๑๕
...ให้ตายเถอะ
ทเวนดึงสลักประตูปิดอย่างเชื่องช้า ถอนใจยาว อาการปวดศีรษะยิ่งทียิ่งรุมเร้า ภาพทุกอย่างที่มองเห็นเดี๋ยวเบลอเดี๋ยวชัดจนยากจะแยกแยะว่าเป็นฝันหรือความจริง ชายหนุ่มนวดขมับ หมุนกายกลับมาสู่โถงทางเดิน แล้วต้องอึ้งไปกับภาพที่เห็น
กองกำลังทหารขนาดย่อมยืนเรียงหน้ากระดาน หันปากกระบอกปืนไรเฟิลมาที่เขาเป็นจุดเดียว
อย่างงุนงง นัยน์ตาสีไพลินกวาดมองไปรอบตัว ก่อนที่ความร้อนรุ่มในกายจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกยามสบสายตาเข้ากับเอเฟ็ท โอมาลนอฟ
นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ...อัยการหนุ่มพยายามตั้งสติ หันกลับไปที่ประตูช้าๆ เคราะห์ดีที่เมื่อครู่เขาไม่ได้ล็อคห้องไว้ เพราะไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงก็ตาม แต่ถ้าต้องมาตายด้วยฝีมือว่าที่พ่อตาจอมโหดก็ออกจะดูใจร้ายกับตัวเองไปสักหน่อย
ยิ่งพวกทหารและเอเฟ็ทยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่เช่นนั้น ทเวนก็ยิ่งมั่นใจว่าเขากำลังฝันร้าย มือเรียวคว้าแกนประตูไว้มั่น กำลังจะเปิด ก็พอดีแว่วเสียงกริ๊กเบาๆมาจากข้างใน
“เฮ้ย! เปิดสิวะ”
เสียงทุ้มสั่งลั่นโดยไม่คิดเกรงกลัวลูกตะกั่วจากด้านหลังเลยสักนิด
“ขอโทษนะ แต่ฉันคงทำตามคำขอไม่ได้”
เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เอ็ดเวิร์ด แต่เป็นใครอีกคนที่ทเวนคิดว่าคงกุมบังเหียนไว้ได้แล้วแน่ๆ ฉะนั้นจึงไม่มีวันยอมให้เขาเข้าไปทำลายบรรยากาศเด็ดขาด
แต่นี่มันเอาชีวิตของฉันเป็นเดิมพันเลยนะโว้ย!...ชายหนุ่มตะโกนลั่นในใจ
เป็นเวลาเดียวกับที่สัมผัสบางคมเย็นเฉียบวางแปะลงมาบนต้นคอ
“ฉันคิดว่า...เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ พ่อลูกสะใภ้”
โทนเสียงทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา ส่งให้คนถูกเรียกหันกลับไปประจันหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
“เอ่อ...ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ...คุณพ่อ”
พูดออกไปแล้ว ทเวนก็เลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองเมื่อเห็นคู่สนทนาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ... ซึ่งก็ไม่รู้ว่าประหลาดใจในความกล้าหรือความหน้าไม่อายของเขากันแน่ เขาฝืนยิ้มไปให้โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากองทหารด้านหลังทั้งหมดแทบจะโยนปืนทิ้งแล้วปรบมือให้กับความใจกล้าของว่าที่สะใภ้ชายคนนี้
แววตาของเอเฟ็ทเปลี่ยนแปลงไป มุมปากผู้สูงวัยกว่ายกขึ้นนิดๆราวจะยิ้ม...
“ทเวน!”
เด็กหนุ่มในชุดแต่งกายประจำชาติเต็มยศวิ่งฝ่าทหารเข้ามา ก่อนกระโดดกอดคนรักแบบไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“จาเรฟ ไม่เห็นรึว่าพวกพ่อคุยธุระกันอยู่” เป็นเสียงเอเฟ็ทที่เอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ
จาเรฟเหลือบมองบิดาด้วยหางตาแล้วเบะปาก
“ผมคิดว่าพวกเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะฮะ คนที่พ่อมีธุระด้วยจริงๆน่ะอยู่ทางนู้น”
เด็กหนุ่มชี้ไปยังประตู “ส่วนทเวนน่ะ...มีธุระกับผมฮะ”
และโดยไม่รอฟังคำตอบ มือเล็กพลันคว้าแขนชายหนุ่มให้เดินตามไปทันที
“เดี๋ยว...เดี๋ยวสิเรฟ เมื่อกี้เหมือนพ่อนายมีอะไรจะพูดกับฉันจริงๆนะ”
ทเวนพยายามทัดทาน หากไร้ผล จาเรฟเอาแต่พาเขาเดินมาจนถึงห้อง รุนหลังให้ชายร่างสูงก้าวเข้าไป แล้วปิดท้ายด้วยการลงกลอนอย่างแน่นหนา
“ทเวนฮะ”
“หืม?”
“ผมคิดถึงทเวน...”
ถ้อยคำหวานมิอาจเรียกหรือหยุดคนที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าได้เลย
ในความเงียบสงัด ทเวนเดินช้าๆไปหยุดอยู่กลางห้อง ให้เท้าเปลือยเปล่าเหยียบ
ลงบนพรมนุ่ม ปล่อยอารมณ์ผ่อนคลายให้โอบกอดจิตใจอันยุ่งเหยิงของเขาเอาไว้
แรงกอดกะทันหันจากด้านหลังส่งให้ชายหนุ่มสะดุ้ง ดวงตาสีไพลินมองลอดแขนกลับไป แล้วเห็นสีหน้าเศร้าหมองของคนรักที่อ่อนเยาว์กว่าชัดเจน
“อะไรหรือ เรฟ” มือเรียวเอื้อมหมายจะลูบศีรษะทุยได้รูป แต่กลับถูกปัดทิ้ง
ทเวนก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “เป็นอะไรไป งอนอะไรอีกแล้วล่ะ”
ผิดคาด ที่จาเรฟไม่ได้เถียงกลับหรือส่งสายตาเง้างอนมาให้
มือเล็กเพียงแค่คลายอ้อมกอดจากเอวคอดหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ ก่อนเจ้าตัวจะผละไปอย่างเงียบงัน นัยน์ตาหลุบต่ำมองปลายเท้าตลอดเวลา
“จาเรฟ?” ทเวนรีบคว้าบ่าคนตรงหน้าเอาไว้ทันควัน “เฮ้! ไม่เอาน่า”
“ทเวนเบื่อผมแล้วใช่มั้ยล่ะ”
จู่ๆเสียงสั่นสะท้านก็เอ่ยขึ้น และมันทำให้คนถูกถามชะงัก
จาเรฟเหลียวกลับมามองด้วยน้ำตานองหน้า เอ่ยเสียงสั่นเครือ
“แล้วพอเบื่อมากๆเข้า ก็ทิ้งผมไป ไม่เหลียวแลผมเลย...อย่างตอนนี้ไง”
“เฮ้ย...เดี๋ยว เรฟ นี่น่ะมัน...”
เสียงทุ้มกระอึกกระอักพยายามอธิบาย ในขณะที่ดวงตาคมกริบแลตามคนรักที่ปีนขึ้นไปกอดเข่าร้องไห้บนเตียงอย่างร้อนรน
“เรฟ อย่าร้องไห้”
บอกได้แค่นั้นเขาก็เงียบลง นึกหงุดหงิดจนทำอะไรไม่ถูก
...อะไรกันอีกวะ
แม้จะยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่สมองกลับสั่งการให้เขาไปง้ออีกฝ่ายเสีย
และในที่สุด ทเวนก็คิดแผนการง้อออก
ซึ่งก็ติดอยู่แค่ว่า...เขาจะกล้าทำมันหรือเปล่า...แค่นั้นเอง
“จาเรฟ โอมาลนอฟ”
ชื่อเรียกเต็มยศทำให้ใบหน้าหวานเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ
แล้วจาเรฟก็ได้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มแดงก่ำ ยามเจ้าตัวก้มลงถอดกางเกงชั้นในออกมาท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของคนมอง
“อะ...ทะ...ทเวน...ทำอะไรน่ะ”
เด็กหนุ่มรีบซุกหน้าลงกับฝ่ามือทันทีเมื่อรู้สึกตัว
“อย่าปิดตาสิโว้ย!” ทเวนตวาดลั่นพร้อมขว้างกางเกงในทิ้งไปกองบนตักอีกฝ่าย ก่อนจะเดินตามไปยังปลายเตียง สายตาจับจ้องจาเรฟตลอดเวลา
“เอาของนายคืนไป...ทั้งหมดเลย”
พร้อมกับบอก ทเวนคุกเข่าลงถอดชุดจิลบาออก ส่งมันคืนให้กับจาเรฟที่รับไปอย่างงุนงง ชายหนุ่มในยามนี้มีเพียงตัวเปล่าเปลือย เปิดเผยมุมเร้นลับทุกสัดส่วนของร่างกายให้คนรักได้เชยชมเต็มตา นัยน์ตาสีไพลินปิดสนิทขณะหันศีรษะไปด้านข้างจนเห็นแผลบนลำคอที่เกิดจากคมดาบแห่งตระกูลโอมาลนอฟ
“แผลนี่ก็ด้วย นายจะรับผิดชอบมันยังไง”
จาเรฟนั่งอ้าปากค้าง ลมหายใจติดขัดกับภาพเชิญชวนตรงหน้า แล้วยิ่งสะดุ้งเมื่อถูกมืออุ่นกอบกุมไว้ อยากสลัดทิ้งด้วยความประหม่า แต่สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังจนเขาไม่กล้า จาเรฟจึงได้แต่นั่งตาค้างรอให้ทเวนปล่อยมือไปเอง เด็กหนุ่มลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยน้อยใจเรื่องอะไร ความสับสนบดบังความโศกเศร้าในใจไปจนสิ้น
นัยน์ตาสีฟ้าใสมองแต้มสีกุหลาบบนแผงอกกว้างของคนรักอย่างเลื่อนลอย
ทเวนเอนกายนอนบนพรมนุ่ม ส่งให้รอยสวาทบริเวณต้นขาด้านในกระจ่างชัดแก่สายตา
แต่อะไรก็ไม่เซ็กซี่เท่าหยาดน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลย้อมหลืบแคบสวยนั่นเลย
ไม่มีอะไรสู้ได้เลย
“นี่...ของของนายที่อยู่ในตัวฉันก็เหมือนกัน ทั้งเหนอะหนะน่ารำคาญ แถมยัง...”
คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายกลับลงไปในลำคอ ดวงหน้าขาวคมแดงจัด เมื่อนึกย้อนกลับไปสมัยแรกเริ่มที่ยังไม่ค่อยรู้ความ ครั้งนั้นทำให้เขามีไข้สูงแถมยังท้องเสียจนแทบไม่ได้นอน...บ้าฉิบ ทเวนนึกอยากยกเลิกแผนขอคืนดีเสียกลางคันจริงๆ
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังถูกความคิดของตัวเองปั่นป่วนอยู่ จาเรฟก็กำลังพยายามกดความตื่นตัวตรงหว่างขาลงอย่างสิ้นหวัง กระนั้นแววตาโหยกระหายกลับจ้องมองภาพเบื้องหน้าไม่ลดละ
และแล้วเพลิงปรารถนาอันร้อนรุ่มก็กลืนกินร่างเด็กหนุ่มเข้าไปทั้งตัว ร่างโปร่งกระโจนใส่ชายหนุ่มด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี สัมผัสอุ่นเกร็งสั่นระริกบดเบียดช่องทางคับแคบส่งให้ทเวนสะดุ้ง ลิ้นรุกรานเกี่ยวกระหวัดกับริมฝีปากที่เผยออ้าอย่างไม่รอช้า นานเหลือเกิน กว่าปีศาจตัวน้อยจะยอมปล่อยเหยื่อในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ
“ทเวนมีไข้นี่นา” เด็กหนุ่มเอ่ยตาปรอย ท่าทางน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด
คนถูกถามทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ อ้าปากจะโต้ตอบ ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับมีแต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปนตกใจเท่านั้น
“อ๊า!” ทเวนแอ่นกายสะท้านยามรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามาในร่าง ชายหนุ่มพยายามหนี แต่ถูกจาเรฟที่รู้ทันกอดเอวไว้ พร้อมกระแทกอาวุธแทงลึกเข้ามา
“โอ๊ย! อะ...อา...” หยาดน้ำตาไหนรินลงมาอย่างสุดกลั้น ทเวนรีบปาดน้ำตาทิ้งและเสยผมชุ่มเหงื่อที่ปรกหน้าผากออก “นะ...นี่นายหลอกฉันใช่ไหมเนี่ย”
ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้อ่อนวัยกว่านิ่งงันไปทันที สีหน้าหวานละมุนฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง...ในแบบที่ทเวนให้คำนิยามว่า...น่าถีบ
“ทเวนเพิ่งรู้เหรอ”
“...รู้อะไร”
“ก็...” จาเรฟเว้นวรรค และกระแทกกายซ้ำจนคนที่รอฟังคำตอบอยู่ถึงกับร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเจือปรารถนา
จาเรฟยิ้มอย่างร้ายกาจ “...รู้ว่าเรฟไม่ได้โกรธจริงๆไงฮะ”
ราวสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ชายหนุ่มนอนนิ่งราวกับรูปปั้น ทั้งอายทั้งเจ็บใจที่ถูกหลอก ทเวนผลักจาเรฟออกไปท่ามกลางเสียงประท้วงของคนข้างตัว แต่พลันที่ยันศอกลุกขึ้นนั่ง ทิวทัศน์รอบกายทั้งหมดก็พร้อมใจกันหมุนติ้ว หอบเอาร่างของเขาให้ล้มลงไปนอนอีกครั้ง
“เสร็จผมล่ะ”
“เฮ้ย! เรฟ อย่า! อ๊ะ...”
เสียงฉ่ำชื้นน่าอายเบื้องล่างดังขึ้น เป็นเวลาเดียวกันกับที่ทเวนรับรู้ว่าร่างกายนั้นไม่ใช่ของตนอีกต่อไป
มันตกเป็นของปีศาจในคราบเด็กชายไปเสียแล้ว
“ไอ้เด็กหื่นกาม...นิสัย...แย่ที่สุด”
“ถึงจะหื่น ถึงจะนิสัยแย่...แต่ทเวนก็รักผม” จาเรฟแก้ข้อกล่าวหาอย่างมั่นใจ
“หลงตัวเอง...”
ทเวนตอบโต้ได้แค่นั้น จุมพิตแสนหวานก็ปิดประทับลงบนริมฝีปากของเขา
พิษไข้ที่รุมเร้า และความอ่อนหวานรัญจวนใจเกินจะต้านทานส่งให้ชายหนุ่มผู้แข็งกระด้างถึงกับหมดสิ้นเรี่ยวแรงขัดขืน ได้แต่ปล่อยให้ความรักอันรุนแรงของจาเรฟโอบกอดเอาไว้อย่างไม่เต็มใจ
บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลโอมาลนอฟเดินกระแทกเท้าวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง สองจิตสองใจว่าจะสั่งทหารให้พังประตูเข้าไปดีหรือเปล่า...เพราะรู้ดีแก่ใจว่าคนข้างในกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่อีกใจก็อยากจัดการธุระให้เสร็จเรื่องไป
“ท่านเจ้า...ดูท่าทางเขาจะทรมานมากเลยนะขอรับ”
เสียงจากหัวหน้าทหารองครักษ์เอ่ยอย่างร้อนรน
“ปล่อยไป” เอเฟ็ทบอกราบเรียบ “กลับไปยืนประจำที่ซะ”
ชายวัยกลางคนหันหน้าเข้าหาประตู คล้ายไม่ปรารถนาจะเห็นสายตาไม่เข้าใจนับสิบคู่ซึ่งจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว
...มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะอธิบาย
เอเฟ็ทนึกสงสารความไร้เดียงสานั้นของคนเหล่านั้นเหลือเกิน
ทหารทุกนายที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกองกำลังส่วนตัวแห่งตระกูลโอมาลนอฟล้วนแล้วแต่เป็นเด็กกำพร้าทั้งสิ้น ทุกคนจะต้องผ่านพิธีการที่ทำให้ หมดความรู้สึกทางกามารมณ์ ไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อป้องกันการไขว้เขวจากหน้าที่ของทหารฝึก
ทว่าในสมัยของเอเฟ็ท โอมาลนอฟ พิธีการดังกล่าวได้ลดทอนลงมาเหลือแค่ทำให้หมดความสามารถในการร่วมรัก แต่ความรู้สึกยังมีครบทุกประการ ฉะนั้นจึงมีกฎสูงสุดบัญญัติไว้ว่า คนในคฤหาส์โอมาลนอฟจะต้องมีสัมพันธ์กับคู่ของตนในห้องหับที่มิดชิด นั่นเท่ากับว่า ทหารองครักษ์แห่งตระกูลโอมาลนอฟจะไม่มีวันได้เห็น ‘ภาพ’ ที่จะ
นำไปจินตนาการให้เกิดความรู้สึกขึ้นได้ พวกเขาเหล่านั้นไม่อาจแยกแยะระหว่างเสียงร้องด้วยความทรมาน กับเสียงร้องครางครวญรัญจวนใจออก
ในที่สุด ความอดทนก็มาถึงขีดจำกัด เอเฟ็ทยกมือขึ้นเคาะประตูรัว ตวาดลั่น
“สการ์เฟส! แกกำลังทำให้เด็กๆของฉันฝันร้าย เข้าใจไหมวะ เลิกบ้าได้แล้ว”
ยินเสียงสุขุมตอบกลับมาเพียงว่า “อีกเดี๋ยว จะเสร็จแล้ว”
ช่างเป็นคำพูดที่ชวนให้หงุดหงิดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะกับคนระดับเอเฟ็ทที่ปกติควรจะเป็นคำเอ่ยคำนั้น ไม่ใช่คนรับฟัง!
“ไอ้สการ์เฟส...”
“ท่านเจ้าครับ ขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่งที่มาขัดจังหวะการสนทนา”
นัยน์ตาคมกริบราวตาเหยี่ยวตวัดฉับไปยังชายหนุ่มที่ยืนค้อมกายอยู่เคียงข้าง ก่อนเก็บกลืนคำต่อว่าทั้งมวลไว้ในใจ รอคอยให้อาฟซาลเอ่ยคำรายงานอย่างสุขุม
“นายทหารอากาศที่ออกลาดตระเวนแจ้งรายงานมาว่า พบนายน้อยบารากัตกับนายน้อยชาคิลแล้วครับ ทั้งสองกำลังมุ่งหน้ากลับมายังคฤหาสน์ คาดว่าอีกไม่เกิน 20นาทีจะมาถึงอย่างแน่นอน”
“แล้วพาหนะเดินทางล่ะ?” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“...เป็นอูฐที่มีลักษณะตรงกับจูมาน่าที่หายไปของท่านฮาคิมเลยครับ”
สองร่างที่กอดก่ายทาบทับจนแทบหลอมละลาย เนื้อตัวร้อนระอุด้วยแรงปรารถนาอันยาวนาน ชายหนุ่มร่างสูงสะกดลมหายใจหนักหน่วงของตนเอาไว้ยามก้มลงกระซิบคำสั่งแสนหวานแก่ร่างเบื้องใต้
“ขยับต่อสิ เอ็ดเวิร์ด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตาแก่นั่นจะพังประตูเข้ามาแล้วนะ”
“อื้อ...” อีกฝ่ายส่ายหน้า แต่กลับคลานถอยหลังมาหาแม็กเกล ส่งให้บทรักที่หยุดลงกะทันหันเริ่มติดเชื้อไฟอีกครั้ง
ชายหน้าบากก้มลงขบใบหูแดงก่ำเบาๆ ขยับกายท่อนล่างเป็นการกระตุ้น
คล้ายผู้อ่อนวัยกว่าจะรับสัญญาณนั้นได้ เพราะพลันที่แรงบดเบียดดันลึกเข้ามา อัยการหนุ่มก็กระดกร่างรับมันเข้าไปสุดทาง และตอดรัดแน่นเสียจนผู้บุกรุกคำรามในลำคอลั่น แม็กเกลจับสะโพกเอ็ดเวิร์ดไว้ ก่อนกระทั้นกายใส่รัวเร็วจนถึงจุดสูงสุดแห่งห้วงหฤหรรษ์พร้อมกัน
หลังกิจกรรมอันเหนื่อยอ่อน ชายทั้งสองนอนพักบนเตียงใหญ่ หอบหายใจหนักเหมือนคนขาดอากาศมาเนิ่นนาน โดยเฉพาะเอ็ดเวิร์ดที่ซุกหน้าลงกับหมอน เก็บซ่อนความอับอายไว้อย่างเต็มเปี่ยม
...ทั้งที่ปากบอกว่าไม่ แต่พอถูกสัมผัสเล้าโลมรุกเร้า เขากลับเพลี่ยงพล้ำอย่างง่ายดาย ซ้ำยังหลงระเริงไปกับความอ่อนโยนที่แสนลวงตานั้นจนลืมทุกสิ่ง...หากพ่ายเพียงร่างกายก็ยังพอกล้ำกลืนความอัปยศนั้นไว้ แต่หากหัวใจพ่ายแพ้ด้วยเล่า?
พลันที่ถามตัวเองเช่นนั้น มือเรียวก็กอดหมอนใบโตปิดหน้า ปรารถนาจะเลือนหายไปจากโลกใบนี้ทันใด
เสียงเคาะประตูปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ นัยน์ตาสีเทาอ่อนตวัดมองไปยังคนข้างกายโดยไม่รู้ตัว เห็นแม็กเกลเสยผมอย่างหงุดหงิด พลางหยิบกางเกงมาสวม ก่อนเดินไปเปิดประตูรับหน้า
แม้จะมองไม่เห็นว่าผู้มาคือใคร แต่เอ็ดเวิร์ดสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในบทสนทนานั้น ชายหนุ่มลุกขึ้นควานหาเสื้อผ้าของตนที่ตกอยู่ตามพื้น แล้วสวมทับลงบนร่างอย่างรวดเร็ว เขาจัดการตัวเองเสร็จตอนที่แม็กเกลเดินกลับมาพอดี
“คนนำทางรออยู่หน้าห้อง”
ชายหน้าบากพูดลอยๆ พลางหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวม ก่อนหันมาอุ้มเอ็ดเวิร์ดที่กำลังจะลุกจากเตียงขึ้นแนบอก เดินออกไปข้างนอกทันที
กว่าคนถูกอุ้มจะหายงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็อยู่พร้อมหน้ากับคนนำทางแล้ว เอ็ดเวิร์ดที่กระดากเกินกว่าจะโวยวายเป็นเด็กไม่รู้จักโตจึงได้แต่เก็บความแค้นเคืองไว้เงียบๆในใจ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ใครบางคนกำลังนึกเอ็นดูสีหน้างอง้ำของเขาอยู่อย่างเงียบงัน
(มีต่อ)