-9-
-อิฐ-
ผมถอนใจครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้เมื่อพาแม็กม่ามาที่บ้านตัวเอง และเมื่อผมเดินเข้ามาก็เห็นคุณแม่นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ในห้องรับแขก คงเพราะคนรับใช้วิ่งแร่เข้ามาบอกว่าผมพา “ผู้ชาย” เข้าบ้าน ท่านปรายตามายังเราสองคนอย่างไม่พอใจ เพราะสายตารังเกียจเดียดฉันอย่างนี้ บีทจึงเกลียดที่นี่และไม่ยอมย่างเหยียบมาหลายปีดีดัก และตัวผมเองก็คิดว่าการกันเขาและแม่ออกจากกันคงเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
แต่ลงท้าย ผมกลับต้องพาคนอื่นมางั้นเหรอ? แม็กม่าไม่ใช่คนรักของผมด้วยซ้ำ ถึงแม้ในท้องของเขาจะมีลูกของผมอยู่ก็เถอะ! ผมเริ่มรู้สึกหนักใจที่เรื่องราวมันบานปลายได้ถึงขนาดนี้
“นี่แกกล้าดียังไง ถึงเอาเมียผู้ชายของแกเข้าบ้านฮึ!! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้อนรับ!!” คุณแม่โวยวาย หายใจแรงดั่งคนโกรธจัด ผมหน้าเสียถอนใจเฮือก
“แม่ครับ...ใจเย็นๆก่อนครับ คือว่า...” ผมกำลังนึกคำพูดดีๆ ที่จะใช้อธิบายให้ท่านฟัง ระหว่างนั้นคนข้างกายก็เดินนำไปเสียก่อนทำให้ผมหยุดพูดแล้วหันไปสนใจเขาแทน แม็กม่าชิงนั่งลงที่พื้นหินอ่อนแล้วหมอบกราบลงไปในนาทีถัดมา
ผมค่อนข้างตกใจที่เขาทำเช่นนั้นทั้งที่มันไม่จำเป็นเลย ผมยังจำตอนที่พาบีทมาที่นี่ครั้งแรก(และครั้งเดียวได้)ว่าเขาค่อนข้างโกรธคุณแม่ แค่ไหว้ท่านลวกๆ แล้วรีบขอตัวกลับ... ส่วนคุณแม่ก็มีสีหน้าตกใจเช่นกันแต่ก็ยังพยายามรักษาฟอร์มด้วยการเบือนหน้าหนีภาพนั้นไป
“คุณป้าครับ โปรดอย่าต่อว่าคุณอิฐเลยนะครับ ความจริงแล้ว... เขาคงไม่ได้ชอบพออะไรผมนักหรอก เพียงแต่ตอนนี้ ผมกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่ และมันคงไม่ดีถ้าหากจะปล่อยผมทิ้งๆ ขว้างๆ ตามลำพัง จึงพาผมมาพึ่งใบบุญคุณป้าเท่านั้น ถ้าหากคลอดลูกคนนี้อย่างแข็งแรงปลอดภัยเมื่อไร ผมก็จะไปทันที” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเจียมเนื้อเจียมตัวเต็มที่ซึ่งทำให้ผมอดทึ่งไม่ได้ จะว่าไปแล้วเรื่องที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นเรื่องจริงไม่ได้โกหกเลยสักอย่าง เพียงแต่ไม่ได้ขยายความโดยละเอียดเท่านั้นเอง
“อะไรนะ!!” คุณแม่ถามพร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่น เงยหน้าขึ้นมองผมที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “ท้งท้องอะไรกัน... เมียแกมันเสียสติไปแล้วหรือไง ถึงคิดว่าตัวเองจะท้องได้!! เป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ?” คุณแม่ประชดประชันต่อไปอีก
“ครับ ผู้ชาย แต่บังเอิญท้องได้” ผมเป็นคนตอบแล้วเดินเข้าไปหาท่านยื่นใบรับรองแพทย์จากคลินิกให้ “นี่ผลตรวจครับ ถ้าแม่ไม่เชื่อจะโทรถามหมอว่านก็ได้นะครับ หมอเองนั่นแหละที่แนะนำว่าคนท้องไม่ควรจะอยู่บ้านคนเดียว ผมถึงต้องพาแม็กมาขออยู่ที่นี่” คุณแม่มีท่าทีสับสนไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี และเมื่อได้ฟังคำท้าทายนั่นท่านก็ไม่รอช้ารีบเรียกคนรับใช้มาทันที
“ฟอง... ไหนมานี่ซิ โทรหาหมอว่านเดี๋ยวนี้เลย ฉันอยากรู้นักว่านี่มันเรื่องแหกตาอะไรกัน” คุณแม่บอกแล้วหยิบมือถือให้คนรับใช้ และรีบรับกลับมาทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
“หมอว่านเหรอลูก เมื่อกี้เจ้าอิฐพาเมียมันมา แล้วมาโกหกว่าเมียมันท้องได้!! ซ้ำยังท้าให้แม่โทรหาหมออีก........................ อะไรนะหมอ นี่หมอก็พลอยเป็นไปกับเขาอีกคนหรือไง? .......................... โอ๊ย... ฉันจะเป็นลม”
หลังจากนั้นคุณแม่ก็เอามือกุมขมับเอนตัวเหมือนคนหน้ามืด
“คุณแม่!!” ผมรีบเดินเข้าไปประคอง พร้อมสั่งคนรับใช้ให้ไปเอายาดมมาให้ กว่าจะหาทางแก้ไขให้คุณแม่อาการดีขึ้นก็พักใหญ่
แต่แม่ก็ยังไม่ยอมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ สั่งทิ้งท้ายไว้ว่าพรุ่งนี้จะพาแม็กม่าไปตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อความมั่นใจว่าไม่โดนหลอกแน่ๆ ผมรับปากรับคำไป หลังจากนั้นคุณแม่จึงยอมอนุญาตให้แม็กม่าพักอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว
ผมสั่งคนรับใช้ให้นำกระเป๋าของแม็กม่าขึ้นไปเก็บไว้ที่ห้องของผม รอจนประตูห้องนอนปิดลงแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เอ่อ... คืนนี้คงต้องอยู่ห้องนี้ไปก่อน ถ้าจะย้ายห้องหรือยังไง พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะ”
“ถ้าแยกห้องกัน แม่คุณจะไม่สงสัยเหรอครับ”
นั่นสินะ ผมคิดแล้วทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย
“ผมเสียใจนะครับถ้าทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว แต่ผมจะพยายามทำเหมือนไม่มีตัวตนให้มากที่สุดก็แล้วกันนะครับ...”
“เธอจะทำอย่างงั้นได้ไง เธอไม่ใช่ผีซะหน่อย” ผมตอบเขาแล้วส่ายหน้าอย่างขบขัน หันไปปลอบ “วางใจเถอะ เธออยู่ที่นี่ได้ตามสบายเลย ปกติแล้วฉันก็ไม่ค่อยกลับบ้านหรอก” เพราะบางครั้งเลิกงานดึกและบ้านอยู่ไกล ไปค้างห้องบีทง่ายกว่ากันเยอะ
“อ้อ นั่นสินะครับ ผมก็ลืมไป” อีกฝ่ายอุทานออกมาทันทีพร้อมคำพูดที่เหมือนรู้ทัน คำพูดที่เปรยขึ้นลอยๆ พร้อมยิ้มที่มุมปากทำให้คิ้วของผมขมวด
“ยิ้มอะไร?”
“เปล่าครับ” เขาปฏิเสธทันทีทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่ ผมขัดใจเล็กน้อยแต่ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดจึงพูดต่อ
“เธอคงต้องอยู่คนเดียวไปก่อนนะ ถ้าคุณแม่ท่านอ่อนลงกว่านี้ เดี๋ยวจะให้กุ้งตามมาดูแลทีหลัง”
“ที่จริงไม่ต้องก็ได้นะครับ คุณแม่คุณคงไม่ใช้ให้ผมทำงานหนักอะไรนักหรอก”
“ก็เผื่อว่าเข้ากับใครไม่ได้ ก็ยังมีเพื่อนไง...”
“ขอบคุณนะครับ ผมยังไงก็ได้” เขาตอบแล้วเดินไปนั่งลงที่เตียง
“ถึงแม้ว่าการที่เธอต้องมาอยู่ที่นี่จะนอกเหนือจากที่เราเคยคุยกันไว้ แต่ถึงยังไงฉันก็อยากให้เธอทำดีกับแม่ของฉันนะ ท่านอาจจะดุหรือปากร้ายไปบ้างแต่ความจริงท่านเป็นคนใจดีมาก”
“ครับ ผมทราบ ถึงผมจะรู้ว่าคุณไม่มีสิทธิ์เลิกจ้างผมแล้วก็ตาม แต่แม่ของคุณก็เหมือนเจ้านายอีกคนของผมนั่นแหละ จะให้ก้าวร้าวใส่ได้ยังไงล่ะ” คำตอบนั้นฟังสะดุดหูขึ้นมาทีเดียว แต่คงเพราะเขาคิดอย่างนี้ เขาถึงแสดงออกกับคุณแม่อย่างนอบน้อม ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี!
“ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างงั้นนะ งั้นเธอจัดของตามสบายนะ ฉันจะกลับไปที่บริษัทอีกรอบ เดี๋ยวจะกลับมาให้ทันมื้อเย็นก็แล้วกัน”
“ครับ...”
หลังจากนั้นผมก็ออกมาทำงานตามปกติ โดยพยายามมองนาฬิกาบ่อยๆ เพราะอยากจะกลับไปให้ทันมื้อเย็นตอนทุ่มนึงตามที่สัญญาไว้ หากแต่แผนการกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อบีทโผล่มาเซอร์ไพรส์ตั้งแต่ยังไม่หกโมงเย็น
“กลับมาแล้วเหรอ?” ผมเอ่ยขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งนั่นเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอย่างมีเสน่ห์
บีททำงานเป็นไกด์ทัวร์ให้บริษัท เขาต้องบินไปต่างประเทศตลอด บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาไม่อยากท้องหรือมีลูกเพราะเขาคงต้องออกจากงานทั้งๆ ที่เขาชอบมันมาก และรอบนี้ก็หายไปเป็นสัปดาห์ ไม่นึกเลยว่าจะกลับมาเอาวันนี้
“กลัวอิฐจะคิดถึงไงก็เลยรีบกลับมา” เขาตอบแล้วเดินยิ้มเข้ามากอดคอผมไว้
“น่าจะโทรมาบอกกันก่อน” ผมบอกเขา แม้จะดีใจที่เจอหน้าแต่ก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้
“ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ” เขาตอบยิ้มๆ ส่งมือขาวยื่นไปปิดแฟ้มงานที่ผมเปิดค้างไว้ปิดลงอย่างนุ่มนวล
“พอเถอะ หมดเวลาทำงานแล้ว... กินข้าวกันดีกว่า” เขาชักชวนเชิงสั่ง
“เอ่อ... วันนี้อิฐบอกแม่ไว้แล้วว่ากลับไปกินข้าวบ้านน่ะ” ผมบอกด้วยเสียงแสดงความเกรงใจ
“หือ... เนื่องในโอกาสอะไร วันสำคัญอะไรเหรอ?”
“เปล่า... แค่สัญญาไว้”
“งั้นก็โทรไปแคนเซิลสิ นี่บีทอยู่ไม่กี่วันนะ เดี๋ยวก็ต้องไปอีกแล้ว”
เขาทำเสียงอ้อน ส่วนผมทำหน้าลำบากใจ
“จะไม่ไปจริงใช่ไหม? งั้นก็ช่างเถอะ ถึงอิฐไม่ไป บีทก็มีคิวสองคิวสามอยากไปด้วยอยู่ดี ไม่ต้องห่วง” เขายืดตัวตรงแล้วขยับตัวออกห่างทันที สีหน้าแสดงว่าไม่พอใจ
“โธ่บีท... อย่างอนสิ”
“ไม่ได้งอนนะ พูดจริง...” ผมถอนใจหนึ่งเฮือก...
“โอเคครับ เดี๋ยวอิฐโทรบอกที่บ้านก่อนแล้วกันนะ แล้วจะตามไป” ผมตกลงอย่างเสียไม่ได้ ยื่นมือไปแตะแขนเขาเป็นเชิงง้อ ฝ่ายนั้นจึงคลายสีหน้าบึ้งตึงลง
“ได้... งั้นบีทเดินไปรอหน้าลิฟท์นะ” เขาบอกแล้วก้มลงมาหอมแก้มผมก่อนจะเดินไปที่ประตู
ผมจึงหยิบมือถือมาต่อสายหาแม็กม่าทันที
“เอ่อ... ฝากบอกคุณแม่ให้ทีว่าวันนี้ฉันคงไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นนะ”
“ฮะ!! คุณจะให้ผมกินข้าวกับแม่คุณตามลำพังเหรอ?”
“ก็คงต้องอย่างงั้น”
“คุณอิฐ... คุณก็รู้ว่าแม่คุณเค้าไม่ชอบขี้หน้าผม”
“ขอโทษ… แต่ฉันติดธุระจริงๆ นะ เอาน่า ยังไงจะรีบกลับก็แล้วกัน”
“ครับ...” อีกฝ่ายรับคำไม่เต็มเสียงนัก ผมชิงตัดสายไป
ลงท้ายแล้ว ผมไม่ได้กลับบ้าน เนื่องด้วยหลังจากดินเนอร์แล้วบีทก็ชวนผมไปค้างด้วย และผมปฏิเสธไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง สุดท้ายแล้วได้ออกจากคอนโดหรูของบีทในตอนเช้าตรู่
“อิฐ... ยังเช้าอยู่เลย คุณจะรีบไปไหนน่ะ?” เขาทักถามทั้งที่ตัวเขายังหมกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงกว้าง
“กลับบ้านน่ะ” ผมตอบขณะแต่งตัวรีบๆ
“ใจเย็นๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลย คุณน่ะสามสิบกว่าแล้วนะ หายไปคืนเดียว แม่คุณคงไม่แจ้งความว่าคนหายหรอก” เขาบอกแล้วหัวเราะ
“พอดีแม่เค้าจะให้พาไปส่งทำธุระน่ะ”
“พูดยังกับว่าที่บ้านไม่มีคนขับรถอย่างงั้นแหละ” บีทเอ่ยอย่างรู้ทัน
“แม่ผมเค้าคงอยากอ้อนลูกชายบ้างล่ะมั้ง กลัวจะรักคนอื่นมากกว่า” ผมตอบอย่างประจบประแจงโน้มตัวลงหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง
“อาจจะเป็นอย่างงั้นก็ได้”
“นี่แกรักเมียแกจริงหรือเปล่าเนี่ย พามาอยู่บ้านแท้ๆ แต่ตัวกลับไม่กลับบ้าน” เสียงแม่ค่อนขอดทันทีที่เจอหน้า ทั้งแม่และแม็กม่าแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมจะออกจากบ้านแล้วเมื่อผมไปถึง
“ผมติดงานน่ะครับแม่...” ผมโกหกคำโตแล้วเดินไปยืนข้างแม็กม่า
“เอาเถอะ ไปอาบน้ำได้แล้ว รอแกอยู่คนเดียว”
“ไปเลยก็ได้ครับ... ผมอาบมาแล้ว”
“ที่บริษัทมีห้องอาบน้ำด้วยเหรอเนี่ย ฉันเพิ่งจะรู้...” ผมชะงักไปเพราะลืมตัว แม่มองกลับด้วยสายตาตำหนิ คงเพราะจับ
โกหกผมได้
“งั้นก็ไปเลย.. เสียเวลามานานแล้ว” แม่พูดด้วยเสียงรำคาญแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องรับแขกไปก่อน ส่วนผมหันไปยังร่างแม็กม่าที่ยืนฟังเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าหากแม่จับโกหกผมได้ แม็กม่าที่เคยทำงานที่บริษัทผมมาก่อนก็ต้องจับได้เช่นกัน...
“ฉันขอโทษนะที่ทิ้งเธอไว้ลำพัง” ผมกระซิบบอกอย่างรู้สึกผิด แม้เขาจะไม่ใช่คนรักจริงๆ ของผม แต่การที่ปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับแม่เพียงคนเดียวคงทำให้ลำบากใจไม่น้อยทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมก็ชิน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา ก่อนจะเมินหน้าแล้วเดินตามแม่ผมออกไป
แปลกนะทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ต่อว่าอะไรเลยสักคำ แต่ทำไมรู้สึกผิดชะมัดเลย...
++++++++++