บทที่ ๗
“สานฝัน” สเตฟานทวนคำ
“ใช่ ... สานฝัน ท่านชอบหรือไม่” คำถามจากชายกลางคน
“เป็นชื่อที่ไพเราะ ขอบคุณที่ตั้งชื่อให้แก่ข้า”
“ท่านควรต้องขอบใจบุตรของข้าทั้งสอง ความจริงข้ามิใคร่ชอบชื่อนี้นัก มันดูเลื่อนลอยมิเข้มแข็งสมกับเป็นชื่อบุรุษ แต่ภรรยาข้ากลับว่าเหมาะแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นหากมีเวลา ข้าคงต้องไปขอบคุณด้วยตัวข้าเอง”
“ภรรยาข้าคงดีใจยิ่ง คงจะเอาพวกนางรำที่ฝึกไว้ออกมาร่ายรำ อวดให้ท่านชมเป็นแม่นมั่น ส่วนพวกเด็กๆก็ไม่ยอมหลับนอน เพราะนิทานที่ท่านเล่า”
“กระนั้นฤา” สเตฟานยิ้มละไม “ข้าชักอยากชมเสียเดี๋ยวนี้”
“งั้นจะช้าอยู่ไย ไปกันเสียบัดนี้ก็ยังได้”
“ดึกปานนี้แล้ว เด็กๆมิหลับไปแล้วหรือ เอาเป็นคืนพรุ่งนี้ ยามพระอาทิตย์ตกดิน ข้าจักไปเยือนยังเรือนท่าน”
“สานฝัน” เสียงเรียกเบาๆที่ข้างหู ดึงสเตฟานให้ออกมาจากความทรงจำในอดีต “คุณเป็นอะไรรึเปล่า ดูเหม่อๆนะ”
“ไม่หรอก ผมเพียงแต่คิดถึงคนที่ผมเคยเจอ ดูสิ ช่างร่ายรำได้งดงามจริงๆ” สเตฟานเบนสายตาไปที่การแสดงบนเวที
“อื้อ สวยดี ผมไม่ได้ดูอะไรไทยๆแบบนี้มานานแล้ว” ภูริทัตเปลี่ยนความสนใจกลับไปยังเวทีอีกคนหนึ่ง
“นาฎศิลป์ไทย อ่อนช้อย งดงาม ผมชื่นชมมานานแล้ว” สเตฟานพูดเบาๆ
ภูริทัตหันมามองที่สเตฟานอีกครั้งแล้วอมยิ้ม พลางเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆขึ้นมาบีบเบาๆ
“ในฐานะคนไทย ผมคงต้องปลื้มใจ ที่นาฎศิลป์ไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนต่างชาติ จริงมั๊ยครับ”
สเตฟานไม่ตอบ แต่หันมายิ้มน้อยๆให้แล้วหันหน้ากลับไปดูการแสดงต่อ เมื่อไม่มีท่าทีใดๆ ภูริทัตก็เลยกุมมือนุ่มนั้นไว้ต่อไป แล้วหันไปดูการแสดงต่ออย่างอารมณ์ดี
“ดูสิ คนมองกันใหญ่เลย คุณเล่นใส่ชุดม่อฮ่อมมาแบบเนี๊ย” ภูริทัตพูดอย่างตลกๆ ขณะที่เดินอยู่บนถนน ย่านที่มีคนจีนอาศัยอยู่มากที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งมีรถเข็นขายอาหาร และโต๊ะเก้าอี้สำหรับลูกค้า เรียงรายกันอยู่เป็นระยะๆ
“ผมว่าไม่ใช่หรอก” สเตฟานพูดขำๆ
“หรือคุณจะหาว่าพวกเค้ามองชุดสูทที่ผมใส่” ภูริทัตหยุดเดิน ทำให้สเตฟานต้องหยุดเดินไปด้วย
“คนเขามองเพราะผู้ชายสองคนเดินจูงมือกันต่างหาก แถมคนนึงเป็นคนไทยใส่สูท แต่คนที่เป็นฝรั่งกลับใส่ชุดม่อฮ่อม” สเตฟานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง คำว่า ผู้ชายสองคนเดินจูงมือกัน ทำเอาภูริทัตหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“กินอะไรกันดีล่ะ” ภูริทัตเปลี่ยนเรื่องทันที
“ผมไม่ค่อยหิวนัก แล้วแต่คุณก็แล้วกัน”
ภูริทัตอมยิ้ม แล้วพาสเตฟานเดินไปที่ร้านก๋วยจั๊บ สั่งมา๒ที่ทำหรับตนเองและสเตฟาน แล้วสั่งน้ำผลไม้ปั่นมา ๒ แก้วระหว่างท่านอาหาร ก็คุยกันถึงการแสดงที่เพิ่งจะดูจบมา
“ทำไมคุณทานน้อยจัง ไม่อร่อยเหรอครับ” ภูริทัตถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าสเตฟานทานไปเพียงไม่กี่คำ ในขณะที่เขาทานจนหมดชาม “หรือว่ากินอะไรดึกๆแล้วกลัวอ้วน” สเตฟานถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย
“เห็นคุณทานก็พอจะรู้ว่าอร่อยแค่ไหน ปรกติผมทานน้อยอยู่แล้ว อีกอย่างช่วงเวลานี้สำหรับผม เหมือนกับเพิ่งจะเป็นช่วงสายๆของวันเท่านั้นเอง”
“จริงสิ เห็นคุณอะไรนั่นเค้าบอกว่าคุณนอนหลับช่วงกลางวัน ปรกติคุณนอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืนเหรอ”
“ใช่” สเตฟานตอบสั้นๆ สีหน้าหมองลง
“อย่าบอกนะว่าคุณเจตแลค ไม่หาย” ภูริทัตพูดพลางทำท่าคิด “ไม่น่านะ ตั้งแต่ผมเจอคุณที่โรงแรมก็เกือบเดือนแล้ว อาการไม่น่าจะนานขนาดนี้ ปรกติ ๒-๓ วันก็น่าจะหาย”
“ผมมีโรคประจำตัว” สเตฟานตอบพลางมองดูภูริทัตที่กำลังจ้องมองเหมือนรอคำอธิบาย “ผมแพ้แดด ผมถูกแสงแดดไม่ได้ เพียงแค่แสงแดดอ่อนๆ ก็ทำให้ผิวของผมไหม้เกรียมได้แล้ว”
“คุณเป็นมาตั้งแต่เกิดเหรอ” ใบหน้าของภูริทัตเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เปล่าหรอก มันมีสาเหตุอื่น ผมก็เลยต้องใช้ชีวิตสวนทางกับคนปรกติ ผมนอนในขณะที่คนส่วนใหญ่ตื่น และผมตื่นในเวลานอนของคนเหล่านั้น”
“ผมว่าทำงานช่วงกลางคืนก็ดีนะ อย่างน้อยมันคงไม่ร้อนอบอ้าว รถก็ไม่ติดเหมือนตอนกลางวัน แต่มันก็ทำให้พลาดอะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน”
“สำหรับผมมันเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว ถึงผมจะพลาดอะไรหลายๆอย่าง แต่ผมก็คิดว่าผมได้เห็น ได้สัมผัสอะไรหลายๆอย่าง ในสิ่งที่คนปรกติไม่ได้สัมผัสกับมัน”
“เหมือนคุณจะมีความสุขดีนะ กับการใช้ชีวิตกลางคืน”
“หากคุณเป็นอย่างผม ถึงเวลาหนึ่งก็จะยอมรับมันได้ และจะเริ่มชินกับมัน ในที่สุดคุณก็จะหาความสุขกับมันได้ เหมือนกับผมในตอนนี้”
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกเบาๆ แต่ก็เก็บคำพูดไว้ไม่พูดออกมา เพราะยังไม่ค่อยแน่ใจว่า คนตรงหน้าคิดอย่างไรกับเขากันแน่
... สานฝัน ตอนนี้ผมก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้คุณ ...
“ให้ผมไปส่งคุณที่ห้องได้มั๊ย” ภูริทัตถามขณะที่ยืนรอลิฟท์
“มาส่งผมแค่นี้ ผมก็เกรงใจแล้ว” สเตฟานตอบยิ้มๆ
“อย่างนั้น ถ้าผมโทรหาคุณอีก ผมจะบอกได้ยังไงว่าคุณอยู่ห้องไหน”
“บอกแค่ชื่อผมก็พอแล้ว แต่คงจะได้คุยกับทรงศักด์แทน คุณสามารถฝากเรื่องไว้กับเขาได้ ทุกเรื่องจะถึงผมแน่นอน ราตรีสวัสดิ์นะครับ” พูดจบก็เดินเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งจะมาถึงพอดี
“เดี๋ยวครับ” ภูริทัตเอามือกั้นประตูลิฟท์ไว้ “คืนวันจันทร์ ผมจะมาหานะ”
“ครับ เจอกันวันจันทร์”
ภูริทัตเอามือที่กั้นประตูลิฟท์ออก และมองดูสเตฟานที่ยิ้มให้ จนประตูลิฟท์ปิดลง
“คุณภูริทัตครับ” เสียงเรียกดังขึ้น เมื่อหันไปก็พบกับทรงศักดิ์ “เดี๋ยวผมให้รถไปส่งนะครับ”
“ไปส่งเหรอครับ” ภูริทัตทวนคำ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
“คุณเป็นเพื่อนของท่าน ให้ผมจัดรถไปส่งน่ะดีแล้วครับ ไม่อย่างนั้นท่านจะว่าผมได้”
“สานฝันสั่งไว้เหรอครับ” ภูริทัตยิ่งสงสัยมากขึ้น เพราะตั้งแต่เดินเข้าโรงแรมมา เขายังไม่เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันเลย
“สานฝัน” คราวนี้ทรงศักดิ์ขมวดคิ้วบ้าง “คุณเรียกท่านว่า สานฝัน ท่านยอมให้คุณเรียกชื่อนี้เหรอครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ก็ชื่อนี้ท่านไม่ค่อยชอบให้ใครเรียก ท่านบอกว่ามันทำให้ท่านคิดถึงเพื่อนเก่า”
“เพื่อนเก่า ... ใครเหรอครับ”
“เหมือนจะเป็นลูกๆของเพื่อนท่านนะครับ ที่ตั้งชื่อนี้ให้ท่าน เป็นเพื่อนที่สนิทกับท่านมาก”
“เหรอ” ภูริทัตหันไปมองที่ลิฟท์ตัวที่สเตฟานเพิ่งจะเข้าไปเมื่อสักครู่ “เค้าไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย”
“ผมคิดว่า หากคบกันไปอีกสักระยะ ท่านคงเล่าอะไรให้คุณฟังมากขึ้น เพราะเท่าที่ผมจำได้ ท่านยังไม่เคยออกไปเที่ยวกับใครซ้ำเป็นครั้งที่สอง”
พอภูริทัตได้ยินก็ยิ้มออกมาได้
“ตกลงว่า ให้ผมจัดรถไปส่งนะครับ ไม่อย่างนั้นหากท่านถาม ผมก็ไม่ทราบจะตอบท่านยังไง”
ภูริทัตจึงยอมกลับบ้านด้วยรถของโรงแรม ที่ทรงศักดิ์จัดหาให้ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ระหว่างทางว่า ทรงศักดิ์เรียกสานฝันหรือสเตฟานว่าท่านอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหน ครั้งหน้าเขาอาจจะลองถามดู ... หากเขาไม่ลืม
ภูริทัตมองดูคนที่นอนหลับแนบใบหน้าอยู่กับแผ่นอกของเขา ด้วยความหลงใหลกึ่งเอ็นดู หน้าผากค่อนข้างกว้าง ดวงตาหลับสนิทจนมองเห็นแพขนตายาวงอนเป็นสีทอง สีเดียวกับเส้นผมที่ค่อนข้างนุ่ม สักพักร่างนั้นก็พลิกตัวนอนหงาย โดยที่ยังหนุนศรีษะไว้บนอกของเขา มือที่มีผิวขาวละเอียดไขว่คว้าเหมือนจะหาผ้าห่ม เขาจึงค่อยๆเลื่อนผ้าห่มมาคลุมอกที่เปลือยเปล่า พลางมองดูแก้มที่เป็นสีชมพู สีเดียวกับริมฝีปากบางที่ชวนให้เสพลิ้มความหอมหวาน ชายหนุ่มอดใจไม่ไหว ขยับตัวออกให้ศรีษะของสเตฟานเปลี่ยนไปหนุนอยู่ที่แขนของตน ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากสีชมพู ขบเม้มแผ่วๆแล้วเริ่มแรงขึ้น
กริ๊งๆ ... กริ๊งๆ ...
เสียงดังขึ้นทำให้ภูริทัตสะดุ้งสุดตัว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่านอนอยู่บนตียงของตนเอง และคนที่ประทับจูบอยู่เมื่อสักครู่ กลายเป็นหมอนที่ใช้หนุนนอนอยู่ประจำ เสียงที่ดังมาอย่างต่อเนื่อง จนต้องเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือ ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรเข้ามา ก่อนจะกดปุ่มรับสาย
“โทรมาทำไมแต่เช้าวะ” ภูริทัตกรอกเสียงลงไปอย่างอารมณ์เสีย
“เช้าบ้านเมิงเด๊ะ ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว เพิ่งตื่นเหรอไงวะ”
“เออดิ ... กำลังฝันดีซะด้วย เอ็งมันขัดจังหวะจริงๆเลยนะ ไอ้สรรค์”
“ฝันว่าอะไรวะ” เสียงหัวเราะของรังสรรค์ดังเข้ามาตามสาย
“เรื่องขอกู ว่าแต่มีอะไรวะ”
“ว่างๆหว่ะ เลยว่าจะชวนออกมาเดินเล่น ไม่ก็ดูหนัง”
“ขี้เกียจหว่ะ วันนี้อยากนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงไปเคาท์ดาวน์”
“อะไรกันวะ เมื่อคืนไปทำอะไรมา วันนี้ถึงไม่มีแรง”
“แต่นอนดึกเว๊ย” ภูริทัตตอบไปแล้วก็ต้องอมยิ้ม
แล้วรังสรรค์ก็ชวนคุยต่อไปอีกยาว และนัดหมายกันไปเที่ยววันส่งท้ายปีเก่า ในวันพรุ่งนี้