สัมผัส{❤}ครั้งที่8
บรรยากาศยามดึกเงียบสนิทเหมือนกับภายในรถยนต์คันสีดำเงาที่มีคนเจ็บถูกยิงบริเวณแขนขวานั่งเอามือกุมหัวไหล่ตัวเองไว้โดยที่มีเทพอย่างผมนั่งสำนึกผิดอยู่ข้างๆ เลือดสีแดงฉาดไหลจนอาบแขนขางนั้นเป็นสีแดงแม้จะมีผ้าพันเพื่อห้ามเลือดไว้แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พอ
“ขอโทษ...”ผมพึมพำประโยคนี้เป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่ที่เห็นตินถูกยิง
ภาพตอนที่อีกฝ่ายทรุดลงไปกับพื้นทำเอาหัวใจผมเหมือนหยุดเต้นเพียงแค่คิดว่ากระสุนนัดนั้นจะฝังเข้าที่หัวใจของตินเหมือนอย่างที่เจอกันวันแรก
“ขอโทษจริงๆ”
“...”คนด้านข้างหันมามองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกว่าหมายถึงอะไร
แต่สายตานั้นไม่ใช่ความโกรธแน่นอน
ผมยิ่งเม้มปากตัวเองแน่นเพราะรู้ว่าตินจะไม่โกรธผมทั้งๆที่คนผิดเป็นผมแท้ๆ
“ติน...”
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีรถยนต์สีดำก็มาถึงยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เหล่าพยาบาลที่เห็นตินต่างก็รีบเข้ามาช่วยทั้งที่ไม่ได้อาการสาหัสถึงขั้นเดินไม่ไหวแต่ก็มีรถเข็นมารับก่อนจะพาไปยังห้องผ่าตัด
จากที่มองกระสุนไม่ได้แค่ถากแต่เข้าไปยังบริเวณหัวไหล่ข้างขวาจึงจำเป็นต้องผ่าตัดเอากระสุนออกโดยเร่งด่วน ผมเองก็เข้าไปในห้องผ่าตัดพร้อมๆกับตินและไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมทีมแพทย์ถึงเลือกผ่ากระสุนออกโดยไม่วางยาสลบ
ถึงจะฉีดยาชาแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดอยู่บ้างดูจากดวงตาสีฟ้าที่สบขึ้นมาก็รู้ด้วย...ท่าทางนั้นทำให้น้ำตาของผมค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มอย่างเชื่องช้า
ตินที่มองอยู่ก็มีท่าทีตกใจแต่เพราะผ่าตัดอยู่เลยไม่สามารถทำอะไรได้
“ขอโทษนะ”ผมบอกอีกครั้ง
เมื่อคนที่ผิดเป็นผม...
ผมก็จะเป็นคนรับความเจ็บปวดนั้นมาเอง
มือทั้งสองข้างของผมสัมผัสกับใบหน้าตินอย่างอ่อนโยนก่อนที่แสงสีเขียวจะปรากฏขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมาความเจ็บจี๊ดๆของการผ่าตัดก็ถูกย้ายมาที่ผมอย่างสมบูรณ์
คนที่อยู่บนเตียงผ่าตัดอย่างตินได้แต่มองมาอย่างไม่เข้าใจในการกระทำนี้ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเพื่อหาคำตอบ...ไม่รู้ว่าได้คำตอบแบบไหนแต่ดวงตาคู่เดิมเบิกกว้างขึ้นก่อนจะจ้องมาอย่างเคืองๆ
“...ผมไม่เป็นไร”ผมบอกเสียงเบาเมื่อถูกสายตาตรงหน้าจ้องมาอย่างคาดคั้น รอยยิ้มอย่างฝืนๆปรากฏขึ้นเพราะไม่อยากให้ตินเป็นห่วงแม้ตอนนี้เหงื่อจะเริ่มออกแล้วก็ตาม
การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีในเวลาไม่ถึงชั่วโมง จากที่หมอออกมาบอกเห็นว่าโชคดีที่กระสุนไม่ได้ไปโดนเส้นเลือดใหญ่หรือกล้ามเนื้อที่เป็นอันตรายแต่ก็ต้องใส่เฝือกไปหลายอาทิตย์อยู่
ร่างของตินหลังผ่าตัดเสร็จถูกย้ายมาพักยังห้องพักพิเศษโดยที่มีกายและจิมเฝ้าอยู่หน้าห้องตามปกติ เมื่อทีมแพทย์และพยาบาลออกไปผมก็ลอยลงมานั่งบนตัวตินที่นอนหลับตาอยู่ด้วยความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่
“ขอโทษนะติน”ผมไม่รู้ว่าเอ่ยคำนี้ออกไปเป็นรอบที่เท่าไหร่
ที่รู้คือการขอโทษเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่สามารถทำได้
ผมวางฝ่ามือลงบนเส้นผมสีดำสนิทของตินก่อนจะลูบเบาๆแทนคำขอโทษ ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะหลับไปแล้วแต่ดวงตาสีฟ้าที่ปิดสนิทกลับลืมขึ้นมาสบกับดวงตาสีเขียวอ่อนของผม
“คุณควรนอนพักนะ”
“เอาความเจ็บปวดของฉันคืนมา”ประโยคแรกที่ได้ยินทำเอามือที่กำลังลูบเส้นผมสีดำอยู่ถึงกับหยุดชะงัก
“ติน...”
“ทำแบบนี้ทำไม”เสียงทุ้มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนกำลังไม่พอใจอยู่
“...ทำอะไร”
“อย่ามาแกล้งไม่รู้นะแพน...ฉันไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกว่าความเจ็บปวดที่ควรมีมันกลับหายไปแถมนายยังทำหน้าเจ็บปวดแทนแบบนั้นอีก”
“...ผมก็แค่อยากช่วย”ผมตอบเสียงอ่อย
ถ้าให้อยู่ดูตอนเจ็บแบบนั้นก็เหมือนผมไม่มีประโยชน์อะไรเลยน่ะสิ
ทั้งที่ผมเป็นคนผิดแท้ๆ
“นายช่วยได้ทุกอย่างที่ไม่ใช่แบบนี้...ความเจ็บปวดนั้นเป็นสิ่งที่ฉันควรได้รับจากความประมาทของตัวเอง”
“แต่เพราะผมทำให้ตินต้อง...”
“มันไม่ใช่ความผิดนาย”ตินพูดแทรก
“ความผิดผมสิ...ความผิดผม”พูดยังไม่ทันจบประโยคน้ำตาที่หยุดไปก็ไหลลงมาอาบแก้มอีกรอบ
“...ไม่ใช่ความผิดนายหรอก...แพน”ตินบอกพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อสัมผัสใบหน้าผม ทั้งที่ควรจะทะลุผ่านเหมือนอย่างทุกๆครั้งแต่ครั้งนี้ฝ่ามืออุ่นๆนั่นกลับประทับลงบนแก้มผมได้อย่างง่ายได้
“ติน...นี่คุณ...”ทำไมถึงสัมผัสผมได้
“อย่าร้อง”มือข้าเดิมเลื่อนขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างเชื่องช้า
รอยยิ้มบางๆที่ส่งมายิ่งทำให้น้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“ขอโทษ”
“แพน...”
“ขอโทษจริงๆ”ความอ่อนโยนของเขาทำให้ผมรู้สึกแย่ที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย
“พอแล้ว...ฉันฟังมาเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วเพราะงั้นหยุดพูดขอโทษซะ”
“แต่...”
“หยุดพูดแล้วฟังสิ่งที่ฉันจะบอกบ้าง”
“อืม”
“...ขอบคุณ”
“...”ผมที่ได้ยินคำนั้นออกมาจากปากตินก็นิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าขอบคุณออกมา
การกระทำของผมมีอะไรที่สามารถใช้คำว่าขอบคุณได้ด้วยเหรอในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของผมทั้งนั้น...
ตินไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณสักนิด
“ทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจ”ตินพูดต่อ
“ก็ไม่เข้าใจน่ะสิ...ผมทำอะไรให้ตินต้องมาขอบคุณเหรอ”ผมถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้าไม่ได้เสียงของนายตะโกนบอกตอนนี้กระสุนนัดนั้นคงจะไม่ได้อยู่ที่ไหล่แต่เป็นหัวใจ”
“...ติน”
“ดังนั้นฉันถึงขอบคุณนายที่ช่วย...นายไม่จำเป็นต้องโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองหรอก”
“แต่ว่า...”ถึงจะบอกแบบนั้นแต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ความรู้สึกผิดนี้หายไป
“ไม่มีแต่...เอาความเจ็บปวดของฉันคือมาสักที”ตินพูดย้ำพร้อมส่งสายตาจริงจังมาให้
“ให้ผมรับมันไว้ได้นะ”ผมบอกเบาๆ
“แพน”
“...ก็ได้”น้ำเสียงจริงจังนั่นทำให้ผมได้แต่จำยอมเอื้อมมือสองข้างเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วคืนความเจ็บปวดที่แบกรับมาให้กับเจ้าของตามเดิม
“อึก...”ตินถึงสะดุ้งเมื่อความเจ็บปวดกลับคืนมาก่อนที่ดวงตาสีฟ้าสดนั่นจะมองมาอย่างเคืองๆ
“แพน...ไหนบอกว่าไม่เป็นไรไง”คำพูดเขาคงหมายถึงตอนที่ผมบอกในห้องผ่าตัดนั่น
“ก็...ไม่ได้เจ็บเท่าไหร่”แต่เจ็บมากเลยต่างหาก
“...”
“ขอโทษ”ผมได้แต่บอกคำนี้ออกไปเมื่อถูกสายตาไม่พอใจส่งมา
“เข้าใจก็ดี...นี่แพน”
“อะไรเหรอ”ถามเสร็จผมก็หลับตาลงแล้วเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อรับสัมผัสของมือที่ลูบแก้มอยู่มากขึ้น
“เห็นไหมว่าฉันแตะนายได้แล้ว”รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นพร้อมๆกับมือที่ขยับลูบใบหน้าผมอยู่
“...รู้แล้วน่า”
“เด็กจริงๆ”
“ใครเด็กกัน?”ผมถึงกับพองแก้มเมื่อถูกกล่าวหา
“หึ...”
“โอ้ย...”ผมร้องเล็กน้อยเมื่อถูกตินใช้นิ้วจิ้มแก้มที่กำลังพองลมอยู่แรงๆ
“พองแก้มเหมือนเด็ก...บอกแล้วไงว่าอย่าให้แตะได้...จะจิ้มให้แตกเลย”นิ้วของตินยังคงจิ้มมาจนผมต้องปล่อยลมที่อยู่ในปากออกแล้วมองกลับไปด้วยสายตาเคืองๆ
“...เลิกแกล้งแล้วนอนพักได้แล้ว”
“ยังไม่ง่วงเลย”เสียงทุ้มบอกโดยที่ยังไม่หยุดมือที่ลูบใบหน้าผมอยู่
“ถึงไม่ง่วงก็ควรพักนะ”พูดจบผมก็ผลักตินให้นอนราบลงบนเตียงก่อนจะขยับตัวให้ไปนั่งทับบนหน้าอกนั่น ถึงจะสามารถลุกขึ้นมาได้แต่ตินไม่มีทางลุกแน่เพราะมีผมนั่งอยู่
สายตาของตินแสดงความไม่พอใจนักแต่พอถูกผมลูบเส้นผมสีดำสนิทนั่นไปสักพักดวงตาสีฟ้าสดก็ค่อยๆหลับลงอย่างช้าๆ แสงสว่างจากไฟดวงใหญ่ในห้องถูกปิดลงเมื่อนึกได้ว่าห้องสว่างๆแบบนี้คงหลับไม่ลงแน่...พอปิดไฟเสร็จผมก็ลอยมาลูบเส้นผมสีดำสนิทของคนเจ็บบนเตียงต่อจนถึงรุ่งสางของวันต่อมา
“คุณตินอาการเป็นยังไงบ้างครับ”เสียงของกายบอดี้การ์ดคนสนิทถามโดยที่ในมือถือถ้วยข้าวต้มไว้
“ดีขึ้นมากแล้ว”ตินตอบพลางมองไปยังถ้วยข้าวต้มด้วยแววตาเอือมๆ
เทพที่มองอยู่อย่างผมเองก็สงสารอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน...จากที่รู้มาเขาไม่ค่อยชอบพวกอาหารเหลวอย่างโจ๊กหรือข้าวต้มสักเท่าไหร่
“ตอนนี้ผมได้นำกระสุนที่ผ่าออกมาไปตรวจสอบอยู่...คาดว่าจะมีความคืบหน้าในไม่กี่วันนี้ครับ”บอดี้การ์ดหน้าตี๋อย่างจิมก็พูดต่อด้วยใบหน้าเครียดๆ
“อืม...แต่ถึงสืบไปก็เท่านั้น”
“นั่นสิครับ...ยังไงพวกที่กล้าทำร้ายคุณตินก็มีแค่คนเดียวอยู่แล้ว”กายพูดสมทบ
“...”ตินไม่ตอบแต่พยักหน้าด้วยใบหน้าเครียดๆแทน
“ให้ผมจัดการอย่างเด็ดขาดดีไหมครับ”กายถามต่อ
“ยังไม่ต้อง...ถึงเราจะรู้ว่าใครทำแต่ไม่มีหลักฐานอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นก็จัดการแบบไม่ให้ใครรู้ก็ได้นี่ครับ”
“...ยังก่อน...รอดูสถานการณ์ไปอีกสักพัก”
“ครับ”กายขานรับพร้อมวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะ
“เรื่องนี้ไม่ได้บอกพ่อกับแม่ฉันใช่ไหม”ตินถามบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“ครับ...ผมไม่ได้บอกใครตามที่คุณตินต้องการครับ”
“ดี...ออกไปรอข้างนอกเถอะ”
“มีอะไรเรียกพวกเราเลยนะครับ”กายย้ำกับเจ้านายก่อนเดินออกจากห้องไป
“นี่ติน”ผมเรียกชื่อคนบนเตียงทันทีที่ประตูห้องปิดลง
“อะไร”
“คุณรู้จริงๆเหรอว่าใครเป็นคนยิงตัวเองน่ะ”
“แน่นอน...เรื่องแบบนี้เดาไม่ยากหรอก”ตินตอบพร้อมกับใช้มือดันถ้วยข้าวต้มไปไว้ข้างๆ
“คุณก็แค่เดานี่ มันอาจไม่ใช่ก็ได้นะ”
“มีหลายๆอย่างที่ทำให้มั่นใจน่ะ”
“หลายๆอย่าง?”
“อืม...นายไม่ต้องรู้หรอก”
“ทำไมล่ะ”ผมถามกลับ
ทำไมผมถึงรู้ไม่ได้กัน
“ถ้ารู้แล้วนายจะทำอะไรต่อ?”
“...ก็ไม่ทำอะไร”จะให้ผมทำอะไรล่ะ...ไปจัดการกับพวกนั้นก็ไม่ใช่
“แล้วฉันจะบอกไปทำไม”
“ก็บอกให้ผมหายห่วงไง”ผมบอกเสียงเบา
“ห่วงเรื่องอะไร”
“ก็หลายๆเรื่อง...อย่างน้อยถ้าผมรู้ว่าใครจะได้ช่วยเป็นตาให้ตินได้ไง”ผมพยายามหาเหตุผล
“...ก็จริง”
“เนอะๆ...ยังไงฝ่ายนู้นก็มองไม่เห็นผมอยู่แล้วเพราะงั้นก็ถือเป็นเรื่องง่ายที่ผมจะช่วยมองคนที่เข้ามาได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น”เมื่อตินเริ่มคล้อยตามผมก็รีบหาเหตุผลเพิ่มเผื่อตินจะบอกเรื่องนี้กับผม
“...บอกก็ได้”
“พูดแล้วนะ”
“คนที่ทำเรื่องนี้เป็นศัตรูด้านธุรกิจของฉัน”ตินบอกด้วยใบหน้านิ่งๆ
“ศัตรูทางธุรกิจเหรอ...หมายถึงพวกคู่แข่งทางการค้าใช่ไหม”ผมลองเปลี่ยนภาษาดู
“ใช่...ตามที่เข้าใจ”
“คู่แข่งทางการค้านี่ถึงขนาดต้องฆ่ากันเลยเหรอ”ผมไม่เห็นว่ามันจะต้องถึงขนาดฆ่ากันเลย
“เมื่อก่อนคงไม่....แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป...ไม่ว่าทำอะไรล้วนมีกำไรและผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ว่าใครต่างก็อยากให้ธุรกิจของตัวเองเติบโตและเป็นอันดับหนึ่งดังนั้นทุกธุรกิจจึงมีการแข่งขันกันสูงมาก”ตินอธิบาย
“...เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ”ฟังไปฟังมารู้สึกงงๆ
“เรื่องนี้เทพอย่างนายไม่เข้าใจหรอก”ตินบอกพร้อมกับยกมือขึ้นวางบนเส้นผมสีเขียวเข้มของผม
“...นี่ติน...รู้ไหมว่ากำลังเล่นหัวใครอยู่น่ะ”
“นายถือเรื่องนี้?”ตินถามกลับ
“...ก็นิดหน่อย...แต่ถ้าเป็นติน...จะยอมให้สักคนก็ได้”ผมตอบกลับ จริงอยู่ว่าไม่ชอบให้ใครมาเล่นหัวเพราะมันรู้สึกรำคาญ ยิ่งผมยาวๆแบบนี้เวลาพันกันมันแก้ยากจะตายไป
แต่ถ้าลูบเบาๆแบบที่ตินทำก็ไม่มีปัญหา
“พูดแล้วนะ...ห้ามคืนคำด้วย”ตินยกยิ้มขึ้นก่อนที่จะแกล้งผมโดยการขยี้เส้นผมสีเขียวเข้มแรงๆจนฟูไปหมด
“ไม่เอาแบบนี้สิ...รู้ไหมว่าเวลาหวีมันลำบากน่ะ”ผมรีบลอยตัวหนีจากการกระทำของคนบนเตียงพร้อมรวบเส้นผมตัวเองมาจับไว้อย่างหวงแหน
ถ้าถามว่าทำไมถึงไว้ผมยาวก็ตอบได้ง่ายๆเลยว่าไม่ชอบไว้ผมสั้น
อาจจะดูเหมือนคำกวนๆแต่ความจริงแล้วไม่ใช่
ผมไม่ชอบไว้ผมสั้น...เวลาไว้ผมสั้นบนหัวจะรู้สึกเหมือนโล่งๆคล้ายคนไม่มีผมนั่นทำให้ผมเลือกที่จะไว้ผมยาวด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะมันรู้สึกว่าตัวเองมีเส้นผม
“ลงมาแพน”เสียงด้านล่างเรียก
“ถ้าลงไปห้ามยุ่งกับเส้นผมนะ”ผมพูดเสียงเข้ม
“รู้แล้วน่า”
“...ผมชื่อใจคุณได้ใช่ไหมเนี่ย”พึมพำเสร็จผมก็ลอยลงมานั่งข้างเตียงผู้ป่วยอีกรอบ
“หวงน่าดูนะ”
“ก็ไม่ได้หวงอะไรแต่เวลาพันกันแล้วแก้ลำบาก”ผมตอบกลับ
“ก็ตัดซะสิ”
“ไม่เอาหรอก...ผมชอบไว้ยาวแบบนี้มากกว่า”
“งั้นก็ใช้ครีมนวดสิบางยี่ห้อดูจะช่วยเรื่องนี้อยู่”ตินเสนอ
“ก็เคยอยากลอง...แต่อย่างที่บอกไปว่าผมไม่อยากไปหยิบของออกมาโดยไม่จ่ายเงิน”
“เดี๋ยวซื้อให้”
“จริงเหรอ?”ตาผมลุกวาวด้วยความดีใจ
“อืม”
“ตินใจดีจริงๆด้วย”
“หึ...”
“นี่ติน”
“อะไร”
“...ยังเจ็บอยู่ไหม”ถึงมาพักมาทั้งคืนแล้วแต่บาดแผลนั้นคงจะยังไม่สมานตัวแน่
“พอสมควร”ตินตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ผมรักษาให้ได้รึเปล่า”ผมเอ่ยขอ ความจริงก็สามารถเข้าไปรักษาได้เลยแหละแต่ก็ไม่อยากให้ตินโกรธถ้าไม่บอกก่อน
“รักษาได้ด้วย?”คิ้วของตินขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“อืม...แต่จะไม่รักษาให้หายสนิทหรอกเดี๋ยวจะมีคนสงสัย”ผมบอกต่อ
“จะว่าไปตอนที่กระสุนนัดที่2ยิงมานายทำอะไรบางอย่างนี่”อยู่ๆตินก็เปลี่ยนเรื่อง
“อ้อ...ก็ทำจริงๆแหละ”
“ทำอะไร”
“ไม่บอก”ถึงคราวผมย้อนบ้างล่ะ
“แพน”
“ถ้าอยากให้บอกก็ให้ผมรักษาสิ”
“สุดท้ายก็กลับมาเรื่องเดิม”
“ให้ผมรักษาเถอะ”ผมพูดแกมขอร้อง ถ้าได้รักษาความรู้สึกผิดที่มีคงจะลดลงแน่นอน
“...รักษาที่ว่าคือทำให้แผลหายเจ็บใช่ไหม”นิ่งไปสักพักตินก็ถามกลับ
“ใช่”
“นายไดรับผลกระทบอะไรรึเปล่า”
“หื้อ...ผลกระทบ?”หมายถึงอะไร
“ไม่ได้รับเอาความเจ็บปวดของฉันไปแทนใช่ไหม”อีกฝ่ายถามย้ำ
“...”คำพูดของตินทำให้ผมนิ่งไปเพราะกำลังประมวลผลประโยคที่ว่าอยู่
“เงียบอะไร”
“...เป็นห่วงผมเหรอ?”ผมถามกลับเสียงเบา
“...”ครั้งนี้เป็นตินที่นิ่งไป เขาหันหน้าหลบสายตาผมที่จ้องมองไปไม่เหมือนอย่างทุกครั้ง
ท่าทางแบบนั้นแสดงว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง
ตินไม่อยากให้ผมต้องเจ็บแทนตัวเอง
ผมถึงกับยิ้มออกมาเมื่อสรุปคำพูดนั้นออกมาได้
ในเมื่อตินหันหน้าหนีนี่จึงเป็นโอกาสให้ผมขยับตัวไปนั่งบนตักของอีกฝ่ายแล้วใช้ฝ่ามือสัมผัสบนแผลอย่างเบามือ...ตินที่รู้สึกถึงแรงสัมผัสก็หันกลับมามองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วง...ที่ผมทำแค่รักษาเท่านั้นไม่ได้รับความเจ็บปวดแทนคุณหรอก”ผมอธิบายพร้อมหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิ แสงสีเขียวส่องสว่างขึ้นแล้วหายไปเมื่อการรักษาสำเร็จตามที่ต้องการ
“เสร็จแล้ว?”ตินถาม
“อืม...ยังเจ็บมากเหมือนตอนแรกไหม”ผมถามกลับ
“ไม่แล้ว...ดีขึ้นเยอะ”
“ดีแล้ว...แบบนี้คงจะหายเร็วกว่าที่หมอบอกอยู่พอสมควรแต่ทางที่ดีก็พักผ่อนเยอะๆดีกว่านะ”
“ฉันจะกลับไปพักห้อง”ตินบอกเสียงนิ่ง
“ห้อง?...ก็ดีนะคุณจะได้พักสบายๆแต่พักที่นี่อีกคืนเถอะ”
“ทำไม...”
“แผลตอนนี้ยังไม่หายดีดังนั้นไม่ควรจะขยับตัวเยอะ”ไม่ต้องรอให้ตินพูดจบผมก็ผลักอีกฝ่ายให้นอนราบลงที่เตียวก่อนจะลอยไปปิดไฟที่อยู่ไม่ไกล
การที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบถือเป็นการบังคับให้ตินนอนทางอ้อม
“แล้วนายจะนอนไหน”ตินถามอีก
“ผมไม่นอนหรอก...เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนแต่ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวผมจะอยู่เฝ้าคุณทั้งคืนเลย”ผมวางฝ่ามือลงบนเส้นผมสีดำสนิทพลางลูบเบาๆเป็นการกล่อมให้คนที่นอนอยู่หลับฝันดีอย่าได้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานเลย
“...เดี๋ยวก็ง่วงหรอก”เสียงที่ตอบกลับมาเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย ดูเหมือนเขาจะชอบให้ผมลูบจริงๆเพราะทุกครั้งที่ลูบตินดูผ่อนคลายมากอีกทั้งยังหลับสนิทด้วย
“ไม่เป็นไร...ฝันดีติน”จากนั้นผมก็ลูบเส้นผมสีดำสนิทนั่นตลอดจนกระทั่งถึงเช้าวันต่อมา
ช่วงเช้ามีทีมแพทย์เข้ามาตรวจร่างกายตินอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งและดูเหมือนแผลจากการรักษาฝีมือผมจะทำให้หมอที่ตรวจถึงกับขยับแว่นตาที่ใส่อยู่อย่างไม่เชื่อสายตา
ก็แน่ล่ะ...แค่วันเดียวบาดแผลถึงกับปิดสนิทแบบนี้ใครเห็นก็ต้องแปลกใจกันทั้งนั้น
ผ่านการตรวจช่วงเช้าถ้วยโจ๊กร้อนก็ถูกยกมาเสิร์ฟท่ามกลางสีหน้าตึงๆของติน ผมหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้านั่นแต่พอถูกสายตาดุๆส่งมาก็ต้องเงียบปากไป
“กาย”ตินเรียกหนึ่งในคนสนิท
“ครับ”
“ฉันจะกลับไปพักที่ห้อง”ตินบอกโดยที่ไม่ยอมแตะถ้วยข้าวต้มเหมือนอย่างที่คิดไว้
“กลับเลยเหรอครับ”
“ใช่”
“แต่บาดแผลยัง...”
“หมอก็บอกแล้วนี่ว่าแผลปิดแล้วเหลือแค่รอให้ขยับแขนได้ดั่งใจเท่านั้น”
“ก็ใช่ครับ...ถึงอย่างนั้นคุณตินก็ควรพักอยู่ที่นี่อีกสักวันเผื่อปากแผลเปิดดีกว่านะครับ”กายพยายามพูดโน้มน้าว
“ไม่ต้องห่วงๆ...ถ้าปากแผลเปิดเดี๋ยวผมรักษาให้เอง”ผมเข้าร่วมวงสนทนาบ้าง การมาค้างคืนที่โรงพยาบาลผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่จึงอยากกลับไปอยู่ที่ห้องตินมากกว่า
ตินเองก็ดูจะไม่อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน
“ไม่เป็นไร...ไปเตรียมรถ”
“...เข้าใจแล้วครับ”เมื่อไม่สามารถโน้มน้าวได้กายตอบตอบรับก่อนจะออกจากห้องไป
(มีต่อค่ะ)