โดนดันแล้วววว แอร๊ยยยยยยย เอ้า! ลงก็ลง ถถถถถ ตอนนี้คิดว่าจะตุนไว้ถึงวันที่ 30 ค่อยทะยอยปั่นฟีตลงให้รัวๆ 555+ แต่ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อย่างน้อยทุกคนก็ยังไม่ลืมเลา #ยิ้มหวาน
-----------------------------------------------
[8.2]
เช้านั้น ศานนท์พาเขามายังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ก่อนจะโยนทิ้งให้แฮร์สไตล์ลิสที่เจ้าตัวรู้จักมักจี้โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ส่วนตัวเองก็รีบร้อนออกจากร้านไป ครึ่งวันนั้นตุลย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถูกจับหันซ้ายหันขวา ย้ายไปตรงโน้นทีตรงนี้ที มีคนมารุมมาตุมยิ่งกว่าดาราหนังในทีวี
ไอ้ที่พูดว่า ‘ไปด้วยกันหน่อย’ เอาเข้าจริงกลับเป็นเขาที่ต้องเค้นสมองสรรหาวิธีร้อยแปดอย่างมารับมือช่างผมที่พยายามยัดเยียดไอเดียแปลกๆ ใส่บนตัวเขาประหนึ่งรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกอย่างสุภาพ ไม่ให้เสียชื่อศานนท์ในฐาน ‘ลูกค้าประจำ’ ซึ่งพอย้อนคิดถึงหน้าของเขาคนที่ทำให้เขาต้องมาจุ้มปุกอยู่นี่ มันก็น่าหงุดหงิดไม่น้อย
แต่ถึงแม้ว่าจะกินเวลาไปหลายชั่วโมง และนั่งจนชนิดที่ว่าก้นระรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาดไว้มาก
ภาพสะท้อนในกระจกเงาที่ตั้งอยู่ตรงข้าม คือ ใบหน้าผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่จัดว่าหวาน แต่องค์ประกอบต่างๆ ก็สะดุดตามากพอจะทำให้คนเหลียวหลังกลับมามอง ผมรองทรงต่ำแฟชั่นถูกตัดและย้อมเป็นน้ำตาลเทา เผยให้เห็นต้นคอและไหปลาร้าที่โผล่พ้นคอเสื้อยืดขลับให้ชายที่จ้องกลับมานั้นดูมีเสน่ห์กว่าเคย
“เป็นยังไงคะ ชอบหรือเปล่า” สไตล์ลิสถาม ขณะที่หมุนเก้าอี้เขาช้าๆ เพื่อให้เห็นใบหน้าในองศาที่ต่างกัน
ตุลย์ยิ้มบางๆ เขายังตอบไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ หากจะอธิบายความรู้สึกตอนนี้คงต้องพูดว่า ‘แปลกตา’ เสียมากกว่า
“แบบนี้ต้องถูกใจคุณศานนท์แน่ๆ”
“........”
ยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของชื่อที่หายหน้าหายตาไปกว่าครึ่งค่อนวันก็โผล่มาหน้าร้านราวกับกะเวลาไว้พอดิบพอดี ฝ่ายนั้นสาวเท้ายาวๆ เข้ามาหา คลี่ยิ้มอย่างหน้าหมั่นไส้ตอนที่เห็นเขา
“เธอดูดีขึ้นนะ”
ตุลย์หน้ากระตุก
จะบอกว่าเมื่อก่อนเขาหน้าตาทุเรศงั้นสิ?ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดอะไร นอกจากฉีกยิ้มรับแกนๆ เป็นคำตอบ ศานนท์เห็นอย่างนั้นก็แกล้งทำทีเมินผ่าน หันไปคุยกับแคชเชียร์แล้วยื่นบัตรเครดิตใบหนึ่งให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ชอบอย่างนั้นสิ?”
ฝ่ายนั้นถามด้วยระดับน้ำเสียงแค่พอได้ยินระหว่างที่กำลังรอพนักงงานทำรายการ
“เปล่า...”
“จริงเหรอ”
“ผมจะโกหกคุณทำไม?”
“ก็สีหน้าเธอมันฟ้องว่าโกหก”
ห๊ะ?ตุลย์ยกมือลูบหน้าตามที่ศานนท์พูดแทบจะในทันที กว่าจะรู้ว่าตกหลุมพรางหนุ่มใหญ่เข้าให้ก็ตอนที่อีกฝ่ายหัวเราะในคอให้กับมือที่ค้างเติ่งกลางอย่างอากาศอย่างคนวางไม่ถูกของเขา
การถูกปั่นหัวทำให้เขารู้สึกงุ่นง่านจนต้องเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อตัดบทก่อนที่จะเผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจชัดเจนไปกว่านี้ จนกระทั่งแคชเชียร์ส่งบัตรคืนพร้อมใบเสร็จ ศานนท์จึงพาเขาออกจากร้าน
เดินออกมาได้สักพัก จู่ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้น
“ขอโทษที่ทิ้งเธอไว้ เมื่อเช้าฉันติดธุระกับลูกค้า”
“ทำไมครับ?” ตุลย์เลิกคิ้ว “คุณไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้นี่”
คนฟังถอนหายใจอ่อน “ฉันก็แค่อยากให้เธอรู้ เพราะครั้งนี้ ‘เรา’ เริ่มต้นไม่สวย”
เรา?ตุลย์เค้นเสียงในคอ “สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ผมไม่ใช่เด็กขายคนนั้นแล้ว อีกอย่างเรื่องระหว่างคุณกับผมก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรลึกซึ้งมากพอจะเรียกว่า ‘เรา’”
ประโยคนั้นทำเอาศานนท์เงียบไปอึดใจ
“เย็นชาจังนะ”
มันยากที่จะคาดเดาเจตนารมณ์อีกฝ่ายภายใต้น้ำเสียงคล้ายล้อเล่นนั้น คงดีกว่าถ้าเดินตามเงียบๆ แล้วทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรออกไป
แต่จู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็เอื้อมมือมาโอบเอวหลวมๆ แล้วรั้งเขาให้เดินตามเข้าไปในร้านเสื้อผ้าบุรุษแห่งหนึ่ง สภาพร้านคุ้นตาจนน่าแปลกใจ หากไม่นานเขาก็ระลึกได้ตอนที่มองปราดผ่านชื่อร้านว่ามันคือร้านประจำของธวัตรตอนที่เขามักติดสอยห้อยตามอีกฝ่ายไปไหนมาไหนช่วงแรกๆ
“เมื่อคืนเธอไม่ได้เก็บเสื้อผ้ามาไม่ใช่เหรอ เลือกเอาสักหน่อยสิ” ไม่ว่าเปล่าฝ่ายนั้นยังดันหลังเบาๆ เป็นเชิงให้ตัดสินใจ
เขาเดินเมียงมองอยู่สักพัก พอไม่รู้จะทำอะไรต่อก็หันไปถามคนด้านหลัง
“คุณชอบแบบไหน?”
ปกติแล้วเรื่องเสื้อผ้าธวัตรจะเป็นคนจัดการหามาให้ น้อยครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายเลือกเอง ซึ่งครั้งสุดท้ายมันก็นานมากจนแทบจำไม่ได้
“ถามความเห็นฉันเหรอ?” ศานนท์เลิกคิ้วเล็กน้อย เข้ามาหยิบเสื้อตัวหนึ่งจากราวตรงหน้าเขา “ตัวนี้เป็นยังไง”
เขารับเสื้อตัวนั้นมาโดยไม่คิดอะไรมาก จังหวะนั้นศานนท์ก็เดินหายฝั่งตรงข้าม ก่อนจะกลับมาพร้อมเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนสองสามตัวโดยมีพนักงานของร้านเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง
“ลองแบบนี้ดู”
ตุลย์พยักหน้าหงึกหงัก รับเสื้อผ้าพวกนั้นมา ก่อนเดินตามพนักงานเข้าไปในห้องลองชุด เขาใช้เวลาลองไม่นาน แค่เช็คให้แน่ใจว่าทุกตัวใส่ได้พอดีก็เดินกลับออกมา แปลกใจนิดหน่อยตอนที่เห็นศานนท์ยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าคล้ายกำลังรออะไรสักอย่าง
“เป็นยังไง ใส่ได้ไหม?”
“ครับ อยากให้ผมลองให้ดูไหม”
หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เป็นไร ไว้คราวหลังเถอะ”
ศานนท์ปล่อยเขาเลือกกางเกงและชุดลำลองเพิ่มอีกสามสี่ชุด โดยที่คราวนี้อีกฝ่ายขอให้พนักงานเป็นคนจัดการให้ ส่วนตัวเองก็นั่งรออยู่ตรงมุมร้าน กดโทรศัพท์ฆ่าเวลา ตุลย์เวียนไปกลับห้องลองอยู่สองสามครั้ง พอได้เสื้อผ้าพอสำหรับที่จำเป็น เขาก็คร้านจะเลือกต่อ ส่วนค่าใช้จ่ายหนุ่มใหญ่ก็เป็นคนจัดการให้เหมือนเคย
ศานนท์แวะทำธุรอีกสองสามอย่าง ก่อนจะออกจากห้างสรรพสินค้าช่วงเย็นๆ ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้คุยอะไรกัน นอกจากถามตอบเป็นพิธี ความเงียบยิ่งทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน พอกลับถึงบ้าน ตุลย์ก็ขอตัวขึ้นมาที่ห้อง วางข้าวของระเกะระกะไว้บนโซฟาแล้วทิ้งตัวนอนหงายตามแบบคนหมดอาลัยตายอยาก
จะว่าไปห้องนี้ก็กว้างขวางอยู่พอตัว ดูไม่เหมือนห้องเดี่ยวสักนิด เฟอนิเจอร์หลายชิ้นอย่างพวกตู้โต๊ะดูมีอายุ ทว่ากลับยังอยู่ในสภาพดีเหมือนถูกดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ระหว่างที่กำลังนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พลันก็สะดุดตาเข้ากับวัตถุทรงสูงบนโซฟาข้างศีรีษะ
“...ไอ้นี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ตอนแรกนี่?”
ถึงแม้เมื่อคืนจะมืดมาก แต่เขาก็มั่นใจว่าบนโต๊ะตัวนี้ไม่เคยมีแก้วลายหินอ่อนวางไว้ตุลย์เด้งตัวนั่ง หยิบมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่าด้านในมีเครื่องเขียนสามสี่ชิ้นใส่ไว้ เขาลุกขึ้น เดินดูรอบๆ แล้วก็เป็นไปดังคาด มีข้าวของเครื่องใช้จำนวนหนึ่งถูกนำมาเติมในครัว ห้องนอน และห้องนั่งเล่น พอชะโงกหน้าเข้าไปในห้องน้ำ ก็ได้กลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมและสบู่ บนชั้นวางของมีแปรง ยาสีฟัน และข้าวของส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้
บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีที่สุดของวันนี้ตุลย์คว้าผ้าเช็ดตัวบนจากในตู้ ตัดสินใจอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดนอน ชั่วครู่ที่เดินออกมาเห็นถุงกระดาษระเกะระกะก็เกิดความคิดอยากจะหยิบของข้างในออกมาลองเสียอย่างนั้น เขาสุ่มหยิบเสื้อออกมาตัวหนึ่ง มันเป็นเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม ปลายแขนเป็นสีฟ้าเกือบขาว ร่างโปรงยกขึ้นทาบลำตัว แล้วมองภาพที่สะท้อนจากอยู่ในจอทีวี
ก็ดูไม่เลว...เขายิ้มมุมปาก
จะว่าไปศานนท์ก็เข้าใจเลือกก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตุลย์เก็บเชิ้ตที่อยู่ในมือใส่ลงถุง ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปเปิดประตูรับแขกยามวิกาล ซึ่งก็ไม่อาจเป็นใครอื่นนอกจากเจ้าของบ้าน ศานนท์อยู่ในชุดเตรียมนอนไม่ต่างจากเขา หากสิ่งที่บ่งบอกตรงกันข้ามเห็นทีจะเป็นขวดไวน์ในมือซ้ายของอีกฝ่าย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
แทนคำตอบ หนุ่มใหญ่ยื่นไวน์ขวดนั้นให้เขา
“ขอเข้าไปได้ไหม”
ตุลย์รับมาถืออย่างงงๆ
ของก็อยู่ในมือ แถมเจ้าตัวก็ยังยืนกรานจะเข้ามาให้ได้ เห็นทีเขาคงไม่มีทางเลือกมากนัก“ครับ ยังไงที่นี่ก็บ้านคุณอยู่แล้ว”
ร่างโปร่งถอยหลังให้ก้าวหนึ่ง ให้คนด้านนอกผ่านเข้ามาแล้วงับประตูเบาๆ ครั้นหันกลับมาก็เห็นว่าอีกฝ่ายทิ้งตัวนั่งบนโซฟายาวที่เขาวางถุงระเกะระกะเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร ฝ่ายนั้นก็ชิงเริ่ม
“ฉันว่าจะหาโอกาสคุยกับเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ประโยคนั้นชักทำให้ตุลย์ไม่แน่ใจ “ผมทำอะไรให้คุณไม่ชอบหรือเปล่า ถ้ามี ผม...”
“ก็นั่นแหละที่ฉันไม่ชอบ เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง” ศานนท์สบตาเขานิ่งๆ
“แต่ผมว่าคุณคงไม่ชอบเวลาที่ผมเป็นตัวของตัวเองมากกว่า”
ความเงียบโรยตัวอย่างน่ากระอักกระอั่ว หากหนุ่มใหญ่ยังคงนิ่งฟังเหมือนรอให้เขาพูดบางอย่าง จนสุดท้ายตุลย์ก็เป็นฝ่ายวางขวดไวน์ในมือลงบนโต๊ะตรงหน้าศานนท์
“ถ้าอยากให้ผมเป็นเผม คุณก็ต้องตอบคำถามว่าผมมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร”
“เป็นแบบนี้มันก็ดีต่อตัวเธอไม่ใช่หรือ”
“ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น...” ตุลย์เม้มปาก รู้ว่าต่อให้เค้นยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมพูด “ก็ได้ ยังไงตอนนี้คุณก็เป็นเจ้าชีวิตผม ถ้าคุณไม่อยากตอบ ผมจะเลิกถาม”
เขาเดินเลี่ยงร่างสูงไปอีกทาง ทว่าประโยคต่อมากลับทำให้ต้องชะงักฝีเท้า
“ฉันไม่เคยพูดว่าเธอเป็นของฉัน”กระแสเสียงของศานนท์นิ่งเรียบและจริงจังกว่าทุกครั้ง ยิ่งตอนที่หันไปสบตาฝ่ายนั้น เขาก็ยิ่งหวาดหวั่น
“ถ้าเธอยังไม่เข้าใจ ฉันไม่ได้ซื้อเธอ แต่ซื้อ ‘โอกาส’ ให้เธอออกมาจากที่นั่น ตัวเธอเองน่าจะเข้าใจที่ดีสุด ว่ามันแทบ ‘ไม่มีโอกาส’ ที่จะก้าวออกมาจากที่ตรงนั้น โดยไม่สูญเสียบางอย่างแลกเปลี่ยน”
“แล้วทำไมเป็นผม?”
มันช่างงี่เง่าที่คนๆ หนึ่งจะตัดสินใจฉุดใครสักคนขึ้นจากหลุมดำโดยอ้างถึงความสัมพันธ์แบบคนรู้จักที่ดำเนินไปได้ไม่ถึงเดือน ทั้งที่ยังมีคนอื่นที่ดีกว่า ฉลาดและเก่งกาจกว่าเขาอีกตั้งมากมาย แล้วทำไมถึงไม่เลือกคนเหล่านั้นแทนที่จะเป็นเขา
“ฉันรู้ว่าเธอมีค่ามากกว่านั้น แต่เธอแค่... อยู่ผิดที่ผิดทาง”
ตุลย์เบ้ปาก “เผื่อคุณยังไม่รู้ ผมไม่เชื่อข้ออ้างงี่เง่าอะไรแบบนั้นหรอก”
“เฮ้”
หนุ่มใหญ่จับแขนเขาไว้หลวมๆ แต่แรงนั้นไม่มากพอจะรั้งไว้ หากเขาขัดขืน
“ถ้าไม่เชื่อคำพูดฉัน ก็ลองเชื่อใจฉัน “
“จะให้ผมเชื่อคุณยังไง”
“เชื่อสิ เพราะฉันไม่คิดจะโกหกเธอ...”
ว่าจบฝ่ายนั้นก็ยึดมือเขาไปจูบ สัมผัสอุ่นๆ ระคนชื้นที่แตะลงบนหลังมือชวนให้รู้สึกวาบวาม กริมฝีปากลากผ่านมาหยุดที่ท้องแขน และผละออกอย่างอ่อยอิ่งในตอนที่ดวงตาของฝ่ายนั้นสบสานกับเขาด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ศานนท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะรั้งใบหน้าเขามาจูบ มือหนาช้อนหลังท้ายท้อย เค้นคลึงเร่งเร้าให้จูบตอบ
ริมฝีปากของพวกเขาดูดดึงกันจนเกิดเสียงเบาๆ ผละออกเชื่องช้า และเปลี่ยนองศาเพื่อลิ้มรสอีกฝ่ายในมุมที่แตกต่าง ทุกครั้งที่สัมผัส มันอ่อยอิ่งและวาบวาม ชวนให้ไขว่เขว่อย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าชักจะไปกันใหญ่ก็ตอนที่สะโพกถูกลูบไล้ผ่านเนื้อผ้าด้วยมือของใครบางคน
ตุลย์ผละริมฝีปาก ดันไหล่ศานนท์ข้างที่ลูบสะโพกเขาออก แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ถูกหนุ่มใหญ่คว้าลงมาบนโซฟาทั้งตัว ก่อนพลิกตลบให้เขาลงมาอยู่ใต้ร่างโดยมีอีกฝ่ายคร่อมทับ
“คุณ!”
ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ศานนท์แนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง จูบนั้นเชื่องช้าและวาบหวานทว่ากลับคุมเขาได้อยู่หมัด ตุลย์ครางในคอเมื่อส่วนที่อ่อนไหวด้านล่างถูกกอบกุมผ่านเนื้อกางเกง เขาแค่ปรือตามอง เสพสมอารมณ์ซาบซ่านที่แล่นพล่านทุกครั้งที่อีกฝ่ายเค้นคลึงมัน อดไม่ได้ที่จะครางอือในคอตอนที่ศานนท์แทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปาก เสื้อยืดถูกถกขึ้น ก่อนจะมือหนาจะสอดเข้าไปลูบไล้แผ่นอก พวกเขาแลกลิ้นกัน จูบและดูดเม้มริมฝีปากกันและกัน โดยที่มีต้นขาของหนุ่มใหญ่เสียดสีเป้ากางเกงอย่างจงใจปลุกปั่นอารมณ์
จู่ๆ ศานนท์ผละออก แล้วแนบจูบลงอีกครั้งตรงหน้าท้องที่สะท้อนขึ้นลงเพราะจังหวะหายใจหอบติด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีมืออีกฝ่ายแทรกอยู่ในกางเกง กุมบั้นท้ายเขาเหมือนพร้อมจะถลกกางเกงทิ้งได้ทุกเมื่อ ส่วนอีกข้างก็ล้วงเอาถุงยางในกระเป๋า ขณะที่ปากพูดยังประโยคตรงกันข้าม
“ฉันไม่บังคับ... ถ้าเธอไม่อยากก็จะหยุดตรงนี้”
ตุลย์ถลึงตาใส่อีกฝ่าย
มาไกลขนาดนี้ ให้หยุดกับผีสิ! อารมณ์งุ่นง่านทำให้เขาคว้าท้ายทอยอีกฝ่ายมาบดจูบ ศานนท์แปลกใจกับความปุบปับแต่ก็แค่ชั่ววินาทีก่อนที่กางเกงเขาจะถูกถลกไปกองกับพื้น ขาถูกยกขึ้นพาดบ่าก่อนส่วนอุ่นร้อนที่จ่ออยู่ตรงปากทางจะถูกสอดใส่เข้ามาภายในกาย ทิ้งช่วงอยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็ขยับสะโพกบดเบียดส่วนที่แข็งขืนเข้ามาลึกยิ่งขึ้น
“อะ อ้า...”
เขาครางตอนที่มันเสียดสีถูกจุดอ่อนไหวภายใน ก่อนอารมณ์เสียวซ่านจะยิ่งแล่นพล่านเมื่อหนุ่มใหญ่จงใจย้ำสะโพกใส่จุดเดิมแล้วแช่ค้างไว้ ขณะที่ทาบน้ำหนักเกือบทั้งหมดลงบนร่างเขา
“ตรงนี้เหรอ”
อีกฝ่ายไม่รอคำตอบ แต่เรียกเสียงครางจากเขาด้วยการเร่งรัดจังหวะผ่อนหนักเบา เล่นเอาสติเขากระเจิงกระเจิงเมื่อจุดกระสันถูกบดเบียดซ้ำๆ ด้วยจังหวะที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
ร่างเขาถูกดันขึ้นติดที่พักแขน หนุ่มใหญ่ถอนกายออก ก่อนจะแทรกเข้ามาอีกครั้ง แล้วเริ่มเดินสะโพกเร่งถี่กระชั้น ต้นขาเขาถูกกดลงแนบกับเบาะ อ้าออกกว้างให้เอื้อต่อการสอดใส่ ครั้นจะขยับตัวหนีแรงกระทั้นที่จงใจย้ำจุดกระสันจนแทบคุ้มคลั่ง พื้นที่ของโซฟาก็แคบจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยไปไหนเกินสองเซ็น ได้แค่บิดเร้าตามแรงอารมณ์ เสพสมความรู้สึกเสียวซ่านที่ร่างสูงยัดเยียดให้กลายๆ แล้วฝังเล็บลงบนลาดไหล่เพื่อระบายออกเป็นระยะ ไม่นานเขาก็ไปถึงฝั่งฝันด้วยสติกระเจิดกระเจิง ช่องทางตอดรัดกระชั้นทำให้อีกฝ่ายเสร็จสมตามมาติดๆ
พวกเขาต่างก็หอบกันทั้งคู่ หลังที่แนบติดเบาะแฉะเหงื่อจนได้เสียงเอี๊ยดอ๊าดเวลาขยับตัว หนุ่มใหญ่เกลี้ยผมเขา ก่อนจะยึดท้องแขนไปจูบเบาๆ แต่ครั้งนี้เขาดันไหล่คนที่คร่อมอยู่ด้านบนด้วยเสื้อผ้าเกือบครบเพื่อให้อีกฝ่ายถอนกายออก ซึ่งหนุ่มใหญ่ก็ยอมลุกไปนั่งข้างๆ โดยไม่ดึงดัน
ดูเหมือนกิจกรรมเมื่อสักครู่จะทำถุงกระดาษที่กินพื้นที่บนโซฟาหล่นไปกองระเกะระกะบนพื้น แต่ร่างโปร่งคร้านจะสนใจ ตุลย์หยิบกางเกงขึ้นมาสวมลวกๆ ไม่ลืมคว้าขวดไวน์เดินหายเข้าไปในครัว ทิ้งให้อีกฝ่ายจัดการตัวเอง
เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเซ็กส์ เพราะตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจ มันก็คือความสัมพันธ์ทางกายรูปแบบหนึ่งซึ่งดีกว่าขายตัวแลกเงินเป็นไหนๆ
ตุลย์หมุนขวดดำสนิทในมือ ตรายี่ห้อสีทองสะท้อนวิบวับยามต้องแสงไฟ
ส่วนไวน์นี่... ถือเป็นบรรณาการของเขาก็แล้วกันแต่ไหนแต่ไรมาเขาชอบรสชาติของไวน์อยู่แล้ว พอเห็นว่าเป็นของดีจึงอดจะหยิบเครื่องไม้เครืองมือมาเปิดลองไม่ได้
ของเหลวสีน้ำตาลอมแดงถูกรินใส่แก้ว เนื้อสีคล้ายกับบรั่นดีทว่าไม่เข้มเท่า พอยกขึ้นจรดริมฝีปากก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้โอ๊ค บางทีก็คล้ายลูกเกด หากพอแตะปลายลิ้นกลับไร้ความหวานโดยสิ้นเชิง ผิดกับความเข้มโดดเด่นของแอลกอฮอล์
“ขวดนั้นคือ Sherry” เขาไม่แปลกใจที่ศานนท์เดินตามเข้ามา “...ดื่มกับน้ำแข็งเข้าท่ากว่า”
ไม่ว่าเปล่า ฝ่ายนั้นยื่นมือมารับแก้วไวน์จากเขา เปิดช่องฟรีซ ตักน้ำแข็งใส่ลงไปสองสามก้อนพอให้เนื้อไวน์ดูดซับความเย็น แล้วส่งคืนให้
“ลองดูสิ”
ตุลย์รับมาดื่ม ต้องยอมรับว่าพอความเข้มข้นเจือจางลง รสชาติของมันก็กลมกล่อมขึ้นมาก
ร่างโปร่งเดินสวนเจ้าของบ้านออกไปยังห้องนั่งเล่น เมื่อครู่ข้าวของยังกระจัดกระจาย แต่ตอนนี้มันถูกเก็บแอบไว้ตรงมุมกำแพง ศานนท์เดินตามหลังเขามา ก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาตัวเดิม
“เธอไม่ชอบเซ็กส์เหรอ?”
ตุลย์ชะงักเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ฝ่ายนั้นโพล่งขึ้น
“ทำไมครับ”
“สังเกตุตั้งแต่ตอนอยู่ที่คลับแล้ว เธอไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม”
เขาขมวดคิ้ว ประโยคนั้นพาลให้นึกถึงคำพูดที่ธวัตรเคยว่าไว้ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
“หัดมีจริตบนเตียงซะบ้าง”“ผมไม่เก่งเรื่องบนเตียงหรอก ที่ผ่านมาส่วนใหญ่มันเป็นงานฉาบฉวย ผมแค่รองรับอารมณ์ลูกค้า ไม่จำเป็นต้องเสร็จทุกครั้งก็ได้”
ว่าแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ขนาดนายหน้ายังบ่นว่าเขาห่วยเรื่องบนเตียงบ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับหนุ่มใหญ่ที่ลงเงินลงแรงซื้อเขามา
“มาสิ” ศานนท์ตบหน้าขาเบาๆ “ฉันจะสอน”
เขาส่ายหน้า “ผมเพิ่งทำกับคุณไปเมื่อกี้ อีกอย่าง... ผมไม่ทำถ้าไม่มีถุงยาง”
สองครั้งยังพอว่า แต่เรื่องถุงยางเขาไม่อรุ่มอร่วยเด็ดขาด โดยเฉพาะหลังจากประเมินแล้วว่า ศานนท์คงไม่ใช่พวกบ้าเซ็กส์ถึงขนาดพกถุงยางหลายๆ ชิ้นติดตัว
มือหนาเอื้อมมาโอบเอวหลวมๆ “ไม่สอดใส่ ตกลงไหม?”
อยู่ต่อหน้าศานนท์สองต่อสอง เขาคงไม่มีทางเลือกมากนัก
“...งั้นก็ได้”
ตุลย์ทิ้งลงนั่งคร่อมหน้าขา ก่อนเป็นฝ่ายเอียงศีรษะแนบริมปากแลกจูบกับหนุ่มใหญ่ มือหนาเสยผมเขาขึ้นทีหนึ่ง ก่อนจะลดมากอบสะโพก รั้งขอบเกงกางลงอย่างลื่นไหลไม่สะดุดขณะที่ยังจูบนัวเนียกัน แล้วถลกเสื้อยืดเขาออก
ศานนท์ถอนจูบ เปลี่ยนมาซุกซอกคอ ปลายคางและกกหู ไม่ว่าลากจูบผ่านตรงไหน เขาจะรู้สึกถึงสัมผัสสากๆ จากไรหนวดทุกครั้งจนอดย่นคอไม่ได้ เห็นแบบนั้นหนุ่มใหญ่ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะจับแขนเขาตวัดโอบรอบคอตัวเอง แล้วกระซิบเสียงพร่า
“ทำแบบที่ฉันทำกับเธอ”
ตุลย์ไม่แน่ใจนักว่ามันหมายถึงอะไร สิ่งที่แรกที่เขาทำคือ แหงนหน้าจูบปลายคางหนุ่มใหญ่ หยุดดูดเม้มไรหนวดเล็กน้อย แล้วเลื่อนลงมาคลอเคลียไหปลาร้า กดจูบลงเบาๆ ขณะที่มือลากไล้ไปตามแผ่นหลังอีกฝ่าย
ศานนท์ก็แค่นักธุรกิจหน้าตาธรรมดาที่วันๆ ทำแต่งานนั่งโต๊ะ ไม่มีเวลาพอรักษาหุ่นให้เฟิร์มตลอดเวลาเหมือนคนรุ่นๆ ดังนั้นแผ่นหลังของเขาจึงไม่ได้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ น่าสัมผัส
จะเอาอะไรมากกับคนอายุสี่สิบ สำหรับเขา ศานนท์ก็แค่ผู้ชายวัยกลางคนธรรมดา ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่จากคนธรรมดาหรือน่าสนใจเป็นพิเศษ...
“อ้ะ อา...”
นิ้วที่กดลากจากต้นคอค่อยๆ ลดหลั่นลงมาแนวกระดูกสันจรดก้นกบ ก่อนจะสอดลึกเข้ามาในช่องทางคับแทบในเวลาเดียวกัน กวาดต้อนเร่งให้เขาตอดรัดสิ่งแปลกปลอมนั้นจนต้องครางระบายอารมณ์ปั่นป่วนในช่องท้อง ร้อนรุมราวกับถูกแผดเผาทุกครั้งที่สัมผัสถูกผิวกายอีกฝ่าย ยิ่งตอนที่มือหนาฟ้อนเฟ้นไปตามร่างกาย พร้อมกับความเบียดเสียดตรงหว่างขาตอนที่สะโพกถูกกดให้ส่วนล่างของทั้งคู่เสียดสีกัน สติก็ฟุ้งกระเจิง ลืมคำสบประมาทเมื่อครู่สนิท
แล้วเรื่องราวต่อจากนั้นก็ชักจะไร้สติขึ้นทุกที....
.
.
.
.
.
.
.
“ฮา... ฮา... ใส่เข้ามา”
ไม่ว่าเปล่า มือยังกำส่วนที่แข็งขึงของอีกฝ่ายไว้แน่น
ศานนท์ย่นคิ้ว มองคนร่างโทรมเหงื่อหอบที่แฮ่กๆ บนตักเขาด้วยอารมณ์เตลิด ค่อยๆ ยันตัวคุกเข่า ให้ส่วนนั้นของเขาจ่อจดอยู่ตรงบั้นท้าย เห็นแบบนั้นศานนท์ก็รีบยึดสะโพกอีกฝ่ายไว้
“เธอไม่ทำ ถ้าไม่ใส่ถุง...”
แต่ก็ช้าเกินกว่าจะเตือนสติเมื่อร่างโปร่งจงใจทิ้งน้ำหนักลงมา ช่องทางถูกหล่อลื่นจากครั้งที่แล้วจึงไม่ยากที่เริ่มขยับทันที กระทันหันจนคิ้วหนุ่มใหญ่ขมวดแน่นขึ้น ครางในคอเมื่อช่องทางสอดรับเขาเป็นอย่างดี
ความแข็งขึงที่คับแน่นอยู่ภายในคงทำให้ฝ่ายนั้นอึดอัดพอตัว ถึงเท้าแขนบนไหล่เขาเป็นตัวช่วย แต่อย่างนั้นก็ตุลย์ดูจะพอใจกับการได้คุมเกมด้านบน และเลือกถูกสอดใส่ในระดับความลึกที่ตัวเองรู้สึกดี เพราะยิ่งเขากระตุ้น ฟ้อนเฟ้นหนักเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เสียงหอบปนครางจากปากเจ้าตัวถี่ข้างหู ก่อนจะถูกข่วนหลังสองสามครั้ง ไม่นานก็ตุลย์ก็ครางหนักๆ ปลดปล่อยอย่างรวดเร็วบนหน้าท้องเขา ในขณะที่ตัวเขาเพิ่งไต่อารมณ์ไปได้ไม่เท่าไหร่
คงรับรู้สึกสิ่งที่ยังแข็งคับอยู่ในร่าง เจ้าตัวถึงได้ปริปากบอกเสียงแหบพร่า
“จะทำต่อก็ได้ อย่าเสร็จในตัวผมก็พอ...”
------------------------------------------
ติได้ตามสะดวกนะเจ้าค้า อิอิ เมลล่าไม่ถนัดซีนตัวละครคุยกันธรรมดา แต่ถ้าด่ากัน ไฝว้กัน ทะเลาะกันนี่ถนัดนักแล ถถถถ
คือบางครั้งเมลล่าก็ไม่แน่ใจว่าเขียนออกมาดีเท่าที่หลายคนหวังไหม ถ้ามีตรงไหนที่รู้สึกว่าดรอปไป แนะนำได้เลยเจ้าค่ะ น้อมรับทุกคำติชมจริงๆ ถถถถถ
ตอนนี้เมลล่ากำลังเขียนตอน 9 แต่มันไม่กระดิก...... ผลาญเวลา 5 ชม. ไปฟรีๆ กับสามหน้า โอ้วววว แล้วมันจะจบเมื่อไหร่กันเนี่ยยยย ไม่ต้องเขียนเรื่องใหม่กันพอดี! #crycry
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ถึงแม้ว่าหลายคนอาจลืมเลาไปล้าวววว ถถถถถ
ขอบคุณ คุณ Alternative สำหรับคำแนะนำเรื่องชีวิตการเรียนด้วยค่า เมลล่าก็ยังอยู่ในช่วงรอยต่อ บางครั้งก็สงสัยว่าอะไรคือสิ่งดีที่สุดสำหรับตัวเรา แต่เอาเข้าจริงสรุปแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งที่ดีที่สุด มีแต่ต้องลองทำดูก่อนถึงจะรู้ว่าผลลัพธ์มันดีต่อเราไหม #พูดอัลไลไม่รู้เรื่อง
และ ขอขอบคุณ คุณ Kimkidoy สำหรับการดันกระทู้แบบรัวๆ ถถถถถถ เมลล่ายังไม่รู้เลยว่านิยายตัวเองมันสนุกตรงไหน 55555+ แต่ก็ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามกันมาแม้ว่าเนื้อเรื่องจะวนๆ อยู่ในอ่าง
สุดท้ายนี้ Merry Christmas นะคะ มีความสุขมากๆ ในช่วงคริสมาสและปีใหม่ และขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจอีกครั้งค่ะ #ลงไปหมอบกราบ