❤️::::แม่พันธุ์จำเป็น[MpreG]::::❤️ตอนที่ 13 หวั่นไหว l Up:03-06-2018
-๑๓-
หวั่นไหว
หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด เจฟฟี่ก็รีบขับรถมุ่งตรงมายังร้านเบเกอร์รี่ของพี่สาวอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อมาถึงก็รีบวิ่งเข้าไปหาพี่สาวในร้านด้วยความร้อนใจ ขณะนั้นสายตาคมก็ส่องไปรอบๆร้านเพื่อมองหาคนรักไปด้วย
“อ้าว! มาส่งเงินถึงที่นี่เลยเหรอยะ” เจสสิก้าเข้าใจว่าน้องชายมาส่งคนรักที่ร้าน
“ไม่ใช่อย่างนั้น...ผมมาตามหาเงินต่างหากล่ะ เงินอยู่ไหนครับพี่” เจ้าตัวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล ทำให้เจสสิก้ารู้ทันทีว่าทั้งสองกำลังมีเรื่องขัดใจกันแน่นอน
“เดี๋ยวนะ...เงินไปหาแกที่โรงแรมไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยนะเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจสสิก้าเริ่มเป็นห่วงเงินขึ้นมาแล้ว
“เงินหนีกลับมาเพราะเข้าใจผมผิดน่ะสิ...ไม่น่าเลย” พูดแล้วก็โมโหให้กับตัวเอง เขาไม่น่ายอมไปนั่งทานข้าวกับหญิงเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
“เข้าใจผิดเรื่องอะไรยะหรือว่าแกนอกใจเงิน...บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!” เจสสิก้าเริ่มไม่มั่นใจในตัวน้องชายซะแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้นพี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ตอนนั้นผมกำลังสำลักข้าวอยู่หญิงเลยมาช่วยลูบหลังให้ แล้วเงินเดินเข้ามาเห็นพอดีเลยคิดว่าหญิงกำลังกอดผมอยู่” เจฟฟี่เล่าความจริงให้พี่สาวฟัง
“แล้วคนที่ชื่อหญิงเป็นใครกันยะ...หรือว่าเป็นกิ๊กคนใหม่ของแก” เจสสิก้าพยายามคาดคั้นเอาความจริงจากปากน้องชาย
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ หญิงเป็นประชาสัมพันธ์ที่โรงแรม แต่ก็ยอมรับว่าเธอคิดเกินเลยกับผม แต่ผมไม่ได้เล่นด้วยนะ” เจฟฟี่รีบปฏิเสธ
“ฉันว่าแล้วผู้หญิงที่อยู่ใกล้แกมักจะเป็นแบบนี้ทุกราย...แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้”
“ผมอยากเจอหน้าเงินอยากอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง” เจฟฟี่พูดด้วยความลนลาน และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะโทรหาอีกฝ่าย จึงหยิบมือถือขึ้นมารีบกดเบอร์โทรทันที แต่ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเจสสิก้าก็มีสายโทรเข้ามา เจฟฟี่จึงหยุดชะงักแล้วมองหน้าพี่สาวทันที
“ไม่ต้องแล้วเงินโทรมาหาฉันพอดี” เจสสิก้าโชว์หน้าจอให้ดู เจฟฟี่รีบยื่นมือจะไปรับสายเองแต่พี่สาวกลับไม่ยอม
“ทำไมล่ะพี่” เจ้าตัวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในใจก็รู้สึกคลั่งแทบจะเป็นบ้าแล้ว
“ฉันจะรับเองย่ะ...ถ้าแกรับมีหวังเงินได้หนีไปอีกแน่” เธอกลัวว่าน้องชายจะทำเสียเรื่องจนเงินเตลอดหนีไป หลังจากกดรับสายแล้วเจสสิก้าก็เปิดลำโพงให้น้องชายได้ยินบทสนทนาด้วย
“ฮัลโลว่าไงจ๊ะเงิน”
[“พี่เจสครับคือผม..ขอลางานครึ่งวันได้ไหมครับ”] เงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เงินเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ แล้วเอาข้าวไปให้เจฟมันรึยังเนี่ย” เธอถามราวกับว่ายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลย
[“เอ่อ..เอาไปให้แล้วครับ ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อยครับ”]
“แล้วเงินอยู่ไหนจ๊ะตอนนี้”
[“ผมให้มอสมาส่งที่คอนโดครับ ตอนนี้มอสน่าจะใกล้ถึงร้านแล้ว”]
“ถ้างั้นก็พักผ่อนเถอะจ้ะพี่ไม่กวนแล้ว..ดีขึ้นตอนไหนค่อยมาทำงานละกันนะ”
[“ขอบคุณครับพี่เจส”]
หลังจากเจสสิก้าวางสายไปแล้วเจฟฟี่ก็รีบเอ่ยขึ้นทันที
“ผมไปก่อนนะพี่”
“ง้อให้ได้ล่ะแล้วทีหลังก็ระวังตัวด้วย”
“ครับๆ” เจฟฟี่ตอบรับแล้วรีบวิ่งไปที่รถก่อนจะขับกลับไปที่คอนโดทันที
เมื่อมาถึงคอนโดแล้วเจฟฟี่ก็รีบขึ้นไปบนห้องทันที เปิดประตูเข้าไปก็เห็นอีกฝ่ายกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก จึงรีบวิ่งเข้าไปกอดจากด้านหลังเอาไว้ เขาจะไม่ยอมให้เงินจากไปไหนทั้งนั้น
“เงินกำลังเข้าใจพี่ผิดนะครับ” เสียงเข้มเอ่ยใกล้กับใบหูเพียงเล็กน้อย
เมื่อรู้ตัวเงินก็พยายามเหวี่ยงตัวสุดแรง หวังจะให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนแกร่ง ตอนนี้เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ร้อนลงได้เลย ยิ่งนึกถึงคำสัญญาที่อีกฝ่ายเคยให้ไว้ยิ่งรู้สึกโมโหเข้าไปใหญ่
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ไอ้คนไม่รักษาสัญญาฮึก” พูดไปน้ำตาก็ไหลลงมาด้วย
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่เงินเห็นนะครับพี่อธิบายได้” เจฟฟี่พยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายรับฟัง แต่ตอนนี้คงไม่เป็นผลเพราะยิ่งพูดอีกฝ่ายยิ่งงอแงไม่ยอมท่าเดียว
“กอดกันซะขนาดนั้นมีอะไรที่ต้องอธิบายอีกเหรอวะฮือๆๆ”
“ตอนนั้นพี่กำลังสำลักข้าวอยู่หญิงเลยมาช่วยเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรเลยจริงๆนะครับพี่สาบานได้ ตั้งแต่เราคบกันมา เงินก็รู้ว่าพี่ไม่เคยผิดคำพูดแม้แต่ครั้งเดียว เงินต้องเชื่อใจพี่นะครับ” เจฟฟี่พยายามยกเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบายให้เข้าใจ
“แล้วทำไมต้องไปกินข้าวกันแค่สองคนด้วยล่ะ” ตอนนี้เงินเริ่มใจอ่อนลงมาบ้างแล้วหลังจากได้ฟังคำอธิบายจากคนรัก แต่ก็ยังมีเรื่องค้างคาในใจอยู่อีกเล็กน้อย
“พี่ก็แค่ตัดรำคาญเพราะผู้หญิงคนนั้นมาเซ้าซี้ให้พี่ไปกินข้าวด้วย และที่สำลักข้าวก็เพราะพี่รีบกินอยากออกไปจากตรงนั้นเร็วๆไงล่ะ มันคือเรื่องจริงทั้งหมดพี่ไม่มีทางโกหกเงินแน่” พูดแล้วก็หอมแก้มคนรักทันที
เงินได้ฟังก็ยืนนิ่งกำลังชั่งใจว่าจะเชื่อดีหรือเปล่า ตั้งแต่คบกันมาเจฟฟี่ไม่เคยมีคนอื่นเลย แถมยังยอมเสียสละในหลายๆอย่างทำเพื่อเขาได้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำให้คิดว่าตัวเองก็มีส่วนผิด ที่ไม่เชื่อใจอีกฝ่าย เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเขาไม่ควรจะวิ่งหนีมาอย่างนั้นควรจะถามให้แน่ใจเสียก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้เงินคิดว่าตัวเองรักเจฟฟี่เข้าให้แล้วสินะ พอรู้ตัวอีกทีก็หึงหวงจนหน้ามืดตาตัวแทบไม่ฟังอะไรเลย
“ผมจะเชื่อพี่แต่ต้องสัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีกเด็ดขาดเข้าใจไหม” ตอนนี้เงินเริ่มใจเย็นขึ้นมาแล้ว
“พี่สัญญา...ถึงแม้จะมีใครมายืนแก้ผ้าอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางหวั่นไหวแน่นอน” เจฟฟี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หวังจะให้อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวเขาเต็มร้อย
“ให้มันจริงเถอะ” เงินทุบกำปั้นน้อยๆไปที่อกแกร่งหนึ่งที ใบหน้ารูปไข่ที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างแล้ว
“คนที่ยืนแก้ผ้าต่อหน้าพี่แล้วทำให้รู้สึกหวั่นไหวได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...ก็คือเงินไงล่ะ” มาถึงตอนนี้แล้วเจฟฟี่ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายรอดมือไปได้แน่นอน มาง้อทั้งทีต้องง้อให้ถึงเตียงไม่งั้นถือว่าไม่สำเร็จ
“หยุดพูดเลย...กลับไปทำงานได้แล้ว” ร่างเล็กเริ่มหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าหื่นนั้น และรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการอะไร
“กลับให้โง่น่ะสิ...เนื้อกำลังจะเข้าปากเสือแล้วพี่ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่” พูดจบก็อุ้มคนรักขึ้นในท่าเจ้าสาว หลังจากนั้นก็เดินไปที่เตียงแล้ววางร่างเล็กลงอย่างช้าๆ สายตาคมจ้องมองปานจะกลืนกินอีกฝ่ายไปทั้งตัวเสียให้ได้ ไม่นานเจ้าตัวก็เริ่มทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้องโดยทันที เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา ทำให้เจฟฟี่รู้ว่าชีวิตคงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีคนที่กำลังนอนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
*-*-*-*-*-*-*
รถหรูกำลังวิ่งมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองแสงสีแห่งแดนตะวันออก ที่นักท่องเที่ยวต่างก็เรียกขานกันว่าเมืองพัทยา นักบินเลือกมาที่นี่เพราะระยะทางกำลังพอดี มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ขับรถจากกรุงเทพไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
หลังจากออกเดินทางมาได้สักพักจนเกือบถึงครึ่งทางแล้ว ทำให้ปลาวาฬผู้ที่ตื่นตัวมาตลอดทางเริ่มรู้สึกง่วง เปลือกตาค่อยๆปรือลงจนเกือบจะปิดสนิท แต่ทว่า...
“นี่นาย!...อย่าเพิ่งหลับสิ” แม้มือทั้งสองจะควบคุมพวงมาลัยรถอยู่ แต่นักบินก็ปรายตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆตลอด ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกำลังจะหลับก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาซะอย่างนั้น
“คุณมีหน้าที่ขับก็ขับไปสิผมง่วงงง!” ร่างเล็กหันมาชักสีหน้าใส่แล้วหลับตาลงนอนอีกครั้งอย่างไม่สนใจ
“ไม่เอา! ลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้” นักบินยังเซ้าซี้อีกฝ่ายไม่ยอมหยุด แต่เมื่อเห็นปลาวาฬยังคงนอนเงียบ ก็คิดแผนการปลุกอีกฝ่ายด้วยการเพิ่มระดับเสียงเพลงจนดังกระหึ่มไปทั้งรถ ทำเอาคนที่นอนหลับตาอยู่นั้นถึงกับสะดุ้งตื่นแล้วหันมามองตาขวางทันที
“โอ้ยยยย!!! จะกวนกันไปถึงไหนเนี่ย ปิดเพลงเดี๋ยวนี้เลยหนวกหูจะแย่แล้ว” ปลาวาฬยกมือเรียวมาปิดหูทั้งสองข้างไว้ด้วยความรำคาญ นักบินจึงยอมลดระดับเสียงเพลงลงก่อนจะยิ้มมุมปาก
“ห้ามนอนเด็ดขาดฉันไม่มีเพื่อนคุย กว่าจะถึงก็อีกนานเลยนะ ถ้าฉันง่วงจนหลับในจะทำยังไง” นักบินเอาเรื่องความปลอดภัยมาอ้าง แต่ที่จริงแล้วอยากจะฟังเสียงของอีกฝ่ายไปตลอดทางต่างหาก
“ปากเหรอนั่น...กวนขนาดนี้คงจะหลับลงอยู่หรอก เอาแต่ใจจริงๆเลยคุณเนี่ย...รู้งี้ไม่มาด้วยตั้งแต่แรกก็ดี” ว่าแล้วก็ทำหน้าบึ้งตึงนั่งกอดอกแล้วมองตรงไปข้างหน้า นักบินปรายตามองอีกฝ่ายผ่านแว่นกันแดดแล้วยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ในที่สุดเขาก็เอาชนะจนได้
“ถึงนายไม่มาฉันก็จะบังคับให้มาจนได้ อย่าลืมว่าฉันสั่งอะไรนายก็ต้องทำตาม”
“คร้าบบบเจ้านาย..เชิญสั่งได้ตามสบายเลย...พอใจรึยัง” ร่างเล็กหันไปตวาดใส่เสียงดัง
“ยัง!”
“อะไรอีกล่ะเนี่ยยย” เมื่อโดนอีกฝ่ายกวนไม่ยอมหยุดปลาวาฬก็ปรี๊ดแตกขึ้นมาทันที ตามด้วยการแผ่รังสีอำมหิตผ่านดวงตาคู่สวยไปให้
“ฉันหิวน้ำอ่ะป้อนหน่อยดิ”
“มีมือก็หยิบกินเองดิ” ปลาวาฬยังคงนั่งกอดอกอยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับเขยื้อน
“ตาบอดรึไงฉันขับรถอยู่”
“ก็จอดก่อนสิ” ร่างเล็กทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยังไงซะเขาก็ไม่มีทางยอมทำตามที่นายนั่นสั่งแน่นอน
“ถ้าฉันจอดรถ ฉันสาบานเลยว่าจะไม่ดื่มแค่น้ำแน่นอนคิดเอาเองก็แล้วกัน” คำพูดที่เอ่ยขึ้นเปรียบเหมือนเป็นคำขู่กลายๆ
“อย่ามาขู่กันซะให้ยากเลย” แม้จะยังคงนั่งนิ่งแต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นๆ เพราะเวลาที่โดนขู่มักจะตามมาด้วยการถูกคุกคามทุกครั้งไป
“ก็แล้วแต่นายนะ จะเอาอย่างนั้นก็ได้เดี๋ยวฉันจะจอดรถข้างหน้านี้แล้ว” ว่าแล้วนักบินก็ตีไฟเลี้ยวทันที
“ดะ...เดี๋ยวคุณ ผมป้อนให้ก็ได้ถ้าจอดเดี๋ยวจะถึงช้าไปอีก” ปลาวาฬหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ตรงข้างคนขับขึ้นมา แล้วเปิดฝาออกยื่นเข้าไปจ่อที่ปากของอีกฝ่าย “อ่ะ”
“ไกลไปเอาเข้ามาใกล้กว่านี้หน่อยดิ” นักบินออกคำสั่ง
“เรื่องมากจริงๆเลยคุณเนี่ย” ปลาวาฬถอนหายใจเสียงดังแล้วจับหลอดยื่นเข้าไปในปากของอีกฝ่าย จากนั้นนักบินก็ดูดเข้าไปสองสามอึก
“ฉันอิ่มแล้ว...ขอบใจ”
“กองไว้ตรงนั้นล่ะ” ปลาวาฬตอบเสียงห้วนสั้นแล้ววางขวดน้ำลงไว้ที่เดิม
“ฉันกองไว้แล้วอย่าลืมมาเก็บเอาล่ะ” พูดแล้วก็ขำออกมาเบาๆ
“ตลกล่ะ แล้วนี่อีกนานป่ะกว่าจะถึง” ปลาวาฬขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงจึงหาเรื่องอื่นที่มีประโยชน์กว่านี้คุย
“ใกล้แล้วล่ะทำไมตื่นเต้นเหรอ”
“ก็...นิดหน่อย” ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้สัมผัสกับน้ำทะเลเลยแม้แต่สักครั้ง เพราะมัวแต่ทำงานไม่ได้มีเวลาได้ไปเที่ยวไหนเหมือนคนอื่นๆ นั่นทำให้ตอนนี้คิดถึงเพื่อนรักขึ้นมาทันที ถ้าได้มาด้วยกันคงจะดีไม่น้อย
“ทำไมทำหน้างออย่างนั้นล่ะ ไหนบอกว่าตื่นเต้นไง” นักบินปรายตามองร่างเล็กก็เห็นว่ากำลังทำหน้างองุ้มเหมือนกำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ในใจ
“คิดถึงเพื่อนอ่ะอยากให้มันมาเที่ยวด้วย”
“แล้วทำไมไม่ชวนมาด้วยกันล่ะ”
“ไม่เอาหรอก...ผมไม่อยากให้เพื่อนผมเจอคนบ้าบออย่างคุณ เอาไว้หลังจากคลอดแล้วค่อยพามันมาดีกว่า” พูดแล้วก็เบะปากกลอกลูกตาไปมา ทำเอาคนที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับคันไม้คันมือขึ้นมาทันที เขามันไม่ดีในสายตาอีกฝ่ายขนาดนั้นเลยเหรอ เจ้าตัวคิดในใจ
“อยากเป็นอิสระเต็มทนแล้วว่างั้นเถอะ” นักบินกระแทกเสียงใส่อย่างประชดประชัน
“แน่นอน” ปลาวาฬตอบกลับอย่างไม่ได้คิดอะไร
“ถ้างั้นก็ต้องรอนานหน่อยนะ เพราะกว่านายจะคลอดก็อีกหลายเดือน หวังว่าคงจะไม่อกแตกตายก่อนหรอกนะ” นักบินเอ่ยประชดประชันอีกรอบ
“ไม่ว่าจะนานแค่ไหนผมก็รอได้” ปลาวาฬพูดเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายเท่านั้นเอง แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกว่าการมีนักบินอยู่ข้างๆทุกวัน ก็ทำให้ชีวิตดูมีรสชาติมากยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“นอนเถอะถ้าถึงแล้วฉันจะปลุกเอง” ยิ่งปลาวาฬพูดตัดรอนออกมาให้ได้ยินนักบินยิ่งรู้สึกไม่ดี จึงตัดปัญหาด้วยการให้อีกฝ่ายนอนงีบสมใจอยาก จะได้ไม่ต้องเสียสมาธิในการขับรถ
“ผีเข้าผีออกนะคุณ”
“หรือไม่อยากนอนแล้ว ฉันจะได้กวนอีก”
“หยุดเลยแล้วก็อย่ามากวนผมอีกล่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็เบนหน้าหนีแล้วหลับตาลง ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราปล่อยให้นักบินขับรถไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นนักบินก็ขับรถมาถึงโรงแรม เมื่อจอดรถแล้วเจ้าตัวก็หันไปมองไอ้เด็กดื้อที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วก้มหน้าลงไปไซร้ซอกคอขาวแทนการส่งเสียงปลุก
“อื้อ...คนจะนอน” ปลาวาฬส่งเสียงอู้อี้ออกมาขณะยังคงหลับตาพริ้มไม่ยอมตื่น มือเรียวที่ปัดป่ายไปมานั้นถูกรวบเอาไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
นักบินยังคงสูดกลิ่นความหอมหวานอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด ตอนแรกคิดแค่ว่าจะแกล้งแต่ตอนนี้กลับไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองได้เลย จากซอกคอขาวก็เลื่อนขึ้นมาบนใบหน้าทำให้คนที่นอนสะลึมสะลืออยู่นั้นเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
เมื่อปลาวาฬลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าหล่อคม กำลังคลอเคลียบนใบหน้าของตัวเอง ด้วยความตกใจเจ้าตัวจึงสบถคำหยาบออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เหี้ยยยย!!”
“ตื่นขึ้นมาก็ปากดีเลยเหรอฮึ” นักบินเอ่ยเสียงเบาข้างใบหู มือหนายังคงตรึงข้อมือเรียวเอาไว้
“คุณคิดจะทำอะไรผม...ในรถก็ไม่เว้นไอ้คนโรคจิต!”
“นายคิดไปเองรึเปล่าใครจะมาทำอะไรแบบนั้นบนรถ ฉันก็แค่ปลุกนายเท่านั้นเอง” นักบินเอ่ยแก้ตัวแล้วกลับมานั่งที่เดิม
“คนธรรมดาเขาไม่ปลุกกันแบบนี้หรอกมีแต่คนหื่นๆอย่างคุณนั่นล่ะ” ปลาวาฬตวาดแหวใส่
“ไม่ต้องพูดมากถึงแล้วรีบลงไปซะ” พูดจบนักบินก็เปิดประตูรถลงไปก่อน
“โหววว..โรงโรมสวยมากเลยอ่ะ” เมื่อเห็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวปลาวาฬก็มองด้วยความตื่นตาตื่นใจ นี่คือครั้งแรกที่มีโอกาสได้มาพักในสถานที่หรูหราอย่างนี้
“ตามฉันมาจะได้รีบเข้าไปเช็คอินกัน” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าเข้าไปในโรงแรม ส่วนปลาวาฬก็มองซ้ายมองขวาราวกับเป็นต่างด้าวเข้ากรุงอะไรเทือกนั้น
นักบินจัดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมจนเรียบร้อยแล้วก็รับกุญแจห้องมา หลังจากนั้นก็เดินตามพนักงานของทางโรงแรมเพื่อขึ้นไปยังห้องพัก
“คุ๊ณ!!! ดูสิเห็นวิวทะเลด้วยอ่ะ” เมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศภายในห้องพักอีกครั้ง เพราะนอกจากจะมีความหรูหราแล้ว ยังมองเห็นวิวสวยๆของทะเลแบบพาโนรามาอีกด้วย
“ตื่นตูมจริงๆนะนายเนี่ย” ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพอใจกับการมาเที่ยวในครั้งนี้ซะเหลือเกิน แสดงว่าตอนนี้คงจะหายเครียดแน่นอนแล้วสินะ
“คนขาดโอกาสอย่างผมเจออะไรก็ต้องตื่นตูมเป็นธรรมดา คนรวยอย่างคุณจะไปเข้าใจอะไร” พูดพร้อมกับมองค้อนใส่แล้วเดินไปนั่งบนเตียง
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย นายชอบคิดไปเองอยู่เรื่อย” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พอใจนักบินก็รีบอธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาจะพูดดูถูกจริงๆ
“แล้วหมายความว่ายังไงอธิบายมาสิ ถ้าพูดไม่ถูกใจผมเอาคุณตายแน่” ตอนนี้ปลาวาฬเริ่มคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว
“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกนายไง เรามาเที่ยวกันนะอย่าทำให้เสียบรรยากาศดิ”
“คุณนั่นล่ะชอบทำให้เสียบรรยากาศอยู่เรื่อย” ว่าแล้วก็แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายทันที
“เอาล่ะๆช่วงสองสามวันนี้ฉันจะพยายามไม่ทำให้นายอารมณ์เสียก็แล้วกัน เดี๋ยวลูกฉันจะติดนิสัยนายมาด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะแย่น่าดู” พูดยังไม่ทันขาดคำนักบินก็ลืมตัวพูดให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่สินะถ้าผมไม่ตั้งท้องลูกของคุณอยู่ คงจะทำอะไรต่อมิอะไรให้ผมเจ็บตัวไปแล้วสินะ” เมื่อนักบินเอาเรื่องลูกมาอ้างก็ทำให้ปลาวาฬก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องอะไรเลย
“นายนี่มันชอบคิดอะไรไปเองจริงๆ ฉันก็ห่วงนายไม่ต่างจากลูกหรอกเพราะอย่างน้อยนายก็....” นักบินเกือบหลุดคำว่าแม่ของลูกออกจากปาก เขาเริ่มไม่ค่อยแน่ใจกับสถานะของอีกฝ่าย ว่าจะเป็นแม่ของลูกหรือเป็นแค่คนรับจ้างอุ้มท้องเท่านั้น
“ก็เป็นแค่คนรับจ้างอุ้มท้องใช่ไหมล่ะ ผมเข้าใจเอาเป็นว่าผมจะพยายามเจียมตัวก็แล้วกัน” พูดจบก็นอนลงบนเตียงแล้วหลับตาลงทันที ไม่รู้เขาเอานิสัยขี้งอนพวกนี้มาจากไหนกัน หวังว่านายนั่นคงไม่คิดว่าเขากำลังให้ท่าอยู่หรอกนะ
นักบินเองก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นอาการงอนของอีกฝ่าย เพราะแต่ก่อนจะมีแต่ชอบแกล้งและกวนตีนเขาเท่านั้นเอง ไอ้อาการนี้มันเหมือนคนเป็นแฟนกำลังงอนกันซะอย่างนั้น หรือว่าเขาควรจะง้อ....
“นายอย่าคิดมากสิวันนี้เรามาเที่ยวกันนะ” นักบินเดินไปนั่งบนเตียงแล้วนอนซ้อนหลังเอื้อมมือหนาไปรั้งที่เอวคอดเอาไว้แน่น ใบหน้าคมก็ซุกไซร้ที่เรือนผมอย่างถือวิสาสะ การถึงเนื้อถึงตัวปลาวาฬเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว
“คุณจะขึ้นมาทำไมเนี่ยยย แล้วก็เอามือสกปรกของคุณออกไปด้วย” ร่างเล็กหันหลังกลับไปมองอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาดุให้ทันที
“ก็เห็นนายกำลังงอนฉันอยู่เลยจะมาง้อไง” นักบินตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่น
“ใครงอนคุณจะบ้าเหรอผมก็แค่...ง่วงเท่านั้นเอง”
“ถ้าง่วงก็นอนด้วยกันนี่ล่ะฉันเองก็เริ่มเพลียๆแล้วเหมือนกัน” พูดจบก็กระชับตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แน่นยิ่งขึ้น แล้วโน้มใบหน้าคมไปหอมแก้มหนึ่งฟอด “หอมจัง”
คนที่นอนขดตัวในอ้อมกอดหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ไม่รู้ทำไมยิ่งนานวันเขายิ่งรู้สึกเหมือนเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว หากวันไหนไม่โดนกอดโดนหอมแก้มเหมือนมันขาดอะไรไปสักอย่าง หวังว่าเขาคงไม่ได้ชอบนายคนนี้ไปแล้วหรอกนะ
“ปล่อยดิ” แทนที่จะตะโกนด่าเหมือนทุกครั้ง แต่ปลาวาฬกลับเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ตื่นแล้วค่อยปล่อยละกันนะ...เดี๋ยวจะพาไปเล่นน้ำทะเลดีไหม” นักบินเองก็ตอบกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ฟังแล้วอีกฝ่ายแทบจะละลายกองอยู่ตรงนั้นเสียให้ได้
“อื้ม” คนที่อยู่ในอ้อมกอดตอบรับเสียงเบา ก่อนจะหลับตาลงแล้วยิ้มน้อยๆออกมา
นักบินได้ใจจึงโน้มใบหน้าคมเข้าไปสูดกลิ่นกายที่หอมเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย ทั้งซอกคอและแก้มขาวนวลอย่างพอใจ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อปลาวาฬคืออะไรกันแน่ เพราะหัวใจมันเต้นแรงทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กันและมีความต้องการตลอดเวลาเมื่อได้สัมผัสกับเรือนร่างนี้...