บทสิบเอ็ด
วรยุทธหวนคืน
ผ่านพ้นไปแล้วสามวันความทรงจำของท่านแม่ทัพก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาให้เห็น อย่างไรก็ตามเซียนเฒ่าเองก็ไม่ปรากฏตัว ข้ากับถังรุ่ยจึงไม่สามารถกระทำการใดได้นอกจากรอ
“อาเหนียง เมื่อกี้ข้าออกไปข้างนอกมา ชาวบ้านพากันแขวนโคมต้อนรับเทศกาลหยวนเซียวแล้ว”
จริงสิ หลายวันมานี้ข้าค่อนข้างยุ่งวุ่นวายไม่รับรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์ภายนอก วันๆก็จำต้องป้อนความทรงจำเก่าๆที่ข้าพอจะรู้เกี่ยวกับตัวแม่ทัพผู้นี้ให้กับตัวเขาเอง แต่ก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน ฟังดูแปลกพิกลแต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าพยายามทำให้ท่านแม่ทัพนึกอะไรออกได้ง่ายๆด้วยการบอกกล่าวถึงอดีตที่ผ่านมาของเขา เขามีผลงานมากมาย เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง ก่อนหน้านั้นเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วปานก้าวกระโดด แต่ไม่ว่าจะใส่ข้อมูลความทรงจำไปให้มากเพียงใด หานซิ่นก็ยังขมวดคิ้วมุ่นอยู่ดี
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับอารุ่ยก็ค่อนข้างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้ได้ใช้สรรพนามเรียกขานกันอย่างสนิทสนม สาเหตุที่ข้ากับเขาเป็นสหายสนิทกันได้เร็วปานนี้คงเพราะต้องรับภาระอย่างหานซิ่นและลงเรือลำเดียวกันไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้
เอาเข้าจริงนี่ก็ปาไปแล้วหกวัน ยังไม่เห็นวี่แววของเซียนเฒ่าที่บอกเล่าเก้าสิบว่าวันที่สามเขาจะกลับมา ก่อนหน้านั้นเมืองลั่วหยางจัดเทศกาลตรุษจีนต้อนรับปีใหม่กันอย่างคึกคัก ข้ามิได้ออกไปไหน ซ้ำยังต้องบังคับให้หานซิ่นอยู่ในห้องให้ได้ แม่ทัพผู้นี้ดึงดันอยากจะไปร่วมเทศกาล แต่จนแล้วจนรอดอย่างไรก็ให้ออกไปไม่ได้ คนของทางการมากมาย ชื่อเสียงของเขาไม่เหมือนเช่นข้า เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รู้หน้าค่าตากันหมดทั้งกองทัพ ขืนให้ออกไปมีหวังเกิดเรื่องวุ่นวายเป็นแน่
“เทศกาลหยวนเซียวหรือ”
ข้าพึมพำ ถังรุ่ยยิ้ม “ใช่ๆๆๆ คราวนี้เห็นว่าจักรพรรดิทรงมีบัญชา ให้เจ้าเมืองลั่วหยางจัดงานเทศกาลอย่างยิ่งใหญ่ เท่าเทียมนครฉางอานเมืองหลวงเลยทีเดียว”
ข้าไม่แปลกใจ เดิมทีนครลั่วหยางแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์สุยซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อนหน้า ครั้นถึงสมัยราชวงส์ถังได้ทำการย้ายเมืองหลวงไปยังนครฉางอาน ความเจริญรุ่งเรืองจนได้เคลื่อนย้ายตาม แต่ถึงอย่างไรนครลั่วหยางก็ได้ชื่อว่ามีความรุ่งเรืองเทียบเท่ากับมหานครแห่งต้าถังอย่างเมืองฉางอาน เทศกาลหยวนเซียวที่จัดขึ้นทุกๆปีที่เมืองหลวง เมืองลั่วหยางเองก็จัดขึ้นเช่นเดียวกัน และคึกคักไม่แพ้ฉางอานเลยทีเดียว
เทศกาลโคมไฟ หรือ วันหยวนเซียว คือวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่ง ตามปฏิทินจันทรคติ หรือที่เรียกกันว่า ชูสืออู่ นั่นเอง คำว่า หยวน มีความหมายว่า แรก ส่วนเซียว แปลว่า กลางคืน จึงใช้เรียกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน คล้ายกับเป็นวันตบท้ายเทศกาลตรุษจีน สำหรับคืนสำคัญนี้ มีประเพณีว่า ชาวบ้านจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงามตามท้องถนนหนทาง ดังนั้น เทศกาลนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า เทศกาลโคมไฟ
ประเพณีการชมโคมไฟนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีก่อนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก จนมาถึงราชวงศ์ถังประเพณีนี้ยิ่งมีความพิถีพิถันมากขึ้น ภายในพระราชวังหรือตามท้องถนน ทุกหนทุกแห่ง ล้วนมีการแขวนโคมไฟ และยังพัฒนาไปเป็นหอโคมไฟ ต้นไม้โคมไฟ หรือวงล้อโคมไฟ
วันหยวนเซียวได้รับการสืบทอดเรื่อยมา จนกระทั่งถึงสมัยต้าถังนี้ที่จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญกับเทศกาลโคมไฟ และกิจกรรมต่างๆ ในเทศกาลดังกล่าวก็ยิ่งคึกคัก รวมทั้งมีการฉลองติดต่อกันถึงห้าวัน นอกจากนี้ รูปแบบของโคมไฟที่ประดับประดาก็ยิ่งหลายหลากมากขึ้นด้วย
พูดถึงเทศกาลหยวนเซียวแล้วก็พาให้ความทรงจำในวัยเด็กของข้ากลับคืนมา สมัยข้ายังเป็นคุณชายรองตระกูลจิ่วและท่านแม่ยังอยู่ ข้ามักออดอ้อนให้นางพาออกไปชมโคมไฟที่แขวนเรียงรายเต็มสองข้างทางถนนในเมืองหลวง ท่านแม่แม้รู้ว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะง่ายแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอของข้าได้ลง สุดท้ายจำต้องแอบท่านพ่อพาข้าออกไปเที่ยวชม พอหลังจากนั้นก็ล้มป่วยอยู่นาน ท่านแม่ไม่สามารถมาเล่นกับข้าได้เป็นเดือนๆ
“เหนียงเหนียง เจ้าเป็นอะไรไป”
คำเรียกขานของแม่ทัพหานซิ่นทำให้ข้าหลุดจากภวังค์ เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังมื้ออาหารเย็น จู่ๆท่านแม่ทัพผู้นี้ก็เรียกข้าขึ้นมาด้วยชื้อนี้ พลันทำให้ชาที่ถังรุ่ยดื่มไปครึ่งแก้วเกือบกระฉอกออกมาจากปากเขา ส่วนข้านั้นเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู เขาบอกกับข้าว่า สามีภรรยา ประดิษฐ์สรรพนามเรียกขานกันมิใช่เรื่องแปลกอันใด ข้าจึงต้องยอมถูกเขาเรียกเช่นนี้นับแต่นั้นมา
“อาซิ่น…” แค่กๆ ข้าสำลัก ไม่เพียงสรรพนามเรียกตัวข้าที่เปลี่ยนไปเท่านั้น เวลาข้าเรียกเขา ก็ต้องเรียกเขาว่าอาซิ่น นั่นเป็นข้อตกลงระหว่างเรา
“เจ้าอยากออกไปเที่ยวชมเทศกาลหรือไม่”
ข้าเห็นว่าแม่ทัพเอาแต่อุดอู้อยู่ที่โรงเตี๊ยมคงไม่เป็นการดี แม้คนของทางการจะมากมายขนาดเดินชนกระทบไหล่ได้ตามท้องถนน แต่ถ้าปลอมตัวออกไปก็คงไม่มีปัญหา อีกอย่างบรรยากาศปลอดโปร่ง อาจดีต่อการฟื้นคืนความทรงจำ เมื่อครู่ข้าได้ยินเทศกาลหยวนเซียวแล้วหวนคิดถึงวัยเด็ก บางทีมันอาจจะได้ผลกับท่านแม่ทัพก็เป็นได้
“ถึงข้าอยากออกเพียงใด เจ้าก็ไม่ให้ข้าไปอยู่ดี”
“แล้วถ้าเกิดข้าให้ท่านไปได้เล่า”
นัยน์ตาของหานซิ่นราวกับมีประกายวาววับ
“แต่ย่อมมีเงื่อนไข”
คนของกองทัพย่อมรู้จักใบหน้าของหานซิ่น ฉะนั้นเงื่อนไขสำหรับเขาจึงมีมากกว่าข้า
“เจ้าต้องปลอมตัว!”
หานซิ่นพยักหน้า แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าหายนะกำลังรอตนอยู่เบื้องหน้า
“ทาปากแดงเช่นนี้ พอแล้วหรือยัง”
เสียงหงุดหงิดของท่านแม่ทัพคล้ายอยากต่อว่าข้า แต่ก็ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลที่ข้ายกขึ้นมาอ้าง
“ท่านต้องดัดเสียงให้อ่อนหวานกว่านี้ เป็นสตรีห้ามแข็งกระด้าง”
ข้ากอดอกชื่นชมผลงานการแปลงโฉมของตัวเอง บัดนี้แม่ทัพหานซิ่นผู้ยิ่งใหญ่ ได้มาอยู่ในร่างของสาวงามที่พร้อมออกเที่ยวชมเทศกาลหยวนเซียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่ใช่ในแบบที่ข้าหวังไว้ เพราะรูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง หน่วยก้านของบุรุษในกองทัพเช่นนี้ แทนที่จะได้ความอรชรกลับกลายเป็นความบึกบึนไปเสีย แต่เช่นไรข้าก็ยกยิ้มอย่างพอใจ ไม่เลวๆ
“แล้วทำไมข้าต้องแต่งกับท่านแม่ทัพด้วย”
ถังรุ่ยผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันกับท่านแม่ทัพร้องโอดโอย
“อารุ่ย เจ้าเองก็เป็นผู้มีชื่อเสียง กันไว้ดีกว่าแก้ ข้าไม่อยากให้มีปัญหาในภายหลัง อยากให้ทุกคนเที่ยวชมเทศกาลอย่างสนุกสนาน”
ทั้งๆที่ถังรุ่ยอยากจะเถียงเหลือเกินว่า เขามีชื่อเสียงแล้วอย่างไรเล่า ไม่ได้มีป้ายเขียนติดไว้ว่าได้ลงเรือลำเดียว พากันพายหนีทางการกับพวกเจ้าเสียหน่อย เขาเป็นคนของยุทธภพ ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมาสมรู้ร่วมคิดช่วยกันซ่อนตัวหานซิ่นจากทางการ
ถังรุ่ยค่อนข้างมั่นใจว่าคุณชายน้อยผู้นี้ต้องแกล้งเขาแน่ๆ
“เอาเถอะๆ ทุกท่านโปรดอย่าเสียใจไป ความปลอดภัยย่อมมาอันดับหนึ่ง ไม่เสียสละชัยชนะไม่เกิด!”
ในที่สุด ข้าและสาวงามอีกสองนาง(?)จึงได้ออกมาเที่ยวชมเทศกาลแขวนโคมไฟ ตอนนี้ท้องถนนเรียงรายไปด้วยโคมไฟสีส้มนวล รูปทรงแตกต่างหลากหลาย บางรูปทำเป็นโคมไฟปลา บางรูปทำเป็นสี่เหลี่ยม ประดับประดาด้วยลวดลายอันวิจิตรตระการตา อาจพูดได้เลยว่าเทศกาลหยวนเซียวที่นครลั่วหยางแห่งนี้ ยิ่งใหญ่ไม่แพ้มหานครฉางอานเลยทีเดียว
“ถังรุ่ย เมื่อครู่ก่อนออกมาเจ้าบอกข้าว่ามีของบางสิ่งที่ต้องการซื้อ” หานซิ่นกล่าว ข้าขมวดคิ้ว ของอันใดกัน แต่เอาเถอะ มิใช่กงการอะไรของข้า
ถังรุ่ยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว เจอกันที่โรงเตี๊ยมหลังเทศกาลนะขอรับ”
ความจริงเทศกาลหยวนเซียวนี้มีกำหนดจัดงานถึงห้าวัน แต่ละวันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายจึงต้องกำหนดเวลาสิ้นสุดไว้ อีกอย่างทางการเองก็ต้องให้เหล่าขุนนางลาดตระเวนได้พักผ่อนจึงเป็นเช่นนี้ นับว่าปล่อยให้เหล่าขุนนางผู้ทำหน้าที่ดูแลประชาราษฎรได้ผักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม แต่ในความเป็นจริงจะมีสักกี่คนกัน ที่เสียสละตัวเองเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงและไม่หวังอำนาจ
เอาเถอะ เรื่องของการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับข้า
“ภรรยา คืนนี้เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่”
แค่กๆ ข้าสำลัก แม่ทัพผู้นี้ทำโรคน่ากลัวของข้ากำเริบอีกแล้ว ข้าถอยห่างจากเขามาหนึ่งก้าว พลางมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“ข้าไม่เคยพูดคำหวานหูเช่นนี้กับเจ้าเลยหรือ”
ไม่เคยน่ะสิท่านถามมาได้ แต่ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
“ตรงนั้นมีถังหูลู่ขาย”
ข้าตรงไปหาคนขายถังหูลู่* ถังหูลู่เป็นของกินขึ้นชื่อของทางเหนือ โดยเฉพาะในเป่ยจิง นานๆครั้งจึงจะเห็นมีคนนำมาขายในงานเทศกาลที่นครฉางอาน สมัยเป็นเด็กข้าชื่นชอบยิ่งนัก รสหวานของน้ำตาลผสมกับความเปรี้ยวพอดี กัดเข้าไปทีลิ้นก็รับรู้ถึงความรู้สึกสดชื่น
“เอากี่ไม้ดีขอรับ คุณชายท่านนี้”
ข้าเหลือบมองหานซิ่นที่ตามมา พลางกล่าวกับคนขายว่า “ขอสองไม้ ไม้นี้ของข้า อีกไม้สำหรับภรรยาข้า”
หานซิ่นจ้องข้าเขม็ง แต่ข้าหาได้สนใจไม่ ยื่นถังหูลู่ให้เขาไปหนึ่งไม้
“อร่อยนะท่าน ลองชิมดู”
“ดีๆ ฮูหยินมีสามีเช่นคุณชายนับว่าเป็นโชคดี ขอให้รักกันนานนานๆ”
ข้านิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าคนขายจะอวยพรเช่นนี้ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหานซิ่นเมื่อเป็นจิ่วฉือเหนียงช่างห่างไกลคำว่ารักใคร่กลมเกลียว มาตอนนี้พอได้ยินมันเลยแปลกพิกล ไม่เคยชิน
แต่กับท่านแม่ทัพกลับยิ้มรับหน้าตาเฉย พร้อมกล่าวว่า
“ท่านพูดถูกใจข้ายิ่งนัก ขอเพิ่มอีกห้าไม้”
“…”
“เป็นของรางวัลแด่สามีที่คอยดูแลภรรยาเช่นข้า”
หานซิ่นนะหานซิ่น ข้าพลันหมดคำพูด กัดถังหูลู่จนฉีกขาดด้วยหาที่ลงไม่ได้
คนขายเมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบกล่าวอวยพรประจบประแจง
“ขอให้รักกันจนตราบสิ้นฟ้าดิน”
ข้านั้นกระอักความหงุดหงิดไปหลายอึกแล้ว
ปึก!
พลันมีคนชนข้า ด้วยไม่ระวังจนเกือบล้มหงายหลังเคราะห์ดีที่ได้ภรรยา(?)อย่างแม่ทัพหานซิ่นคอยรับไว้
ภรรยาที่ดี…
ทว่า!!! พอข้าเงยหน้าขึ้นมอง คนที่ชนเมื่อครู่คือคนของทางการ ข้ารีบยันกายลุกขึ้นยืนด้วยสองขา ก่อนจะหันหน้าหลบ
“คารวะไต้เท้า ท่านมาตรวจสินค้าใช่หรือไม่”
คนขายรีบเข้าไปทักทายคนของทางการ ข้านึกว่าพวกเราจะรอดแล้วแต่…
“คุณชายท่านนี้…”
ข้าไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาเจ้ามาก่อน เช่นนั้นข้าภาวนาขอให้เจ้าอย่าได้มารู้จักข้าเลย
ใต้เท้าผู้นี้มองต่ำลงไปที่เอวของข้า พลันข้าเบิกตากว้าง บัดซบ! ข้าพกหยกของจวนสกุลโหวออกมา ลืมถอดเก็บเอาไว้เสียได้ สะเพร่าแล้ว
“ทหารใครอยู่แถวนี้ จับกบฏโค้นล้มบรรลังก์!!!”
ข้ารีบคว้าข้อมือท่านแม่ทัพพลางกล่าวว่า “ไป!”
ไม่รอให้ข้าพูดมากกว่านี้ เราทั้งคู่ก็รีบออกวิ่งทันที พร้อมกับขบวนทหารที่ตามมาข้างหลัง
“เข้าไปหลบที่ตรอกนั้นก่อน”
แต่ทว่านับเป็นความโชคดีอีกหน ที่ท่ามกลางงานเทศกาลผู้คนมากมายสัญจรขวักไขว่บนท้องถนน ทหารของทางการย่อมปฏิบัติภารกิจลำบาก เดิมทีมีหน่วยลาดตระเวนก็เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในงานเท่านั้น อาทิ เรื่องเข้าใจผิดเกิดเหตุชกต่อยเล็กๆน้อยๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง การต้องมาไล่จับตัวกบฏอย่างพวกเขาเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายทั้งสิ้น
ข้ากับท่านแม่ทัพจึงสามารถหลบหนีคนของทางการมาได้อย่างปลอดภัย
“เหยื่อมาติดกับดักเองเสียแล้ว”
ทว่าเหตุการณ์กลับซ้ำรอยประวัติศาสตร์เสียได้
นางมารหยาดโลหิตหัวเราะร่วน พลางชี้กระบี่มาทางพวกข้า
“คราวที่แล้วข้าถามหาเขาเจ้าไม่ตอบ คราวนี้เจ้าพาเขามาพบข้าด้วยตนเอง ดีๆ”
ข้าไม่ได้ตั้งใจพาเขามาพบเจ้าเสียหน่อย ข้าหลบหนีมาต่างหาก
“แม่ทัพหานซิ่น เทียนโฮ่วมีบัญชา ลงโทษกบฏ ปกป้องบรรลังก์ เจ้ากระทำการกำเริบเสิบสาน มีความผิดโทษประหารชีวิต”
“…”
“จงไปสำนึกความผิดของตัวเองในนรกเถอะ”
วี๊ด
ไม่พูดต่อให้มากความ เสียงกระบี่ตัดผ่านสายลมตรงเข้าหาหานซิ่น บัดนี้เขาหลงลืมวรยุทธย่อมไม่มีทางประมือกับนางมารตนนี้ได้ ซีหยางจื่อกระหยิ่มยิ้มย่อง ภาชนะบรรจุใหม่ของสตรีที่ตายแล้วคนนี้ทำให้นางมีพละกำลังมากมายเหลือล้น ต้องขอบพระทัยเทียนโฮ่วที่เมตตา
“ต่อให้ข้าต้องตาย เจ้าก็อย่าหวังดึงเขาลงนรก”
ข้าตะโกนสุดเสียง พลันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เอาตัวเข้าขวางคมกระบี่ที่ที่พุ่งมาหาท่านแม่ทัพ
สามี ท่านต้องไม่เป็นอะไร ในใจข้าภาวนาให้ถังรุ่ยปรากฏตัว
ข้าหลับตา เตรียมรับความเจ็บปวด
ทว่า…
เจ็บ ข้ารู้สึกเจ็บ แต่เจ็บเพียงที่ไหล่เท่านั้น คมกระบี่เฉียดไหล่ข้าสร้างบาดแผลโฉบเฉี่ยว
หานซิ่นจับตัวข้าหมุนย้อนกลับ ทันทีก็กลายเป็นว่าข้าถูกปราการแข็งแกร่งคอยปกป้องไว้เสียแล้ว กระบี่ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดในมือหานซิ่น ปัดกระบี่ของนางมารหยาดโลหิตให้พ้นทาง ราวกับเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกรอบ นางมารกระเด็นถอยหลัง กระอักเลือดไปหลายอึก เมื่อปะทะกับปราณที่แข็งแกร่งกว่า
ท่านแม่ทัพ วรยุทธท่านกลับมาแล้ว!
ข้าดีใจเพียงชั่วครู่ พลันต้องเบิกตากว้างกับคำกล่าวต่อมาของหานซิ่น
“ตกลงเจ้าคือโหวเฉียนเฉิง หรือจิ่วฉือเหนียงอนุภรรยาของข้า”
ไม่เพียงแต่ความสามารถเท่านั้นที่กลับมา ความทรงจำของแม่ทัพหานผู้นี้ก็กลับมาด้วย
*ถังหูลู่
ในภาษาจีนแปลว่า น้ำเต้าเคลือบน้ำตาล แต่เดิมเขาจะใช้ ซานจา แค่ 2 ลูก มาเสียบไม้ โดยเสียบให้ลูกเล็กอยู่ด้านบน ส่วนลูกใหญ่อยู่ข้างล่าง ทำให้รูปร่างคล้ายน้ำเต้า จึงเรียกชนมชนิดนี้ว่า ถังหูลู่ ภายหลัง มีการเพิ่มจำนวนของถังหูลู่ ขึ้นเป็น 4-8 ลูก ในปัจจุบัน มีการนำผลไม้ชนิดอื่นเข้ามาดัดแปลง ให้มีความหลายหลากมากขึ้น เช่น สตรอว์เบอร์รี่ สับปะรด แคนตาลูป องุ่น และ ส้ม
ตามความเชื่อของชาวปักกิ่ง ถังหูลู่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล และ เป็นพระเอกของงานวัด ที่จัดขึ้นในช่วง เทศกาลตรุษจีน ในเมืองปักกิ่ง อีกด้วย คนส่วนใหญ่มักจะซื้อ แต่ไม่กิน จะนำกลับบ้านเพื่อเป็นของสิริมงคลแทน โดยเชื่อว่า ถังหูลู่ จะนำ โชคดี โชคลาภ และความมั่งคั่ง มาสู่ครอบครัวในวันปีใหม่
{ข้อมูลจากเว็บไซต์ :
https://specialfood.co.th}