ดอกท้อที่ ๕
หย่งคังกำลังพยายามปรับตัวกับครอบครัวใหม่
กิจวัตรประจำวันทุกอย่างของเด็กชายเปลี่ยนไปตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับหลี่ซื่อหลาง นับเป็นเวลาสัปดาห์กว่าๆ แล้ว ในทุกๆ เช้ามักจะเห็นพี่ชายคนโตลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างก๊อกแก้กๆ ในห้องครัว
“หย่งคัง เจ้าลงมาทำอะไรข้างล่าง?”
“…”
เขาไม่ตอบ
“ยังเช้าอยู่เลย เจ้าไม่กลับไปนอนหรือ?”
หลี่ซื่อหลางหันไปถามแวบหนึ่งก่อนจะสาละวนกับของที่อยู่ในหม้อต่อ “อา…ได้ที่สักที” หม้อที่ตั้งบนเตาส่งกลิ่นหอมฉุย ชายหนุ่มถูมือไปมาแล้วค่อยๆ ยกหม้อใหญ่ขึ้นจากเตาด้วยความระมัดระวัง
หลี่ซื่อหลางทำทุกอย่างได้คล่องแคล่ว เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วย่อตัวคุยกับเด็กชาย
“หย่งคัง เจ้าอยู่แถวนี้อาจจะบาดเจ็บได้ ข้ายังมีงานต้องทำ ดังนั้นขึ้นไปรอข้างบนก่อนดีหรือไม่?”
หย่งคังพยักหน้า เขาเรียนรู้ว่าถ้าทำตามคำสั่งก็จะไม่ถูกลงโทษ
...หากเด็กชายทำผิด…ผู้ชายคนนี้จะตีเขาหรือไม่นะ…“พี่ซื่อหลาง”
ฟานตงเพิ่งลงมาจากชั้นสอง เตรียมมาเป็นลูกมือช่วยขายน้ำเต้าหู้ในวันนี้ ทว่าสายตาบรรจบเข้ากับเด็กชายตัวเล็กพอดี
“เจ้าเตี้ยนี้มาวุ่นวายอะไร?”
“หย่งคังแค่สงสัยว่าข้ากำลังทำอะไรน่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว เจ้าช่วยพาเขาขึ้นไปนอนต่อทีสิ”
“ให้ข้าพาไป?!”
หลี่ซื่อหลางพยายามไม่สนใจสีหน้าบอกบุญไม่รับของน้องชาย “ใช่ เพราะตอนนี้มีแค่เจ้าที่ว่าง”
“ข้าจะมาช่วยท่านขายน้ำเต้าหู้ ข้าไม่ว่าง”
คนเป็นพี่เอ่ยเสียงอ่อน “ฟานตง”
“…ก็ได้!” ปากตอบตกลง แต่สายตาไม่ชอบใจกลับจ้องน้องเล็กที่ยืนเบียดหลี่ซื่อหลางอย่างกล้าๆ กลัวๆ ชนิดไม่วางตา
เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก!
“มาสิ! ตกลงจะไปไม่ไป?”
ฟานตงเหล่ตามองอย่างหงุดหงิด ชักเท้าหันหลังเดินกลับทางเดิม ทางด้านหย่งคังก็เอาแต่ชำเลืองมองหลี่ซื่อหลางเล็กน้อย ก่อนจะเดินคอตกตามฟานตงที่เดินล่วงหน้าไปก่อนหลายก้าว แต่ละก้าวส่งเสียงดังจากการกระแทกเท้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“พี่ซื่อหลาง นะ พี่ซื่อหลาง!”
เดินไปบ่นไป ฟานตงคิดว่านี้คงเป็นวิธีระบายความเครียดอย่างหนึ่งของเขา
“เลี้ยงหมาแมวยังพอว่า นี่เล่นไปเก็บเด็กที่ไหนมาเลี้ยงก็ไม่รู้! ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เฮ้อ!!”
หย่งคังยังคงก้มหน้าเงียบเดินต่อ ไม่เอ่ยเอื้อนคำใดออกไป เขาชินกับการทำตัวเป็นอากาศธาตุเสียแล้ว
“นี่! เจ้าเปี๊ยก”
ฟานตงหยุดเดิน ทำให้คนตัวเล็กชะงักฝีเท้าตามก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายช้าๆ
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าไปทำอะไรให้พี่ข้ายอมรับมาเลี้ยง แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า!” ฟานตงมีสีหน้าไม่พอใจ “คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ต่อให้เป็นแค่เด็กก็ใช่จะเดียงสา เจ้ามีแผนอะไร? หากคิดทำการอะไรบ้าๆ รับรองเจ้าไม่ตายดีแน่!”
ฟังจากเสียง จินตนาการออกเลยว่าคนพูดกำลังควันออกหู ฟานตงเดินตึงตังไปที่หน้าห้องนอนหลี่ซื่อหลาง ผลักคนตัวเล็กเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูใส่อย่างแรง
ปัง!
“แล้วไม่ต้องเสนอหน้าออกมานะ!”
หย่งคังยืนนิ่งๆ ในห้องนอนที่ไม่ได้จุดตะเกียง ห้องมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์รำไรสอดส่องทางหน้าต่าง ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้ามืดอยู่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา หย่งคงเห็นคนที่นอนข้างๆ ลุกขึ้นไปทำอะไรบางอย่างเป็นประจำ เจ้าตัวจึงนึกสงสัยก็เท่านั้น เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย
เด็กชายย่อตัวนั่งลงกับพื้นห้อง กอดเข่าตัวเอง
“ซื่อ…หลาง…”
ปากเล็กขยับพูดเสียงแผ่ว “ซื่อ…หลาง…ซื่อหลาง”
หย่งคังในวัยแปดปี ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้หนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้คำๆ เดียวที่ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกดึงขึ้นจากขุมนรกมีอยู่เพียงสองพยางค์
นั่นก็คือ
“…ซื่อหลาง…”-------------------------------------------------------------
ฟานตงไม่ชอบหน้าน้องเล็กคนใหม่เอาเสียเลย
แต่ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เช้านี้หลี่ซื่อหลางขอให้ฟานตงช่วยสอนงานให้หย่งคัง ช่วงที่พี่ชายคนโตยังยุ่งวุ่นวายอยู่หน้าร้าน คอยรับมือกับลูกค้า น้องชายสองคนจึงต้องทำหน้าที่หลังครัวเป็นกำลังเสริม
“เจ้าเปี๊ยก! ทำอะไรให้มันเข้มแข็งหน่อยสิ!”
คนตัวสูงกว่าตวาดลั่น ไม่ว่าคนตัวเล็กจะหยิบจับอะไรก็เหมือนจะผิดไปเสียหมด
“หย่งคัง! เจ้าเป็นมดหรือถึงได้มีแรงเท่านี้? นวดไป! ยังจะมามองหน้าอีก เดี๋ยวปั๊ด!”
ฟานตงทำท่าจะตวัดมือใส่อีกฝ่าย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำจริงๆ หรอก ถึงจะไม่ชอบหน้าแต่เขาไม่เคยลงมือกับคนที่ดูยังไงก็อ่อนแอกว่า จริงๆ แค่ได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวของมันก็สะใจแล้ว
“เจ้านวดแป้งแบบนั้นชาติไหนจะเสร็จ?”
หย่งคังก้มหน้า เขาก็พยายามทำเต็มที่อยู่นี่อย่างไรเล่า “ข้าทำตามที่ท่านบอก…”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ที่ถามไม่ได้ตั้งใจกวนประสาท แต่เพราะอีกฝ่ายพูดเบามากจนไม่ได้ยิน ต้องถามซ้ำ “เป็นลูกผู้ชายหัดพูดเสียงดังฟังชัด! เจ้าทำตัวหงอแบบนี้มีแต่ทำให้พี่ซื่อหลางเป็นห่วง อย่าทำให้พี่ชายข้าต้องเหนื่อยเพิ่มเพราะเจ้า!”
“…ขอโทษ…”
หลังของเด็กชายงองุ้มลงกว่าเดิม ฟานตงเห็นแล้วได้แต่เวทนาอยู่ในใจ
อะไรทำให้เจ้าเด็กนี้อ่อนแอถึงเพียงนี้?“เอาเถอะ” ฟานตงถอนหายใจ “ข้าจะสอนเจ้าใหม่ คราวนี้ตั้งใจดีๆ ล่ะ” คนตัวสูงกว่าไม่ตวาดอีกแล้ว ท่าทางดูใจเย็นลง หย่งคังจึงยืดตัวตรง มองดูอีกฝ่ายอธิบายวิธีการนวดแป้งปาท่องโก๋ ปั้นจนขึ้นรูปและวางลงบนถาด ต่อจากนี้หลี่ซื่อหลางจะเป็นคนจัดการเอาไปทอดเอง
“ไม่ยากใช่หรือไม่?”
อาจารย์จำเป็นเอ่ยถาม นักเรียนพยักหน้าแล้วลงมือทำตามเคร่งครัด
ฟานตงทำเพียงกอดอกมองดูเจ้าเปี๊ยกตั้งใจนวดแป้งอย่างขยันขันแข็ง ว่านอนสอนง่ายดี เว้นเสียแต่ดูอ่อนแอเหมือนผู้หญิงไปหน่อย โดนใครรังแกได้ง่าย เห็นแล้วน่าโมโหยังไงพิกล
“เจ้าเปี๊ยก”
“…ข้าชื่อหย่งคัง”…ชื่อที่ซื่อหลางเป็นคนตั้งให้
เด็กชายพูดออกไปไม่ทันคิด กว่าจะคิดได้ก็เห็นสีหน้าขัดใจของอีกฝ่าย
“เออ! ข้ารู้! ไม่ได้สมองเสื่อมถึงจะได้ลืมชื่อใครต่อใครเหมือนอย่างเจ้าที่แม้กระทั่งชื่อเดิมของตัวเองก็จำไม่ได้” ด้วยความว่าปากร้าย ฟานตงจึงพูดออกไปไม่คิดเช่นเดียวกัน
สีหน้าหย่งคังสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไม? เจ้าเจ็บใจที่ข้าต่อว่า?” ฟานตงเอ่ยถามเสียงค่อนแคะ “เช่นนั้นเหตุใดไม่รู้จักต่อสู้เพื่อตัวเอง เจ้าต้องมีพี่ซื่อหลางคอยปกป้องไปตลอดชีวิตหรือ?”
หย่งคังไม่รู้ว่าควรพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี เขาอยากอยู่กับหลี่ซื่อหลาง แต่ไม่อยากทำตัวเป็นภาระ
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!”
หางคิ้วฟานตงกระตุกรัว ความเครียดทะลุจุดยอดของปรอทความอดทน
“หากเจ้าอยากจะอ่อนแอแบบนี้ต่อไปจนตายก็เรื่องของเจ้า! แต่อย่าทำให้พี่ชายของข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ทุกวันนี้เขาก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังต้องมานั่งดูแลเด็กไม่รู้จักโตเช่นเจ้าอีก!” ฟานตงรู้สึกโมโหจนอยากเอาหัวโขกกำแพงจนสลบไปทั้ง อย่างนั้น แต่เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำให้หลี่ซื่อหลางหนักใจเพิ่ม ดังนั้นจึงเลือกที่จะค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง
“เจ้าเปี๊ยก”
“…”
“จงเก็บเรื่องที่ข้าพูดไปคิด”
ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป หย่งคังก้มหน้าคางชิดอก มองเท้าตัวเองด้วยความนึกสมเพช เขาอ่อนแอจริงๆ แม้กระทั่งตอนที่บิดาจะฆ่าตนก็ยังยอม
…
‘หลับเถิด คืนนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง’…
ทุกคืน หลี่ซื่อหลางจะจูบหน้าปากเขาแล้วพูดประโยคเดิม ย้ำเตือนว่าตอนนี้เด็กชายไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ไม่มีความจำเป็นต้องนึกถึงตนเองในอดีต ทิ้งความหวาดกลัว เขาไม่อยากเป็นเด็กอ่อนแอที่ไม่มีใครต้องการ
…ไม่อยากเป็นคนที่หลี่ซื่อหลางไม่ต้องการ…หาก
หย่งคัง หมายความว่า
ผู้แข็งแกร่งพรุ่งนี้…เด็กชายสัญญาว่าจะเปลี่ยนตัวเอง
-------------------------------------------------------------
หลี่ซื่อหลางนึกแปลกใจทุกครั้งที่เห็นเด็กชายตัวเล็กเมื่อสองเดือนก่อน บัดนี้กลายเป็นเด็กชายที่สุขภาพและรูปร่างสมบูรณ์มากขึ้น เริ่มมีกล้ามเนื้อนิดหน่อย ไม่แห้งแกร็นอย่างถั่วงอกแคระอีกแล้ว
แถมระยะหลังมานี้ หย่งคังกลับไม่นั่งเงียบเป็นเป่าสากเหมือนเก่า ขอสิบ แต่ทำให้ร้อย ขยันขันแข็งแซงหน้าฟานตงไปไกลลิบ
เขามองข้ามความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปได้อย่างไร?
ชายหนุ่มนั่งพิจารณาอีกครั้ง มองเห็นแววตาที่เจือความมุ่งมั่นบางอย่างอยู่ในนั้น เห็นแล้วยิ่งอดสงสัยไม่ได้
“หย่งคัง มานี้สิ”
หลี่ซื่อหลางกวักมือเรียกน้องเล็กที่ยกกองหนังสือออกจากห้องนอนของเขา “เจ้าทำอะไรอยู่ หืม?”
“เก็บของให้ท่าน”
“เก็บทำไมเล่า เหนื่อยเปล่าๆ” หลี่ซื่อหลางยกมือลูบหัวคนตัวเล็ก อีกฝ่ายรีบขยับเข้าหาฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นทันที
“ข้าอยากช่วย”
“ทุกวันเจ้าก็ช่วยข้าขายน้ำเต้าหู้จนหมดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“อยากช่วยอีก”
เพราะเป็นเด็กจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เขาเรียกประจบ หากเจตนาของเด็กชายก็มีแค่อยากให้หลี่ซื่อหลางไม่ทอดทิ้งตนเท่านั้น “ข้าจะทำตัวให้มีประโยชน์ ไม่อ่อนแอ ท่านอย่าไล่ข้าออกจากบ้านเลยนะ”
หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้ว “ใครจะไล่เจ้า?”
หย่งคังก้มหน้า ทำท่าจะแบกกองหนังสือออกไปจากตรงนี้โดยเร็วไว หากหลี่ซื่อหลางจับตัวไว้ทัน
“ตอบข้ามาก่อน”
“…ท่านจะไม่ทิ้งข้าใช่หรือไม่?”
รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคำถามที่สำคัญตัวสิ้นดี หากหย่งคังก็ยังคาดหวังในคำตอบ
“แน่นอนสิ” หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “พี่ใหญ่อย่างข้าไม่ทิ้งน้องชายหรอก ทั้งเจ้าและฟานตงเป็นครอบครัวเดียวกับข้านะ ตัวเล็กแค่นี้ทำไมคิดมาก?”
หย่งคังยิ้มตอบ แม้เป็นยิ้มที่เบาบางมาก แต่ข้างในซึ้งจนน้ำตาจะไหล
“…ขอบคุณ…พี่ใหญ่”-------------------------------------------------------------
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
สองปีมาแล้วที่หย่งคังย้ายมาอยู่กับหลี่ซื่อหลางและฟานตง เขาโตขึ้นเป็นเด็กชายวัยสิบปีที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ ไม่แห้งเหมือนถั่วงอกแคระอย่างที่ฟานตงมักจะค่อนแคะเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ถึงแม้พี่รองจะแสดงออกว่าหมั่นไส้เขาอยู่บ้าง หากก็ไม่เคยแกล้งเขาแรงๆ เลยสักครั้ง
“ก็เจ้านั่นแหละ!”
“ข้าก็สูงใกล้เคียงกับท่านแล้วนะ”
นั่นแหละที่น่าโมโห! ฟานตงทำสีหน้าเคียดแค้น แต่คนผ่านมาเห็นกลับมองว่ามันดูตลกมากกว่า
“ปวดหนักหรือฟานตง ตรงนี้ข้าเก็บเองก็ได้ เจ้าไปเข้าห้องน้ำเถอะ”
หลี่ซื่อหลางที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ไม่คิดจริงๆ ว่ากำลังดูถูกการแสดงความเคียดแค้นทางสีหน้าของฟานตงอย่างถึงที่สุด
“ข้าไม่ได้ปวดหนักเสียหน่อย! เถอะ! ข้าไม่อยากเสวนากับพวกท่านแล้ว ไปหาพี่ลี่ถิงดีกว่า”
ว่าแล้วก็ทิ้งของที่บอกจะช่วยเก็บเสียดื้อๆ วิ่งแจ้นออกไปหาเพื่อนสนิทต่างวัยในทันที หาใช่ความจริงอยากไประบายอารมรณ์ใส่หยงเทียนเสียมากกว่ากระมัง
“อะไรของเจ้าน้องคนนี้นะ”
หลี่ซื่อหลางรำพึงกับตัวเอง หันไปหาเจ้าน้องคนเล็กที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง “เจ้าไม่ต้องช่วยข้าเก็บก็ได้ หย่งคัง ไปหาอะไรทำเถอะ”
“ข้าช่วยท่านแหละดีแล้ว”
“เป็นเด็กก็ทำตัวให้เหมือนเด็กเถอะ ไม่ไปเล่นกับเพื่อนหรือไร?”
“ใครก็ดีไม่เท่าพี่ใหญ่หรอก” หย่งคังยิ้มจนตากลมกลายเป็นเส้นตรง “ข้าอยากอยู่ช่วยท่านมากกว่า”
หลี่ซื่อหลางไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เจ้าตัวไหวไหล่ “เอางั้นก็ได้”
ชายหนุ่มวัยยี่สิบสามหันไปสนใจกับหม้อน้ำเต้าหู้แทน เขานำมันไปล้างจนสะอาด กวาดถ้วยที่ล้างแล้วเช่นกันไปตากแดดให้แห้ง รวมรวมขยะเป็นถุงแล้วนำไปทิ้งที่จุดทิ้งสิ่งปฏิกูล
หลี่ซื่อหลางทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว
โดยหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของตนมีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องด้วยความชื่นชม หลงใหล และคลั่งไคล้จนปิดบังไม่อยู่
คนๆ นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน…
แต่กลับเป็นน้องเล็กหย่งคังของเขา!
“ซื่อหลาง!”
เสียงคุ้นหูเรียกชายหนุ่มจากหน้าร้าน เป็นจิ้งอี้ เพื่อนสนิทเขานั่นเอง
“เจ้าตัวเล็กมาด้วยหรือเปล่า?” ซื่อหลางเป็นโรคแพ้เด็กน่ารัก ยิ่งเห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่วันนี้เพื่อนสนิทอุ้มเตงๆ ติดมาด้วยก็เกิดอาการตัวสั่นไม่ทราบสาเหตุ
“ไหนๆ มาหาลุงซื่อหลางหน่อยซี่ มามะ ถิงถิงเด็กดี”
หลี่ซื่อหลางปรี่เข้าไปรับร่างทารกน้อยมาอุ้มด้วยความเอ็นดู ไถแก้มไร้หนวดเคราของตัวเองกับแก้มใส เด็กน้อยส่งเสียงร้องเอิ้กอ้ากชอบใจ มือน้อยๆ ขยำหน้าคนเป็นลุงอย่างสนุกมือ ขณะเดียวกัน คนเป็นลุงก็มีความสุขกับมือนิ่มๆ ของหลานเช่นกัน
“ไม่เห็นหัวพ่อถิงถิงมันเลยนะ”
จิ้งอี้ทำสายตาเขม่น ก่อนจะดึงลูกสาวสุดหวงมาอุ้มเสียเอง “วันนี้ขายหมดไวจัง นี่เมียข้าอุตส่าห์สั่งให้มาอุดหนุนเจ้าแท้ๆ ออกมาเสียเที่ยวเลย”
“ข้ามีตัวเรียกลูกค้าเพิ่ม ก็ย่อมหมดเร็ว”
“หย่งคัง?”
“แน่นอน เขาหล่อเหมือนข้า น่ารักเหมือนฟานตง”
จิ้งอี้มีสีหน้าระอา “ได้ข่าวว่าทั้งเจ้า ฟานตงแล้วก็หย่งคังไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด”
“เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ แต่ชะตามันต้องกัน” หลี่ซื่อหลางยักไหล่ก่อนจะหันไปยิ้มเผล่ให้หนูน้อยถิงถิง “เน้อออออ หลานลุง เนอะเนอะ”
พอกับคนใกล้ตัว หลี่ซื่อหลางก็จะเป็นกันเองแบบนี้ บ่อยครั้งทำให้คนที่รู้จักกันเผินๆ แปลกใจ และหลงเสน่ห์เจ้าตัวได้ไม่ยาก แต่หากไม่สนิทชิดเชื้อจริงๆ คงได้แต่เห็นหลี่ซื่อหลางในคราบผู้ชายแสนสุภาพ เรียบร้อยและถ่อมตนนั้นแล
“ช่วงนี้เจ้าดูผอมลงหรือเปล่า”
จิ้งอี้เอ่ยทัก มือข้างที่ว่างจับแขนที เอวที สะโพกทีจนฝ่ายโดนจับหน้าร้อนวูบ “จับอะไรของเจ้า!”
หากหย่งคังที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกลับมีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนเสียยิ่งว่าหลี่ซื่อหลางซะอีก อย่าจับนะ! นั่นพี่ใหญ่ของข้า! ต่อให้ อยากตะโกนออกไปแล้วจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน แต่หย่งคังในวัยสิบสามปีไม่มีปัญญาทำถึงเพียงนั้น
“ซื่อหลาง ข้าเกรงว่าเจ้าจะโดนฟานตงกับหย่งคังแย่งสารอาหารไปหมดเสียแล้วกระมัง”
“ข้าก็เหมือนเดิม” ว่าแล้วก็ก้มมองตัวเอง พักนี้อาจจะผอมลงจริงๆ นั้นแหละ
“เอาเถอะ ดูแลตัวเองเสียบ้าง” จิ้งอี้บอกด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่ ซื่อหลาง”
“หือ?”
“เหมยหลินถามถึงเจ้าอีกแล้วนะ”
มือที่เล่นกับหนูน้อยถิงถิงถึงกับชะงัก ไม่ต่างกับหย่งคังที่แอบฟังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ทั้งฟานตงและหย่งคังเองก็เริ่มดูแลตัวเองได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“โตแค่ไหนพวกเขาก็เป็นแค่เด็กสำหรับข้าเสมอ” คำพูดนี้ไม่ทำให้หย่งคังรู้สึกดีเท่าไหร่ เขาอยากโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อดูแลหลี่ซื่อหลาง…เอ่อ แน่นอนว่าฟานตงด้วย หากเจ้าตัวต้องการ
“งั้นพูดกันตรงๆ เมื่อไหร่เจ้าจะใจอ่อนกับน้องสาวข้าเสียที”
ร่างโปร่งเงียบไปสักพัก “ข้าไม่ได้คิดกับนางแบบนั้น”
คำตอบของหลี่ซื่อหลางคราวนี้ทำให้หย่งคังอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้
“แต่งแล้วเดี๋ยวใจเจ้าก็เปลี่ยนเอง”
“ข้ารู้ใจตัวเองดี จิ้งอี้ สำหรับข้า เหมยหลินเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น”
เพื่อนสนิทที่กลายมาเป็นพ่อลูกหนึ่งถอนหายใจเฮือก “ข้าหวังดีนะ ไม่อยากแต่งกับน้องข้าก็ไม่เป็นไร แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าแก่ตัวไปโดยไร้ภรรยาและลูก มันดีมากนะถ้าเจ้ามีใครสักคน เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนเวลาเจ้ามีฟานตงหรือหย่งคัง เจ้าเข้าใจที่ข้าหมายถึงหรือไม่? ซื่อหลาง”
หลี่ซื่อหลางยิ้มรับ ตบบ่าเพื่อนสนิทปุๆ “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้ข้าจะเก็บไปคิดนะ”
“แค่เก็บไปคิดข้าก็ดีใจแล้ว” จิ้งอี้ยิ้มออก “หากคิดจะตบแต่งใครจริงๆ คิดถึงน้องสาวข้าเป็นคนแรกก็ดี”
“เจ้านี่นะ!”
หลี่ซื่อหลางส่ายหัวระอาก่อนจะขอตัวกลับไปเก็บร้านต่อ หลังจากแยกย้ายกันไป ชายหนุ่มก็เพียงหันไปเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้าที่ก็ถือเป็นอันเสร็จงานแล้ว
“พี่ใหญ่”
“หืม?” หลี่ซื่อหลางหันไปมองหน้าน้องเล็กที่เดินเข้ามากอดเอวเขาแน่น
ดูๆ ไปแล้วหย่งคังก็โตเร็วเหมือนกันนะ แปบๆ ก็สูงเท่าอกเขาแล้ว ไม่นานคงสูงแซงหน้าฟานตง แล้วก็แซงหน้าเขาเป็นแน่ คนเป็นพี่นึกภาพแล้วก็อดภูมิใจขึ้นมาไม่ได้
“ยิ้มอะไรของท่าน?”
“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าอยู่น่ะ” หลี่ซื่อหลางไม่รู้เลยว่าคำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้ แก้มผิวสีน้ำผึ้งที่เกิดจากการออกแดดบ่อยครั้งขึ้นสีแดงระเรื่อลามไปถึงใบหู หย่งคัดเกาจมูกตัวเองแก้ขัดเขิน
“ท่านภูมิใจอะไรในตัวข้า พี่ใหญ่”
“ทุกอย่างแหละ”
ถึงตายข้าก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว หย่งคังคิดกับตัวเองเช่นนั้นจริงๆ
“ข้าอยากได้รายละเอียด”
“อ่า…” หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าขบคิด “ถ้าเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน เจ้าทั้งหล่อทั้งสูง อีกไม่นานคงกลายเป็นหนุ่มรูปงามที่มีสาวมาเที่ยวขายขนมจีบไม่เว้นวันเป็นแน่”
“แค่นี้เองหรือ?” หย่งคังแสดงสีหน้าผิดหวังนิดๆ
เขามีดีที่หน้าตาอย่างเดียวหรือไร?“…แล้วเจ้าก็เข็มแข็ง ขยัน เป็นหย่งคังที่ดีของข้ามาตลอดน่ะสิ เจ้าเด็กขี้ใจน้อย” หลี่ซื่อหลางหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งน้องเล็ก ดูท่าหย่งคังจะเอานิสัยขี้งอนมาจากฟานตงมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยทีเดียว
พอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าหย่งคังก็ดูมีความหวังมากขึ้น “ข้าเป็นหย่งคังที่ดีของพี่ใหญ่”
“ใช่แล้ว”
หากหย่งคังยังรู้สึกไม่พอใจกับสถานะนี้
…เขาจะเป็นคนรักที่ดีของพี่ใหญ่ด้วย…-------------------------------------------------------------
ขณะที่หยงเทียนกำลังขะมักเขม้นกับการจับ เจ้าสำลี หมาขนยาวสีขาวตัวสูงใหญ่พอๆ กับเด็กห้าขวบให้อยู่นิ่งๆ ในกระบะอาบน้ำอยู่นั้น ฝ่ามือล่องหนที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นก็ตบฉาดเข้าที่หัวอย่างจัง
ป้าบ! เข้าให้
“โอ้ย!” เผลอปล่อยสายจูงเจ้าสำลีจนมันวิ่งหนีหายเข้าบ้าน หมดโอกาสจับสุนัขอาบน้ำแล้วในเช้าวันนี้
“หยงเทียน! ข้าหงุดหงิด!”
“อยู่ใกล้แค่นี้เจ้าจะตะโกนเพื่อ?” หยงเทียนที่ปัดนี้กลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างกายบึกบึนด้วยมัดกล้ามจนเป็นที่หมายปองของหญิงสาวชวนให้อารมณ์หงุดหงิดของฟานตงเพิ่มสูงขึ้น ทนไม่ได้ต้องระบายโดยการทุบกำปั้นลงบนหน้าท้องที่แน่นไปด้วยลูกระนาดหกลูกเรียงตัวกันอย่างสวยงาม
…หากคราที่ก้มลงดูหน้าท้องตัวเองบ้าง…
นอกจากจะไม่มีกล้ามเนื้อใดๆ แล้ว ยังมีแต่แหล่งสะสมไขมันจำนวนมากอีกต่างหาก!
คิด! แล้ว! แค้น!
“เป็นอะไรมาต่อยท้องข้า?”
ไม่สะเทือนแล้วยังมีหน้ามาเหล่ตามองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามอีก! (คิดไปเอง) คิดว่าสูงกว่าแล้วจะสามารถถือตัวข่มท่านได้งั้นหรือหยงเทียน?!
“ข้าหงุดหงิด!”
“เรื่องหย่งคัง?”
ฟานตงหันไปมอง “เจ้ารู้ได้ไง!”
“จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้เจ้าวิ่งแจ้นมาหาข้า” หยงเทียนก้มเก็บอุปกรณ์ที่จะใช้อาบน้ำให้เจ้าสำลีเข้าที่ ก่อนจะจูงมือเพื่อนสนิทเข้าไปนั่งในสวน
“ไปหาพี่ลี่ถิงก่อนข้าหรือเปล่า?”
“เออ ข้าไป แล้วเจ้าจะทำไม?”
หยงเทียนเม้มริมฝีปาก “พี่ลี่ถิงเขาจะแต่งงานอยู่แล้ว คราวหลังไม่ต้องไปรบกวน”
“ข้าสนิททั้งกับพี่ลี่ถิง ทั้งเหมยลี่ ว่าที่ภรรยาของเขา ไม่เห็นมีอะไรรบกวน ก็ถือเสียว่าไปเยี่ยมเยียนเท่านั้น” ฟานตงอธิบาย แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าตนจำเป็นจะต้องอธิบายไปทำไม “ช่างเรื่องพี่ลี่ถิงเถอะ ข้ามีเรื่องหนักใจมากกว่านั้น!”
“ว่ามาสิ”
ทั้งสองนั่งลงที่ม้านั่งในสวนหน้าบ้านของหยงเทียน “หย่งคังมันสูงจะทันข้าแล้ว!”
คนฟังเงียบไปสักพัก หันไปมองหน้าคนพูดด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“แค่นี้?”
“แค่นี้ที่ไหน!”
ฟานตงโพล่งตัวขึ้นจากม้านั่ง ลำบากหยงเทียนต้องฉุดให้นั่งลงอีกรอบ ก่อนเจ้าตัวจะระบายความอัดอั้นตันในใจต่อ “เรื่องนี้ใหญ่มากเลยนะ! หากเจ้านั่นสูงแซงหน้าข้าเมื่อไหร่ ข้าก็จะกลายเป็นคนที่เตี้ยที่สุดในสามพี่น้อง แม่นางตระกูลไหนจะเหลียวมองข้ากัน? ข้าไม่ต้องนั่งตบยุงไปจนแก่หรือ?! แล้วหาก…”
หยงเทียนพยายามฟังฟานตงพรั่งพรูสิ่งที่ตนรู้สึกเจ็บปวดใจไปต่างๆ นาๆ หากสายตาคมเข้มกลับค่อยๆ เลื่อนลงไปหยุดมองที่ริมฝีปากคนพูดแทน มองมันขยับบ่นไปมาไม่ขาดสาย กระนั้นหยงคังก็ชอบที่จะนั่งมองอย่างเงียบๆ
หากได้ลิ้มลองจะเป็นเช่นไรหนอ?“…แล้วนะ พอข้าเรียกเจ้านั่นว่าเปี๊ยก อีกหน่อยคำนั้นมันคงกระทบข้าแทนกระมัง!”
“…”
“นี่เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า?”
หยงเทียนกระพริบตาได้สติกลับคืน “อืม…”
“เฮ้อ! ข้าล่ะเพลีย ทำอย่างไรถึงจะสูงใหญ่บึกบึนสมชาย เจ้ามีเคล็ดลับอะไรบอกข้ามานะ!”
“เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
“ก็บอกอยู่ว่าไม่ดี! ฟังที่ข้าเล่าไปบ้างหรือเปล่า ข้าเพิ่งบอกไปอยู่ว่า…”
แล้วฟานตงก็เริ่มเล่าเรื่องใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
…ขณะเดียวกัน…
หยงเทียนก็แอบมองริมฝีปากของฟานตงอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายเช่นกัน -------------------------------------------------------------
To be continued...
Talk : ต้องขอโทษที่หายไปหลายวันนะคะ *ร้องไห้*
พอดีว่าติดทำค่าย เลื่อนมาลงวันนี้แทนแล้วกันเนอะ
น้องหลงโตขึ้นล้าวววววว ท่าจะหล่อซะด้วยยยย
แบบนี้จะมัดใจพี่ซื่อหลางได้หรือเปล่าน้า รอติดตามนะคะ!