซวนจื่อ จานหมึกและพู่กัน เด็กหนุ่มกางกระดาษลงบนโต๊ะ เขียนจดหมายถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง

‘ฝ่าบาท กระหม่อมทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระหม่อม แต่กระหม่อมมีเรื่องร้องขออยากให้ท่านละโทษให้หลี่ฮุ่ยจือได้หรือไม่ ถือว่าเห็นแก่เสิ่นจิ้งเฟย’

จื่อฟางกวาดตามองตัวอักษร ไม่แน่ใจว่าฮ่องเต้จะยอมฟังคำขอของตนและก็ไม่รู้ว่าการอ้างชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยจะช่วยได้หรือไม่ เจ้านั่นอาจจะไม่ได้รู้สึกใดกับหลี่ฮุ่ยจือ หรือไม่ได้เห็นเป็นสหายด้วยซ้ำเช่นเดียวกับเขา แต่...จะให้เขาอยู่เฉยต่อคนรู้จักก็ดูใจร้ายเกินไปหน่อย เด็กหนุ่มจรดพู่กันเขียนต่อ 

‘หลี่ฮุ่ยจือมิใช่คนเช่นเดียวกับบิดาของเขา กระหม่อมอยากให้พระองค์ไตร่ตรองดูให้ดี  ลองคุยกับเขาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ’


จื่อฟางคงช่วยได้แค่นี้ ถอนหายใจระหว่างที่แต่งแต้มภาพวาดการ์ตูนตาหวานเล็ก ๆใส่ไปด้วย เมื่อเขียนเสร็จเขาก็นำจดหมายของหลี่ฮุ่ยจือและจดหมายของเขาพับรวมกัน ครุ่นคิดว่าส่งผ่านให้ผู้ใดจะเร็วกว่า ยามนี้ก็ไม่รู้ว่าคนของฮ่องเต้อยู่ที่จวนหรือไม่ ร่างบางหันมองชายอีกคน

“ไป๋ผูอวี้ เจ้ารู้จักกับที่ปรึกษาเกาคนสนิทของฮ่องเต้สินะ เช่นนั้นเจ้าช่วยหาคนนำจดหมายฉบับนี้ส่งให้ฮ่องเต้ได้หรือไม่ ด่วนที่สุด”เด็กหนุ่มยื่นจดหมายส่งให้ชายอีกคน ร่างนั้นรับจดหมายไปโดยไม่เอ่ยถามก่อนหันไปทางเว่ยหลง

“เจ้านำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้คุณชายจ้าว บอกเขาว่าเป็นเรื่องด่วน”ชายหนุ่มกระชับสั่งผู้ติดตาม ผู้ติดตามเอ่ยรับคำหมุนตัวจากไปอย่างไร้สุ้มเสียง จื่อฟางถอนหายใจ 
 

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะเร่งจัดการกับสกุลหลี่”เขาเอ่ยเปรย ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงรับในลำคอ ได้ฟังที่เด็กหนุ่มอีกคนเล่าถึงสถานการณ์ในฉางอันก็พอจะทราบ อีกทั้งหลิวอ๋องเริ่มเคลื่อนไหวใช้งานเสิ่นจิ้งเฟย ก็ยิ่งบอกชัดว่าเร็วๆนี้กำลังมีเรื่องเกิดขึ้น ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องที่คิดไว้ ทีแรกยังเห็นด้วยกับเว่ยหลงว่าเร็วเกินไป แต่หากรอช้ากว่านี้ เขากลัวว่าจะไม่ทันการ ไป๋ผูอวี้กลับมาสนใจคุณชายรูปงาม นึกถึงหลี่ฮุ่ยจือทีไรก็คิดได้เพียงว่าคนผู้นี้สมควรกับการลงโทษแล้ว มิใช่เพราะเขาแตะต้องเสิ่นจิ้งเฟย แต่ถ้านำเรื่องผิดที่คนผู้นั้นกระทำแล้วหนีรอดมาได้เพราะอำนาจของบิดา ถูกขังคุกก็ไม่ถือว่ามากไป

“เหตุใดเจ้าถึงต้องการช่วยหลี่ฮุ่ยจือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก

“เขาอาจไม่ใช่สหายที่ดีเท่าไหร่นักแต่...ข้าไม่อยากอยู่เฉย ในเมื่อเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของบิดาก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดด้วย”จื่อฟางตอบ กฎหมายในยุคสมัยนี้ต่างจากปัจจุบันนัก เด็กหนุ่มไม่อยากกล่าวถึงมาก  หากคนใดคนหนึ่งในสกุลทำผิดคนที่เหลือย่อมโดนไปด้วย เขาเองก็ไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีหลี่ทำอะไรไว้ แต่เขาเดาว่าคงไม่พ้นเรื่ององค์ชายใหญ่ ฮ่องเต้ถึงไม่ยอมปล่อยไปโดยง่าย ตามความคาดเดาของจื่อฟาง เวลานี้คนสกุลหลี่ถูกคุมขังอยู่ในจวนหรือเปล่าก็มิแน่ใจ จดหมายของหลี่ฮุ่ยจือค่อนข้างสกปรก ราวกับว่าเขาถูกคุมขังอยู่ในคุก ไม่รู้ว่าใช้ข้ออ้างกับเงินจำนวนเท่าใดจดหมายฉบับนี้ถึงได้ถึงมือเขา

“เขาเคยคิดล่อลวงคุณชาย คนผู้นั้นไม่สมควรได้รับน้ำใจจากท่าน”หยางชวีกล่าวแทรกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แม้แต่ไป๋ผูอวี้ก็มีสีหน้าทำนองเดียวกัน เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยถามความเห็นเพราะเกรงว่าจะได้รับคำตอบอย่างเดียวกันกลับมา เขาจึงกวาดสายตามองห่อของที่ยังไม่ได้แกะแล้วเกิดนึกสงสัยขึ้นมา

“เจ้านำอะไรมาด้วยหรือ”จื่อฟางถาม บุ้ยใบ้ไปยังห่อที่วางกองอยู่ ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย

“อีกไม่นานเจ้าก็รู้”ไป๋ผูอวี้ตอบเช่นนั้น ยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ยังไม่ทันได้เอ่ยถามให้แน่ชัดก็มีเสียงควบม้าและเสียงหอบหายใจดังมาจากด้านนอก ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วลุกยืนจากที่นั่ง จังหวะเดียวกับร่างหนึ่งที่ผลุนผลันเข้ามาในห้อง จื่อฟางจำได้ว่าคือกุ้ยตาน บ่าวรับใช้ที่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน

“คุณชายไป๋ แย่แล้วขอรับ นายท่าน...นายท่านเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางกลับเมืองหลานโจวแล้วขอรับ”กุ้ยตานรายงาน เขารีบเร่งขี่ม้ามาบอกข่าวกับคุณชาย ไป๋ผูอวี้สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว

“เช่นนั้นหรือ ท่านพ่อคงโกรธมากจริง ๆถึงได้เตรียมกลับเมืองหลานโจว” ทั้ง ๆที่จากมาเพราะเรื่องสุขภาพแท้ๆ

“ไป๋ผูอวี้...เจ้าไปเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะนั่งรถม้าตามไป” จื่อฟางบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลราวกับตัดสินใจไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้ฟังแล้วน่าจะร้ายแรง เขาอยากรอฟังข่าวอย่างใกล้ชิด แม้ว่าร่างกายของเด็กหนุ่มเริ่มปวดเมื่อยแต่ก็ไม่อยากขี่ม้าไปกลับ ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ มองเขาอยู่ครู่หนึ่งคล้ายอยากเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด

“เช่นนั้นไว้พบกัน”อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนออกไปจากห้อง หยางชวีได้แต่พ่นลมหายใจออกมา ดูท่าไป๋อู่เหยียนจะคิดเห็นแตกต่างจากไป๋ผูอวี้

“ข้าน้อยจะไปจัดเตรียมรถม้า คุณชายรอสักครู่”หยางชวีออกไปจากห้องเพื่อหารถม้าให้เสิ่นจิ้งเฟย ใช้เวลาสักพักถึงจะได้เพราะตรอกแห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลผู้คนต้องเดินไปจนสุดตรอกเมื่อพบตรอกใหม่ก็พบเจอรถม้ารับจ้าง

จื่อฟางไม่ลืมสวมผ้าคลุมปิดหน้าออกมาจากบ้านของไป๋ผูอวี้ รีบก้าวฉับ ๆเข้าไปในรถม้าทันที ก้มหน้าหลบสายตาใคร่รู้ของคนงานที่ยืนมองดูอยู่ใกล้ๆ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตรอกแห่งนี้คือที่ใด แต่ใช้เวลาสองเค่อกว่าจะถึงคฤหาสน์สกุลไป๋ ด้านนอกกำแพงจวนพบรถม้าห้าคันจอดเรียงราย บ่าวไพร่ต่างก็ยกห่อของมาใส่ในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ จื่อฟางร้องบอกให้คนขับจอดรถห่างจากออกมาเล็กน้อยก่อนเลิกม่านมองดูสังเกตการณ์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ประตูเรือนปิดสนิท หยางชวีเห็นเสิ่นจิ้งเฟยกังวลจึงกระแอมเบาๆ

“ข้าจะไปสอดแนมให้ขอรับ”ผู้ติดตามเอ่ย

“ถ้าเช่นนั้นก็ฝากด้วย”เขากระซิบอย่างขอบคุณ มองร่างของผู้ติดตามหายไปจากรถม้า

……….


ไป๋ผูอวี้ยืนเผชิญหน้ากับไป๋อู่เหยียน ผู้เป็นบิดากำลังออกคำสั่งกับบ่าวไพร่ให้ตรวจดูห่อใบชาให้เรียบร้อยด้วยสีหน้าสุขุมถึงแม้จะไม่แสดงออกแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบิดากำลังอยู่ในอารมณ์คุกรุ่น 

“ท่านพ่อ...”ชายหนุ่มเอ่ยเรียกทำให้ผู้เป็นบิดาเหลือบมองจากหางตา ยังคงหันหลังให้

“ไม่ยักรู้ว่าเจ้ายังเห็นข้าเป็นบิดาอยู่”ไป๋อู่เหยียนกล่าวผ่านกรามที่ขบแน่น ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของไป๋ผูอวี้ เขาก็มองบุตรชายด้วยสายตาเช่นเดิมไม่ได้อีก เขารู้มาว่าเจ้าเด็กหัวแข็งผู้นี้รู้จักกับหัวหน้าคณะบัณฑิตเกาจวีถัง และยังนำกำลังคนสกุลไป๋เข้าร่วมกับราชสำนัก เรื่องทุกอย่างดูจะวุ่นวายไปหมด โรงน้ำชาหลิวซื่อแทบแตก มีผู้คนแวะเวียนมาถามคำถามไม่ขาดปาก บ้างก็บอกว่าบุตรชายของเขาตั้งใจเข้าร่วมเพราะอยากเอาใจเสนาบดีฉินที่ยังไม่พอใจฐานะอันต่ำต้อยของสกุลไป๋ ไป๋อู่เหยียนยอมรับว่าเคยคิดให้ไป๋ผูอวี้ผูกสัมพันธ์กับคุณหนูฉิน แต่เมื่อได้ยินบิดาของนางกล่าววาจาดูถูกสกุลไป๋ก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

“ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ก็เพราะโกรธที่ข้าร่วมมือกับฮ่องเต้หรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า ไป๋อู่เหยียนถอนหายใจเอามือไพล่หลัง

“ในฐานะบิดา ข้าคิดว่ายังทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ เจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้” ร่างนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเอ่ยกระแทกเสียงในประโยคถัดมา

“ข้าเคยคิดว่ามีบุตรชายฉลาดรู้ความแต่ข้ากลับคิดผิด ราชสำนักหักหลังสกุลไป๋ก็เพราะอำนาจทางการทหารแต่บุตรชายไม่รู้ความของข้ากลับเข้าร่วมการศึก จะให้ข้ารู้สึกอย่างไร”ไป๋อู่เหยียนไม่ต้องการให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก มีเสียงเล่าลือเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิงมากมาย แม้จะมีทั้งสนมและชายงามแต่หากเป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างเด็ดขาดคนผู้นั้นก็ไม่คิดลังเล แต่ถึงกระนั้นบุตรชายก็ยังร่วมมือกับฮ่องเต้

“ข้าไตร่ตรองดีแล้ว”ไป๋ผูอวี้กล่าวแต่เพียงเท่านี้ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก ผู้เป็นบิดารู้สึกเหมือนหูอื้ออึงไปด้วยความโกรธ สายลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมอวลอยู่ในอากาศ ร่างงดงามของซูเหลียนฮวาปรากฏขึ้น นางกวาดตามองรอบเดียวก็เข้าใจเรื่องราวจึงคุกเข่าลงตรงหน้านายท่านไป๋

“ข้าน้อยคาราวะนายท่าน”นางกล่าวด้วยเสียงรื่นหู นางลอบมองคุณชายไป๋ที่ยังคงยืนด้วยท่าทีนิ่งสงบอย่างที่เคยแม้นางจะรู้ดีว่าภายในคงไม่ใช่เช่นนั้น นางคิดอยู่แล้วว่าไป๋อู่เหยียนต้องไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเรื่องหัวหน้าคณะบัณฑิตเกา ผู้อาวุโสอวิ๋นที่นางต้องคิดบัญชีภายหลังโทษฐานหลอกใช้คุณชาย ฮ่องเต้เจี่ยผิง และที่สำคัญยิ่งคือเสิ่นจิ้งเฟย

“ซูเหลียนฮวา ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเห็นด้วยกับไป๋ผูอวี้ ช่างน่าผิดหวังนัก”ไป๋อู่เหยียนปรายตามองบรรดาข้ารับใช้ที่มาจากเรือนบุตรชายด้วยสายตาไร้ความรู้สึก บ่าวพวกนี้ต่างก็คุกเข่ายอมรับผิดที่ร่วมเดินทางไปเมืองอี้โจวกับไป๋ผูอวี้   

“พวกเจ้าทุกคนไม่เห็นหัวข้าเลยหรือ”

“เรื่องทั้งหมดข้าเป็นคนคิด หากท่านพ่อจะลงโทษก็ลงโทษลูกเถิด”ไป๋ผูอวี้นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าบิดาเมื่ออีกฝ่ายไม่โต้ตอบก็กล่าวต่อ “ข้าทำเช่นนี้เพื่อความต้องการของตัวเอง ข้าไม่อยากนิ่งเฉยต่อสหายบัณฑิตเหล่านั้น จึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับที่ปรึกษาเกา ท่านพ่อรู้จักข้าดี หากคิดทำสิ่งใดข้าย่อมทำให้สำเร็จ เส้นทางของข้าแตกต่างจากสกุลไป๋  ข้ารู้ว่าความตั้งมั่นของตัวเองอาจทำให้สกุลไป๋เดือดร้อนแต่ข้าก็ยังทำในสิ่งที่ต้องการ”ไป๋ผูอวี้ยังไม่มองหน้าบิดารู้ดีว่าเรื่องนี้ตนเองมีส่วนผิดและเขายังมีความดื้อดึงอยู่มาก 

“เจ้ารู้ตัวว่าทำเช่นนี้ย่อมเดือดร้อน เจ้าก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกหรือ ฮ่องเต้เจี่ยผิงหวังใช้กำลังของสกุลไป๋เท่านั้น เจ้ากลับเอาคอไปขึ้นเขียงเสียเอง”ผู้เป็นบิดาแม้โกรธจัดแต่ก็ลดเสียงลงกวาดตามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง ไป๋ผูอวี้รู้สึกว่าถูกจับตามอง แต่คนที่อยู่ในระดับเดียวกับเว่ยหลงและซูเหลียนฮวาก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

‘หยางชวีหรอกรึ เช่นนั้นจื่อฟางก็มาแล้ว’

ชายหนุ่มหยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนเงยหน้ามองบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าเข้าใจหากท่านพ่อจะโกรธ ความต้องการของข้าอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการสอบ ทำเช่นนั้นจำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือ ข้าไม่ต้องการเป็นผู้มีคุณธรรมแต่ปาก ถึงได้ข้องเกี่ยวกับหัวหน้าคณะบัณฑิตเกา”

“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใด?หากเจ้าพลาดพลั้งสกุลไป๋คงจบสิ้น ไตร่ตรองดีแล้ว เฮอะ เจ้าผายลมใดออกมา เจ้าไตร่ตรองถึงตัวเองมากกว่า”ไป๋อู่เหยียนหายใจกระฟัดกระเฟียด บุตรชายไม่เอ่ยตอบความก็เสมือนเป็นการยอมรับกลายๆ

“อย่าพูดเรื่องคุณธรรมไร้สาระกับข้า ที่เจ้าทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการชื่อเสียงให้ผู้คนยกยอใช่หรือไม่ เจ้ามันคนใฝ่สูง ไม่เจียมตนเอง”

“ข้าไม่ต้องการให้ผู้คนมายกยอ ข้าไม่อยากให้สกุลไป๋เป็นเพียงพ่อค้า หากท่านไม่อยากให้สกุลไป๋พบเจอเรื่องวุ่นวาย เหตุใดถึงย้ายมาอยู่เมืองหลวงเล่า เหตุใดถึงยังสอนให้คนในสกุลไป๋ร่ำเรียนวรยุทธ พวกเขามีความสามารถให้มาชงชาแบกของก็เสียเปล่า ท่านเอาแต่พร่ำบอกให้ภูมิใจในสกุลไป๋ แต่สิ่งที่ท่านทำกลับตรงกันข้าม ก่อนจะเกิดเรื่องกับสกุลไป๋แต่เดิมพวกเราก็ทำงานรับใช้แผ่นดินมาโดยตลอด แม้ข้าจะไม่ชอบฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่หากเกิดเรื่องเดือดร้อนกับแผ่นดินบ้านเกิด มีความสามารถแต่ยังหลบซ่อน ให้ทำเช่นนั้นข้าทนไม่ได้”ไป๋ผูอวี้รู้ว่าตนเพียงปั้นแต่งคำพูดเพื่อยกมาเป็นเหตุผลกับไป๋อู่เหยียนเท่านั้นจึงรู้สึกประหลาดอยู่เล็กน้อย 

“ข้าทำผิดกฎสกุล ข้าน้อมรับผิด”

“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของเจ้า!”ผู้เป็นบิดาตวาดร่างสั่นเทิ่มด้วยโทสะ เพราะรู้ดีว่าบุตรชายไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เรื่องแผ่นดินอะไรนั่นไม่ใช่ประเด็นหลักเสียด้วยซ้ำ ไป๋อู่เหยียนเป็นคนมีเหตุผลใจเย็นเสมอแต่เรื่องน่าละอายเช่นนี้ ผู้นำสกุลไป๋เช่นเขาไม่มีทางยอมรับได้ เห็นบุตรชายคุกเข่าสีหน้าแววตาไม่ลดละก็รู้ดีว่าเจ้าลูกคนนี้ไม่ยอมลามือแน่ 

“เจ้า...เจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร”ไป๋อู่เหยียนกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก สายตาสอดส่องมองบ่าวไพร่ที่ลานบ้านกลัวว่าจะมีคนได้ยิน ไป๋ผูอวี้ได้แต่หวาดหวั่นอยู่ภายใน ที่แท้ท่านพ่อก็ทราบเรื่องแล้ว ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้ 

“ท่านพ่อ ข้าไม่ต้องการปิดบังอีกต่อไปแล้ว ข้ารู้สึกดีกับคุณชายเสิ่น เขามิใช่อย่างที่ท่านคิด…”

ไป๋อู่เหยียนกำมือ มองบุตรชายอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “เหตุใดเจ้าถึงได้หลงผิดไปไกลขนาดนี้ เจ้าทำให้ข้าอับอายนัก เช่นนี้แล้วข้าจะกล้าสู้หน้าบรรพบุรุษได้อย่างไร บุตรชายคนเดียวของข้า อนาคตผู้นำสกุลไป๋กลับรักชอบบุรุษ ซ้ำยังเป็นคุณชายเสิ่นผู้นั้น เจ้าถูกใบหน้างามนั่นล่อลวง กลับมาจากชายแดนแทนที่จะพูดคุยกับข้า แต่เจ้าเลือกเสิ่นจิ้งเฟย ทั้งยังพาไปที่บ้านหลังนั้น  เจ้าไม่มีความละอายเลยรึ”ไป๋อู่เหยียนเอ่ยวาจายาวเหยียดเพราะอดกลั้นไม่ไหว เริ่มเดินไปเดินมาอย่างวิตกจริต

“ความรู้สึกของข้ามิใช่การหลงผิด การที่ข้าชอบเสิ่นจิ้งเฟยเป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับท่านพ่อที่มอบให้ท่านแม่”ไป๋ผูอวี้กล่าวจริงจังสบสายตากับบิดา ไม่คิดจะละความพยายาม คาดการณ์ไว้แล้วว่าท่านพ่อไม่มีทางยอมรับง่ายๆ

ผู้เป็นบิดาหมุนร่างมองบุตรชายด้วยสายตาแข็งกร้าว “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อย่าเอาความรักของข้ากับแม่เจ้าไปเปรียบเทียบกับความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราวของพวกเจ้าสองคน”

“ไยท่านดูถูกความรู้สึกของข้าเช่นนี้เล่า แต่ช่างเถิดตั้งแต่แรกข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะยอมรับได้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ ข้าชอบเสิ่นจิ้งเฟย”ไป๋ผูอวี้ไม่อ้อมค้อม เขาไม่อยากหลบซ่อนปิดบังต่อบิดาเหมือนพวกลักขโมย เขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิด  ไป๋อู่เหยียนได้แต่ยืนนิ่งงัน ส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่ยอมรับเอาแต่พึมพำกับตัวเองเบาๆว่าเหลวไหลไม่หยุด

“แม้ว่าข้าจะกลับหลานโจว เจ้าก็ยังยืนยันเช่นเดิมรึ”

“ลูกผู้ชายย่อมไม่หนีปัญหา บุตรยังมีเรื่องต้องรับผิดชอบ…”ชายหนุ่มตอบเพียงเท่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของจื่อฟางแต่ยังมีเรื่องของฮ่องเต้เจี่ยผิง ได้ยินเสียงหัวเราะข่มขื่นดังเบาๆมาจากบิดา

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย”ไป๋อู่เหยียนยังทำใจยอมรับไม่ได้โดยง่าย พลันนึกถึงเรื่องล้อเล่นที่เสิ่นฉินอี้เคยกล่าวไว้ ‘หากเจ้าเจอหลานข้าแล้วยังยืนยันคำเดิม ข้ายินดีดองกับเจ้า’ โชคชะตาเล่นตลกเกินไปแล้ว เขาได้แต่คิดไปว่าไม่น่าช่วยเหลือเสิ่นฉินอี้แต่แรก แต่ผู้นำสกุลไป๋รู้ดีหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ยังคงทำเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คนบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าไม่ช่วยได้หรือ

ไป๋ผูอวี้อยากพูดแบบเดียวกับบิดานัก อยากรู้ว่าท่านพ่อตกใจเท่านี้หรือไม่ตอนที่รู้ว่าหลานของเสิ่นฉินอี้เป็นชายมิใช่หญิง เขาเกือบได้หมั้นหมายกับคุณชายเสิ่นแล้วเชียว ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ไม่สิ ดีแล้วที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย เพราะเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่จื่อฟาง 

ไป๋อู่เหยียนเงียบไปเป็นนานก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็ไม่คิดอยู่ฉางอันอีกต่อไป ไป๋ผูอวี้เจ้าคิดทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด แต่หากวันใดเจ้าทำสกุลไป๋เดือดร้อน ข้าจะมาจัดการกับเจ้า”ไป๋อู่เหยียนเหนื่อยแล้ว และไม่อยากถกเถียงกับบุตรชายในยามนี้ เขากวาดสายตามองบ่าวรับใช้ที่ยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา เงาวูบหนึ่งทำให้ลมพัดอากาศเย็นต้องร่าง เว่ยหลงปรากฏกายอย่างไร้สุ้มเสียงก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆซูเหลียนฮวา

“นายท่าน บ่าวน้อมรับความผิด แต่บ่าวไม่สามารถละทิ้งคุณชายไป๋ได้ บ่าวจะอยู่รับใช้คุณชายจนกว่าชีวิตจะมอดดับ”ผู้ติดตามร่างกำยำโขกศีรษะบนพื้นเสียงดังก้องไปทั้งคฤหาสน์อันเงียบสงบ

 “นายท่านสั่งสอนข้าน้อยได้ถูกต้องไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยน แต่ข้าน้อยสาบานเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับคุณชาย ข้าน้อยไม่สามารถละทิ้งคุณชายไป๋ได้เช่นกัน นายท่านโปรดเข้าใจด้วย”ซูเหลียนฮวาก้มโขกศีรษะอย่างไม่ลังเล หน้าผากมนเริ่มเป็นรอยแดงช้ำจากการโขกติด ๆกัน บ่าวไพร่อีกหลายคนต่างก็ยอมรับความผิดลงมือโขกศีรษะตามๆกันสร้างเสียงระคายหูแก่ผู้ฟังยิ่งนัก

ไป๋ผูอวี้ไม่อาจยอมรับได้ ในเมื่อเป็นความผิดของตน เขาก็จะรับไว้เอง “พวกเจ้าพอได้แล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า ข้าผู้แซ่ไป๋จะรับไว้เอง”ชายหนุ่มไม่อยากให้ผู้อื่นมารับเคราะห์ในสิ่งที่ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจ พวกเขาทำตามเพราะความจงรักภักดี เขาจึงตัดสินใจโขกศีรษะเป็นการขอโทษบิดา เป็นครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้

“คุณชาย พอเถอะขอรับ”เว่ยหลงส่งเสียงอย่างร้อนใจ แต่คุณชายไป๋ไม่หยุด

“คุณชายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”ซูเหลียนฮวากล่าวอย่างร้อนใจ เมื่อได้ยินเสียงโขกหนักๆของผู้เป็นนาย หน้าผากเริ่มมีรอยสีแดงช้ำก่ำเลือด ‘หากท่านจะโขกศีรษะก็โขกเบาๆหน่อยไม่ได้หรือ’

“พอได้แล้ว”ไป๋อู่เหยียนทนมองดูอยู่นานก็เอ่ยขึ้น สะบัดชายเสื้อหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด รู้ดีว่าแผลแตกเท่านี้ไม่ทำให้บุตรชายถึงตาย แต่เสียงร้องของพวกบ่าวไพร่ช่างระคายหูนัก ผู้เป็นบิดาก้าวมาเบื้องหน้าบอกกล่าวให้พวกบ่าวไพร่ได้ยิน

“ผู้ใดอยากติดตามข้าก็เก็บข้าวเก็บของ แต่หากผู้ใดใคร่อยู่รับใช้ไป๋ผูอวี้ก็เชิญ ข้าไม่ชอบบังคับฝืนใจผู้ใด บ่าวไพร่ไม่มีใจภักดีต่อกันก็ไร้ประโยชน์”กล่าวจบร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวจากไปโดยไม่หันมอง ทิ้งไป๋ผูอวี้และบ่าวไพร่อีกหลายสิบคนไว้เบื้องหลัง บุตรชายของเขาช่างดื้อด้านนัก

“ข้าไม่มีทางละทิ้งสกุลไป๋ ข้าจะจดจำคำสั่งสอนของท่านพ่อให้ขึ้นใจ”เสียงของบุตรชายดังแว่วมา ไป๋อู่เหยียนได้แต่ส่งเสียงเหอะอยู่ในใจ ไม่ทิ้งสกุลไป๋ แต่บุตรชายกลับเลือกเข้าร่วมราชสำนัก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใดแต่การตัดสินใจเช่นนี้ไม่มีทางที่จะไม่เกี่ยวข้องกับคุณชายรูปงานท่านนั้น  เสิ่นฉินอี้ ท่านรู้หรือไม่ หลานชายท่านสร้างเรื่องให้สกุลไป๋บ่อยครั้งนัก

ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจเมื่อร่างของบิดาหายไปจากสายตา เขาทำผิดต่อท่านพ่อมากมายนัก ใช้คำว่าอกกตัญญูยังได้ คุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนก็ไม่รู้ว่าจะลบล้างความผิดได้หรือไม่ ชายหนุ่มไม่ได้เป็นคนดีมากคุณธรรมอย่างที่ผู้คนคิด เขาก็แค่มนุษย์เดินดินธรรมดามิใช่หรือ มีรัก  โลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัว เพราะเขาอยากทำตามในสิ่งที่ตนต้องการ แม้กระทั่งสกุลไป๋เขาก็ยังนำมาเสี่ยง

“คุณชาย ท่านเป็นไรหรือไม่”เว่ยหลงรีบเข้ามาคุกเข่าข้างกายใช้สายตาสำรวจมองอย่างเป็นห่วง ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ส่ายศีรษะ รับรู้ว่าหน้าผากปวดตุบ ๆ น่าจะมีเลือดไหลจากแผลแตก ผู้ติดตามทำท่าจะเช็ดให้ แต่เขาโบกมือ

“ไม่ต้อง จื่อ--เสิ่นจิ้งเฟยรอข้าอยู่”เขากล่าวเช่นนั้น เว่ยหลงมีสีหน้างุนงง

“อ้อ คุณชายจะเอาไปเรียกความสงสารจากคุณชายรูปงามผู้นั้นรึ จุ๊ๆ คุณชายไป๋ เหตุใดท่านเป็นคนเช่นนี้”ซูเหลียนฮวาเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ ผู้ติดตามถึงได้เข้าใจ ไม่คิดว่าคุณชายจะยอมโขกศีรษะแรงๆเพื่อการนี้ ท่านไม่ลงทุนไปหน่อยหรือ?

“แต่คุณชาย ทำเช่นนี้จะดีหรือ นายท่านท่าทางจะมีโทสะมาก”เป็นครั้งแรกที่กระทำการอุกอาจเช่นนี้จึงรู้สึกผิดยิ่งนัก 

“ข้ารู้จักท่านพ่อดี เขาคิดทำสิ่งใดย่อมไม่เปลี่ยนแปลงในเมื่อเขาบอกว่าจะกลับหลานโจวก็ให้เขากลับเถอะ ทีแรกตั้งใจจะส่งเจ้าไปดูแลท่านพ่อเสียด้วยซ้ำ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยช้า ๆถอนหายใจให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เว่ยหลงหน้าเผือดสีทันที รีบขยับคลานเข้ามาหา

“ไม่ได้นะคุณชาย ข้าต้องการอยู่ดูแลท่าน...”

“ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ได้ตั้งใจฟังหรือ คุณชายไป๋บอกว่าทีแรก ก็หมายความว่ายามนี้ไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว ข้าถึงบอกอย่างไรเล่าว่าให้ใช้สมองบ้างก่อนที่ท่านจะกลายเป็นพวกกล้ามโตแต่ไร้สมอง”นางมารหมื่นพิษกล่าวออกไปตามตรง ใช้สายตาตักเตือนอย่างเป็นห่วง แต่กลับทำให้เว่ยหลงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย

“เจ้ากล้าว่าข้าหรือ!”

“ข้าพูดอยู่กับท่านมิใช่หรือไร”

“พวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้ว กลับไปที่บ้านของข้า จัดเตรียมเรื่องนั้นให้พร้อม ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”ชายหนุ่มออกคำสั่งแทรกการถกเถียงของทั้งคู่ เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาสงบปากสงบคำในทันที

“เรื่องนี้ปุบปับเกินไป ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เตรียมใจเก้อ”ซูเหลียนฮวาเอ่ยเตือน ส่งสายตาเป็นกังวลให้ร่างตรงหน้า

“ข้าไม่แน่ใจ”ไป๋ผูอวี้กล่าวตามตรง ยังมีสิ่งที่ต้องพิสูจน์อีกมาก “แต่ข้าคิดดีแล้ว”

“ข้าจะไปจัดการตามนั้นขอรับคุณชาย แล้ว...คนผู้นั้นเล่า”เว่ยหลงพึมพำส่งสายตาไปทางกำแพงจวน รู้ดีว่ามีผู้ใดมาลอบสังเกตุการณ์

“ข้าจัดการเอง หากเป็นข้าอธิบายคงใช้เวลาไม่นาน...ไม่เหมือน…”นางยกยิ้มให้ศิษย์พี่รองอย่างมีความนัย ผู้ติดตามร่างกำยำถลึงตาใส่

“ได้เช่นนั้นจะดีมาก”ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนที่ร่างของซูเหลียนฮวาจะเร่งรีบออกไป เว่ยหลงคาราวะ สบสายตากับเขาครู่หนึ่งจากไปอย่างเร่งรีบเช่นกัน ไป๋ผูอวี้ลุกยืนกวาดตามองข้ารับใช้กลุ่มเดิมที่ไม่คิดขยับตัวไปที่ใดก็ยกยิ้ม

“ขอบใจมาก พวกเจ้ากลับไปพักได้ หากมีเรื่องใดข้าจะให้คนไปตาม”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ ผ่อนคลายท่าทีอย่างคุณชาย กับคนพวกนี้เว้นช่องว่างมากไปก็ไม่ดี เขาต้องการให้พวกเขายึดถือตนดั่งสหายร่วมศึกมิใช่บ่าวและข้ารับใช้เพียงอย่างเดียว

“ขอรับคุณชาย”กุ้นตานรับคำ พาพวกที่เหลือออกไปจากลานบ้าน ข้ารับใช้บางส่วนที่ขนของของไป๋อู่เหยียนออกไปด้านนอกต่างก็หลบตาชายหนุ่มเป็นที่วุ่นวาย ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่าท่านพ่อยังคงอยู่ในเรือนหลัก จึงตั้งใจจะคุกเข่าสำนึกผิด แต่สองหูได้ยินเสียงโวยวายของบ่าวไพร่ด้านนอกประตูดังขึ้นพอดี เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นก้าวเร็ว ๆ เข้ามาในลานบ้าน แม้ใบหน้าจะถูกผ้าคลุมปกปิดแต่สายตาเป็นห่วงคู่นั้นกลับเผยชัดเจน

“ท่านเข้ามาไม่ได้นะขอรับ”บ่าวคนหนึ่งกางแขนห้าม แต่เมื่อกุ้ยตานเข้าไปคุยอะไรสักอย่างบ่าวคนนั้นก็หลีกหนีไปอีกทาง เมื่อจื่อฟางเห็นว่าทางสะดวกจึงรีบก้าวมาหยุดอยู่ข้างกายไป๋ผูอวี้ ก่อนจะนั่งคุกเข่า

“เจ้าทำอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเข้มทันที

“ข้าจะคุกเข่าเป็นเพื่อนเจ้า”เขาตอบ เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงดังมาจากในจวนจึงคิดเข้ามาดูเพราะหยางชวีหายไปนานเกือบสองเค่อแล้ว เด็กหนุ่มทนรอไม่ไหวจึงถือโอกาสช่วงที่ยังวุ่นวายเข้ามาในคฤหาสน์สกุลไป๋ จื่อฟางกวาดมองหน้าผากแดงช้ำของอีกฝ่าย แผลแตกนั้นมีเลือดไหลซึมออกมาทำให้ดูน่ากลัว

“ร่างกายเจ้ารับไม่ไหวหรอก”ชายอีกคนคัดค้านอย่างไม่เห็นด้วย เขาไม่ต้องการให้คุณชายท่านนี้มาลำบากเดือดร้อนไปกับตน

ร่างบางขมวดคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ร่างกายข้าอ่อนแอก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเปราะบางจนทนเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ในเมื่อท่านพ่อของเจ้ารู้เรื่องของข้าแล้ว ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้ารับผิดแต่เพียงผู้เดียว”เด็กหนุ่มกล่าว เมื่อครู่ได้ยินบ่าวที่ขนของออกมาด้านนอกพึมพำเรื่องของไป๋ผูอวี้

“จื่อฟาง...”อีกฝ่ายตั้งท่าจะแย้งแต่จื่อฟางยกนิ้วแตะริมฝีปากของอีกคน ร่างนั้นจ้องมองเขาไม่วางตา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากหน้าผากให้อย่างเบามือ

“เจ็บหรือไม่”เขาเอ่ยถาม มองเห็นรอยแผลของไป๋ผูอวี้ก็ต้องขนลุกวูบ เหตุใดเจ้านี่โขกศีรษะแรงถึงเพียงนี้

“เจ็บ”ชายหนุ่มตอบเสียงเบา ร่างบางเลิกคิ้วคล้ายไม่อยากเชื่อนัก “แต่พอเห็นหน้าเจ้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง”เขาเอ่ยหยอกไม่อยากให้อีกคนต้องเครียดจนเกินไป คุณชายรูปงามขึงตาใส่ เช็ดหน้าผากให้จนเสร็จก็ทำสีหน้าบึ้งตึง

“หากข้าไม่เข้ามา เจ้าก็จะปล่อยให้ข้ารออยู่ด้านนอกทั้งคืนหรือ”

“ให้เจ้ารอด้านนอกก็ยังดีกว่าให้เจ้าคุกเข่าเช่นนี้”

“แต่...คนรักกันย่อมต้องรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่หรือ”จื่อฟางกลั้นใจกระซิบกล่าวออกไป มองไปรอบกายอย่างกังวล “นี่ เจ้าท่อนไม้...”เขาเอ่ยเรียก ยกมือป้องปากเอนร่างเข้าไปใกล้ ไป๋ผูอวี้หรี่ตามอง ยกยิ้มน้อย ๆ

“เจ้ายังว่าข้าเป็นท่อนไม้อยู่อีก...”

“ข้าจริงจังอยู่”เขากระซิบดุกล่าวต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายหุบยิ้มเปลี่ยนมาทำสีหน้าจริงจัง “ข้าได้ยินบ่าวด้านนอกพูดคุยเรื่องของเจ้ากับข้า...เกรงว่าจะทำให้คนภายนอกได้ยินแล้วนำไปนินทา เจ้าจะทำอย่างไร”จื่อฟางกัดริมฝีปากอย่างเป็นกังวล ขยับหัวเข่าเล็กน้อยเพื่อนั่งคุกเข่าในท่าที่สบายมากขึ้น

“จะทำอย่างไรได้เล่า ก็แค่คำพูดของผู้คน”ไป๋ผูอวี้ไหวไหล่ โคลงศีรษะ “หรือหากเจ้ากลัวชื่อเสียงแปดเปื้อน ข้าแต่งเจ้าดีหรือไม่”อีกฝ่ายกล่าวเย้าหยอก จื่อฟางรีบยกมือแตะที่ริมฝีปากเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเบาเสียงลง อยู่ต่อหน้าเรือนของไป๋อู่เหยียน เจ้านี่ยังกล้าทำเช่นนี้อีก

“ข้าขอโทษ ไม่คิดว่าท่านพ่อจะรู้เรื่องเร็วถึงเพียงนี้ ลำบากเจ้าแล้ว”ไป๋ผูอวี้เองก็เป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ไม่อยากนึกภาพหากมีคนนำเรื่องนี้ออกไปป่าวประกาศจะเป็นเช่นไร นอกจากสกุลเสิ่น เขากังวลฮ่องเต้เจี่ยผิงมากที่สุด เขาถอนหายใจแต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาไม่อยากหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองร่างบางข้างกาย เมื่อเห็นว่าจื่อฟางนั่งด้วยท่วงท่าไม่สบายตัวก็ถอดเสื้อคลุมมาช่วยรองที่หัวเข่าของอีกฝ่าย 

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
ผ่านไปสองชั่วยาม ฟ้ามืดกว่าเดิม อากาศเริ่มเย็นแต่ไม่มากจนทนไม่ไหว จื่อฟางเดาว่าน่าจะประมาณยามไฮ่ (21.00 น. - 22.59 น.) ไป๋อู่เหยียนถึงได้ออกมาจากเรือน ใบหน้านิ่งสงบจ้องมองมาที่ร่างของเขาและบุตรชายด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ออก เด็กหนุ่มถูกสายตาของอีกฝ่ายอาบไปทั้งร่างจนรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาไม่ได้พบเจอคนผู้นี้บ่อยนัก ที่ผ่านมาก็มีแต่ความทรงจำที่ไม่ค่อยดี เขาไม่แปลกใจหากไป๋อู่เหยียนจะไม่ชอบหน้าตน 

“เถ้าแก่ไป๋ ข้าขออภัยที่ทำเรื่องเดือดร้อนให้ท่านมาตลอด แต่ข้าจริงจังต่อไป๋ผูอวี้จริง ๆ ท่านอาจไม่สังเกตแต่ข้ามิใช่เสิ่นจิ้งเฟยคนเดิมแล้ว”จื่อฟางทำใจกล้ากล่าวออกไป

“พวกเจ้าออกไปจากเรือนของข้า”ไป๋อู่เหยียนเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนทันที ข้างกายได้ยินไป๋ผูอวี้ถอนหายใจเบา ๆ

“ท่านพ่อข้าก็เป็นเช่นนี้ ให้เวลาเขาสักระยะ...”ชายหนุ่มเองก็ไม่แน่ใจว่าท่านพ่อจะใช้เวลานานเท่าใด บางทีอาจจะทั้งชีวิตเลยก็เป็นได้

“เจ้าแน่ใจนะว่าทำเช่นนี้ดีแล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องแตกหักกับสกุลไป๋”จื่อฟางเอ่ยอย่างกังวล ไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะยอมทำเช่นนี้

“ข้าไม่ได้แตกหัก ถึงแม้ในยามนี้ท่านพ่อจะยังไม่ยอมรับ ข้าก็ไม่มีทางละทิ้งสกุลไป๋ ต่อให้ถูกไล่ก็ตาม เจ้าวางใจเถอะ”ไป๋ผูอวี้ลุกยืน เด็กหนุ่มค่อยๆลุกบ้าง บิดร่างกายไล่ความปวดเมื่อยสองสามที แต่ยืนได้ไม่นานร่างแข็งแกร่งตรงหน้าก็ยกร่างของเขาพาดบ่า จื่อฟางชินเสียแล้วจึงไม่ได้อ้าปากบ่น


ร่างสูงใหญ่พาเขาออกมาจากคฤหาสน์สกุลไป๋กระโดดลงมาอยู่ข้างอาชาสีขาวอย่างเงียบงัน เสวี่ยไป๋ก้มๆเงยๆ อยู่ที่ข้างกำแพงอีกฝั่ง ท่าทางเหมือนอดรนทนไม่ไหวที่จะได้เคลื่อนย้ายออกจากที่คับแคบแห่งนี้ ไป๋ผูอวี้ดันร่างของจื่อฟางขึ้นไปบนหลังม้า เขาโอบรอบคอเสวี่ยไป๋อย่างระมัดระวังระหว่างที่จัดท่านั่งให้เรียบร้อย ไป๋ผูอวี้นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง   

“กลับไปที่บ้านเจ้าหรือ”จื่อฟางเอ่ยถามเมื่อถูกคนด้านหลังโอบเอว มือข้างหนึ่งกระตุกบังเหียนม้าเบา ๆ เขาผ่อนร่างกายเอนพิงหน้าอกของอีกฝ่ายระหว่างที่เสวี่ยไป๋ควบไปด้านหน้าช้า ๆ 

“อืม บ้านเรา”ไป๋ผูอวี้เอ่ยแก้ ไม่รู้เพราะเหตุใดน้ำเสียงนั้นทำให้ขนด้านหลังลุกเกรียว จื่อฟางรู้สึกเหมือนเกิดภาพฉายซ้ำเมื่อตอนบ่ายขณะขี่ม้ากลับไปที่บ้านหลังเล็กอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้เขาผ่อนคลายกว่ามากไม่ได้เกร็งไปทั้งตัวอย่างคราวก่อน และได้สังเกตถนนหนทาง เส้นทางที่อีกฝ่ายใช้มาทางเดียวกับตรอกเหวินแต่แยกออกไปอีกสายหนึ่ง เข้าสู่บ้านคนที่ไม่ร่ำรวยนัก ถนนริมทางเริ่มมีแต่ฝุ่น 

“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่ออาชาควบไปตามตรอกซอกซอยอันคุ้นตา

“นิดหน่อย”เด็กหนุ่มตอบ แกล้งลูบหลังมือคนด้านหลังที่โอบเอวของตนอยู่เบาๆ ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดต้นคอ ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำเบา ๆ

“คืนนั้น...เจ้าตั้งใจทำสิ่งใดหรือ”อีกฝ่ายเอ่ยถามผ่านลมที่พัดวีดหวิวจนต้องก้มหน้าหลบความหนาวเย็น

“คืนไหน”ร่างบางใจเต้นตึกตัก คล้ายจะเดาออกว่าคืนใด

“คืนที่เจ้าบอกว่าจะแสดงตัวตนให้ข้าดู คืนนี้แสดงให้ดูอย่างที่เจ้าพูดได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้กระซิบ ริมฝีปากแตะอยู่ที่หลังใบหู จื่อฟางเม้มปาก ลำคอร้อนวูบวาบ หยิกหลังมือของเจ้าท่อนไม้กลายพันธ์ไปหนึ่งที

“หรือเจ้าทำไม่ได้”

จื่อฟางขมวดคิ้ว อยากหันไปมองหน้าคนด้านหลังนัก แต่ก็ทำไม่ได้ “คอยดูเถอะ”

“ข้าจะรอชม”ไป๋ผูอวี้กระซิบ รู้สึกว่าการควบของอาชาจะเร็วขึ้น จื่อฟางได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟย คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง วันนี้เขาแค่ขี่ม้าสองรอบ คุกเข่าอีกหลายชั่วยาม อะแฮ่ม ทำเรื่องแบบนั้นคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่หรอก!

แต่เขาคิดผิด   

~•~

“เกิดอะไรขึ้น…”จื่อฟางอ้าปากน้อย ๆ เมื่อก้าวผ่านประตูชั้นในเข้ามาในลานบ้านที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดงจนแทบจำไม่ได้ ตามมุมต่าง ๆห้อยด้วยโคมสีแดง ต้นเหมยในลานบ้านทั้งสี่ทิศผูกด้วยผ้าแพรสีแดงเข้าหากันราวกับกระโจมงดงาม ทั้งยังมีผู้คนยืนรอต้อนรับ เป็นข้ารับใช้ของไป๋ผูอวี้ กุ้ยตาน นอกจากนั้นยังมีเว่ยหลง ซูเหลียนฮวา และหยางชวีที่ใบหน้าบูดบึ้งท่าทางคล้ายกับไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้างกายคือจางต้าที่ยังคงดูตื่น ๆ แต่บนหน้ามีรอยยิ้มโง่ ๆเฉกเช่นทุกคราที่มีเรื่องเกิดขึ้น เด็กหนุ่มกวาดตามองร่างสูงในชุดสีน้ำเงินปักลายหรูหรา คุณชายจ้าวเซียวชิงที่แม้ดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนแต่ดวงตาเป็นประกายวิบวับ พอเห็นสายตาของเขาก็ยกพัดโบกให้ทีหนึ่ง เขากระพริบตา นี่มันเรื่องอะไรกัน? 

“คาราวะคุณชายไป๋ คุณชายเสิ่น”หญิงงามผู้ถูกขนานนามว่านางมารหมื่นพิษเอ่ยทัก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์มากเสน่ห์ของนางกระจายอยู่บนดวงหน้าเรียว เสียงของนางยังคงหวานไพเราะเช่นเคย การไปเมืองอี้โจวทำให้ผิวขาวราวหยกเนื้อดีของซูเหลียนฮวาคล้ำขึ้น  แม้ว่าวันนี้นางจะสวมใส่ชุดคลุมสีแดงสดปักลายกระจ่างตาก็ตาม

 ‘แปลก…’ลางสังหรณ์ของจื่อฟางเริ่มทำงาน เขาหันมองไป๋ผูอวี้ที่บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มสุภาพปรากฏอยู่ทำให้ดุด่าไม่ลง

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “นี่มันเรื่องใด”เขาเอ่ยถาม 

“ข้าให้คนนำจดหมายไปส่งให้ฮ่องเต้แล้ว”จ้าวเซียวชิงกล่าวขึ้นมาทำลายความเงียบ มุมปากยกน้อย ๆ จื่อฟางเลิกคิ้วแต่รอยยิ้มเช่นนั้นมันคืออะไร เป็นรอยยิ้ม ‘รู้กัน’ของสหาย เด็กหนุ่มมองทุกคนที่อยู่ในลานบ้านสลับไปมา

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงพาคนมาเยอะแยะ มีงานเลี้ยงอะไรกันรึ”เด็กหนุ่มดูเอื่อยเฉื่อยก็จริงแต่ลางสังหรณ์ของเขาก็ยังพอมีอยู่ คุณชายจ้าวหันมองร่างบางก่อนก้าวมาหาพร้อมกับเอ่ยกระซิบเบา ๆใกล้ใบหู

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจัดเตรียมของขวัญมาให้เจ้าแล้ว”คุณชายที่จ้าวโอบบ่าเขา พร้อมรอยยิ้มซุกซนกระจายอยู่บนใบหน้า

“เจ้าพูดถึงเรื่องใด...”จื่อฟางเริ่มรู้สึกหัวหมุน แม้จะเริ่มคาดเดาได้ลาง ๆ มองคนนู้นคนนี้ทีอย่างต้องการคำอธิบาย

“คุณชายไป๋ ท่านยังไม่ได้บอกคุณชายเสิ่นอีกหรือ ทำเช่นนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ หากไม่ได้ถามความเห็นของผู้อื่นก็เท่ากับว่าเป็นการบังคับฝืนใจ”ซูเหลียนฮวามองตรงไปที่ไป๋ผูอวี้แสร้งทำใบหน้าเศร้าเสียใจ เครื่องหน้างดงามแต่งแต้มด้วยสีสันฉูดฉาดรับกับใบหน้า นางทำเสียงฟืดฟาด  เขาจึงหันมองไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาที่ต้องการความจริง

“บอกข้ามา”เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเข้ม

“ที่ข้าจะบอกก็คือ...”ไป๋ผูอวี้สืบเท้ามาหาคุณชายรูปงามช้า ๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็มาประชิดตัว ร่างสูงใหญ่ปรายตามองผู้คนที่อยู่ภายในลานบ้าน พวกนั้นต่างก็หายตัวไปทันทีโดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ยกเว้นหยางชวีที่ต้องให้ซูเหลียนฮวาและเว่ยหลงฉุดกระชากลากดึงออกไป จื่อฟางกระพริบตาเริ่มรู้สึกว่าลึกลับเข้าไปทุกที

“เจ้า...คิดทำสิ่งใดกันแน่ หากไม่บอกกล่าวข้าจะกลับจวนแล้ว”ร่างบางเอ่ยอย่างหัวเสีย เลียริมฝีปากอย่างเป็นกังวล

“ข้าไม่รู้ว่าเอ่ยตอนนี้สมควรแล้วหรือไม่แต่จื่อฟาง…ข้ากับเจ้า...”คนตรงหน้าก้มมองเขาด้วยใบหน้าจริงจัง ดวงตาสีดำมีเพียงความซื่อตรง หลังจากเอ่ยคำพูดก็เงียบไปเป็นนาน เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ส่งเสียงเรียก “มีอะไร”

“ข้ากับเจ้า พวกเราแต่งงานกันเถิด...”สิ้นคำพูดของอีกคน ความเงียบระลอกใหญ่ก็ครอบงำเป็นเวลานาน จื่อฟางเบิกตาโต คำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแทบไม่อยู่ในสาระบบความคิด แต่งงานอย่างนั้นเหรอ ไม่เร็วเกินไปหรือไร ความคิดมากมายแล่นวนอยู่ในหัว คนผู้นี้กินของผิดสำแดงมาใช่หรือไม่ เขาได้แต่จ้องหน้าชายหนุ่มตัวสูงกว่าราวคนโง่งม เหมือนไม่เข้าใจสารที่อีกฝ่ายส่งมา

“เจ้าว่ากระไรนะ”กว่าเด็กหนุ่มจะควานหาเสียงเจอก็ผ่านไปหลายเค่อ

“พวกเราแต่งงานกันเถิด”ไป๋ผูอวี้กล่าวย้ำอีกครั้ง ในใจสั่นไหวเล็กน้อยเพราะกลัวว่าคุณชายท่านนี้จะเอ่ยปฏิเสธกับการกระทำรวดเร็วของตน เขารู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้จะเร่งรีบไม่ได้อีกทั้งก็ผิดธรรมเนียมปฏิบัติอยู่มาก แต่หากไม่ใช่ยามนี้อาจจะไม่มีเวลา ชายหนุ่มรู้สึกได้ รู้สึกถึงคลื่นที่กำลังก่อตัวก่อนที่พายุจะมา อีกไม่นาน...แผ่นดินเจี่ยจะวุ่นวาย เขาไม่รู้ว่าจะหลุดรอดจากอำนาจของฮ่องเต้หรือไม่ คนผู้นั้นย่อมไม่คิดใช้เขาเพียงเรื่องเดียว ถ้าต้องแลกความเป็นอิสระของเสิ่นจิ้งเฟย...ไม่สิ…จื่อฟางด้วยการตกอยู่ในวังวนอำนาจของคนผู้นั้น ไป๋ผูอวี้ก็ยอม แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยน เขาต้องการทำเรื่องสำคัญที่อยากทำเสมอมา แต่งงาน ท่านพ่อมักเอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆเสมอ เขาเป็นบุตรอกตัญญูอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะหากคิดจริงจังกับจื่อฟางเขาย่อมมีบุตรไม่ได้ แต่การมีบุตรไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกันเสียหน่อย แม้ว่าเรื่องนี้ไป๋ผูอวี้จะผิดต่อคนหลายคนก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเสิ่นมู่หยางและไป๋อู่เหยียน


“แต่งงาน...”คำคำนี้ห่างไกลจากจื่อฟางมากนัก เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน แม้ว่าจะอยู่ในยุคโบราณที่ต้องรีบแต่งรีบมีบุตรใช้ก็เถอะ เขาไม่ใช้คนที่จะสละชีวิตส่วนตัวเพื่อใช้ชีวิตคู่ในตอนที่ยังใช้ชีวิตได้อีกนาน แต่ยามนี้สถานการณ์ค่อนข้างเปลี่ยน เขาจึงไม่แน่ใจ

“แต่ว่า...ตอนนี้น่ะเหรอ ข้างุนงงไปหมด”

“ข้ารู้ แต่เจ้าคงคาดเดาได้ว่าอีกไม่นานการก่อกบฏจะเกิดขึ้น ข้าไม่อยากเสียเวลา แต่หากเจ้าไม่ต้องการข้าก็ไม่ฝืนใจ”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างเข้าใจ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เพิ่งเริ่มต้นแต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าเลือกไม่ผิด เขาเลือกจื่อฟางผู้นี้ไม่ใช่คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยอย่างที่ทุกคนเข้าใจ จื่อฟางสบตากับร่างตรงหน้า เม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด เขาหวาดหวั่นกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เอาเถิด เกิดมามีชีวิตเดียวก็ต้องใช้ให้คุ้ม ...แต่งงาน...แม้ความรู้สึกของเขาที่มีให้ไป๋ผูอวี้จะยังไม่ไกลถึงขั้นนั้นก็ตาม ในเมื่อไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง หากวันหนึ่ง...หากวันหนึ่งเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เด็กหนุ่มก็ยังมีความทรงจำเรื่องนี้ เขาได้แต่งงานกับไป๋ผูอวี้ เจ้าของฉายาท่อนไม้ไป๋ที่พัฒนาการไปไกลกว่าท่อนไม้

“ตกลง ข้าแต่งกับเจ้า”จื่อฟางตอบออกมาในที่สุด ใจเต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้ สีหน้าอย่างคนที่คิดไตร่ตรองมาดีแล้ว เขารู้ดีว่าไป๋ผูอวี้เป็นพวกยึดมั่นคุณธรรมซื่อตรงแต่กลับเลือกแต่งงานในตอนนี้ ทั้งที่ผิดหลักพิธีการมากมาย แสดงว่าไป๋ผูอวี้คาดเดาว่าการก่อกบฏจะร้ายแรงสินะ หรือเพราะฮ่องเต้กัน

“ข้าขออภัย พิธีแต่งงานของข้ากับเจ้าไม่ได้ถูกต้องตามหลักหกพิธีการ มีเพียงพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน เข้าห้องหอเท่านั้น”ชายหนุ่มกล่าวด้วยรู้สึกผิด จื่อฟางส่ายศีรษะอย่างไม่คิดมากเพราะไม่ใช่คนยุคนี้ สำหรับเขาแต่งหรือไม่แต่งก็มีค่าเท่ากัน ในบางยุคสมัยที่บ้านเมืองวุ่นวายก็ไม่ได้ทำตามพิธีการอย่างเคร่งครัดด้วยซ้ำ

“ก็แค่แต่งงานไม่ใช่หรือ เรื่องอื่นช่างมันก่อนเถอะ”พูดถึงห้องหอ เด็กหนุ่มนึกถึงเมื่อตอนที่เดินสำรวจบ้านแห่งนี้นึกถึงห้องนอนที่บานประตูเปิดไม่ออก หรือว่า...คนผู้นี้คิดไว้แต่แรกแล้ว

“ไป๋ผูอวี้ เจ้าแน่ใจนะว่าอยากแต่งกับข้าจริง ๆ ยังมีหลายเรื่องที่เจ้ายังไม่ล่วงรู้ อีกทั้งข้าทำอาหารไม่อร่อย...”จื่อฟางเอ่ยอย่างว้าวุ่น

“ข้าแน่ใจ เรื่องพวกนี้ข้าอยากเรียนรู้ไปพร้อม ๆกับเจ้า อย่าเพิ่งคิดมากเลย ฟางเอ๋อร์”จื่อฟางพยักหน้าเหมือนคนต้องมนต์บางทีอาจเป็นเช่นนั้น นี่เขากำลังจะแต่งงานจริงๆหรือเนี่ย

“คุณชายเปลี่ยนชุดเถอะขอรับ”จางต้าก้าวออกมาจากหลังประตูเมื่อคาดเดาว่าการพูดคุยจบลงด้วยดี ไม่ได้ยินเสียงโวยวายจากคุณชายแม้แต่น้อย และคุณชายก็ไม่ได้ถูกบังคับอย่างที่หยางชวีคาดเดาด้วย แม้ว่าจางต้าจะไม่เห็นด้วยกับพิธีแต่งงานที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย แต่เมื่อคิดว่าคนทั้งสองเป็นบุรุษหากแต่งงานอย่างโจ้งแจ้งก็คงถูกบิดาของทั้งสองสกุลแย้งแน่อยู่แล้ว บางทีนี่อาจจะดีที่สุดก็เป็นได้ จางต้าไม่ต้องการเห็นคุณชายที่โดดเดี่ยวอีกแม้ยังมีเรื่องที่ต้องคิดอีกมากแต่หากคุณชายมีความสุขเขาก็ยินยอม หยางชวีก้าวมาโผล่ข้างกายด้วยใบหน้าดำคล้ำ เดาได้อย่างเดียวว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ 

“คุณชายเสิ่น หากท่านไม่ต้องการ….”

“ข้าเต็มใจ”จื่อฟางตอบสั้น ๆแต่ชัดเจน ทำให้ผู้ติดตามชะงัก สีหน้าซับซ้อนเผยออกมา

“แต่หากท่านทำเช่นนี้เป็นการผิดธรรมเนียมนะขอรับ นายท่านเสิ่นยังไม่ได้อนุญาต หากท่านรู้เข้าจะว่าอย่างไร คุณชายลืมไปแล้วหรือว่ามีหน้าที่ต้องสืบทอดสกุลเสิ่น”หยางชวีกล่าวเสียงนิ่ง ความรู้สึกตีกันวุ่นวาย เจ้าคนแซ่ไป๋สมองกลับไปแล้วรึ

“อีกอย่างไป๋ผูอวี้ มีฐานะเทียบคุณชายไม่ได้….”ขาดหกพิธีการยังเรียกว่าพิธีแต่งงานได้อีกหรือ

“ข้าไม่ได้มีฐานะใดทั้งนั้น ข้าเป็นคนธรรมดาสามัญ ถ้าเทียบกันจริง ๆ แล้วบอกตามตรงข้าต่างหากที่ฐานะเทียบไป๋ผูอวี้ไม่ได้”จื่อฟางเอ่ยเสียงเบา แม้จางต้าจะไม่ได้ยืนอยู่ใกล้นักแต่ก็ยังได้ยิน เมื่อครู่คุณชายว่าอย่างไรนะ?ฐานะเทียบลูกพ่อค้าอย่างไป๋ผูอวี้ไม่ได้อย่างไร หยางชวีจ้องมองคุณชายรูปงามนิ่งงัน ‘หมายความว่าอย่างไร คนผู้นี้ กำลังบอกใบ้กับข้ารึ’

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นความรับผิดชอบของท่าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าคุณชายคือบุตรคนโตของสกุลเสิ่น ท่านร่ำเรียนหนังสือก็น่าจะรู้ความ ท่านขงจื๊อกล่าวไว้บุตรที่ดีย่อมกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา…แต่งงานกับผู้ที่สมควรมีบุตรสืบทอด”

“หยางชวี หากเจ้าจะสั่งสอนข้าก็กลับไปเสีย ข้าไม่ต้องการ เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของข้า หากเจ้าอยากขัดขวางก็เอาเถิด เจ้าจะทำลายความสุขเดียวของข้าก็เชิญเลย ข้าอนุญาตให้เจ้านำความไปบอกท่านพ่อ”เด็กหนุ่มรู้ดีว่ากล่าวเช่นนี้เป็นการบีบคั้นหยางชวีเกินไป คนผู้นี้ต้องการทำหน้าที่ผู้ติดตามที่ดีเท่านั้นและที่อีกฝ่ายพูดมาก็ถูก หากยึดตามยุคนี้ เขาเป็นฝ่ายผิดข้อหาอกตัญญูต่อบิดาเต็มๆ 

“คุณชาย...ท่านทำแบบนี้ข้าลำบากใจนัก”หยางชวีกล่าวเสียงอ่อน ได้แต่ตวัดสายตาไปทางไป๋ผูอวี้ เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้ชอบเข้ามาแทรกแซงความคิดของคุณชายเสิ่น

“หยางชวี ข้ารู้ดีว่าเจ้าหวังดีต่อเสิ่นจิ้งเฟย ถูกอย่างที่เจ้าว่า ข้าเป็นบัณฑิตควรรู้ว่าสิ่งที่กระทำอยู่นั้นผิดต่อขนบธรรมเนียม การตัดสินใจครั้งนี้วู่วาม แต่ข้าไม่อยากรอช้าไปกว่านี้ ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ แต่อย่าขัดขวางเราได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงนุ่ม เขาชื่นชอบหยางชวีและรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ถึงแม้เจ้าตัวจะยังคงไม่เข้าใจก็ตาม

ขัดขวาง? หยางชวีย่นคิ้ว แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องบ้าบอพวกนี้แต่ชายหนุ่มไม่อยากทำลายความสุขของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายว่าเป็นความสุขเดียวอย่างนั้นหรือ วันเวลาในจวนสกุลเสิ่นคงเป็นฝันร้ายของคนผู้นี้ แม้หยางชวีจะเข้าใจแต่ก็ไม่อยากยอมรับ

“หากนี่เป็นความต้องการและเป็นความสุขของคุณชายเสิ่น...ข้าน้อยไม่คิดขัดขวาง”หยางชวีกัดฟันตอบก้มหน้าต่ำ ไม่อยากเปิดเผยสีหน้าให้ผู้ใดเห็น ข้าเคยบอกท่านว่ามิใช่คนยากหยั่งถึง แต่จะเปิดให้หยั่งหรือไม่ก็อีกเรื่อง ท่านคงเข้าใจแล้วกระมัง

จื่อฟางหายใจไม่ทั่วท้องแม้ผู้ติดตามจะก้มหน้า แต่เขาก็ยังทันมองเห็นอยู่ดี

“อะแฮ่ม คุณชายเสิ่น หากท่านพร้อมก็ตามข้ามา ข้าจัดเตรียมชุดไว้ให้ท่านที่ห้องปีกซ้ายแล้ว คุณชายไป๋เองก็รีบเปลี่ยนชุดเถิดเจ้าค่ะ”การปรากฏกายของซูเหลียนฮวาคล้ายกับช่วยชีวิตเขา เด็กหนุ่มมองหยางชวีอีกครั้งก่อนเดินจากมา ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ที่ทิ้งคนหน้าตายไว้กับไป๋ผูอวี้ จางต้ารีบก้าวตามมาติด ๆ ภายในห้องปีกซ้ายแขวนโคมไว้สองดวง กระจกบานหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะแต่งตัว ชุดสีแดงปักลวดลายสีทองสะดุดตาวางพาดอยู่กับเก้าอี้ เด็กหนุ่มใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เทียบกับเพื่อนในชั้นเรียนเขาคงเป็นคนแรกที่ได้แต่งงานก่อน! อา ว่าแล้วก็คิดถึงพ่อกับแม่จริง ๆ สองคนนั่นจะทำสีหน้าอย่างไรนะ

“จุ๊ๆ เจ้าคนหน้าตายนั่น….”ซูเหลียนฮวาพึมพำก่อนถอนหายใจ คิดว่าต่อให้เสิ่นจิ้งเฟยแต่งงานมีบุตรกับคุณหนูสกุลใหญ่ก็ไม่มีทางรู้ความรู้สึกของตัวเองกระมัง ศิษย์พี่หานตงอะไรนั่นนอกจากสอนวรยุทธแล้วไม่ได้สอนเรื่องอื่นเลยหรือไร

“เขาไม่เป็นไรแน่หรือ”จื่อฟางเอ่ยถามเมื่อนึกถึงผู้ติดตาม เขาไม่เคยเห็นหยางชวีแสดงสีหน้าเช่นนั้นมาก่อน คล้ายกับความหมองเศร้าของคนที่ถูกสะบั้นรัก แม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้กระมังว่าทำสีหน้าแบบใดออกมา หยางชวีถ้าหากว่านี่คือนิยายฮาเร็มล่ะก็ข้าคงรับเจ้ามาไว้ในอ้อมอกอีกคนโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวนใจแล้ว

“คุณชายเสิ่นไม่ต้องห่วง หยางชวีก็เหมือนเด็กไม่รู้ความ เจ้าคนโง่นั่นอาจจะเงียบไปบ้าง แต่อีกไม่นานก็จะดีขึ้นเอง”นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มจาง

“ข้าก็คิดเช่นนั้น คุณชายไม่ต้องห่วงเจ้าคนหน้าตายนั่นไปหรอก มา ข้าจะช่วยท่านแต่งตัว”จางต้าเอ่ย ซูเหลียนฮวาจึงถอยออกไปนอกฉากกั้น เอาล่ะ นี่คือพิธีแต่งงานของเขา จะคิดมากเรื่องผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด แค่คืนนี้ที่เขาจะคิดเรื่องตัวเองเท่านั้น จางต้าดันร่างของจื่อฟางไปที่หน้าโต๊ะ บ่าวรับใช้ช่วยเขาสวมชุดแต่งงานสีแดงโดยไม่เอ่ยสิ่งใด เขามองลวดลายหงส์ที่ปักอย่างเรียบง่ายแต่หรูหราสะท้อนอยู่ในกระจกขับผิวขาวของเสิ่นจิ้งเฟยให้เด่นชัดราวไข่มุก เด็กหนุมไม่ได้ใช้ผ้าคลุมหน้าเพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิง เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ ซูเหลียนฮวาก็เข้ามาหวีสางผมให้ นางอมยิ้มเล็กน้อยสีหน้าเหมือนกำลังสางผมให้น้องสาวอย่างไรอย่างนั้น เขากลอกตามอง

“เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขนัก”เขาห้ามใจไม่ไหวเอ่ยถามออกไประหว่างที่นางใช้ผ้าเกล้ามัดผมให้ที่กลางศีรษะ 

“ท่านคงจำเรื่องลูกไหนได้ คุณชายไป๋พูดจากลับกลอกยิ่งนัก เขาบอกว่าไม่อยากกินลูกไหนแต่สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่”นางมารหมื่นพิษกล่าวพร้อมหัวเราะไปด้วย จื่อฟางนึกย้อนไปถึงคราวนั้นก็ยิ้มออกมา ซูเหลียนฮวาอารมณ์ดียิ่งนัก คุณชายของนางตัดสินใจถูกแล้วหากไม่แต่งยามนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำเพราะอย่างไรทั้งสกุลเสิ่นและสกุลไป๋ก็ไม่มีทางให้บุตรชายร่วมเตียงเคียงหมอนกันแน่ โดยเฉพาะนายท่านไป๋  แค่รู้เรื่องที่คุณชายเข้าร่วมกับราชสำนักนายท่านก็โกรธจนไม่พูดไม่จา หากรู้ว่าที่คุณชายทำไปส่วนหนึ่งก็เพื่อคุณชายรูปงามท่านนี้ล่ะก็คงได้เป็นลมหงายตึง

“เรื่องนี้ไป๋ผูอวี้คิดนานหรือไม่ เขาคงไม่อยู่ ๆก็นึกอยากแต่งงานกับข้าหรอกกระมัง”เขาเอ่ยถามระหว่างที่มองเงาสะท้อนของเสิ่นจิ้งเฟยในกระจก คนผู้นี้งดงามนัก แม้จะเกลียดคำว่างดงามแต่ก็ต้องยอมรับ เด็ดหนุ่มพยายามนึกถึงใบหน้าของตัวเองแต่ก็นึกได้อย่างเลือนลาง ไม่อยากให้ตัวตนของเขาต้องหายไป

ซูเหลียนฮวานึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณชายเอ่ยถึงเมื่อครั้งที่ไปเมืองอี้โจว คราแรกที่ได้ฟังข้าคิดว่าคุณชายอ่านบทละครจากสกุลฟู่มากไปเสียอีก”นางยกยิ้มจัดแต่งเส้นผมของเขาจนแล้วเสร็จ จื่อฟางสำรวจความเรียบร้อยอีกเล็กน้อย จางต้ากวาดตามองคุณชายก็รู้สึกเหมือนอย่างร่ำไห้ ดูแลคุณชายเสิ่นมาตั้งแต่ยังเล็กยามนี้คุณชายกำลังจะแต่งงาน เป็นการแต่งงานที่ผิดธรรมเนียมเสียด้วย แต่สีหน้าและแววตาของคุณชายเป็นสิ่งที่ไม่โกหก จางต้าไม่คิดเอ่ยแย้ง หากเป็นความต้องการของคุณชาย   

กึก ๆ

“เร็ว ๆได้หรือไม่ อย่าให้คนแก่ต้องรอนาน”จื่อฟางสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเคาะไม้เท้าของใต้เท้าเฉิน ไม่ผิดแน่ เสียงเช่นนี้ต้องเป็นเฉินฉางเซียง

“ท่านอาจารย์!”เขารีบก้าวออกมาจากห้องทันที รอยยิ้มกว้างเต็มหน้าเมื่อก้าวออกไปพบกับใต้เท้าเฉินยืนอยู่สวมชุดสีแดงอันเป็นมงคล ห่างออกไปเป็นร่างสูงของไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มจ้องมองจนเสียกิริยา ชุดตัวยาวสีแดงบนร่างของชายอีกคนขับให้คนใส่หล่อเหลาขึ้นเป็นเท่าตัวแม้ว่าลวดลายที่ปักอยู่บนชุดจะเรียบง่ายแต่ก็งดงามเหมาะสมกับไป๋ผูอวี้ หยางชวีและคนอื่นกลับมารวมตัวที่ลานบ้านอีกครั้ง ต่างก็มองมาที่บ่าวสาวทั้งสองด้วยสายตาชื่นชม  คุณชายจ้าวจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยท่าทางสนใจจนจื่อฟางทำตัวไม่ถูก บริเวณลานบ้านจัดโต๊ะสำหรับพิธีคำนับฟ้าดินไว้อย่างเรียบง่าย เทียนสีแดงส่องประกายในความมืด

“เอาล่ะ ๆ เลิกมองหน้ากันได้แล้ว ไม่คิดจริง ๆว่าตาแก่เช่นข้าต้องมาทำเรื่องเช่นนี้ แต่จะว่าไปก็ตรงตามความต้องการของเสิ่นฉินอี้ เขาเคยพูดว่าอยากดองกับสกุลไป๋”ใต้เท้าเฉินกล่าวเบาๆ ด้วยดวงตาเป็นประกายน้ำวิบวับ แม้จะเป็นเพียงการเอ่ยล้อเล่นแต่ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะได้มาเป็นพยานแก่เด็กหัวรั้นทั้งสองคน มองเสิ่นจิ้งเฟยและไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาชื่นชม กระแอมกระไอเล็กน้อยเมื่อหลุดท่าทีออกไป

“ข้าจะเริ่มพิธีแล้ว”ตาแก่ถอนหายใจรู้สึกว่ามือเหี่ยวๆของตนชื้นเหงื่อ นี่เขาสนับสนุนให้เด็กพวกนี้มันทำเรื่องผิดธรรมเนียมหรอกรึ หากมีคนรู้เข้าคงถูกนินทาเป็นแน่

“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน”ใต้เท้าเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จื่อฟางใจเต้นกระหน่ำอยู่ในอก ครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานอีกทั้งกับไป๋ผูอวี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ร่างบางสบตากับชายหนุ่มข้างกายก่อนจะก้มตัวคาราวะดวงจันทร์ที่ส่องแสงเบื้องบน

“สอง คำนับบิดามารดา”ทั้งเขาและไป๋ผูอวี้หันไปคาราวะทางทิศที่เสิ่นมู่หยางและไป๋อู่เหยียนอยู่ ถอนหายใจน้อย ๆ เด็กหนุ่มนึกถึงหน้าพ่อกับแม่อยู่ในใจ

“สาม”ใต้เท้าเฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกระแอมกล่าวต่อ “สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน”จื่อฟางกับไป๋ผูอวี้หันหน้าเข้าหากัน เขาไม่กล้าสบสายตาอีกฝ่ายนักจำต้องเสมองติ่งหูของร่างตรงหน้าก่อนจะก้มคาราวะอีกฝ่าย การแต่งงานระหว่างเขากับไป๋ผูอวี้ไม่ได้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนมากนัก แต่เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะใจลอยไปถึงห้องหอเนื่องจากอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเริ่มเล่นงาน จางต้า เว่ยหลงและกุ้ยตานเริ่มดื่มสุราอย่างไม่รอช้า มีเพียงหยางชวีทียังคงทำสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนท้องผูก ใต้เท้าเฉินเคาะไม้เท้าเป็นจังหวะเริ่มเล่าเรื่องราวเก่าๆให้ผู้ใดก็ตามที่อยู่ใกล้ๆฟัง

“จื่อฟาง เจ้าคงไม่ลืมกระมัง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยกระซิบเมื่อถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องหอ ดวงตาสีดำเหมือนมีไฟสุม เด็กหนุ่มแค่นเสียงในลำคออยากฟาดสักหลายที  ประตูเรือนนอนมีอักษรซวงสี่(มงคลคู่)สีแดงติดอยู่ เมื่อบานประตูเปิดออก คุณชายจ้าวเป็นผู้ถือโคมไฟเข้าไปวางบนหัวเตียงด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“เดี๋ยวก่อน”จื่อฟางกางมือห้ามไป๋ผูอวี้ที่อยู่ข้างกาย เขาเคยได้ยินความเชื่อในพิธีแต่งงานไม่รู้ว่าในอดีตเหมือนกันหรือไม่แต่ก็คุ้มที่จะลอง

“มีอะไรหรือ”ชายหนุ่มอีกคนถาม เขาจึงกางแขนค้ำตรงประตูส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายก้มตัวลอดเข้าไป เป็นความเชื่อที่ว่าหากเจ้าสาวลอดแขนเจ้าบ่าวที่หน้าประตูห้องหอจะทำให้เจ้าสาวอยู่ในโอวาทเชื่อฟังสามี จื่อฟางไม่สนว่าใครเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่หากแต่งงานกันแล้วก็ต้องเชื่อฟังกัน!ไป๋ผูอวี้ทำสีหน้างุนงงแต่ก็ยอมลอดใต้แขนของเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องหอ ร่างบางจึงยิ้มกริ่มก้าวตามเข้าไป คุณชายจ้าวขยิบตาให้คู่แต่งงาน

“ข้ายินดีกับพวกเจ้าทั้งสองด้วย ร่วมกันให้สนุก”กล่าวจบก็หัวเราะรีบออกไปจากห้องพร้อมกับปิดประตูตามหลัง

เมื่อประตูหนาหนักปิดลงความเงียบก็คืบคลานเข้ามา จื่อฟางกวาดตามองอาหารบนโต๊ะที่มีคนจัดเตรียมไว้ให้ ล้วนเป็นอาหารมงคลสำหรับพิธีแต่งงานสิบอย่าง นอกจากสุรามงคลยังมียาบำรุงร้อนๆหนึ่งถ้วยใหญ่ รู้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือของจางต้าแน่  เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบนั่งลงที่เก้าอี้ เขาหิวจะตายอยู่แล้วตั้งแต่ไปรับไป๋ผูอวี้ที่หน้าประตูเมืองก็มิได้หยุดพัก ยังไม่มีข้าวตกถึงท้องสักก้อน เมื่อเห็นอาหารหลากหลายตรงหน้าจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจอีกคนในห้อง ชายหนุ่มนั่งลงข้างกายไม่ได้แตะอาหารเพียงแค่มองดูอีกฝ่ายคีบผัดหมี่เข้าปากคำโต ไป๋ผูอวี้จึงหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลาใส่ถ้วยให้อีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ ยกยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นคุณชายร่างบางไม่ได้รักษามารยาทอย่างที่เคย 

“เจ้าไม่หิวเหรอ”จื่อฟางชวนคุยหลังจากที่รู้สึกว่ากินรองท้องพอแล้วจึงยกยาสมุนไพรมาดื่ม ตามด้วยตักขนมหวานล้างปาก 

“อีกเดี๋ยวข้าก็ได้กินแล้ว”เขาเอ่ยพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์


ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
“เจ้า…”เด็กหนุ่มเม้มปาก เจ้าท่อนไม้ไป๋กล้าดีอีกแล้ว จื่อฟางเปลี่ยนมายิ้มอย่างรักษาท่าที “ข้าจะป้อนขนมอี้ให้”กล่าวจบก็ลุกจากที่นั่งหยิบถ้วยขนมอี้เดินไปนั่งบนตักของชายหนุ่ม ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึงแต่ก็กลับคืนสู่ท่าทีได้อย่างรวดเร็ว ร่างบางที่นั่งอยู่บนตักยื่นช้อนที่ตักขนมคำเล็ก ๆจ่อที่ริมฝีปากพร้อมเอ่ยเสียงหวาน

“สามี อ้าปากสิ”จื่อฟางแสร้งเอ่ยหยอก ยกช้อนจ่อปากอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงเอาแต่จ้องมองตน ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มจาง ไม่รู้ว่าอยากกินสิ่งใดมากกว่ากัน ชายหนุ่มไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของคุณชายรูปงามแม้แต่เสี้ยววิทำให้มือของจื่อฟางสั่นน้อยๆก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะอ้าปากกลืนขนมที่อีกร่างป้อนให้ ร่างบางเอี้ยวตัวหยิบจอกสุราส่งให้ชายหนุ่มก่อนร่วมดื่มสุรามงคลเงียบ ๆ ฝามือใหญ่ของเขาวางแหมะอยู่ที่รอบเอวเล็ก ลูบไล้ขึ้นลงเบา ๆจนทำให้อีกร่างรู้สึกจั้กจี้ จื่อฟางเห็นว่าบนโต๊ะยังมีไหสุราจึงเทใส่จนเต็มจอก  ยกดื่มเป็นจอกที่สองอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมึนเมา คืนนี้เขาไม่จำเป็นต้องยับยั้งอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

“ข้าไม่อยากให้เจ้าเมา”เสียงกระซิบของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ข้างหู ก่อนที่จมูกได้รูปจะกดสูดดมกลิ่นหอมอ่อนจากซอกคอของร่างบาง เด็กหนุ่มย่นคอ แต่ริมฝีปากอุ่นนั้นไม่ลดละกลับขบเม้มพรมจูบไปจนถึงกกหูก่อนอ้าปากงับเบาๆ อีกมือวางอยู่ที่ต้นขา ความร้อนจากฝามือนั้นแผ่ซึมผ่านผ้าแพร 

“ข้าไม่เมาหรอก”จื่อฟางเอ่ยอย่างดื้อดึง วางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนักจนได้ยินเสียงเพล้งดังตามมา เขาพยายามแกะเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกอย่างยากลำบาก เสื้อผ้ายุคนี้ยุ่งยากเสียจริง ไป๋ผูอวี้หัวเราะขบขัน

“เจ้าใจร้อนนัก”

“ข้าจะแสดงตัวตนให้เจ้าดูอย่างไร”จื่อฟางดูดเม้มปากที่ยังมีรสชาติสุราฟุ้งกระจาย ชายหนุ่มอีกคนจ้องมองเขา เอื้อมมือไปที่โต๊ะอาหารด้านหลังหยิบไหสุรามากระดกอึกใหญ่ เด็กหนุ่มจ้องมองลูกกระเดือกของร่างนั้นขยับขึ้นลงจึงใช้มือลูบไล้ ไป๋ผูอวี้วางไหสุรา โน้มใบหน้ามาใกล้ มือหนาคว้าปลายคางของเขาก่อนประทับจูบ มือข้างนั้นบีบกรามเขาเบา ๆเพื่อให้เปิดปากออกรับสุรากลิ่นหอมจากอีกฝ่าย จื่อฟางหายใจสะดุด รับรู้ว่าสุราไหลออกจากมุมปากระหว่างที่ริมฝีปากอุ่นร้อนของอีกฝ่ายจูบเร่งร้อนแนบชิดมากขึ้น รสสุรากระจายฟุ้งหอมอวลอยู่ในปาก ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างจับลำคอก่อนบดเบียดริมฝีปากหนาเข้าใกล้ดูดเม้มจนเจ็บแสบ กระทั่งจื่อฟางยอมให้เรียวลิ้นซุกซนของอีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาอย่างจาบจ้วง มืออีกข้างที่ลูบเอวอยู่เปลี่ยนมาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังบาง

เด็กหนุ่มผละออกมาหายใจ ลากปลายนิ้วมือไปตามสันกรามของอีกฝ่าย สัมผัสราวขนนกทำให้ไป๋ผูอวี้ร้อนผ่าวไปทั้งร่าง อารมณ์รุนแรงคุกรุ่นแต่ก็ไม่อยากเร่งร้อน คืนนี้เขามีเวลาทรมานอีกฝ่ายทั้งคืน  เมื่อริมฝีปากของทั้งสองผละออก ต่างก็ใช้เวลาแกะดึงเสื้อผ้าท่อนบน ใช้เวลาไม่นานทั้งสองร่างก็เปล่าเปลือย จื่อฟางกวาดตามองแผ่นอกกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอีกฝ่าย สีผิวที่เข้มขึ้นยิ่งทำให้รู้สึกว่าน่าขบกัด เขาทำตามอย่างที่คิดโน้มตัวไปประทับจูบตามกล้ามเนื้อแกร่ง ปลายลิ้นเลื่อนหยอกล้อยอดอกของร่างนั้น ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงต่ำเบา ๆในลำคอ สองมือแกร่งเลื่อนมาขยำบั้นท้ายเบา ๆ เด็กหนุ่มส่งเสียงในลำคอระหว่างที่จูบย้ำอยู่ที่ลาดไหล่ ฝามือนุ่มลูบไปตามแผ่นอกกำยำเลื่อนต่ำลงไปที่ท้องน้อย ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจดึงมือของอีกคนออกจากจุดอันตราย ริมฝีปากของจื่อฟางประทับจูบเบาๆที่ซอกคอ มุมปากฉีกเป็นรอยยิ้ม

จื่อฟางเบียดร่างกายเข้าหาเนื้อตัวท่อนบนเปล่าเปลือยสัมผัสกันและกันแนบชิดจนอารมณ์พลุ่งพล่าน รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของบุรุษที่เขานั่งกดทับอยู่ เด็กหนุ่มนึกอัศจรรย์ใจว่าคนผู้นี้ควบคุมตัวเองได้ดีเกินไปแล้ว ยังทรงตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไร้พนักในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงอยู่ในลำคออีกครั้งมือแกร่งลูบคลำบริเวณบั้นท้ายของเขา ส่วนริมฝีปากพรมจูบไปทั่วลำคอขาว จื่อฟางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนขยับตัวเลื่อนลงมาจากตักของอีกฝ่าย ร่างนั้นย่นคิ้วคล้ายกับไม่พอใจกับช่องว่างที่เกิดขึ้น ฝามือหนากระตุกผ้าเกล้าผมของร่างบางออก เส้นผมสีดำราวม่านราตรีหล่นสยายมาถึงกลางหลัง จื่อฟางสบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตางดงามมีประกายเร่าร้อนจากเพลิงอารมณ์ที่รุกโหม มือเล็กยื่นมากระตุกเชือกมัดกางเกงออก ก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้ใช้ริมฝีปากสัมผัสความแข็งแกร่งผ่านผ้าแพรนุ่ม ไป๋ผูอวี้ปล่อยเสียงครางออกมาอย่างระงับไม่อยู่ ขยุ้มเกี่ยวเส้นผมนุ่มลื่นของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

กลิ่นกายบุรุษทำให้จื่อฟางใจเต้นแรง เหลือบตามองชายอีกคนที่ก้มมองเขาด้วยดวงตาสีดำเข้มที่เต็มไปด้วยความปราถนา เด็กหนุ่มไม่คิดแกล้งอีกจึงดึงกางเกงของอีกฝ่ายลงจนความเป็นบุรุษอันแข็งแกร่งปรากฏให้เห็น ฝามืออ่อนนุ่มกอบกุมความใหญ่โตไว้ เริ่มขยับมือขึ้นลงช้า ๆ ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกหนึ่งของอีกร่าง

“ฟางเอ๋อร์...”ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงเรียกผ่านฟันที่ขบแน่นอย่างอดกลั้น หากอีกฝ่ายยังคงหยอกล้อเขาอยู่เช่นนี้ ชายหนุ่มคิดว่าอีกไม่นานเส้นความอดทนคงได้ขาดสะบั้น เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ยังคงรักษาท่วงท่าทีสุขุม จื่อฟางมองเห็นประกายอันตรายในแววตาอีกฝ่ายจึงไม่อยากเสี่ยงแกล้งอีก รีบก้มใช้ริมฝีปากแตะกับความใหญ่โตนั้น เรียวลิ้นลากสัมผัสทุกสัดส่วน ไป๋ผูอวี้ขยับตัวจนเสียงเก้าอี้ลากครูดดังอยู่ในห้อง มือหยาบเลื่อนมานวดคลึงติ่งหูของเขาเบา ๆ ระหว่างที่หอบครางในลำคอ จื่อฟางผ่อนลมหายใจ ค่อยๆอ้าปากดูดกลืนส่วนนั้นช้าๆ ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงออกมาอย่างทนไม่ไหว ริมฝีปากอ่อนนุ่มครอบส่วนนั้นจนเขาแทบหลอมละลาย ก้มมองร่างบางที่ทรมานตนอยู่ด้วยดวงตาล้ำลึก มองริมฝีปากแดงเรื่อที่เลื่อนขยับขึ้นลงตามความเป็นชายของตน ภาพนั้นมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว เส้นความอดทนขาดผึง อารมณ์ปั่นป่วนในท้องน้อยเพิ่มขึ้น เขาจับต้นคอของอีกฝ่ายจากนั้นเป็นผู้ควบคุมจังหวะเอง ร่างบางส่งเสียงครางเบาๆอยู่ในลำคอ มือเล็กจับต้นขาของเขาไว้ ลมหายใจขาดห้วง ใบหน้าขาวๆแดงก่ำ ชายหนุ่มหอบครางรู้สึกเหมือนแทบระเบิดแต่ก็อดกลั้นไว้ เขาต้องการลิ้มรส ต้องการให้สัมผัสนี้อยู่นานอีกหน่อย

จื่อฟางพยายามสุดความสามารถ แม้จะเริ่มรู้สึกเมื่อยจากความคับแน่นแต่ก็ค่อยๆขยับศีรษะเป็นจังหวะ อาการมวนท้องเริ่มทำให้เขาเร่งจังหวะ นึกอยากให้เจ้าท่อนไม้พอใจเร็ว ๆจึงแกล้งส่งเสียงครางเบาๆ เป็นการกระตุ้นอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ลูบมือหยาบกร้านตามลำคอของเขาก่อนจะยกบั้นเอวสวนเข้ามาจนเด็กหนุ่มส่งเสียงขลุกขลัก กระทำเช่นนี้อีกไม่กี่ครั้งก็รับรู้ว่าความแข็งแกร่งของชายหนุ่มร้อนผ่าว ร่างบางรีบผละริมฝีปากออกมาก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะปลดปล่อยธารอารมณ์ แต่ก็ไม่ทันของเหลวที่อีกฝ่ายปลดปล่อยเปรอะเปื้อนตามแผ่นอกและใบหน้าของเขา จื่อฟางอยากกรีดร้อง รีบเอาใบหน้าถูไถกับท่อนขาอีกคน นั่งพักให้ลมหายใจคงที่ หน้าผากแนบอิงอยู่กับท่อนขาของไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มไม่รอให้เขาได้ตั้งตัวก็ฉุดดึงร่างให้มานั่งคร่อมทับบนตักอีกครั้ง ริมฝีปากหนาพุ่งเข้ามาประกบจูบบนเรียวปากเล็กของจื่อฟางอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ เด็กหนุ่มลูบไล้ฝามือไปตามหน้าอกแกร่ง ส่วนนั้นของชายหนุ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะแรงอารมณ์หรือฤทธิ์สุราที่มีสิ่งอื่นปนมาด้วย ไป๋ผูอวี้รู้ว่าซูเหลียนฮวาเป็นคนจัดเตรียมสุรามงคลและนางก็ไม่มีทางนำสุราธรรมดามาใช้ในงานแต่งของตนแน่

“ไป๋ผูอวี้ ใจเย็นๆ”จื่อฟางพึมพำ ใช้มือดันหน้าอกอีกคน เมื่อฝ่ายนั้นพยายามสอดใส่ความแข็งแกร่งเข้ามาบริเวณช่องทางคับแคบ

“อย่าเพิ่งสิ”เขาน้ำตาแทบไหล หมอนี่จะอดทนไม่ได้หรือไร ทำเขาปวดเมื่อยกรามไม่พอยังจะดันทุรังทำเช่นนี้อีก

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบแห้งยิ่งทำให้เขาใจเต้นกระหน่ำ กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ “รออีกนิด”เด็กหนุ่มยื่นหน้าขบกัดริมฝีปากล่างของอีกฝ่าย ปลายลิ้นเกี่ยวพันกันชั่วครู่ก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะเลื่อนริมฝีปากซุกไซร้ลำคอขาวเป็นรอยช้ำอย่างไม่เบามือ ไป๋ผูอวี้เจ้ามันเป็นปีศาจร้ายจริง ๆ

เด็กหนุ่มอมนิ้วมือในปาก ยกบั้นท้ายเล็กน้อยก่อนจะใช้นิ้วมือทำให้คุ้นชิ้น ส่งเสียงร้องตะโกนเบาๆเมื่อไป๋ผูอวี้ใช้มือหนายกขาเขาข้างหนึ่ง ทำให้เขาต้องใช้ขาอีกข้างทรงตัวจับบ่าของอีกฝ่ายไว้เพื่อกันล้ม นิ้วมือของชายหนุ่มสอดเพิ่มเข้ามาด้วย จื่อฟางเม้มริมฝีปาก บิดเอวเมื่อนิ้วมือนั้นคว้านเข้ามาจนลึกก่อนเริ่มขยับเข้าออก ไป๋ผูอวี้กวาดสายตามองร่างตรงหน้าที่คล้ายกับถูกเขาย่ำยีจนแดงก่ำไปทั้งตัว จื่อฟางสบตากับอีกคนระหว่างที่ร่างนั้นสอดนิ้วมือเข้าออก ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มมุมปากยื่นอีกมือมาสัมผัสกอบกุมส่วนกลางลำตัวของร่างบาง เมื่อถูกฝามือหยาบกระตุ้น ท้องน้อยยิ่งบีบรัด จื่อฟางครางเบาๆ ขาสั่นจนต้องเอนพิงชายหนุ่ม ไป๋ผูอวี้ปล่อยท่อนขาเรียวของร่างบางลง ก่อนเปลี่ยนมาโอบกอดหลวม ๆ เมื่อคิดว่าเด็กหนุ่มสามารถรองรับความแข็งแกร่งของตนได้ก็ค่อยดันส่วนนั้นเข้าไปที่ช่องทางช้า ๆ นวดคลึงบั้นท้ายของร่างนั้นไปด้วยก่อนจะออกแรงกระทั้นเอว

“อา”จื่อฟางซุกหน้ากับลาดไหล่แกร่ง เมื่อปรับลมหายใจจนเข้าที่ บทรักก็เริ่มขึ้น เขาใช้สองมือเกาะบ่าร่างใหญ่ก่อนจะขยับเอว ภายในห้องหอมีเพียงเสียงหอบคราง เสียงขาเก้าอี้ครูดกระแทกพื้นและเสียงน่าอายของผิวกายยามกระทบกัน  เด็กหนุ่มออกแรงเกร็งร่างโยกเอวสอดรับจังหวะของชายอีกคน ส่งเสียงครางเครือ รู้สึกว่าร่างกายเริ่มรับไม่ไหวจึงผ่อนแรงลง ไป๋ผูอวี้จึงยกร่างบางไปที่เตียงวิวาห์ วางร่างนั้นลงอย่างเบามือ

“ฟางเอ๋อร์ ข้าเป็นสามีเจ้าแล้ว”ชายหนุ่มกระซิบ พรมจูบลงบนไหล่มน จื่อฟางได้แต่เอียงหน้าไปอีกทางเพราะเรียวลิ้นลากเลียมาที่ลำคอก่อนจะขบจูบเบา ๆ เขายกท่อนขาโอบเอวแกร่ง ไป๋ผูอวี้โถมตัวมาหา เคลื่อนกายเข้าออกตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่น อาการบิดมวนในท้องน้อยเริ่มก่อตัวบีบเค้นให้เร่งจังหวะ ชายหนุ่มกระทั้นกายจนกระทั่งคนใต้ร่างเริ่มบิดร่างขยับเอวโต้ตอบ จื่อฟางเม้มปากปล่อยให้อีกฝ่ายคุมจังหวะ ท้องน้อยปั่นป่วนไปด้วยแรงอารมณ์ ชายหนุ่มเปลี่ยนท่วงท่ากดแทรกความแข็งแกร่งเข้ามาจนสุด เสียงครางต่ำดังอยู่ในลำคอ ผิวกายกระทบกันอย่างน่าอาย ร่างบางร้องครางอย่างกลั้นไม่ไหวเมื่อร่างกำยำขยับเข้าออกรวดเร็วกว่าจังหวะก่อนหน้า

    “ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางขยำเส้นผมอีกฝ่ายกระตุกเป็นเชิงบอกว่าอีกไม่นานก็จะถึงสรวงสววรค์ ไป๋ผูอวี้จึงเลื่อนฝามือกอบกุมส่วนกลางลำตัวของอีกร่างกระตุกเป็นจังหวะ เด็กหนุ่มใต้ร่างโอบกอดร่างด้านบนแนบแน่นระหว่างที่อารมณ์ไต่ถึงจุดสูงสุด ฝังหน้าลงกับลำคอหนา หอบหายใจ เมื่อธารอารมณ์พลั่งพรูออกมา จื่อฟางถูกอีกฝ่ายทรมานเกือบทั้งคืน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปเพราะความเหนื่อยล้าก็ตาม คุณชายรูปงามตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าไป๋ผูอวี้ยังคงตักตวงจากเรือนร่างของเขาไม่หยุด สติเริ่มจับเป็นรูปร่าง รับรู้ว่าช่องทางยังคงคับแน่นไปด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มบิดเอวครางเบา ๆเมื่อถูกกระทั้นกายเข้ามาซ้ำๆ

“เจ้าฟื้นแล้ว”ไป๋ผูอวี้ชะโงกหน้ามาหา ก้มประทับจูบที่แก้มขาว ร่างบางหรี่ตามอง

“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ”เขาถามเสียงเครือ คนด้านหลังใช้ฝามือลูบไล้ที่ซอกขาด้านใน ก่อนจะจับท่อนขายกขึ้น ขยับสอดความแข็งแกร่งเข้าออก จื่อฟางกัดริมฝีปากซุกใบหน้ากับท่อนแขนอ่อนแรงของตัวเอง ไป๋ผูอวี้ปัดเส้นผมชื้นเหงื่อออกจากใบหน้าและลำคอขาว ประทับจูบไปทั่วใบหน้าของอีกคน เลื่อนมาที่ลำคอสองแขนแกร่งโอบรอบเอวก่อนจะเบียดกายจนลึกขยับเข้าออกกระทั่งร้อนผ่าววูบวาบไปทั้งร่าง สัมผัสใกล้ชิดยิ่งเรียกเสียงครางดังมาจากเด็กหนุ่ม กระทั้นความแข็งแกร่งเข้ามาในความคับแคบอีกไม่กี่หนไป๋ผูอวี้ก็ปลดปล่อยความต้องการจนแทบหมดแรง จื่อฟางลืมตารู้สึกราวกับว่าร่างกายเหือดแห้งจากการที่ปลดปล่อยมาไม่รู้กี่ครั้ง ชายหนุ่มด้านหลังยังคงกอดก่ายอยู่ไม่ห่าง เขาเอี้ยวตัวไปหา จุมพิตลงเบาๆที่ปลายคางของอีกฝ่าย

“ไป๋ผูอวี้ ยามที่ข้ามาอยู่ในโลกนี้ ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก ยามนี้มีเจ้ามาช่วยแบ่งเบาภาระหนักอึ้ง ข้าดีใจยิ่งที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”จื่อฟางเอ่ยเสียงแผ่วอย่างง่วงงุ่น

“ข้าดีใจที่ได้พบเจ้า”ชายหนุ่มโน้มตัวปิดริมฝีปากของอีกฝ่าย “นอนเถอะ”ค่ำคืนร่วมหอจึงผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อย

คนที่อยู่ด้านนอกใช้เวลาก่อกวนอยู่หน้าประตูได้ไม่นานก็เขินอายเสียจนพากันหนีไปร่ำสุรา จางต้าหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินเสียงคุณชายของเขาถูกเจ้าคนแซ่ไป๋ทรมานจนแทบขาดใจ หยางชวีได้แต่นั่งเหม่ออยู่นอกลานบ้านถือไหสุราข้างตัว จางต้าไม่ค่อยเข้าใจเจ้านั่นมากนัก คิดว่าคงเป็นห่วงคุณชายเสิ่นเช่นเดียวกับตน แต่คงเป็นความห่วงที่แตกต่างกัน เว่ยหลง กุ้ยตาน คุณชายจ้าวนั่งฟังเสียงดีดพิณของซูเหลียนฮวาด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มเหมือนคนเมากึ่งง่วงนอน ส่วนใต้เท้าเฉินพอเสร็จธุระก็ขอตัวกลับที่โรงเตี๊ยมบอกว่าไม่อยากข้องเกี่ยวอีกแต่ก็มอบทองจำนวนหนึ่งให้แก่เสิ่นจิ้งเฟยและไป๋ผูอวี้ จางต้ายกจอกสุราดื่มจนหมดเงยมองท้องฟ้ามืดเบื้องบน แสงจันทร์ทอแสงนวล เป็นค่ำคืนที่งดงามเงียบสงบในเรือนหลังเล็กแห่งนี้

……….

จื่อฟางได้สติอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็นของอีกวัน ไป๋ผูอวี้ยังคงอยู่ข้างกายไม่ห่าง เมื่อเห็นว่าเขาตื่นก็รีบนำถ้วยยาร้อน ๆมาป้อนดื่ม ร่างนั้นช่วยประคองเขาลุกนั่งรีบนำหมอนมารองแผ่นหลัง

“เวลาใดแล้ว”เขาเอ่ยถาม นวดขมับที่ปวดตุบๆ ร่างกายก็ปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะช่วงเอวและบริเวณต้นขา สงสัยออกแรงและเกร็งมากไป

“ยามซวี(19.00น - 20.59น.)”ไป๋ผูอวี้ตอบระหว่างที่รับถ้วยยาที่หมดแล้ววางลงที่โต๊ะข้างเตียง จื่อฟางรู้สึกแปลกๆกับการถูกปรนนิบัติพัดวี จึงไม่ได้สบสายตากับชายหนุ่มอีกคน

“เหตุใดไม่มองหน้าข้าเล่า ภรรยา”

“ข้า...ข้าไม่คุ้นชิน เจ้าทำตัวปกติไม่ได้รึ”เขาขึงตาใส่ให้กับสีหน้าหยอกล้อของอีกฝ่าย ร่างนั้นหัวเราะเบาๆ

“ข้าเป็นสามีเจ้าแล้ว กระทำเจ้าจนเป็นเช่นนี้ก็ต้องรับผิดชอบมิใช่หรือ”ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงนุ่ม ลูบเส้นผมดำขลับของอีกฝ่ายไปด้วย ร่างบางเอนเข้าหาสัมผัสของเขา

“ข้าอยากอาบน้ำ ต้องรีบกลับจวนสกุลเสิ่นข้าจากมานานแล้วเกรงว่าคนทางนั้นจะเป็นห่วง”จื่อฟางบอก แม้ว่าจะเสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับไป๋ผูอวี้อีก เขาปัดเส้นผมยาวสยายไปด้านหลังอย่างนึกรำคาญหากจบเรื่องวุ่นวายแล้วเขาไม่มีทางเก็บผมยาวๆไว้แน่ ไป๋ผูอวี้พยักหน้าเห็นด้วยเข้ามารวบร่างบางอุ้มในท่าหญิงสาว อ้อมแขนแกร่งโอบรอบให้ความรู้สึกว่าพึ่งพิงได้

“ให้ข้าช่วยเจ้าเถิด”ไป๋ผูอวี้ก้มมองคุณชายรูปงามในอ้อมแขน อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักเขาจึงพาร่างนั้นเดินอ้อมฉากกั้นพาไปที่อ่างน้ำอุ่นที่บ่าวรับใช้เพิ่งยกเข้ามาเมื่อสักครู่ยังคงอุ่นร้อน เขาวางเรือนร่างเปล่าเปลือยลงในน้ำอุ่น พับแขนเสื้อของตนขึ้น ระหว่างนั้นก็ใช้ไยบวบช่วยขัดถูแผ่นหลังขาวอย่างเบามือ

“เจ้าเจ็บปวดที่ใดหรือไม่”ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสุภาพไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเขินอาย

“ไม่เจ็บปวด ข้าสบายดี”จื่อฟางตอบ ร่างกายผ่อนคลายเมื่อรับรู้ว่านิ้วมือยาวของอีกคนเกลี่ยผิวบริเวณต้นคอของเขา เชื่อว่าที่ตรงนั้นมีรอยช้ำแดงจากการถูกขบกัด

“ตรงนี้เล่า?”

“ไม่เจ็บ”เขาพึมพำตอบ ริมฝีปากของอีกฝ่ายประทับจูบแผ่วเบาก่อนที่ร่างนั้นจะใช้ไยบวบขัดถูร่างให้เขาอย่างตั้งใจ ไม่ได้ทำการล่วงเกินใดอีก หลังจากที่อาบน้ำเสร็จชายหนุ่มก็ช่วยเขาสวมเสื้อผ้า เขาเลือกชุดสีน้ำเงินอมฟ้าปักลายกระเรียนคู่สง่างามเข้ากับชุดที่ไป๋ผูอวี้สวมใส่

ไป๋ผูอวี้ให้กุ้ยตานจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ชายหนุ่มไม่ชอบให้คนปรนนิบัติ มื้ออาหารจึงผ่านไปอย่างเรียบง่าย จางต้าทำอึ่งคี้ตุ๋นไก่ดำเพื่อจื่อฟางโดยเฉพาะเพื่อบำรุงร่างกาย หลังจากที่อิ่มท้อง เด็กหนุ่มออกมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกลานบ้านระหว่างที่ไป๋ผูอวี้ให้นางมารหมื่นพิษมาตรวจร่างกายของเขา ผ้าแพรสีแดงยังคงอยู่ กลิ่นสุราเหม็นคลุ้งอวลอยู่ในอากาศ ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนี้ดื่มหรืออาบสุรากันแน่ เขาไม่เจอจ้าวเซียวชิงแต่คนผู้นั้นมอบพัดหายากให้เขา จื่อฟางชอบมากแต่อยากใช้พัดของไป๋ผูอวี้จึงได้แต่เก็บไว้ในหีบอย่างเสียดาย

เขาอ้าปากหาวหวอด ๆกระพริบตามองซูเหลียนฮวาตรวจชีพจรและลมปราณให้ตนเองมาครู่หนึ่งแล้ว นางมีรอยยิ้มที่ไม่น่ามองนัก ส่วนไป๋ผูอวี้กำลังชงชาเหียนตงอยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย เขาปรายตามองนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็หน้าร้อน คนผู้นี้ปีศาจชัด ๆ! ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือ ตอนที่เปิดประตูห้องออกมาก็พบจางต้าเฝ้าอยู่หน้าประตูกอดไหสุราต่างหมอนทำเอาจื่อฟางคิดวุ่นวายว่าเจ้าบ่าวรับใช้ได้ยินเสียงที่พวกเขาสองคนทำหรือไม่ เด็กหนุ่มจ้องมองจนชายหนุ่มรู้ตัวเงยมองด้วยสายตาเปื้อนรอยยิ้ม เขารีบเบนสายตาไปทางอื่น พบว่าจางต้าและหยางชวีต่างก็จ้องมองมาที่เขากับไป๋ผูอวี้ตาไม่กระพริบ

“ว่าอย่างไรบ้าง”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม กระแอมกระไอเบา ๆ ไป๋ผูอวี้รินชาใส่จอกเลื่อนส่งมาให้ เขารับมาถือเป็นการอุ่นมือ

“คุณชายแข็งแรงขึ้นมาก ชีพจรคงที่ลมปราณก็ดีขึ้น แม้ต้องรับมือกับคุณชายของข้าจนเกือบรุ่งสางก็ยังไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี”นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาขึงตาใส่พยายามไม่ใส่ใจเว่ยหลงและกุ้ยตานที่กวาดลานบ้านอยู่ไม่ไกลนัก 

“เช่นนั้นก็ดี”เขาตอบเสียงเรียบ

“คุณชาย ข้าคิดว่าเราควรกลับจวนสกุลเสิ่นได้แล้วขอรับ”หยางชวีเอ่ยเตือนเมื่อได้จังหวะ ใบหน้าของผู้ติดตามไร้ความรู้สึก เขาพยักหน้าจิบชาเล็กน้อยก่อนหันมองไป๋ผูอวี้

“เจ้าไปเถิด ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกัน”
 
“อืม เช่นนั้น หากมีโอกาสค่อยเจอกัน ข้าไปล่ะ ”จื่อฟางรีบโน้มตัวไปจุมพิตที่แก้มของอีกคนแล้วเร่งรีบสืบเท้าจากมาโดยไม่หันมอง ได้ยินเสียงเว่ยหลงกระแอมกระไอ จื่อฟางบิดมือในแขนเสื้อไม่ได้มองหน้าบ่าวรับใช้ รีบก้าวเข้าไปในรถม้าที่จอดรออยู่ทันที จางต้ายกมือถูจมูก นั่งขดตัวอยู่ใกล้ๆหยางชวีที่ยังคงไม่เอ่ยวาจาออกความเห็นเรื่องการแต่งงาน แต่เขาก็เข้าใจหากเจ้าคนหน้าตายจะไม่เห็นด้วยแค่ไม่เอาไปบอกเสิ่นมู่หยางก็ถือว่าดีแล้ว รถม้าแล่นกลับจวนสกุลเสิ่นอย่างเร่งรีบ จื่อฟางใจลอยเมื่อคิดได้ว่าวันพรุ่งนี้คืองานคล้ายวันเกิดของหลิวอ๋อง ความกังวลบางอย่างก็เริ่มก่อตัว

“จางต้า ชุดใหม่ของข้าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง”เขาเอ่ยถามทำลายความเงียบ บ่าวคนสนิทรีบตอบรับทันที “เรียบร้อยแล้วขอรับ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ามองออกไปนอกบานหน้าต่าง กว่าจะถึงจวนสกุลเสิ่นก็กินเวลาพักหนึ่ง เขารีบลงจากรถม้า จางต้าจ่ายเงิน เขากับหยางชวีรีบสืบเท้าผ่านเข้าไปในประตูชั้นใน  เสิ่นมู่หยางนั่งดื่มชาอยู่ในสวนเมื่อรู้ว่าบุตรชายที่หายหน้าหายตาไปสองวันเต็มกลับมาก็รีบรุดออกมาเจอ เสิ่นจิ้งเฟยกำลังเดินกลับเรือนของตัวเองพอดี

“เฟยเอ๋อร์ เจ้าหายไปที่ใดมา”เสนาบดีเสิ่นถามอย่างเป็นกังวล สีหน้าเคลือบแคลงใจฉายชัด

“ข้าไปหาลู่เจียงที่นอกเมือง”จื่อฟางเอ่ยตอบอย่างไม่มีพิรุธใด เนื่องจากคิดคำตอบไว้แล้ว เสิ่นมู่หยางกวาดตามองร่างของเสิ่นจิ้งเฟยขึ้นลง มงดูจากสภาพที่ดูไม่ได้ของมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น

“ลู่เจียง?หญิงคณิกาจากหอผูเยว่น่ะหรือ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะชอบใจนางถึงเพียงนี้”เสิ่นมู่หยางพึมพำ มองบุตรชายก่อนถอนหายใจ “เจ้าเองก็ควรระวังตัวหน่อย ยามนี้สถานการณ์ในฉางอันไม่ค่อยสูดีนัก”

“ข้าทราบดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบ

เสิ่นมู่หยางแค่นเสียงในลำคอ เมื่อได้ยินคำตอบอวดดีจากร่างนั้น “วันรุ่งขึ้นที่วังหลิวอ๋อง ฝ่าบาทอย่างไรก็ได้รับเชิญแน่อยู่แล้วเจ้าก็อยู่ห่าง ๆพระองค์ไว้ล่ะ”เขากล่าวเตือน ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าชายงามเจาเฟิงจะมาด้วยหรือไม่ หากมาชายงามผู้นั้นคงผูกใจฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ บางทีบุตรชายของตนอาจเป็นอิสระ

“ขอบใจท่านพ่อที่เป็นห่วง ข้าจะอยู่ห่างๆฮ่องเต้”ไม่ต้องบอกจื่อฟางก็ทำเช่นนั้น แต่เขาอยากคุยกับเสิ่นจิ้งเฟย ไม่รู้ว่าจะสามารถหลบเลี่ยงได้หรือไม่

“ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน”พูดจบเขาก็รีบหมุนตัวจากมา เดินไปตามเฉลียงทางเดินเพื่อกลับไปที่เรือนของตน บ่าวรับใช้ยังคงทำงานกันอย่างขมักเขม้น บางคนก็นั่งจับกลุ่มนินทาแต่เมื่อเห็นคุณชายเสิ่นก็รีบแยกย้ายทันที

“หยางชวี เจ้าโกรธข้ารึ”เขาได้โอกาสเอ่ยถามระหว่างที่เข้ามาในห้องหนังสือ คืนนี้ว่าจะวาดรูป ออกปากบอกไป๋ผูอวี้ไว้แล้วว่าจะวาดภาพเปลือยของตนเองให้ดู ไม่ใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย เขาไม่ได้มองว่าเป็นภาพอนาจาร

“ข้าน้อยมิกล้า”ผู้ติดตามตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา จื่อฟางเงยหน้ามองจากโต๊ะเขียนหนังสือ ระหว่างที่คัดเลือกสีสังเคราะห์ในจานหมึก

“ข้าไม่ได้อยากรู้ว่าเจ้ากล้ารึไม่กล้า”

“ข้า...”หยางชวีมีสีหน้าลังเล “ข้าน้อยไม่รู้”

เด็กหนุ่มเดาะลิ้นเบา ๆ ท่าทางเจ้าคนหน้าตายจะสับสนมากทีเดียว เขาไม่ได้เอ่ยถามอีก ลงมือวาดรูปอย่างเงียบเชียบ ผู้ติดตามนั่งมองอยู่เงียบ ๆเมื่อเห็นว่าคุณชายเสิ่นวาดรูปใดก็กระแอมเสียงดัง ใบหน้าร้อนผ่าวแต่ยังคงปราศจากความรู้สึก

“คุณชาย...เหตุใดวาดรูปพวกนี้เล่า”เขาเอ่ยถาม เอียงศีรษะมองก็พบว่าคนในรูปคือชายในฝันที่คุณชายเคยเอ่ยถึง

“ข้าอยากวาด ทำไมรึ”

“เป็นภาพโป๊เปลือย ดูมิดีมิงาม”หยางชวีถอนหายใจ เรื่องเท่านี้ต้องให้บอกด้วยหรือ จื่อฟางเลิกคิ้วหัวเราะเบา ๆ ส่ายหน้าไปมาก่อนกลับไปสนใจวาดภาพต่อ ใช้เวลาหลายชั่วยามก็ยังไม่เสร็จ

“ข้าจะนอนที่ห้องหนังสือ”เด็กหนุ่มเอ่ยบอกกับบ่าวรับใช้ วางพู่กันลง บิดเนื้อบิดตัวไปมา รู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนักจึงรีบคลานกลับไปที่หลังฉากกั้น หยางชวีมองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาอ่อนใจแต่ก็มีรอยยิ้มขบขัน นึกถึงไป๋ผูอวี้ก็ได้แต่แค่นเสียงเย็นชา ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคุณชายถึงยอมทำเรื่องผิดขนมธรรมเนียมเช่นนี้ เรื่องบุรุษแต่งงานกันมิเท่าไหร่ แต่ลอบทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้มันถูกต้องหรือไร หากนายท่านเสิ่นมู่หยางสืบรู้เข้าจะเป็นอย่างไร ไป๋ผูอวี้คงถูกนายท่านเล่นงานเป็นแน่ แต่เจ้าคนแซ่ไป๋...เขานับถือความเด็ดเดี่ยวตั้งมั่นของคนผู้นั้น หากเป็นเขาให้เลือกระหว่างทำผิดกฎสกุลมาแต่งงานกับคุณชายเสิ่นเขาย่อมไม่ทำ แต่ไป๋ผูอวี้...นึกถึงถ้อยคำที่ได้ยินจากคฤหาสน์ก็ทำให้เขาได้แต่ส่ายศีรษะ เขายอมให้บิดากลับเมืองหลานโจวเพื่อแลกกับการเข้าร่วมราชสำนัก อีกทั้งเหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย  หยางชวีไม่เข้าใจจริง ๆ แต่เมื่อคิดดูแล้ว ตนเองก็ยอมละทิ้งเป้าหมายในการตอบแทนบุญคุณของนายท่านเสิ่นมารับใช้คุณชายผู้นี้...มันแตกต่างหรือไม่เล่า?


-----------
กรี๊ดดดด //หวีดร้อง ปิดหน้าขวยเขิน ตอนหน้าก่อกบฏแล้วนะคะ (อิ_อิ) หนักใจนิดนึง เขียนฉากอารมณ์ไม่ค่อยออก T.T ยืนยันว่าจบแฮปปี้ และก็ไม่ปลายเปิดด้วย

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรโปรดติดตาม :กอด1:
 

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
จะเครียดก็เครียดไม่สุดจะฟินก็ฟินไม่สุด อุแงง ท่อนไม้ไป๋อะไรรเดี๋ยวนี้มีแต่เจ้าปีศาจ เฟยเอ๋อร์ก็ไปสุดมากลูกก  :katai1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พายุใหญ่หลังลมสงบแน่ๆ เลยแง แต่เหนือสิ่งอื่นใด คุณไป๋คือปีศาจในร่างคุณชายมาก น้องสลบอีกแล้ว !! เขินตอนเรียกว่าภรรยา บิดจนไม่ไหวแล้ววว แง  :hao5:  :impress2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ยินดีกับคู่สมรส ไป๋  จื่อฟาง  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ท่อนไม้ไป๋ ชื่นชอบมากกกกก  ไม่เหน็ดเหนื่อยเลย  :z1: :pighaun: :haun4:
ไม่นึกเลยว่าจื่อฟางจะมาถึงขั้นนี้ได้ มันยอดมากกกกกกกกกก   :hao5:  :sad4: :heaven
เอ็นดูหยางชวี เด็กน้อยขัดใจเจ้านาย  :mew1:
สงสารเสิ่นมู่หยาง กับไป๋อู่เหยียน ตกในสภาพเดียวกัน  :mew2:
แม้ทั้งคู่ไม่รู้ว่าลูกของตัวเอง ถึงขั้นแต่งงานกัน  :m20: :laugh:

ไป๋ จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
หวานชื่น โรแมนติกกันได้ไม่นาน. เรื่องเครียดจะมาแล้ว  :ling1:

ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี ลุ้นๆ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ขอให้มีความสุขนะ คู่บ่าว สาว

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Godddd พี่ไป๋ เรากลายร่างจากต้นไม้ไปแล้ว

เก็บทุกเม็ด หนักหน่วงจนน้องสลบ แต่ก็ยินด้วยจ้า

ออฟไลน์ ciaiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไหนใครบอกว่าเป็นท่อนไม้
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
 :haun4: :haun4: :haun4:

ออฟไลน์ heymild

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด