ตอนที่ 27
แกร๊ง แกร๊ง
เสียงโซ่กระทบกันเป็นจังหวะเมื่อร่างผอมเดินลากเท้าไปยังห้องประชุมส่วนตัวซึ่งเป็นห้องที่ถูกแยกออกไปอย่างเห็นได้ชัด มีคนเฝ้าประตูตลอดเวลาอย่างแน่นหนาราวกับว่าภายนอกห้องมีสิ่งสำคัญที่แม้แต่คนในก็ไม่อาจไว้ใจได้อยู่
ใบหน้าของจ้าวยังคงเฉยชาไร้ความรู้สึก ไม่สนใจที่จะสวมเสื้อที่คิงเตรียมให้ด้วยซ้ำ ปล่อยให้เนื้อตัวเปลือยเปล่าโชว์ร่องรอยบาดแผลจากการทำร้ายกับร่องรองบางอย่างที่เริ่มจางลง ด้วยความหวังว่าพวกนั้นจะปราณีเขาบ้าง แค่นี้บาดแผลในชีวิตเขาก็เยอะมากพอแล้ว อย่าได้เพิ่มมันอีกเลย
จ้าวหลับตาเดินอย่างสงบเพราะไม่มีความจำเป็นต้องลืมตาด้วยซ้ำในเมื่อข้อมือก็ถูกมัดด้วยเชือกและมีคนจูง ส่วนข้อเท้าที่เหลือปลายโซ่ยาวๆ ก็มีคนถือเดินตามหลังให้
เรียกได้ว่าตอนนี้กลับคือสู่นรกอย่างสมบูรณ์แบบ
ไร้ซึ่งโอกาส ไร้ซึ่งอิสรภาพ ไร้ซึ่งความเมตตา
มีเพียงความทะเยอทะยานที่จะนำพาชีวิตเน่าเฟะนี่ออกไปจากนรกแห่งนี้ได้
ท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงเสียงหัวเราะของจ้าวดังเสียงผะแผ่ว ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังร่างโอเมก้าคนใหม่ที่ถูกพาตัวเข้ามายังรังอย่างเอิกเกริก ไม่ว่าใครก็ล้วนรู้จักจ้าวทั้งนั้น ทั้งในด้านนักร้องเพลงดาวรุ่งในอดีตจนถึงฆาตกรเลือดเย็น มีหลายสายตาที่ชื่นชมแต่ก็มีอีกหลายสายตาที่หวาดกลัว
แต่น่าแปลกนักที่เสียงหัวเราะของจ้าวกลับทำให้ทุกคนขนลุกชัน แม้จะเป็นเพียงแค่เสียงแต่ก็สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง ความเจ็บปวดและความสมเพชในตัวเอง บาดแผลน่าสยดสยองมากมายทั้งบนหน้าท้องแผ่นอกหรือแม้แต่แผ่นหลังชวนให้กลืนน้ำลายเอือกด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะรอยสักอีกาดำที่ถูกแทงทะลุลำตัวนั้นราวกับตอกย้ำชีวิตของจ้าวได้ดี
ชีวิตที่ถูกฆ่าทั้งเป็น!
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องจู่ๆ ร่างผ่ายผอมก็หยุดเดินแล้วก็ฮัมเพลงขึ้นมา ไม่สนใจว่าตัวเองจะโดนกระชากข้อมือให้เดินต่อหรือเข่ากระแทกเข้าที่สะโพก
รอยยิ้มปรากฎบนริมฝีปากบางเฉียบ
“หมาป่า! หมาป่า! หมาป่า!”
ทั้งๆ ที่ควรจะร้องด้วยน้ำเสียงระคนหวาดกลัวแต่มันกลับถูกร้องด้วยน้ำเสียงเย้นหยันติดตลก
“พวกลูกแกะตะโกนกันอย่างหวาดผวา แต่เจ้าหมาป่าไม่สนใจ ยังคงเล็งปืนไปที่พวกมัน!”
จ้าวร้องถึงแค่นั้นแล้วก็หยุดร้องแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความไม่เข้าใจนัก ทั้งๆ ที่เขาเองก็พยายามในแบบของเขาเพื่อช่วยเหลือคนพวกนี้แต่ตอนนี้กลับถูกคนพวกนี้เล่นงานเอาเสียเอง
เป็นเรื่องตลกร้ายจนอยากขำให้ตายจริงๆ
“ใครมันโง่บอกว่าพวกแกะไม่ทำร้ายกันเอง” นัยน์ตาโศกฉายประกายขบขันเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจะหวาดกลัวในตัวเองอย่างเห็นได้ชัดของคนอื่น “พวกมันกินเนื้อกันเองเลยด้วยซ้ำว่ะ”
ร่างผอมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องด้วยตัวเอง
ห้องประชุมไม่ได้ใหญ่เท่าที่จ้าวคาดคะเนไว้ มันเป็นเพียงห้องขนาดไม่ใหญ่นักแต่กลับอัดทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าจะสำคัญสำหรับกลุ่มไว้แทบทุกตารางนิ้ว บริเวณรอบผนังสามด้านถูกวางด้วยตู้ขนาดใหญ่ ภายในตู้ที่ดูจะใหญ่และแข็งแรงมากที่สุดหลังกระจกใสมีขวดน้ำหอมบรรจุขวดวางเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนตู้ที่เล็กกว่าสองตู้นั้นมีทั้งเอกสารและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่เต็มไปหมด
ในอีกด้านหนึ่งที่ไม่มีตู้นั้นเป็นโต๊ะที่ถูกวางด้วยคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค บริเวณผนังมีจอภาพแสดงผลอยู่เกือบยี่สิบจอ แสดงพื้นที่เข้าออกในอาคารทั้งหมดอีกทั้งยังมีจอเฉพาะห้าจอที่แสดงพื้นที่พิเศษสลับไปมาอยู่เป็นพักๆ และบริเวณสุดท้ายก็คือกลางห้องซึ่งมีโต๊ะยาวหนึ่งตัวและเก้าอี้ไม่กี่ตัววางล้อมรอบที่เหลือเป็นถังสีที่ถูกนำมาวางเพิ่มใช้กึ่งเก้าอี้
แน่นอนว่าเก้าอี้แทบทุกตัวล้วนถูกครอบครองด้วยกลุ่มหัวหน้าหลักของที่แห่งนี้แล้ว มีทั้งโอเมก้า อัลฟ่า หรือแม้แต่เบต้าที่กำลังนั่งบนเก้าอี้และถังอย่างสบายอกสบายใจ แม้สีหน้าบางคนจะนิ่งสนิทก็ตามที
จ้าวนั่งลงบนถังที่ดูไม่จืดนักแล้วมองเหล่าหัวหน้าที่กำลังจะมอบคำสั่งแรกให้กับตัวเอง
“ก่อนอื่นเลย ขอแนะนำตัวก่อนนะ”
นัยน์ตาโศกมองคนที่นั่งตรงข้ามกับตัวเองด้วยความรู้สึกประหลาดใจนิดๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นเบต้าร่างใหญ่ที่ดูจะไม่มีชีวิตดราม่าอะไรเท่าพวกโอเมก้านัก
“ฉันชื่อสิต จะเรียกเฮียสิตก็ได้” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครายิ้มให้จ้าวอย่างเป็นมิตร “เป็นหัวหน้ากลุ่ม Revenge of Raven (การแก้แค้นของอีกา)”
จ้าวพยักหน้าเล็กๆ มองด้วยความเฉื่อยชา ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพยายามทำตัวดีกับตัวเองแค่ไหน ตราบใดที่ข้อมือยังถูกมัดและโซ่ตรวนยังคงอยู่ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นมิตรกับใครเพราะสถานะของเขาตอนนี้ไม่ต่างกับสัตว์สักตัว
“ฉันมีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผนแล้วก็ตัดสินใจแผนการใหญ่ๆ ว่าควรทำรึเปล่า” แม้จะถูกตอบรับอย่างเย็นชาแต่สิตก็ยังยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี “เอาเป็นว่าฉันจะแนะนำคนอื่นให้ด้วยเลยแล้วกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูดทุกคน”
สิตชี้ไปทางชายร่างเล็กหลังค่อมสวมเสื้อสีดำทึบอีกทั้งยังสวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดปิดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง มีเพียงนัยน์ตาเล็กๆ สีฟ้าสว่างที่ดูง่วงงุนปรากฎให้เห็น “นี่ชื่อไอที จะเรียกไอก็ได้ มันเชี่ยวชาญเรื่องอิเล็กทรอนิกส์แทบทั้งหมด ทั้งเรื่องแฮคข้อมูลหลายๆ อย่าง ถ้านึกอะไรเกี่ยวกับคอมไม่ออกก็ให้มาหามันนะ อ้อ ลืมไป ที่คอนายก็ได้ไอเนี่ยแหละเป็นคนทำให้”
“…”
จ้าวไม่ตอบนั่งนิ่งงันราวกับไร้วิญญาณ
“ส่วนไอ้แว่นนี่ไอ้เงิน” สิตทุบหลังอัลฟ่าข้างๆ แรงจนได้ยินเสียงอั่ก แน่นอนว่าเจ้าของชื่อมองกลับด้วยความไม่พอใจนัก “มันเป็นฝ่ายการเงินควบคุมบัญชีทั้งหมดแล้วก็ควบตำแหน่งคนออกภาคสนามด้วย”
สิตยังแนะนำเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละเพราะหวังว่ามันจะช่วยให้จ้าวเปิดใจให้กับพวกเขาบ้าง เผื่อว่า ‘อะไรๆ’ จะง่ายขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่คนที่นั่งใกล้จ้าวสุด “นั่นชื่อไอ้ขุน เป็นคนที่มีหน้าที่คุยกับพวกที่ยังอยู่ในสังคมแต่ยังไม่กล้าปลีกตัวออกมาช่วยแล้วก็เป็นคนหารายได้สนับสนุนหลักให้กลุ่มเรา”
ใบหน้านิ่งเฉยเผยรอยยิ้มมุมปากให้จ้าวอย่างเป็นมิตร จ้องเนื้อตัวขาวๆ ของจ้าวด้วยแววตาพราวระยับ ไม่สนใจทั้งบาดแผลและร่องรอยใดๆ เพราะเขาก็อยากเป็นอีกคนที่ได้ลองลิ้มรสเนื้อรสเลิศนี้บ้าง
จ้าวมองสายตานั้นด้วยความเบื่อหน่าย คนที่ฉลาดมักจะใช้ความเจ้าชู้ของตัวเองได้อย่างมีไหวพริบ อาจจะหลอกนอนกับอัลฟ่าสักคนแล้วกล่อมด้วยคำพูดหวานหูเพื่อรีดไถเงินมาสนับสนุนกลุ่มก้อนของตัวเอง ยิ่งใบหน้าที่ดูหล่อเหลาและสุขุมราวกับคุณชายสักคนแล้ว ไม่ยากเลยที่ผู้คนจะหลงเชื่อเอาง่ายๆ ราวกับเด็กไม่กี่ขวบที่เชื่อเรื่องราวทั้งหมดของนิทานว่ามันเป็นความจริง
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นคนด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายลักพาตัวจากเจ้าหญิงแทน
“แล้วก็นี่..”
สิตยังเอ่ยไม่จบประโยคจ้าวก็พูดตัดขึ้นมา นัยน์ตาโศกสั่นระริกเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองนั้นเปลี่ยนไปมากจนจำแทบไม่ได้ “…วุ้น”
“ดีใจที่เจอมึงอีกนะ” วุ้นยิ้มและหัวเราะเสียงแผ่วกับแววตาประหลาดใจของจ้าว แต่จะไม่ให้แปลกจะก็คงจะเห็นเป็นไม่ได้เพราะทั้งใบหน้าและร่างกายเขาล้วนไม่สมประกอบเหมือนในวัยเยาว์ เขาเสียแขนข้างขวาและลูกตาซ้ายกับการขายอวัยวะเพื่อเอาเงินมาหล่อเลี้ยงชีวิตเล็กๆ ที่กำลังจะอดตายเพราะเขาหาเงินได้ไม่มากพอ ก่อนที่ความพยายามจะสูญเปล่าเพราะลูกของเขาได้ตายไปก่อนที่เขาจะกลับมา
ซึ่งเงินที่ถูกส่งให้ซื้อข้าวให้ลูกกลับถูกป้าที่ฝากเลี้ยงนำไปซื้อเหล้ายามากินจนเมาแอ๋ ขนาดลูกเขาตายไปแล้วยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่าขอเงินอีก แค่ขวดเดียวมันจะพออะไร
มันเป็นความทรงจำอันเจ็บปวดและร้าวรานจนวุ้นไม่อยากนึกถึงมัน ลูกของเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อแต่ใบหน้าน้อยๆ นั้นก็น่ารักน่าชังจนเขาพยายามสุดชีวิตในการเลี้ยงดูแม้ว่าตัวเองจะสุขภาพไม่ค่อยดีก็ตาม
แต่ทุกอย่างมันก็ช้าเกินไป
“เกิดอะไรขึ้น” จ้าวถามเสียงแผ่ว
วุ้นหัวเราะพลางโบกมือ “ไม่มีอะไรหรอก อุบัติเหตุน่ะ ตอนนี้มันไม่เจ็บแล้ว” ทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแขนและเบ้าตาของตัวเองที่ถูกปิดด้วยผ้าปิดตาสีดำเพื่อไม่ให้ดูน่ากลัวนัก
“รู้จักกันมาก่อนงั้นเหรอ ดีแล้ว” สิตพูดอย่างดีใจ “วุ้นนี่ถือเป็นคนที่สำคัญอันดับต้นๆ ของกลุ่มเราเลยเพราะวุ้นเป็นคนรวบรวมและปลุกระดมพวกโอเมก้าแทบจะทั้งหมด แล้วอีกอย่างคือเชี่ยวชาญการหนีมาก”
“...บอกผมทำไม”
จ้าวถามเสียงแผ่วหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน บาดแผลบนร่างไม่ได้ช่วยอะไรเลยในเมื่อสิ่งที่ทุกคนบนโลกเห็นเขาคือเป็นผลประโยชน์ที่มีชีวิต ไม่ต้องสนใจหรอกว่ามันรู้สึกยังไง ขอแค่ได้ผลประโยชน์มากตามที่ต้องการก็พอ
“เห็นไหมว่าที่นี่เรามีผู้เชี่ยวชาญของแต่ละด้าน” เบต้าหนุ่มวัยกลางคนยังพูดอย่างใจเย็นและมีรอยยิ้มแม้ว่าจะถูกแดกดันก็ตาม “และที่เราต้องการเพิ่มคือผู้เชี่ยวชาญด้านการประชาสัมพันธ์และเราก็เลือกนายไง จ้าว นายจะเป็นความหวังใหม่ให้กับกลุ่มอีกาของเรา”
“ผมไม่ต้องการ” จ้าวแค่นเสียงหัวเราะ “แต่ยังไงผมก็ต้องทำอยู่ดีใช่ไหมล่ะ โอเค เชิญเลย จะสั่งอะไรมาก็เชิญ ผมจะทำทุกอย่างที่คุณบอก ยังไงพวกคุณก็ไม่คิดจะปล่อยให้ผมกลับไปอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
แม้จ้าวจะหัวเราะแต่ในใจกลับร่ำไห้ หัวใจในอกสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดเมื่อต้องทนทรมานกับเรื่องเดิมและเรื่องใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับต้องคำสาปร้ายที่ไม่มีวันแก้ได้
“ไม่จ้าว เข้าใจผิดแล้ว” สิตส่ายหัว “เรากำลังขอความร่วมมือจากจ้าวต่างหาก เราอยากได้คนที่ทำงานเพื่อกลุ่มด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่การบังคับ”
“แล้วล่ามผมไว้ทำไม” อารมณ์ของจ้าวที่พยายามจะนิ่งสงบเริ่มเดือดพล่าน
“เราแค่ต้องการที่จะแน่ใจว่านายจะไม่หนีไปไหน”
“ไอ้เวรเอ้ย!!” จ้าวตะคอกนัยน์ตาโศกแดงก่ำอย่างดุร้าย “มึงมีสิทธิ์อะไรมาบังคับกูวะ มึงมีสิทธิ์อะไร! กูไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณใครโดยเฉพาะกับพวกมึง!”
แกร๊ง!
ข้อเท้าที่ตรวนด้วยโซ่ถูกพันเข้ากับเก้าอี้ไว้แน่นเพื่อป้องกันจ้าวคลุ้มคลั่งออกไปทำร้ายใคร แต่มันกลับไม่ช่วยให้ความโกรธของจ้าวบรรเทาลง หนำซ้ำยังเติมเชื้อไฟจนแทบจะฆ่าทุกคนให้ตายทั้งเป็น
หากแต่ยิ่งขัดขืนก็เหมือนยิ่งทำร้ายตัวเอง ข้อเท้าเริ่มช้ำม่วงและมีรอยถลอกซิบเลือด ข้อมือเป็นแผลถลอกจนเลือดซึมออกมาได้กลิ่นคาวจางๆ และในที่สุดความโกรธของจ้าวก็ลดลงแทนที่ด้วยความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจที่เจ็บปวดแสนสาหัส
“กูทำผิดอะไรวะ! ฮึก ถึงจับกูมา กูทำอะไรผิด กูมีความสุขมากเกินไปเหรอ ที่ต้องทำแบบนี้กับกู ให้กูอยู่สงบๆ บ้างไม่ได้รึไงวะ ฮืออออ”
จ้าวปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาทนการถูกข่มเหงไม่ไหวแล้ว เขาถูกบังคับให้เข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรง ทั้งๆ ที่ทุกอย่างในชีวิตกำลังไปได้สวย
“ใจเย็นๆ จ้าว ใจเย็นๆ ถ้าไม่อยากเข้าร่วมกับกลุ่มเรา งั้นเปลี่ยนเป็นแลกเปลี่ยนกันอย่างสมราคาไหม”
การร้องไห้ของจ้าวไม่ได้ทำให้สิตรู้สึกอะไรสักนิด อุดมการณ์สุดโต่งอันแข็งแกร่งที่ไหลเชี่ยวอยู่ในสายเลือดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จโดยไม่สนวิธีการ ไม่สนว่าจะต้องฆ่าใครไปบ้าง เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“ปล่อยผมกลับบ้านนะ ฮึก ถือว่าขอร้องในฐานะโอเมก้าก็ได้”
“จริงสิ นายเคยบอกว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าพริมนี่ อยากให้พวกเราช่วยหาหลักฐานให้ไหม” สิตเลือกที่จะทำหูทวนลมไม่สนใจคำขอร้องของจ้าว “สนใจไหม?”
จ้าวอับจนคำพูด นัยน์ตาโศกแทบไร้ประกายชีวิตเพราะรู้ว่าต่อให้ร้องขอให้ตายยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนตอนที่อยู่ในคุกที่ต้องยอมรับทุกอย่างแม้ว่าจะไม่ยินยอม ตอนนี้ก็เป็นแค่อีกครั้งนึงที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น
“…ผมอยากไปบ้านของตระกูลนฤภัทร”
อย่างน้อยๆ ครั้งนี้เขาก็มียังมีโอกาสได้ต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองบ้าง ถึงแม้มันจะไม่เท่าเทียมและคุ้มค่าแต่เขาก็มีทางเลือกไม่มากนัก
“หมายความว่าไง คนที่บ้านนายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมงั้นเหรอ” สิตถามอย่างสนใจเพราะนี่นับเป็นข่าวใหม่และใหญ่สุดๆ เลยทีเดียวสำหรับคนที่ติดตามข่าวเรื่องจ้าวอยู่
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
“เฮ้ๆ เราเป็นพวกเดียวกันน่า จ้าว เปิดใจหน่อย บอกเลยว่าไว้ใจเราได้ แค่นายพูดออกมา พวกเราก็พร้อมที่จะเชื่อและช่วยเหลือ”
“…”
จ้าวหลบสายตาไม่สนใจและไม่คิดจะหลงกลไปกับคำพูดสวยหรูที่แฝงไปด้วยคมดาบที่มองไม่เห็น เขาเรียนรู้มามากพอแล้ว
หัวหน้ากลุ่มอีกายังคงยิ้มอยู่แม้จะเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองในใจเช่นเดียวกับคนอื่นที่เริ่มไม่พอใจในตัวจ้าวที่ทำตัวน่ารำคาญ ทั้งๆ ที่ตกที่นั่งลำบากเหมือนกันแต่กลับเลือกที่จะนั่งเฉยไม่คิดจะทำอะไรสักนิดเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกอันเน่าเฟะที่ทุกคนทุกข์ทนอาศัยอยู่อย่างทรมาน
“พูดตรงๆ นะจ้าว ฉันไม่เข้าใจนายสักนิดว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลสิตจึงใช้ไม้แข็ง
ความโกรธที่อัดแน่นในทุกอณูของลมหายใจทำให้จ้าวเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยนัยน์ตาลุกวาว ถึงแม้จะเป็นแค่อีกาขนโกร๋นจนอัปลักษณ์แต่ก็ดุร้ายจนไม่สามารถมีใครเข้าใกล้ได้
“ถ้าพวกเราต้องการ เราสามารถฆ่านายได้ง่ายๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เราไม่คิดจะทำเพราะอยากให้นายเป็นพวกพ้องที่ดีของเรา ช่วยเราสานฝัน เป็นฟั่นเฟือนอีกตัวที่จะทำให้ความฝันของโอเมก้าทุกคนสำเร็จ”
“ผมไม่สนใจว่าพวกคุณจะรู้สึกยังไง” จ้าวพูดเสียงกร้าว “แต่ที่ผมสนใจคือผมอยากกลับบ้าน!!!”
“อย่าโลกสวยนักเลย จ้าว” สิตทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย “กรงทองของนายไม่มีวันปลอดภัยตลอดไปหรอก ไม่อย่างนั้นพวกฉันจะพาตัวนายออกมาได้ยังไง”
“พวกสารเลว”
“พูดผิดแล้วจ้าว แสนดีต่างหาก” เบต้าหนุ่มยิ้มอ่อนโยน “ใครจะไปรู้ว่าวันดีคืนดีอาจจะมีคนในขายข่าวให้จันทร์มาตามจับนายก็ได้ นี่มากับพวกเราก็ถือว่าโชคดีมากแล้วนะเพราะพวกเราไม่ฆ่าพวกเดียวกันเองโดยไม่จำเป็น”
ยิ่งคุยกันก็เหมือนคุยไม่รู้เรื่องจนจ้าวตัดสินใจตัดบท แม้จะโกรธจนแทบบ้าแต่ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนมันลงไปและเจรจากับอีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิดของตัวเอง
“โอเค ผมจะเป็นตัวแทนพวกคุณเอง” ร่างผอมพูดอย่างเย็นชา “แต่คุณต้องพาผมเข้าบ้านตระกูลนฤภัทรให้ได้”
สิตคลี่ยิ้มการค้าออกมาอย่างสุขสม
“ตกลง”
เพราะการลงทุนครั้งนี้ได้ผลกำไรงามทีเดียว
ท่ามกลางความวุ่นวายในตอนกลางวันที่ทุกคนพากันสัญจรกันอย่างคึกคัก จู่ๆ จอแอลอีดีขนาดยักษ์ และสื่อต่างๆ ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดก็ดับลบและกระพริบเปิดอีกครั้งด้วยภาพสัญลักษณ์แปลกตาบางอย่าง มันเป็นภาพกราฟฟิกอีกากระพือปีกที่มีเพียงเส้นไม่กี่เส้นแต่กลับรู้สึกได้ถึงความทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นกลุ่มเลือดและซากศพหมาป่าขนาดยักษ์รอบตัวที่ตายกันอย่างน่าสยดสยอง
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบสงัดจดจ้องหน้าจอภาพที่กระพริบร่างเหล่าหมาป่ายักษ์ให้หายไปก่อนจะปรากฎขึ้นมาใหม่ราวกับย้ำเตือนถึงการมาของอีกา ที่ทรงพลังถึงขนาดฆ่าหมาป่าที่แทนสัญลักษณ์ของเหล่าอัลฟ่าได้!
[ นี่เป็นข้อความแรกของกลุ่มเรา กลุ่มแห่งความหวังของโอเมก้าหรือเรียกอีกอย่างว่ากลุ่ม Revenge of Raven แปลตรงตัวก็คือการแก้แค้นของเหล่าอีกา จุดประสงค์หลักของกลุ่มเราคือต้องการความเท่าเทียมในสังคมโดยเฉพาะกับพวกโอเมก้า เราต้องการให้โอเมก้า เบต้า และอัลฟ่ามีสิทธิ์เท่าเทียมกันจริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ เราอยากจะขอให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องรีบทำตามที่เราร้องขอ ก่อนที่เราจะลงมืออีกครั้ง]
น้ำเสียงที่ดังออกมาจากภาพนั้นมั่นคงสม่ำเสมอและเด็ดขาด มีหลายคนที่จำเสียงได้ ต่างพากันตื่นตกใจฮือฮากันยกใหญ่ทั้งเรื่องที่จ้าวเป็นคนพูดและงุนงงว่าจ้าวกำลังพูดถึงอะไร สำหรับอัลฟ่าเบต้าหลายคนนั้น โอเมก้าก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ชั้นต่ำและไม่ใช่คนเหมือนตัวเอง จึงไม่เข้าใจมากๆ ว่าจ้าวต้องการอะไรกันแน่ สิทธิ์ปกติทางสังคมรัฐบาลก็ให้แล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก
[ และสิ่งสุดท้ายที่เราอยากจะบอกก็คือ เราไม่ใช่กลุ่มอาชญากรรม พวกคุณไม่ต้องกลัว ]
เมื่อจ้าวพูดจบทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หน้าจอยักษ์ฉายโฆษณาซ้ำวนไปวนมาเช่นเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ทำตามหน้าที่ตัวเองเช่นเดิมอย่างขยันขันแข็ง
สิ่งที่หลงเหลือคือตะกอนความสงสัยในใจผู้คน
อาจจะเป็นความหวาดระแวง ความหวาดกลัว หรือแม้แต่ความใคร่รู้
แน่นอนว่ามันไม่สำคัญว่าจะเป็นตะกอนใด เพราะสิ่งที่กลุ่มอีกาพวกนี้ต้องการคือการได้ประกาศถึงการมีอยู่ของตัวเองเท่านั้น!
=========
ตอนนี้สั้นไปนิดเพราะคาดว่าจะไปทดกับตอนหน้าที่แบบ
ทำใจรอเลยนะคะ 5555
เจอกันตอนหน้าค่า