Chapter edit : 13 ส.ค. 2562
ว่าด้วยเรื่องของพระรอง
บทเริ่มต้น
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วแต่จื่อฟางยังไม่เข้านอน หนึ่งเพราะเขานอนไม่ค่อยหลับ สองเขากำลังเพลิดเพลินกับการวาดภาพสำหรับลงขายในเว็บ เขาเรียนอยู่ที่ม.ซีเตี้ยนในเมืองซีอาน เข้าเรียนคณะบริหารธุรกิจสาขาบัญชีเพราะพ่อกับแม่ต้องการให้เขาเรียนในคณะที่มั่นคง เกรดก็เลยตามสภาพ เนื่องจากต้องเรียนและหาเงินไปพร้อม ๆกัน จื่อฟางจึงไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาที่ไหน ช่วงปีแรกก็ยังพอมีคนให้คบให้ควงบ้าง แต่พอเข้าสู่ช่วงปีสองด้วยเหตุผลที่ว่ามาจึงทำให้เขาไม่ได้ออกเดทเลยสักหน ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ไม่มีตกถึงท้อง ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องหน้าตาก็ไม่ใช่ เพราะจื่อฟางก็ไม่ได้น่าเกลียดจนดูไม่ได้ถึงจะไม่หน้าตาดีเหมือนพวกไอดอลจีนแต่เขาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่แน่นอน ชีวิตของเขามันช่างจืดชืดอะไรอย่างนี้
จื่อฟางลากดินสอไปมาอย่างหงุดหงิด รู้สึกว่าไม่มีอารมณ์วาดตามที่ใจอยากก็เปลี่ยนไปหาอย่างอื่นทำเพื่อสร้างอารมณ์ศิลป์สักเล็กน้อย เขานั่งบงที่หน้าคอมพิวเตอร์เก่าๆ ท่องโลกออนไลน์จนไปเจอนิยายเรื่องหนึ่งที่ยอดอ่านและคอมเม้นท์ค่อนข้างสูงจึงเปิดเข้าไปดูแก้เบื่อ นิยายชื่อเรื่องกลรักหญิงงาม ดูเหมือนกำลังได้รับความนิยมเพราะเนื้อเรื่องตลกขบขันเบาสมอง เนื้อหาเพ้อฝันแบบที่หลายๆคนคงชอบ เป็นเรื่องของคุณหนูฉินเซียงอินนางเอกของเรื่องที่ภายนอกดูอ่อนหวานเรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วนิสัยของนางกลับตรงกันข้าม สมัยนี้คงต้องบอกว่านางแสดงละครได้แนบเนียน คุณหนูฉินแอบหลงรักพระเอกนิสัยเหมือนท่อนไม้อย่างไป๋ผูอวี้ บุตรชายคนเดียวของสกุลไป๋เจ้าของโรงน้ำชาอันเลื่องชื่อในเมืองฉางอัน นอกจากดูแลกิจการของบิดาแล้วไป๋ผูอวี้ก็ไม่คิดสนใจเรื่องอื่นใด
และนี่จึงเป็นบทเริ่มต้นของการงัดกลยุทธิ์หญิงงามมาใช้กับคุณพระเอก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไป๋ผูอวี้ไม่ใช่คนโง่ที่มองไม่ออกถึงความตั้งใจของคุณหนูฉิน ส่วนที่เป็นสีสันของเรื่องก็คือตัวตลก เอ้ย พระรองอย่างเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายเจ้าของใบหน้างดงามหมดจด(ตามที่ผู้เขียนบรรยาย) นิสัยไม่เอาไหน นอกจากเล่นกู่เจิง[1]และเดินหมากได้เก่ง นอกนั้นก็ไม่มีดีให้พูดถึงนัก เสิ่นจิ้งเฟยชอบเที่ยวเตร่กับสหาย ถลุงเงินบิดา นอกจากหน้าตางดงามคุณชายเสิ่นผู้นี้ก็สู้กับพระเอกอย่างไป๋ผูอวี้ไม่ได้เลยสักนิด มีเรื่องให้กล่าววาจาต่อคำก็มักเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ
อ่านไปแล้วนิสัยบางส่วนช่างเหมือนกับตัวจื่อฟาง เขาจินตนาการหน้าตาของตัวละครเหล่านี้ไม่ออก ไม่ว่าผู้เขียนจะบรรยายว่างดงามหล่อเหล่าอย่างไร ร่างเล็กเอนตัวพิงพนักเก้าอี้มุ่นคิ้วเมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ก็ค้นพบว่านิสัยของไป๋ผูอวี้คุ้นๆเหมือนเพื่อนร่วมชั้นของเขา จื่อฟางนึกชื่อฝ่ายนั้นไม่ออกเพราะไม่ได้รู้จักมักจีเพียงแต่เห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ
จื่อฟางกลอกตาอ่านไปได้ครึ่งเรื่องก็เริ่มปวดขมับจี๊ด ๆอย่างบอกไม่ถูก เริ่มตาลายอ่านไม่รู้เรื่องจึงปิดคอม รู้สึกไม่ดีชอบกลจึงทิ้งนอนพักสักงีบ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง….โลกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
~•~
“คุณชาย…คุณชาย”เสียงเรียกซ้ำ ๆดังอยู่ข้างหู หนวกหูจริง จื่อฟางไม่ใช่คุณชายซ้ำยังเช่าหออยู่คนเดียว ใครที่ไหนจะมาเรียก ในใจจึงคิดอย่างง่วงงุ่นว่าคุณป้าข้างห้องคงเปิดทีวีทิ้งไว้เสียงดังอีกแล้ว เขาพลิกตัวไปอีกด้าน แต่ยิ่งพลิกก็ยิ่งไม่สบายตัว รู้สึกว่าเตียงนอนแข็งผิดปกติ
“คุณชายรีบตื่นเถิด หากไม่รีบกลับไปที่จวนตอนนี้ มีหวังนายท่านต้องโกรธมากแน่ ๆ”เสียงร้อนใจดังเข้ามาใกล้กว่าเดิม คราวนี้มาพร้อมกับแรงเขย่าที่หัวไหล่
“อา หนวกหู!”จื่อฟางคำรามขึ้นมาอย่างนึกรำคาญ ปัดป่ายสิ่งที่มารบกวนออกอย่างหงุดหงิด
จางต้าได้แต่มองผู้เป็นนายนอนขดตัวหันหลังให้ตนอยู่บนเตียงด้วยความกระวนกระวายใจ มิรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแต่คุณชายเสิ่นหมกตัวอยู่ในหอผูเยว่เอาแต่ดื่มสุรามาสองวันติดแล้ว นางคณิการ่างแบบบางเข้ามาออเสาะปรนนิบัติก็ถูกคุณชายของเขาไล่ตะเพิดออกไปหมด จางต้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก แต่ไม่ว่าด้วยเรื่องใดหากวันนี้คุณชายยังไม่กลับจวนสกุลเสิ่น ไม่ใช่แค่ตัวเขาแน่ที่ตกที่นั่งลำบาก จางต้าจึงตัดสินใจใช้วิธีปลุกที่นาน ๆทีจะกล้าทำ ถึงจะอยู่กับคุณชายมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ใช่ว่าคุณชายจะไม่กล้าลงโทษบ่าวรับใช้เช่นเขา ว่าแล้วก็กลั้นใจยื่นมือออกไปดีดหน้าผากคุณชายเต็มแรง
ผลั้วะ!
“โอ๊ย…”จื่อฟางอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด พลิกตัวลุกนั่งหมายจะก่นด่า แต่ลืมตามองเห็นคนผู้หนึ่งอายุอานามคงพอๆกับเขาทั้งยังสวมเสื้อผ้าที่เหมือนในละครย้อนยุคนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็รู้สึกงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ฉากพวกนี้มันคุ้นๆ
“อภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ คุณชาย!”
จื่อฟางมองตาโต สมองสับสนวุ่นวายไปหมด ทำไมเจ้าคนนี้ถึงนั่งคุกเข่าให้เขา แล้วยังเรียกเขาว่าคุณชายอีก นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว หรือเขาจะฝันไป? จื่อฟางมองไปรอบตัว ก็พบว่านี่ไม่ใช่หอนอนคับแคบของตน แต่เป็นห้องรับรองตกแต่งด้วยของโบราณ เช่นเตียงที่เขานั่งอยู่ถึงจะแข็งแต่ผ้าไหมปักลายสวยงามพวกนี้คงเป็นของดีแน่ ห่างออกไปไม่ไกล มีโต๊ะตัวเตี้ยที่เกลื่อนไปด้วยไหสุรา ส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง จื่อฟางหลับตาพลางศีรษะไปมา
“ต้องเป็นความฝันแน่ ๆ ทำไมจู่ ๆถึงได้ฝันประหลาดแบบนี้ได้นะ”ร่างบางพึมพำกับตัวเองเบาๆ หรือว่าอ่านนิยายกลรักก่อนนอนจนทำให้เขาเก็บมาละเมอเพ้อพกเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ ใช่!ต้องเป็นแบบนั้นแน่ จื่อฟางยังคงปลอบใจ แม้จะสงสัยว่าในความฝันคนเรารู้ด้วยหรือว่าตัวเองกำลังฝัน...ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดขมับเพราะกลิ่นสุราที่ส่งกลิ่นฟุ้งอยู่ในห้อง
“คุณชายจะมัวแต่ใจเย็นอยู่ไม่ได้แล้ว คราวนี้นายท่านใหญ่ดูจะโกรธจริง ๆขอรับ ไม่แน่อาจโดนตัดเบี้ยเลี้ยงทั้งเดือนเลยก็เป็นได้ รีบกลับจวนกันเถอะขอรับ!”เจ้าคนที่นั่งคุกเข่าร้องเรียกด้วยท่าทางร้อนใจ ถ้าร้องไห้ได้คงร้องไปแล้ว จื่อฟางเพียงอ้าปากหาวหวอด ๆ คิดว่านอนต่ออีกสักหน่อย เดี๋ยวก็ตื่นจากความฝันบ้าบอนี่เอง เขาทำท่าจะล้มตัวลงนอนแต่พลันชะงักกึกเมื่อสังเกตเห็นแขนตัวเองซะก่อน
เดี๋ยวนะ…ฉากแบบนี้มันคุ้นๆเหมือนในละครข้ามมิติที่ตัวเอกจะต้องชะงักเมื่อเห็นร่างตัวเอง
จื่อฟางก้มมองสำรวจพบว่าร่างของเขาสวมใส่ชุดคลุมยาวสีเข้มปกเสื้อไขว้กันปักลวดลายสวยงาม แต่ที่ผิดปกติคือผิวเนียนละเอียดกับนิ้วมือเรียวยาวที่เหมือนไม่เคยทำงานหนักตรงหน้านี่ต่างหาก นี่มันไม่ใช่มือของเขาแน่ๆ จื่อฟางขยับนิ้วก่อนยกจับแตะใบหน้าก็ยิ่งตกตะลึงเพราะโครงหน้าของเขาไม่ใช่แบบนี้ อาการตื่นตระหนกยิ่งทำให้ทำอะไรไม่ถูก
“คุณชายเสิ่น ท่านเป็นอะไรไปแล้ว”จางต้าโอดครวญ เมื่อเห็นผู้เป็นนายมีอาการแปลกประหลาดเหลียวซ้ายแลขวาหน้าตาซีดเซียว พอเห็นคันฉ่องที่วางอยู่ใกล้เตียงก็รีบคว้ามาดู แล้วส่งเสียงพิกลออกมา
“คุณชาย…”บ่าวรับใช้เอ่ยเรียกช้า ๆ แม้จะร้อนใจ แต่ยามนี้คุณชายเสิ่นทำตัวผิดแปลกไปจากเดิม หรือว่าจะไม่สบาย ไม่ได้ๆ เขาต้องรีบพาคุณชายกลับจวนโดยเร็วที่สุด บ่าวรับใช้พลันรับรู้ชะตาของตัวเอง จางต้าเอ๋ย ดูท่าวันนี้เจ้ามีดวงถูกโบยแน่ ๆโทษฐานที่ดูแลคุณชายไม่ดี
จื่อฟางยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกมองเงาสะท้อนจากคันฉ่อง ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มหน้าอ่อนอายุคงไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี มีคิ้วเรียวสวย จมูกโด่ง ริมฝีปากรับกับรูปหน้า เส้นผมสีดำยาวรวบเสยไปด้านหลัง นับว่าหน้าตามีเสน่ห์หมดจด สามารถพูดว่าสวยได้เต็มปากเต็มคำ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จิกเล็บลงในอุ้งมือ อาการเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นคือของจริง แต่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา
นี่เป็นความจริงหรือความฝัน?
“คุณชายรีบกลับจวนเถอะ”จางต้าเอ่ยอีกครั้งระหว่างที่วางแผนอยู่ในใจ
“ว่าแต่คุณเป็นใคร”จื่อฟางขมวดคิ้ว ละสายตาจากคันฉ่อง ยิ่งส่องก็ยิ่งปวดหัว
“โธ่ คุณชาย เหตุใดถึง....”จางต้ากัดริมฝีปากอย่างอับจนหนทาง ดูท่าว่าคุณชายจะป่วยจริงเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายยังคงมองมาที่ตนด้วยแววตาสับสนท่าทางโง่งม จึงไม่รอช้ารีบพุ่งไปคว้าร่างผอมบางบนเตียงพาดบ่าเหมือนเห็นเป็นกระสอบป่านใบหนึ่ง
“เฮ้ย แกจะทำอะไร!”จื่อฟางร้องลั่นด้วยความตกใจ อยู่ ๆถูกจับพาดบ่าก็รู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาทันที รีบยกมืออุดปากเมื่ออาการคลื่นเหียนเริ่มก่อตัว รับรู้ว่าเจ้าคนที่แต่งตัวประหลาดพาเขาออกจากเรือนรับรองที่เหม็นกลิ่นสุราด้วยความเร่งรีบ
“กลับจวนไงขอรับ!”จางต้าตอบอย่างอดทน เขาทวนประโยคนี้มาหลายรอบแล้ว เหตุใดคุณชายถึงไม่เข้าใจเสียที บ่าวรับใช้รีบก้มหน้าก้มตาพาร่างคุณชายผ่านโถงทางเดิน สองหูได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของแม่นางทั้งหลายในหอผูเยว่ดังมาไม่ขาดสายระหว่างที่เขาพาคุณชายเสิ่นออกมาด้วยสภาพที่ไม่น่าดูนัก แต่ยามนี้จางต้าไม่มีเวลามาเห็นแก่หน้าคุณชายแล้ว เพราะเสนาบดีเสิ่นกำลังเดือดดาลรออยู่ที่จวนทั้งคน ไม่รู้ว่าจะโดนนายท่านลงโทษอย่างไรบ้าง
“เฮ้ เดี๋ยวสิ...”จื่อฟางส่งเสียงตะกุกตะกักดูเหมือนสมองจะทำงานได้ช้ากว่าปกติ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าหญิงงามหลายคนและแขกเหรื่อต่างก็พากันออกมาดูเหมือนเห็นเขาเป็นตัวตลก เขากลอกตามองการแต่งตัวของผู้คนรอบข้างก็ต้องยอมรับจริง ๆว่าที่นี่คือยุคโบราณจึงลอบหยิกแขนตัวเองอีกครั้ง
เจ็บ!
“นี่ของเจ้า แม่เล้าเถาฮวา”ได้ยินจางต้าเอ่ยขึ้น คำว่าแม่เล้าทำให้จื่อฟางตาโต มองร่างที่จับเขาพาดบ่าโยนถุงเงินให้หญิงสาวร่างท้วมแต่งหน้าหนาเตอะ กลิ่นเครื่องหอมฟุ้งติดจมูก นางเคลื่อนกายนวยนาดตรงเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม สายตาเป็นประกายขบขัน จื่อฟางเหลียวมองหญิงงามทรวดทรงอวบอิ่มยั่วยวนเหล่านั้นก็เริ่มเข้าใจลางๆ อย่าบอกนะว่าที่นี่คือ…หอคณิกา
“ข้าน้อยยินดีอย่างยิ่ง ขอบคุณคุณชายเสิ่นที่เมตตา…”แม่เล้ายังพูดไม่ทันจบ จางต้าก็พาร่างของคุณชายออกมาจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว ทิ้งเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวไว้เบื้องหลัง เนื่องจากเป็นเวลาพลบค่ำ บ่าวรับใช้จึงเลือกออกไปทางประตูข้างเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของผู้คน แต่ข่าวลืออย่างไรก็คงหลุดลอยออกไป ชื่อเสียงของคุณชายคงไม่เหลือให้กอบกู้แล้ว
“ข้าน้อยให้คนขับรถม้ารออยู่หลังตรอก…ความจริงจะพาคุณชายออกมาเงียบๆ แต่ไม่คิดว่า…”บ่าวรับใช้พูดไปหอบไประหว่างที่พาจื่อฟางเข้ามาในตรอกแคบแห่งหนึ่ง เมื่อเลี้ยวไปยังหัวมุมก็มองเห็นรถม้าจอดรออยู่ จื่อฟางกวาดมองรอบตัวเมื่อไม่พบผู้คนก็โล่งอกเพราะสภาพของเขาในเวลานี้คงดูไม่ดีซักเท่าไหร่ ว่าแต่เจ้านี่บอกว่าจะพาเขากลับจวน จวนที่ไหน แล้วเขาอยู่ในร่างของผู้ใด คำถามมากมายประดังประเดเข้ามา จื่อฟางนึกไปถึงแม่เล้าที่เอ่ยเรียกร่างนี้ว่าคุณชายเสิ่น...
“นี่ ปล่อยผมลงได้แล้ว”เขารีบพูดจนลืมไปว่าต้องพูดคำโบราณๆ
“ท่านว่าอะไรนะ”จางต้าได้ยินไม่ค่อยชัด ด้วยความเร่งรีบจึงไม่ทันเห็นเงาร่างคนที่อยู่เบื้องหน้า
“อุ๊ก!”วินาทีต่อมาบ่าวรับใช้ก็ชนเข้ากับกำแพงคนจนล้มหงายหลัง พาเอาจื่อฟางล้มกองกับพื้นไปด้วย
“คุณชาย!”จางต้าห่วงแต่ผู้เป็นนายจึงไม่ได้มองสิ่งใด รีบเข้าไปประคองเสิ่นจิ้งเฟยที่ดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงกว่าปกติคล้ายคนป่วยเป็นโรค จื่อฟางขมวดคิ้ว คว้าท่อนแขนที่ยื่นมาตรงหน้า ระหว่างที่เงยมองว่าชนกับอะไร
โอ้…
เขาเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีถึงสองคนยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเหมือนเสาไฟฟ้า แต่ที่ทำให้เขาตาค้างคือชายร่างสูงในเสื้อคลุมตัวยาวสีเทาเรียบ ๆ เส้นผมรวบเป็นมวยพันด้วยผ้าสีเข้ม หน้าตาหล่อเหลาแบบที่ชายชาตรีควรเป็น ส่วนด้านหลังเป็นชายรูปร่างกำยำแข็งแรง สายตาดุดันชวนให้คนหวาดกลัว และคนผู้นี้ก็กำลังใช้สายตาดังกล่าวมองมาที่เขา ทำเอารู้สึกคันยิบๆตามเนื้อตามตัว สายตาเช่นนี้แปลได้อย่างเดียว คนทั้งคู่ต้องรู้จักกับร่างนี้
“อ้อ ที่แท้เป็นคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยนี่เอง ท่านเป็นอะไรไปเสียแล้ว หรือหญิงงามในหอผูเยว่ทำให้ท่านตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนอ่อนน้อม แต่แววตาและใบหน้าที่เรียบเฉยกลับแฝงแววเสียดสีชัดเจน
“อะไรนะ”จื่อฟางโพล่งออกมาอย่างลืมตัว ลุกยืนด้วยท่าทางซวนเซ ชื่อเมื่อกี้ฟังแล้วคุ้นมาก
“คุณชายเราต้องรีบกลับจวนอย่าถือสาเขาเลย”จางต้ากระซิบระหว่างที่ช่วยปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าของเจ้านาย รู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่ชอบไป๋ผูอวี้ จึงไม่แปลกใจที่คุณชายจะโมโห เจอกับคนผู้นี้ทีไร เป็นต้องต่อล้อต่อเถียงกลับไปทุกทีถึงแม้จะเสียหน้ากลับมาทุกครั้งก็ตาม
“คุณชายไป๋ ข้าน้อยมีเรื่องเร่งด่วน ต้องขออภัยเรื่องเมื่อครู่ด้วยขอรับ”จางต้ากัดฟันพูด ก่อนรีบพาคุณชายที่ดูสับสนมึนงงไปยังรถม้าที่จอดรออยู่นานแล้ว จื่อฟางรีบหลบฉากเดินตามจางต้าไปยังรถม้าทันที รับรู้ว่าสายตาทิ่มแทงคู่นั้นยังคงจับจ้องมา ทำเอาเขาเสียวสันหลังวูบ สองคนนั่นมันอะไรกัน
คนขับรถม้าหันมองทั้งสองคนด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่จื่อฟางมองออกว่าอีกฝ่ายกลั้นยิ้มคงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่เข้า แต่ช่างเถอะ ตอนนี้เขากำลังว้าวุ่นใจ จื่อฟางก้าวเข้ามานั่งในรถม้าอย่างเลื่อนลอย...เมื่อครู่คุณชายใบหน้าหล่อเหลาเรียกเขาว่าเสิ่นจิ้งเฟย เป็นชื่อที่เขาอ่านผ่านตามาเมื่อคืน ชื่อของพระรองในนิยายกลรักหญิงงาม แต่อาจเป็นเรื่องบังเอิญชื่ออาจจะซ้ำกันก็ได้ เพราะรู้สึกว่าดูเหลือเชื่อเกินไปที่ตนเองมาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย มันเป็นไปได้หรือ?ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเขาอยู่ในโลกนิยาย? ยิ่งฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่... เขานึกถึงบทบรรยายถึงเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายไม่เอาไหนคนนั้น มีข้ารับใช้ที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก ชื่อว่าจางต้า จื่อฟางพลันเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ตรงที่สำหรับบ่าวไพร่ทันที อย่าบอกนะ...
“จางต้า”เขาลองเรียกดูเบาๆ แต่ดูท่าเจ้าของชื่อจะหูดี
“มีอะไรหรือคุณชาย”จางต้าโน้มตัวมาใกล้ๆ เขาเหงื่อแตกพลั่ก อาการตื่นตระหนกก่อตัวอีกระลอก หมายความว่าเป็นเรื่องจริงสินะ เขาอยู่ในโลกนิยาย เขาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนเอ่ยถาม
“คนเมื่อกี้…เอ่อ คนเมื่อครู่รู้จักข้าด้วยงั้นหรือ”เขาปากคอแห้งผากขึ้นมา ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวโขยกเขยกชวนเวียนหัว จางต้าหันมามองเหมือนไม่อยากเชื่อหู คิดว่าคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่สบายจนสติเลอะเลือนไปแล้วแน่ ๆ
“ท่านล้อข้าเล่นแล้ว ย่อมต้องรู้จักแน่นอน ในฉางอันมีใครไม่รู้จักบุตรชายเสนาบดีกรมพิธีการอย่างท่านบ้าง…”พออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้เขาก็จำได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นบุตรชายคนเดียวของขุนนางมีตำแหน่ง เมื่อคืนเขาไม่ได้ตั้งใจอ่านนิยายโดยละเอียดเพียงแค่เปิดไปเจอโดยบังเอิญเท่านั้น ซ้ำยังอ่านค้างอยู่กลางเรื่องด้วย รู้อย่างนี้อ่านให้จบเสียก็ดี ขณะที่กำลังคร่ำครวญอยู่ในใจ จางต้าก็ยังคงโม้ต่อไปถึงอำนาจของท่านพ่อของเสิ่นจิ้งเฟย
“ไป๋ผูอวี้เป็นใคร เทียบชั้นท่านแทบไม่ติด ถึงโรงน้ำชาของตระกูลไป๋จะเลื่องชื่อไปทั้งฉางอัน แต่อย่างไรก็เป็นเพียงพ่อค้า ไหนเลยจะสู้ท่านได้”ใจความก็คือเจ้าหนุ่มจิ้งเฟยเป็นพวกอาศัยบารมีพ่อนั่นเอง
“อ้อ…”จื่อฟางพึมพำ คุณชายหล่อเหลาที่เขาเพิ่งเจอก็คือไป๋ผูอวี้พระเอกของเรื่อง จะว่าไปก็หล่อสมคำบรรยาย พอมาได้เห็นตัวเป็นๆ ลักษณะท่าทางก็ยิ่งคล้ายกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา ส่วนอีกคนที่มองเขาด้วยสายตาทิ่มแทงนั่นคงเป็นเว่ยหลง ผู้ติดตามที่ไม่ชอบขี้หน้าเสิ่นจิ้งเฟย ในนิยายไม่มีเหตุผลบอก สงสัยเพราะแบบนี้ถึงได้ถูกจ้องจนหนาวสันหลัง ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาในนิยายยุคโบราณที่ไม่รู้ตอนจบเช่นนี้...
จิตใต้สำนึกของจื่อฟางเอาแต่แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอธิบายด้วยหลักการไหนก็ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่ตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่แล้วในรถม้าที่กำลังแล่นไปตามถนนอันเงียบสงัดมุ่งสู่จวนเสนาบดี เหมือนสุกรรอขึ้นเขียง จื่อฟางจะหลอกตัวเองอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องที่ต้องเผชิญหน้าอย่างไรก็ต้องเกิดอยู่ดี ในหัวกำลังหาหนทางรับมือกับบิดาของเสิ่นจิ้งเฟย
“ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ บอกข้ามาเถอะ”จางต้าเอ่ยถามอย่างกังวล เมื่อเห็นคุณชายเสิ่นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก คิดว่าหากกลับถึงจวนคงต้องเรียกท่านหมอกู้มาตรวจคุณชายว่ามีอาการผิดปกติตรงไหนหรือไม่ คุณชายเสิ่นมีท่าทีไม่เป็นตัวเอง แต่แปลกไปตรงไหนจางต้าก็บอกไม่ถูก
“เปล่า ข้าไม่เป็นไร”เขาเพียงตอบสั้นๆเท่านั้น พยายามนึกถึงบิดาของร่างนี้ แต่ยิ่งเค้นสมองก็ยิ่งนึกไม่ออกว่าในนิยายมีฉากที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่หรือเปล่า เอาเป็นว่าจื่อฟางจะแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ล่ะกัน คนเป็นบิดาคงไม่ทำรุนแรงกับบุตรชายคนเดียวหรอกกระมังเสิ่นจิ้งเฟยเสียแม่ไปตั้งแต่เด็กจึงถูกเลี้ยงมาอย่างเอาใจจนเสียคน
“ถึงแล้วขอรับ”จางต้าเอ่ยเมื่อรถม้าค่อยๆหยุดอยู่หน้าจวนเสนาบดีที่เงียบสงบ ในใจจื่อฟางพลันหวาดกลัวขึ้นมา ฝามือเย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าตัวเองจะเล่นบทเสิ่นจิ้งเฟยพระรองไม่เอาไหนได้สมจริงหรือไม่แต่เขาก็ใช้ชีวิตไม่เอาไหนเช่นกัน คงไม่ต่างจากเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเท่าไหร่หรอกกระมัง
[1] พิณ