พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน....... รวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน....... รวมเล่ม  (อ่าน 119888 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยาที่จะให้ต้องดีมั๊กๆๆ แน่เล้ยยย 555

ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน



บทที่19 ขอโทษนะ



“แล้วตกลง มีเรื่องอะไรเหรอ”เปลวตะวันเอนตัวพิงเคาเตอร์บาร์กอดอกจดจ้องมาที่ผมซึ่งกำลังล็อคประตูห้องหลังจากเจ้าพวกนั้นออกจากห้องไปหมดแล้วก็เหลืองเพียงเราสองคนและบรรยากาศแปลกๆรอบตัว ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ เสตามองไปทางอื่นไม่กล้าสบตากับมันตรงๆนัก



“เอ่อ คือ เรื่องเมื่อวาน...”คฑากรคนเก่งของโรงเรียนยามนี้เขาได้สูญเสียทักษะการสนทนาแบบเป็นผู้เป็นคนไปเรียบร้อยแล้ว



ท่ามกลางการจับจ้องจากสายตาไม่สื่อความหมายใดๆของเปลวตะวัน นายน้ำเงินก็ยกมือจับผมตัวเองดึงเล่นก่อนจะเผลอออกแรงกระตุกจนเส้นผมสีดำขลับจะหลุดติดมือออกมาให้เจ็บเล่น



อากัปกิริยาเหมือนคนจะเขินก็ไม่ใช่เหมือนจะเกร็งก็ไม่เชิงนั้นช่างดูเสียสติในสายตาเปลวตะวัน



ร่างสูงถอนหายใจเหนื่อยอ่อนขณะสาวท้าวเข้าใกล้คนที่ยังจับจองพื้นที่หน้าประตูไม่ไปไหน มือแกร่งเอื้อมมาจับบ่าของผมราวกับกำลังให้กำลังใจ



“พูดมาสิ ไม่ว่ามันจะจบแบบไหน เปลวก็จะไม่โทษน้ำเงินหรอก”



ท่ามกลางท่าทีสุขุมราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไร ผมมองสบเข้าไปในดวงตาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงฟุตและพบเข้ากับความสั่นไหวภายในใจของคนตรงหน้า



“หึ...อะไรกัน ทำเป็นเก็ก มึงก็ใจแป้วเหมือนกันนี่”ผมหัวเราะในลำคอ”เอาเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก ไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น...”



“กูอยู่ตรงนี้...และมึงก็อยู่ตรงนี้...พวกเราอยู่ข้างกัน ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยนี่...จริงไหม”



ผมคลี่ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นคนฟังทำหน้าประหลาดใจ มือข้างที่แตะไหล่ของผมเมื่อครู่เผลอไผลออกแรงกดตามความตื่นเต้นของเจ้าตัว



“กูก็ชอบมึงนะ เป็นแฟนกันมั้ย...”



“เหะ...”



“อะ ฮ่าๆๆ ดูทำหน้าเข้าสิ ตลกเป็นบ้าเลย ฮ่ะๆๆๆ”หลังจากพูดคำนั้นออกไปแล้วแทนที่ผมจะเขินผมกลับตลกหน้าของเปลวมากกว่า ใบหน้าหล่อๆของผู้ชายในฝันของสาวๆตลึงตึงตังอ้าปากค้างอยู่ตรงหน้าพอดีเป๊ะ ผมที่พยามข่มอารมณ์ไม่ให้หนีเตลิดไปก่อนกว่าจะสารภาพรักได้แทบแย่ มาเจอรีแอคชั่นแบบนี้ จากที่ควรจะเขินก็กลายเป็นขำแทนน่ะสิ



“คิดว่ากูจะไล่มึงรึไง!? ผู้ชายที่มึงชอบขี้ขลาดขนาดกลัวเสียงวิจารณ์จากคนรอบข้างจนทอดทิ้งความรู้สึกของตัวเองรึไง หืม?”
เปลวยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนี้ มันลากผมเข้าไปกอดไว้หลวม มือข้างหนึ่งตบแผ่นหลังของผมเบาๆแถมด้วยการโยกตัวนิดๆจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “กล่อมลูกน้อยเข้านอนอยู่เหรอ ฮ่ะๆๆๆ”



“ก็คนกำลังดีใจจะให้ยืนนิ่งๆได้ยังไง”เปลวกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น”ขอโทษนะ ที่เผลอคิดไปว่าจะไม่ได้เจอกับน้ำเงินอีกเพราะเรื่องเมื่อวานแล้ว”



“...”



“ขอโทษจริงๆที่เผลอลืมไปว่าน้ำเงินที่เปลวรักมาตลอดก็คือน้ำเงินที่ไม่หวาดหวั่นต่อคำพูดของใคร เข้มแข็งและมองตรงมาที่เปลวอย่างซื่อตรง”



พวกเราปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม โดยไม่ต้องใช้คำพูดอะไรเราสองคนยืนกอดกันแน่น



“แล้วคำตอบล่ะ”ผมกระซิบทวงถามคำตอบที่ยังไม่ได้รับ



“เป็นสิครับ เป็นแฟนกัน”เปลวตอบขณะผละตัวจากกัน







“...”






 “แล้ว...เป็นแฟนกันแล้วไงต่อ...เอ่อ กูหมายถึงอยู่กันสองคนจะทำอะไรดี เอ๊ะ...กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ!”ผมใช้นิ้วชี้เกาแก้มแดงๆของตัวเอง คำถามของผมมันอาจจะชวนคิดลึกไปหน่อยเมื่อบวกรวมกับสิ่งแวดล้อมอันแสนเอื้ออำนวยรอบกายตอนนี้แต่ที่ผมถามเพราะผมไม่อยากให้มันเงียบนานเกินไป คือเรายืนมองกันไปมาได้ห้านาทีแล้วแบบไม่รู้จะทำตัวยังไงถูกดี




“กว่าพวกนั้นจะกลับมาก็คงหลังสี่ทุ่ม”เปลวนิ่วหน้าทำทีเป็นใช้ความคิดแล้วก็รีบหันหลังเดินกลับไปนั่งบนโซฟาแต่ทว่าเสี้ยวหน้าแดงระเรื่อของมันก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาผมไปได้



คำถามสองแง่สองง่ามของผมเมื่อครู่คงสร้างมโนภาพให้ผู้ชายคิดลึกบางคนจนต้องเดินหนีไปนั่งพัก



“แค่นี้เขินเหรอครับคุณเปลว”เมื่อสบโอกาสผมจึงรีบเข้าไปกระเซ้ามัน นานๆทีมันจะเขินให้เห็นอย่างนี้จะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆได้ยังไง คนย่ามใจเดินกระหยิ่มยิ้มเข้าไปนั่งข้างๆเปลวตะวันพร้อมเบียดไหล่อ้อล้อ



รอยยิ้มแพรวพราวประดับบนใบหน้าของคนที่ยังไม่รู้ว่าภัยกำลังจะถึงตัว เปลวเหลือบมอง’แฟน’ตัวเองด้วยสายตาเอ็นดู น้ำเงินยกมือขึ้นจับคางคนที่ไม่พูดไม่จาเอาแต่มองหน้าชาวบ้านชาวช่อง




“ฮั่นแน่ เขินจริงๆด้วย นั่งเงียบผิดปกติเชียว หึหึ”หัวเราะคิกตักกับตัวเองท่าทางเปรมปรี



“คนที่เขินอ่ะมึง...พูดมากผิดปกติ”และผมผู้รื่นเริงเกินไปก็โดนจับไต๋ได้ มองค้อนคนรู้ทันไปหนึ่งตลบก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์เอาเสียง



“กูว่าเขินทั้งคู่หวะ โอ๊ย...กูไม่น่าเลย กูไม่น่ารีบสารภาพรักกับมึงตั้งแต่เย็นแบบนี้เลย กว่าคนอื่นจะกลับก็อีกตั้งหลายชั่วโมง โง้ยยยยย...”มือเรียวยกขึ้นจิกทึ้งหัวตัวเอง ส่ายตัวไปมาท่ามกลางความเอ็นดูของคนข้างตัว   



“...”



“ไปเดินเล่นกันเถอะ!!”ผมผุดลุกขึ้นแบบกะทันหันจนหัวเกือบไปกระแทกปลายคางของเจ้าคนที่เอาแต่นั่งมองไม่ชวนคุย ดีนะที่มันหลบเก่ง



เปลวตะวันยืนขึ้นตามผม ผมคิดว่ามันกำลังพยามอ่านใจผมอยู่ เออ...มึงอ่านไปเลย อ่านให้ตายมึงก็เห็นแค่คำว่า ประหม่า!!!
ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี รู้แค่ว่าอยู่แบบนี้ต่อไปต้องไม่ไหวแน่ๆ



ผมคว้ามือถือและกระเป๋าเงินยัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินมาคว้ามือของคนที่ยืนมึนอยู่ให้ก้าวตามออกไปแต่ก็ถูกรั้งแขนเอาไว้ผมจึงหันไปมอง หรือว่ามันไม่อยากออกไปข้างนอก



“กุญแจห้อง”



เปลวตอบพร้อมมองไปยังพวงกุญแจขนาดเล็กที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะกินข้าว ผมหัวเราะแกนๆขณะปล่อยมือมันและเดินไปหยิบของที่ต้องการ ทันใดนั้นเองเปลวก็ถามคำถามที่ผมไม่สามารถให้คำตอบมันได้อีกครั้ง...



“แล้วเราจะไปไหนกันเหรอ?”



“แฮ่ๆ...”ผมชะงักขาและทำหน้าโง่ๆมองมัน เอาจริงๆแล้วหลังเป็นแฟนกัน(ได้สามนาที)ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมแม้แต่น้อยเพียงแค่ไม่กล้าสบตากันนานๆและลุกลี้ลุกลนนั่งนิ่งไม่ได้เท่านั้นเอง...



อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นถอนหายใจเหมือนระอากับความงั่งของผม แต่เอาเถอะ ปล่อยมันตีหน้าเข้มไป ผมรู้ว่ามันแกล้งทำไปงั้น ในใจมันตอนนี้คงกำลังมองมาที่ผมแล้วก็กู่ร้องว่า...แฟนใครเนี่ยน่ารักจัง!!”อยู่แน่ๆ



เอ่อ...พอเถอะ กูอายตัวเอง...



“ซาวด์น่ามั้ย”ผมประหลาดใจกับคำชวนของมัน เลยเอ่ยทวนคำเผื่อนได้ยินผิด”ซาวด์น่า!?”



เปลวพยักหน้า”ชั้นบน ส่วนของฟิตเนสมีห้องซาวด์น่าอยู่”



“หึหึ อุ๊บส์ โอ๊ย ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ๊ย หายใจไม่ทัน ตลกไปไหนเนี่ย ฮ่าๆๆๆ!!”



เสียงแผดหัวเราะดังสนั่นของฟง หนุ่มตี๋ลูกครึ่งไทยจึงดังสนั่นลั่นห้องนอนซึ่งพวกผมสามคนต้องอาศัยอยู่บนเตียงเดียวกันสองคืนเต็มๆ หลังจากพวกเราหาที่ไปไม่ได้และจบลงด้วยการนั่งอบซาวด์น่าก็กลับห้องมาในเวลาไล่เลี่ยกับกลุ่มที่ไปตลาดนัด ตอนที่ฟงเปิดประตูห้องเข้ามาเจอพวกเรายืนเหงื่อท่วมตัวและทำท่าจะไปอาบน้ำมันก็ทำหน้าดีใจยังกับลูกชายติดหมอเดินปรี่เข้ามาตบไหล่เปลว ป้าบๆ



....เพื่อนกูก็ไวไฟใช่ย่อย ในฐานะที่สนิทกันมานานเดี๋ยวคืนนี้กูยอมไปนอนกับสาวฝรั่งเป็นการเปิดโอกาสให้พวกมึงจัดเต็มกันทั้งคืนเลย!!...



สีหน้าเหมือนมีแฟนเองของฟงยังประทับอยู่ในใจ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือใบหน้าของฟงตอนได้ยินเปลวตอบกลับไปว่า



...เปล่า พวกกูไปซาวด์น่ามา...



ถ้าจะหัวเราะซะขนาดนี้เอาตีนมาเหยียบหน้ากูเลยเถอะ ผมกล่าวแทนเปลวในใจ...



“กูก็ไม่ได้ว่าอะไรหนิ หึหึ น่ารักดี มุ้งมิ้งๆ เดทแรกที่ซาวด์น่าก็ไม่เลว ฮ่าๆๆๆๆ” หลังจากนั้นก็แผดเสียงหัวเราะอีกยก ผมกับเปลวหันไปมองตากันก่อนจะยิ้มชั่วร้าย ผ้านวมผืนหนาถูกโยนคลุมหัวคนตัวขาวหลังจากนั้นก็จัดการสหบาทาใส่แบบหมั่นไส้



“เห้ย ไอ้พวกเลว รุมกูเหรอ! เปลว!มึงทิ้งเพื่อนใช่มั้น โอ๊ย!!”ฟงโวยวาย พยามดิ้น



“อะไรใครไหน ใครทำเพื่อนกู”ฟังแค่เสียงพูดเหมือนจะรักเพื่อนแต่ตีนเฮียยังแกล้งยันร่างของฟงที่ตะเกียดตะกายออกจากผ้าห่มอยู่เลย”กูไม่เห็นเลยนะ มึงเห็นเหรอ ใต้ผ้าห่มแบบนั้นมึงรู้ได้ยังไงว่าใครทำร้ายมึง”



“ฮ่าๆๆๆ”ผมหลุดหัวเราะกับความไร้สาระตรงหน้า



ช่วงหัวค่ำผมกับเปลวตกลงกันว่าจะไม่บอกใครว่าพวกเรากำลังคบกัน(ยกเว้นคนที่รู้อยู่แล้วอย่างแชคและฟง อ่อ...พี่เอิทด้วยสินะ)แต่ก็จะไม่ปิดเป็นความลับ...



อารมณ์ประมาณว่าจะไม่จูงมือกันเดินท้าทายสายตาประชาชีเพราะต้องยอมรักว่าการคบหากับเพศเดียวกันยังไม่เปิดกว้างในสังคมไทยนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นหลบๆซ่อนๆ...พวกเราจะไม่หนีจากสิ่งที่เราเป็น...



ฉะนั้นการที่ฟงแหกปากเสียดังลั่นขนาดนี้อาจทำให้ความลับเปิดเผยก่อนเวลา โดนยำอยู่ใต้ผ้าห่มไปเถิดเพื่อนเอ๋ย...



“ทะเล!!”เสียงแปดหลอดของอาร์ตเด็กหนุ่มวัย17ปีผู้หลงใหลการท่องเที่ยงดังลั่นห้องพักตากอากาศของเปลวตะวันเดือดร้อนถึงมนุษย์เพื่อนต้องแหกขี้ตาตื่นตามอย่างตกใจ



ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆก่อนจะหันซ้ายหันขวาก็พบว่ารอบตัวไม่มีใครอยู่เสียแล้ว...เปลวกับฟงหายไปไหน? ทันใดนั้นเองประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกร่างของอาร์ตเดินอาดๆเข้ามาก่อนจะกระชากผ้าห่มออกจากตัวผมอย่างแรงจนผมถึงกับตกใจกระเถิบถอยหลัง



“มัวแต่นอนอืดอยู่นั่นแหละ เมื่อวานก็เข้านอนคนแรกวันนี้ยังมีหน้ามาตื่นสายสุดอีก เอ้า!ลุกเร็วเข้า คนอื่นเขาอาบน้ำหาอะไรรองทองกันหมดพร้อมลงทะเลแล้ว!!”



รู้สึกเหมือนโดนขุ่นแม่บ่น ผมเลยรีบลุกกุรีกุจอคุ้ยกระเป๋าเดินทางแล้วโดดผล็อยเข้าห้องน้ำ



ไม่ถึงสามนาที่ผมก็จัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ทุกคนที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จพอดีก็มารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นและพากันเดินลงไปยังทะเล เนื่องจากคอนโดของเปลวนั้นติดทะเลพอดีทำเลโคตรดีห้องก็โคตรใหญ่ราคาก็โคตรแพงเจ้าของห้องก็โคตรหล่อ



แฟนผมเอง ฮ่าๆๆๆ



“น้ำเงิน”



“หะ”ขณะเพ้อเจ้ออยู่ๆก็มีคนมาสะกิดเรียกหันไปก็เห็นไอ้คนที่ผมกำลังนึกถึงในใจยืนขนมปังจากร้านสะดวกซื้อมาให้



“เอาไปกินรองท้อง พวกนั้นวางแผนไว้ว่าจะกินข้าวอีกทีก็มื้อเที่ยงเลย”



“ไม่กินข้าวเช้ากันเหรอวะ แล้วมึงกินยัง”



“กินกันหมดทุกคนแล้วตอนนี้น้ำเงินยังไม่ตื่นนั่นแหละ เหมือนว่าเมื่อคืนจะกินกันเยอะเกินไปจนยัดอะไรไม่ลงกันแล้วน่ะนะ ฮ่ะๆๆ”นึกภาพตามแล้วก็ตลก ทำตัวเหมือนเด็กไม่เคยมาทะเลไปได้เพื่อนผม



“ยะฮู้!!”เสียงของแกงค์คึกคักโดดเล่นน้ำทะเล ผมนั่งมองเจ้าพวกนั้นจากเก้าอี้ผ้าใบริมหาดก่อนจะเบื่อแล้วก็หยิบหมวดปีกกว้างมาคลุมหน้าเตรียมเข้านอนแต่ก็ถูกทักขึ้นซะก่อน



“น้ำเงินนี่ทำตัวเป็นคนแก่เลยน้า...มาทะเลแล้วก็นอนกินลมเนี่ย”ไอ้ตี๋เพื่อนเปลวนั่งยองๆอยู่ข้างเก้าอี้ผ้าใบในระยะประชิดผมถึงกับสะดุ้งเมื่อเปิดผ้าออกมาแล้วเจอหน้าขาวโอโม่ลอยอยู่ใกล้ตา



“ก...ก็เมื่อคืนมึงอ่ะนอนดิ้น กูเลยนอนไม่หลับเลย”ผมแหวใส่ ใบหน้าร้อนๆท่าทางร้อนรน



“หึหึ กูเนี่ยนะนอนดิ้น ไม่จริงอ่ะ ทุกคนที่นอนกับกูเขาไม่เห็นบ่นเลย”ฟงจงใจเว้นจังหวะเหมือนอยากแกล้งคนร้อนตัวให้ร้อนหนักขึ้น”นอนเตียงเดียวกันอย่าคิดนะว่าไม่ได้ยิน นอนคุยจิ๊จ๊ะอะไรกับเพื่อนกูซะดึกดื่นเลยหนิ อ๊ะ เห้ย เล่นงี้เหรอ!?”ผมเห็นท่าไม่ดีเลยเตะทรายใส่มันเบาๆ



แต่ดูท่าจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายหนักกว่าเดิมเมื่อเจ้าคาสโนว่าตรงหน้าล็อคคอแล้วก็ลากผมตรงไปยังทะเล ผมพยายามขัดขืนแต่แรงแม่งเยอะมาก สมควรแล้วที่เป็นเพื่อนเปลว “เห้ยยยย!!”



ตูม!! ผมถูกเหวี่ยงลงทะเลลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บริเวณที่น้ำตื้นๆ “ฟง!!”สงครามขนาดย่อมได้เกิดขึ้น พวกปอคิดว่ากำลังเล่นกันอยู่เลยเข้ามาสมทบและแล้วการมาทะเลของพวกเราครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ...







+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยังไม่จบนะคะ(รีบมาบอกไว้ก่อนเพราะจบตอนเหมือนตอนจบเลย) 55555555555555555

เรื่องนี้จะยังมีอยู่อีกสักพัก(ใหญ่ๆ) ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ AllTheWay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น้ำเงินน่ารักอ่าาาา โอ้ย ควงกันเลยค่ะ ชะนีน้อยๆจะได้ไม่มาวอแว555555+

ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน




บทที่ 19 กาลครั้งหนึ่ง





เปลว talk



“เวลาแห่งความสุขนี่ผ่านไปเร็วเสมอเลยเนอะ”ผมเปรยขึ้นระหว่างนั่งรอรถของที่บ้านมารับกับฟง กลุ่มน้ำเงินมีพ่อแม่มารับกลับไปหมดแล้ว ตอนแรกเจ้าพวกแกงค์ป่วนวางแผนไว้ว่าจะนั่งรถกลับกันเองแต่เวลาสองคืนสามวันริมทะเลเจ้าพวกนี้งัดแรงที่มีทั้งหมดออกมาใช้แล้ว ไหนจะของฝากอีกเป็นภูเขาเลากา สุดท้ายก็ต้องโทรหาคุณพ่อคุณแม่กันใหญ่ น่ารักจริงๆ หึหึ



“อา...และที่เหลืออยู่กับเราก็จะมีแค่ความเศร้า”



สายลมเอื่อยๆความหมายเดียวเดียวกับชื่อของคนพูดพัดผ่านร่างของพวกเราสองคนไป ผมเห็นเสี้ยวหน้าของคนข้างกายฉายแววอ้างว้างก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม...รอมยิ้มที่คุ้นตา



“ขอบคุณนะที่ตอนนั้นมึงยอมย้ายโรงเรียนมาเป็นเพื่อนกู”ฟงกล่าวก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นรถแท็กซี่ไปลำพัง



ไม่ต้องแปลกใจ พ่อแม่ของมันไม่มีทางมารับลูกชายด้วยเหตุผลว่าไปเที่ยวแล้วเหนื่อยกลับบ้านไม่ไหวหรอกครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะให้มันติดรถกลับไปด้วยแต่มันก็ไม่ยอมท่าเดียวเลยต้องปล่อยๆมันไป โตแล้วดูแลตัวเองได้



“หึ...”เรื่องที่มันพูดถึงเมื่อครู่ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างออก เรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว...ช่วงเวลาที่ได้พบกับน้ำเงินครั้งแรก


.


.



   “พ่อครับ!! ให้ผมย้ายไปเรียนที่เดียวกับฟงเถอะนะครับ!!”ตัวผมตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นม.หนึ่งในโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดัง สวมเสื้อสีขาวกางเกงลายสก็อตสีกรม ตีสีหน้าขึงขังอ้อนวอนผู้เป็นบิดาอย่างไม่ยอมแพ้


“ที่ที่เรียนอยู่ตอนนี้ไม่ดีตรงไหนเหรอลูก ทำไมถึงอยากย้ายไปเรียนโรงเรียนรัฐบาลแบบนั้นหละ”แม้โรงเรียนดังกล่าวจะมีชื่อเสียงด้านผลการเรียนก็ตามแต่ครอบครัวของผมก็ไม่สนับให้ลูกชายคนเล็กลาออกจากที่เดิมตามเพื่อนสนิทไปแบบนั้น...



“ผมไม่มีเหตุผล...”ก้มหน้าอ้ำอึ้งตอบกลับไป



ใช่แล้ว ผมไม่ได้อยากย้าย แต่เมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนเจอฟงครั้งแรกในรอบสองเดือน หลังจากที่แม่ของฟงแต่งงานใหม่ได้ไม่นานฟงก็โดนบังคับให้ลาออกจากโรงเรียนที่พวกเราเรียนด้วยกันและใช้เส้นสายเข้าเรียนชั้นม.1กลางเทอมที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งนั้น
สีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้แต่ก็ฝืนยิ้มออกมาของเพื่อนบีบคั้นหัวใจของผม



เพื่อนของผมยิ้มอยู่เสมอ แต่หลังจากย้ายโรงเรียนไปเพื่อนของผมก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย...



ตอนนั้นผมยังเด็กและฟงก็ไม่ได้เล่าอะไรผมก็เลยคิดว่าฟงมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียนใหม่...



สุดท้ายพ่อก็ทนฟังผมตื้อทั้งเช้าทั้งเย็นไม่ไหวยอมให้ผมย้ายเข้าไปเรียน ตอนแรกผู้อำนวยการโรงเรียนก็ทำท่าจะไม่ยอมเพราะเขาพึ่งรับเงินก้อนโตมาจากครอบครัวของฟงหากให้เด็กอีกคนหนึ่งย้ายเข้ามาด้วยวิธีคล้ายๆกันเขาอาจจะถูกสอบเอาได้ แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับครอบครัวของผมเพราะทั้งพ่อและเครือญาติส่วนใหญ่ทำงานมีตำแหน่งอยู่ในกระทรวงหรือเป็นนายทหารทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจเก่าแก่ ข้าราชการธรรมดาอย่างผอ.โรงเรียนจึงต้องก้มหน้ารับผมเข้าเรียนแต่โดยดี



วันถัดมาหลังจากตกลงกับผอ.เสร็จผมก็ย้ายเข้ามาทันทีเดือดร้อนครูบาอาจารย์ต้องตาลีตาเหลือกหาห้องให้ผมลง ตอนแรกผมกะจะอยู่ห้องเดียวกับฟงด้วยแต่พ่อบอกว่าให้ผมเพลาๆลงหน่อยย้ายมาได้ก็บุญแล้วอย่าเรื่องมากนัก



เด็กชายวัยสิบสามขวบเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1เทอม2ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนรัฐบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นทำให้ผมซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองเสมอรู้สึกฝ่อลงไปเล็กน้อยยามสวมเครื่องแบบที่ไม่คุ้นเคยแถมยังต้องตัดผมให้สั้นลงอีก...



เนื่องจากโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนรัฐบาลสำหรับเด็กที่มีความสามารถด้านการเรียนไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือภาษาศาสตร์เข้าเรียนเพื่อพัฒนาเป็นบุคคลากรระดับชาติเรื่องเล็กน้อยอย่างทรงผมเขาจะไม่บังคับให้ตัดตามระเบียบนักเรียนหญิงต้องติ่งหูนักเรียนชายต้องผมเกรียนแต่เด็กม.ต้นส่วนใหญ่ก็ตกลงพร้อมใจตัดตามระเบียบกันผมเลยโดนพ่อจับตัดตามนั้น
ถ้าขึ้นม.ปลายก็จะไว้ทรงอะไรก็ได้ขอแค่อย่าย้อมสีมาก็พอ...



วันนี้ผมออกจากบ้านมาแต่เช้ามีคนรถมาส่ง ทีแรกพ่อบ้านเก่าแก่ก็เสนอตัวอยู่ดูแลผมด้วยแต่ผมไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาก็เลยบอกให้คุณตาแกกลับไปนั่งพักผ่อนที่บ้านแทน



ชั้นเรียนของที่นี่ค่อนข้างใหม่เพราะโรงเรียนได้งบประมาณมาเยอะ ผมเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆก่อนจะนั่งรออยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง...รอให้สายสักหน่อย เดี๋ยวฟงมาแล้วผมจะไปหา...



สัญญาณออดเข้าเรียนดังขึ้น ตัวผมที่รอฟงอยู่หน้าห้องของฟงนานสองนานแต่ก็ไม่เห็นตัวจนเพื่อนร่วมชั้นของฟงทยอยเข้าห้องมา



“นี่”ผมรั้งชายเสื้อของนักเรียนชายคนหนึ่งไว้ เจ้านั่นหันมามองผมตาเขม็ง สงสัยว่าผมจะแจ็คพ็อตเจอหัวโจกเข้าให้แล้ว...”รู้ไหมว่าฟงอยู่ไหน”



“ฟง อ๋อ ไอ้ลูกคุณหนูขี้แหยนั่นน่ะเหรอ เฮอะ! คงมุดหัวอยู่ที่ไหนซักที่นั่นแหละ ก็เมื่อเช้าโดนไปหนักเอาเรื่องหนิ ฮ่าๆๆๆ”สิ้นคำผมก็รีบวิ่งออกจากจุดนั้นทันที คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจที่ลางสังหรณ์ของตัวเองเป็นจริง ผมใช้ความเร็วทั้งหมดที่มีวิ่งลงจากตึกเรียนและเทียวหาตามสถานที่ต่างๆ



เพราะผมเพิ่งย้ายมาวันแรกจึงยังไม่ชำนานเส้นทางนักต้องใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง...ในห้องชมรมภาษาไทย ผมผลักประตูเข้าไปก็พบเข้ากับร่างเล็กๆของเพื่อนผมนั่งกอดเข่าซบหน้าอยู่ตรงมุมห้อง คนข้างในรู้สึกถึงการมาเยือนของผมจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อฟงเห็นคนที่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่มากที่สุดอย่างผมก็ทำตาโตแปลกใจ



“ทะ...ทำไมเปลวถึง...มาอยู่...ที่นี่...แล้วชุดนักเรียนแบบนั้นมัน”



ผมปิดประตูและเดินเข้าไปหาเพื่อน ผมค่อยๆย่อตัวลงนั่งตรงหน้ามันอย่างทำอะไรไม่ถูก ผิวขาวๆรอบข้อมือและแขนหลายจุดกลับถูกแทนที่ด้วยรอยช้ำเหมือนโดนบีบมาอย่างนั้นแหละ แถมชุดนักเรียนตัวบางก็เปียกชื้น ขนาดฟงน่าจะนั่งอยู่อย่างนี้มาเป็นชั่วโมงแล้วแท้ๆมันยังไม่แห้งแสดงว่าต้องโดนสาดมาเต็มๆแน่ๆ



“ฟงนั่นแหละ ทำไมถึงเป็นแบบนี้”



ฟงเสตาไปทางอื่นทำท่าจะไม่ตอบอะไรผมเลยกล่าวสมทบ”ใครแกล้งฟง เข้าแกล้งฟงทำไม!? ย้ายกลับไปเรียนที่เดิมเถอะนะ”
ผมคิดว่าไม่ควรปล่อยให้เพื่อนเรียนอยู่ในที่แบบนี้ แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แม่ของฟงย้ายฟงมาที่นี่ก็ตามแต่ผมคิดว่าไม่น่าใช่ปัญหาทางการเงินเพราะแม่ของฟงเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ขนาดนั้นถ้าบริษัทระดับนั้นมีปัญหาไม่มีทางที่ที่บ้านผมจะไม่รู้เรื่อง



“ไม่เอา..ฟงไม่กลับ...”



“ทำไมหล่ะ!?”



“ถ้าต้องกลับไปที่บ้าน ฟงยอมอยู่ที่นี่ดีกว่าเยอะเลย”



“....”ผมชะงักกับคำพูดของเพื่อน ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย ผมเซ้าซี้ถามอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องยอมแพ้และตัดสินใจเรียนที่นี่ต่อเป็นเพื่อนฟง



...บางทีแค่สถานะเพื่อนอาจไม่ใช่ใบเบิกทางให้เราเข้าไปในเส้นแบ่งของชีวิตใครได้...



เปลวตะวันคว้าข้อมือของเพื่อนแล้วก็พาเดินออกจากห้องนั้น เขาเลิกถามว่าทำไมถึงไม่ยอมย้ายกลับไปและเปลี่ยนเป็นถามว่าใครคือตัวการรังแกฟง



“...เพื่อนที่ห้อง...พวกเขาไม่ชอบฟง...เขาบอกว่าฟงเข้ามาที่นี่แบบสบายๆ...ในขณะที่พวกเขาตั้งใจเรียนกันแทบแย่...”
จะว่าไปก็ถูกอย่างที่ฟงพูด ผมเข้าใจเหตุผลพวกนั้นนะ...



“แต่ฟงก็ผิดด้วย ตอนแรกพวกเขาก็แค่จิกกัดฟงด้วยคำพูดทำนองว่าฟงงอมืองอเท้ารอพ่อแม่สรรหาข้าวของมาบำเรอ ทั้งๆที่มันไม่ใช่แบบนั้น ฟงไม่เคยอยากมาที่นี่และแม่ก็ไม่เคยเห็นฟงอยู่ในสายตาเลย...สุดท้ายฟงก็ทนไม่ไหวเถียงกลับพวกเขาไปว่า...ก็แน่หละสิ ก็บ้านเรามีเงินนี่เนอะ พวกคนธรรมดาอย่างเธอก็จงตะเกียจตะกายปีนหน้าผาค้นหายอดเขากันต่อไปเถอะ ฉันจะนอนรออยู่บนยอดนั้นไปพลางๆก็แล้วกัน...เท่านั้นเอง...ก็มีคนปารองเท้าใส่หัวฟง ฟงเลยปากลับ ...”



นี่แหละครับเพื่อนผม เห็นหงิมๆอย่างงี้ก็สู้ยิบตาเชียวแหละ...แต่ก็เอิ่ม...ออกจะสู้แบบไม่ดูตาม้าตาเรือไปหน่อยนะ



“เอาเป็นว่าเปลวอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้ามีใครมาแกล้งฟงอีกล่ะก็รีบมาหาเปลวเลยนะ!”ผมพูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับก่อนพวกเราจะแยกย้ายกันไป ผมเข้าห้องเรียนไปแนะนำตัวและเริ่มเรียนคาบสายท่ามกลางเสียงกระซิบของเพื่อนร่วมชั้น...



มาเรียนวันแรกก็หายหัวไปสองคาบเต็มๆแถมกลับมาอาจารย์ยังไม่ว่าอะไรเลย...ก็สมควรล่ะ



เห้อ...ผมไม่ได้อะไรเลยถ้าอาจารย์จะกรุณาลงโทษผมอย่างที่สมควร แต่ดูเหมือนครูประจำชั้นและครูผู้สอนคนอื่นๆจะกลัวอิทธิพลของที่บ้านผมหัวหดไม่กล้าทำอะไร...



ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่....ดูเหมือนเรื่องของฟงจะดังอยู่พอตัวพวกเขามองผมเป็นตาเดียวและจัดผมอยู่ในกลุ่มเด็กเส้นผู้สมควรถูกกำจัดในทันที



“เด็กสมัยนี้รู้มากชะมัด...”รำพึงกับตัวเองเบาๆเป็นคนแก่แต่ดูเหมือนมันจะลอยไปเข้าหูเพื่อนร่วมชั้นซึ่งนั่งโต๊ะถัดไปเข้า...เด็กผู้หญิงตัดผมสั้นประบ่าสวมแว่นสีดำท่าทางคงแก่เรียนหันขวับมามองผมทันที



“หึ พวกคนรวยไร้สมอง”เธอกระตุกยิ้มเหยียดๆ ดูเหมือนสงครามจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ...



เวลาพักกลางวันผมรีบไปหาฟงที่ห้องแต่ก็ไม่พบแม้กระทั่งเงา ไอ้ครั้นจะหันไปถามเพื่อนร่วมชั้นก็คงไม่ได้ความอะไร...บอกให้รอไปด้วยกันแล้วหายไปไหนของเขากันนะ...”เธอรู้รึปล่าวว่าฟงไปไหน”เลือกถามกับเด็กผู้หญิงท่าทางเป็นมิตรที่สุด



“ครูประจำชั้นเรียกพบจ่ะ”เธอตอบ



อ่อ คงเป็นเรื่องที่โดดเรียนเมื่อเช้าสินะ ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็เดินตามๆคนอื่นลงไปยังโรงอาหาร โรงอาหารของที่นี่ใหญ่พอสมควร เมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนแล้วถือว่าไม่ต้องเบียดเสียดกันมาก แต่ที่พิเศษสำหรับที่โรงเรียนนี้ก็คือเด็กมัธยมต้นและมัธยมปลายจะพักพร้อมกัน



ผมแทรกตัวผ่านนักเรียนกลุ่มใหญ่เข้าไปวางกระเป๋าจองที่นั่งที่มีพัดลม ผมคิดว่าการนั่งทานอาหารคนเดียวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนัก เพราะที่บ้านผมก็มักทานคนเดียวเป็นประจำเพราะคุณพ่อกับคุณแม่มักจะงานยุ่งเสมอ จะมีก็แต่พ่อบ้านแม่บ้านคอยยืนอยู่ริมห้องเผื่อผมเรียกใช้อะไร...



หึหึ...คิดซะว่าพวกนักเรียนคนอื่นเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับเท่านี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว



ที่โรงเรียนเก่าของผม อาหารกลางวันทางโรงเรียนจะจัดเตรียมไว้ให้เป็นบุฟเฟ่ต์ให้เด็กเลือกตักกันตามใจชอบการยืนต่อแถวซื้อข้าวแกงจึงเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผม



เมนูวันนี้ก็คือ...กระเพราหมูไข่ดาว...พระเจ้า...เกิดมาผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองสิ้นคิดก็วันนี้แหละ...แต่ผมกินอาหารไทยไม่ค่อยบ่อยนักน่ะสิ...ยิ่งข้าวราดแกงยิ่งไม่เคยกินเลย ที่พอคุ้นหน้าที่สุดก็มีกระเพรากับไข่ดาวนี่แหละ เมนูอื่นนอกจากนี้มีแต่เศษผักเศษหมูทั้งนั้น...



...คุณชายเปลวผู้ทานไข่ลวก ไส้กรอกลมควัน ครัวซองและนมสดเป็นอาหารเมื่อเช้ากำลังตื่นตระหนกกับข้าวราดแกงแบบไทยๆ...



กึก



“นั่งนี่แหละ ตรงอื่นเต็มหมดแล้ว”เด็กผู้ชายท่าทางเอาเรื่องสามคนวางจานแล้วก็นั่งลงบนโต๊ะเดียวกับผม ผมแค่เหลือบตามองนิดหน่อยก็กลับมานั่งทานของตัวเองต่อ



“มองไรวะ ทำไมยังไม่ลุกไปอีก!! อ๊า....นี่มันหนึ่งในเด็กใหม่คนดังนี่หน่า...”ผู้ชายผมปรกหน้าพูดขึ้น เท่าที่ดูสามคนนี้ยังอยู่ม.ต้น ไม่ม.2ก็ม.3 แต่ไว้ผมซะขนาดนี้ คงไม่ได้กินมื้อเที่ยงอย่างสงบแล้วสินะ



“แต่ผมมานั่งตรงนี้ก่อนนะครับ”เพราะเป็นรุ่นพี่เลยพูดสุภาพสักหน่อย



“เป็นรุ่นน้องคิดขัดคำสั่งรุ่นพี่เหรอ!?”ขืนผมทำตามที่คนพวกนี้สั่งจริงๆบรรพชนต้องร้องไห้แน่ๆ



ผมยังนั่งนิ่งอยู่จุดเดิมจ้องตากับพวกนั้นแบบไม่หลีกหนี คนละแวกนั้นเริ่มหันมาให้ความสนใจพวกเรา



“นับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ลุกล่ะก็...ตาย!!”คนเดิมพูดเสียงเหี้ยม



“หนึ่ง!”



ผมตักข้าวเข้าปากคำโตเพราะคิดว่าคงไม่ได้กินมันอีกแล้วขณะที่เจ้างั่งคนนั้นกำลังนับ”สอง!!”



ผมวางช้อน รวบจานไปเก็บในจุดที่โรงอาหารเตรียมไว้ให้ซึ่งบังเอิญอยู่ติดกับโต๊ะของผมพอดี และนั่น เป็นการกวนส้นตีนขั้นสูงสุดสำหรับคนที่กำลังนับเลขให้โต๊ะฟัง



“สาม!!! มึงอย่าอยู่เลยไอ้เหี้ย!!”



ผมคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายจังหวะเดียวกับร่างของอันธพาลทั้งสามคนโผเข้าใส่ ผมก้าวหลบด้วยก้าวสั้นๆสองคนในนั้นก็เสียหลักเซชนกันเอง ผมอาศัยจังหวะนั้นลอบหนีออกมา



“ให้ตายเถอะ โรงเรียนเด็กเรียนทำไมมีจิ๊กโก๋ได้เนี่ย?”บ่นกับตัวเองสบายใจ วิ่งเหยาะพอให้พวกนั้นตามมาทัน คิดว่าเปลวตะวันคนนี้จะหนีนักเลงกระจอกสามคนรึไง”หึหึ...หลังโรงยิมก็ไม่เลว...”ผมกำลังหาสถานที่ต่อกรกับเหล่าร้ายต่างหาก



ตีกันกลางโรงอาหารแล้วอาจารย์ฝ่ายปกครองไม่ทำโทษคงดูอลังการเกินไป



หมับ!



ฉับพลัน ตัวผมก็ถูกมือปริศนาคว้าและออกแรงดึงให้ถลาตามเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งลากผมเข้ามาในห้องน้ำ...หญิง?



ปึง!



เด็กคนนั้นล็อคกลอนห้องส้วมด้านในสุดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่”เห้อออ รอดไปที” ใบหน้าน่ารักฉายแววโล่งอกอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ จนผมอดสงสัยไม่ได้



“เอ่อ...โล่งอะไรเหรอ?”



“หา!? ก็โล่งอกที่รอดพ้นจากส้นตีนสามคนนั้นได้ไงเล่า!!”เด็กคนนั้นหันมาแหวใส่ผมแล้วก็รีบตะครุบปากตัวเองเพราะได้ยินเสียงเจ้าสามคนนั้นแว่วๆหน้าห้องน้ำ



“เห้ย!! มันหายไปไหนวะ!?”



“ในห้องน้ำมีไหม!? หาให้เจอ!!”



“ไม่มีหวะ หรือว่าอยู่ในห้องน้ำหญิงวะ”



ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ประตูห้องน้ำหญิงถูกเปิดออก พวกเราสองคนที่แอบอยู่ในห้องส้วมห้องในสุดมองหน้ากับแบบตกใจ



“กรี๊ดด อะไรเนี่ย เข้ามาทำไม!?”เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นก่อน เธอคงเพิ่งออกมาจากห้องส้วมเพราะตอนพวกผมเข้ามาในนี้ไม่มีคนอยู่ ต้องขอบคุณเธอ เพราะเธอทำให้สามคนนั้นลนลานล่าถอยไป



“รอดจริงๆสักที เห้อ”เด็กชายคนนั้นกลับมาโล่งอกอีกครั้ง



“แล้วตกลงรอดเรื่องอะไรกันเหรอ”ผมก็ยังคงถามอย่างไม่เข้าใจต่อไป



เด็กคนนั้นหันมามองผมตาเขียวก่อนจะเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมจึกๆๆๆๆอย่างกับคุณแม่อบรมลูกน้อย”ก็นายอ่ะ นายๆๆๆๆเพิ่งเข้ามาเรียนวันแรกก็ไปมีเรื่องกับพี่ปอม.สามเข้า เกือบไม่รอดแล้วนะรู้ไหม!!”พูดจบก็กอดอกตีหน้าตาขึงขัง



“หา? อย่าบอกนะว่า...นายกำลังช่วยเรา?”...ช่วยโดยที่รู้ว่าผมเพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้ ก็แปลว่าช่วยทั้งๆที่รู้ว่าผมเป็นใคร?



“โอ๊ย! ทำไมถึงได้โง่เง่าขนาดนี้เนี่ย เห็นว่ากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่รึไง อ๊ะ ชู่วๆ เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวพวกผู้หญิงก็ได้ยินหรอก”ผมว่าผมไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยนะ...



อีกฝ่ายพยามแง้มประตูออกไปดูนอกห้องแล้วก็ต้องรีบปิดเพราะช่วงนี้นักเรียนส่วนใหญ่กินข้าวเสร็จแล้วก็มาเข้าห้องน้ำนี้แหละ”ต้องติดแหง่กอยู่ในนี้จนกว่าจะหมดคาบพักแหงๆเลย โอยย..”เด็กคนนั้นกล่าวแบบสิ้นหวัง



“อ่า...ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนนะ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วย เราค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็ดีใจมากๆเลยนะ”ผมพูด



“อืม...ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้องเอง ย้ายมาใหม่นี่ก็ลำบากหน่อย แต่อีกเดี๋ยวพอเข้ากับเพื่อนๆได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วหละ ทุกคนที่นี่ใจดีกันทั้งนั้นแหละ...เราชื่อน้ำเงินนะ นายหละ”



“เปลว...จากเปลวตะวัน”



“โห ชื่อเท่ห์จังเลย”น้ำเงินตาเป็นประกายชื่นชมชื่อของผม จนอดหัวเราะกับท่าทางแสนตรงไปตรงมานั่นไม่ได้



“จะดีเหรอ มาคุยกับเราแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนรุมแอนตี้หรอก”



“เหยๆ เปลวนี่ก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะ น้ำเงินไม่ได้เป็นคนดีฮีโร่ขนาดเข้ามาช่วยเหลือคนทุกข์ยากไปทั่วหรอกนะ ที่น้ำเงินช่วยเปลวก็เพราะน้ำเงินคิดว่าน้ำเงินช่วยได้ และสิ่งที่คนอื่นทำกับฟงมันก็ผิด เพื่อนน้ำเงินก็คิดอย่างนั้นเราก็เลยตกลงกันว่าจะช่วยฟงแบบลับๆ อย่างเมื่อเช้านี้เพื่อนของน้ำเงินก็เป็นคนพาฟงเข้าไปหลบในห้องชมรมภาษาไทย อื้มๆ นานๆทีจะได้ทำความดีมันก็สดชื่นแบบนี้นี่เอง”



น้ำเงินกอดอกอย่างภาพภูมิใจ ผมมองภาพเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมแต่จิตใจกลับเข้มแข็งกว่าหลายเท่านัก...



   วันที่เลวร้ายที่สุดวันหนึ่งของผมกลับได้พบกับเด็กชายประหลาดในห้องน้ำหญิง



   “ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราเป็นเพื่อนกันได้ไหม”ผมยิ้มแล้วก็ถามเขา



ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ยิ้มกว้างกว่าแล้วก็พูดว่า”แน่นอน!”






และแล้วเวลาก็ผันผ่านไป หนึ่งวัน สองสัปดาห์ สามเดือน และสี่ปี ที่พวกเรารู้จักกัน...



ผมเรียนรู้การอยู่รอดในสังคมนี้ด้วยการสร้างจุดเด่นให้ตัวเอง หากโดนแกล้งแล้วยังก้มหน้าหงออยู่ชาตินี้ก็โดนเขาเหยียบอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนฟงเองก็หาวิธีการของตัวเองได้แล้วเช่นกัน...



จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าผมยังไม่รู้ว่าทำไมฟงถึงต้องย้ายโรงเรียน แต่ฟงก็ไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้ว กลายเป็นฟงที่รักและหมั่นไส้ของผู้คน ตัวผมก็ไม่ห่วงอะไรอีกต่อไป...



และทุกๆวันที่แต่งตัวไปโรงเรียน ผมมักจะมองเข้าไปในกระจกที่สะท้อนภาพของตัวเองและกล่าวขอบคุณ’เด็กชายในห้องน้ำหญิง’ที่ช่วยเหลือผมเอาไว้...



ถึงตอนนี้น้ำเงินจะนิสัยเสียกว่าเดิมเยอะก็เถอะนะ ฮ่าๆๆๆ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คนแต่งรู้สึกหมั่นไส้คุณชายเปลวผู้ตื่นตระหนกกับข้าวราดแกงเหลือเกินค่ะ 55555  :hao7:

ออฟไลน์ kkmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ sodawan1

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
น้ำเงินน่ารักตั้งแต่เด็กเลยนะ :mew1:

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
โอ๋ยตายยย พ่อคุณหนูที่ตะหนกกับข้าวราดแกง55555+ น่ารักจังเลย กาลครั้งหนึ่งสมัยม.ต้น คริคริ //อยากรู้เรื่องบ้างฟงงงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน



บทที่ 20 รัดรูป



ณ ริมสนามฟุตบอลเล็กของโรงเรียน ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่ร่างสูงโปร่งของเด็กนักเรียนชายชั้นม.ห้าในชุดเสื้อยืดโปโลสีน้ำเงินและกางกางยีนส์สีอ่อนราวกับเตรียมตัวไปเดินห้าง กับเด็กสาวรูปร่างบอบบางแต่งชุดนักเรียนถูกระเบียบสมกับที่มาซ้อมควงคฑาในรั้วโรงเรียน



“หนึ่ง! สอง! อ๊ะ น้องน้ำเงิน ตั้งใจทำหน่อยสิคะ”เสียงหวานๆของพี่ไอริณเอ็ดผม ให้ตายเถอะ ปิดเทอมแทนที่จะได้อยู่บ้านกลับต้องมาซ้อมถือคฑา ผมหันไปทำหน้าเป็นตูดใส่พี่แก ความจริงมันไม่ใช่ความผิดอะไรของเธอหรอกครับ ผมก็แค่อยากงอแงเท่านั้นเอง



“น้ำเงินคะ!! เรามีเวลาแค่เดือนเดียวนะคะ เห็นไหมว่าเพื่อนคนอื่นๆเขาก็กำลังตั้งใจซ้อมแสตน์กับพาเหรดให้รุ่นน้องอยู่”เธอเท้าเอวบ่น



“พี่ไอริณครับ ขอพักหน่อยได้ไหมครับ”เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอนุญาต ผมเลยเดินเข้าไปนั่งหลบแดดฤดูหนาวเมืองไทย(ซึ่งแม่งก็ร้อนไม่ต่างอะไร)



เนื่องจากสองสัปดาห์แรกหลังเปิดภาคเรียนที่สองมาโรงเรียนของเราจะจัดแข่งขันกีฬาประจำห้องซึ่งมันต่างจากกีฬาสีของโรงเรียนอื่นตรงจะไม่มีการแบ่งสีแต่แบ่งเป็นห้องๆแทน...โดยชั้นปีเดียวกันก็จะแข่งขันกันและจะเล่นกีฬาทั้งหมดสองอย่างแล้วแต่ว่าตัวแทนชั้นปีจะจับฉลากได้กีฬาประเภทไหน...



ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะเด็กส่วนใหญ่มีเรียนพิเศษช่วงปิดเทอมและหลังเลิกเรียนทำให้ไม่ค่อยมีใครให้ความร่วมมือกับกิจกรรมทางโรงเรียนก็เลยพับโครงการกีฬาที่มีลูกสีเยอะตามตัวลำบากเป็นระบบจัดการกันเองในห้อง...



นอกจากจะตามตัวง่ายแล้วยังจบเร็วเพราะมีแข่งกีฬาชั้นปีละสองชนิดเท่านั้น...



แต่พิธีเปิดงานก็ต้องมีเดินพาเหรออยู่ดีโดยจะเดินโชว์ตัวในชุมชนรอบๆโรงเรียน และบทเดินนำขบวนก็ตกเป็นของคฑากรอย่างผมและพี่ไอริณนั่นเอง...



เวิ่นเว้อมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่าผมกับพี่ไอริณต้องซ้อมกันสองต่อสองทุกๆวันจันทร์และอังคารโดยไม่มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยว...นอกเสียจาก ไอ้หน้าด้านเปลว...



“วันนี้เปลวยังไม่มาเหรอจ๊ะ?”พี่ไอริณถามหา



“อ่า...ไม่รู้สิครับ”เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนหลังกลับจากไปเที่ยวก็มีซ้อมทันทีไอ้เปลวผู้เห่อแฟนเลยมานั่งหน้าสลอนดูพวกเราซ้อมจนไม่มีสมาธิ แหงแหละ คนนึงก็เขินอีกคนก็เจ็บ...อย่าลืมสิว่าพี่ไอริณที่น่ารักของผมอกหักมาจากมันนะ!!



“คิดว่าคงไม่มาแล้วล่ะ”เพราะผมไล่มันไปแล้ว...



“เร็วเนอะ อีกแค่ครึ่งเทอมพี่ก็จบม.หกแล้ว”จู่ๆเธอก็ชวนคุย ปกติแล้วเราสองคนไม่ค่อยคุยสัพเพเหระกันนัก



“อ่าครับ ปีหน้าผมก็กลายเป็นเด็กเตรียมเอนท์แล้วสิ ว่าแต่พี่จะต่อที่ไหนเหรอครับ”



“พี่ผ่านข้อสอบรอบแรกทุนหลวงแล้ว เหลือแค่สอบสัมภาษณ์ก็จะได้ไปเรียนที่อังกฤษจ่ะ”เสียงหวานเอ่ยเรื่องสุดยอดราวกับมัน
เป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆสำหรับเธอ...



“เก่งจัง...”ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาชื่นชมความเพอร์เฟ็คของเธอคนนี้ดี”พี่ไอริณไร้ที่ติมากเลยครับ”



เธอยกมือปิดปาดและหัวเราะคิกคัก”เหรอจ๊ะ ขอบคุณสำหรับคำชมนะ แต่ถึงอย่างนั้น พี่ก็ยังอกหัก”



“เอ๊ะ...ใครกันที่ทำให้พี่....อ๊า!!”ชิบหายแล้ว เกือบหลุดปากถามเรื่องโง่ๆไปแล้วไหมล่ะน้ำเงิน ผมงับปากตัวเองแทบไม่ทัน เอ่อ ก็ไม่ทันนั่นแหละ เพราะคำพูดต่อไปของเธอ



“แถมให้เพื่อนเราช่วยสืบข่าวคราวให้แต่ก็หายเงียบไปเลย”



“หมายถึงแชคเหรอครับ!?”ผมถามแบบตกใจ รู้สึกเหมือนเข้าตัวนิดๆ



เธอพยักหน้าแทนคำตอบแล้วพวกเราก็เริ่มฝึกกันอีกครั้ง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าปีก่อนผมจะเคยฝึกมาแล้วก็ตามแต่ทักษะทั้งหมดก็ถูกทิ้งไปแล้วเรียบร้อย เด็กไม่รู้จักจำจึงต้องก้มหน้าฝึกฝนต่อไป...เห้อ...



“พี่ไอริณคนสวยครับ บ่ายสามแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะครับ”รุ่นน้องออเซาะรุ่นพี่ เวลาเลิกปกติคือสี่โมงเย็น ไอริณมองน้ำเงินด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก



“แต่ว่า...”ก่อนที่เธอจะแย้งอะไรออกมาเสียงเรียกเข้าจากมือถือของรุ่นน้องซึ่งวางกองรวมกับข้าวของอื่นๆบนโต๊ะหินอ่อนก็ดังขึ้นเสียก่อน น้ำเงินรีบเดินไปหยิบมันมารับอย่างดีใจ ขอให้เป็นใครสักคนโทรมาเพื่อตามตัวเขาโดยด่วนทีเถอะจะได้มีข้ออ้างเลิกซ้อมสักที



“พี่น้ำเงินคะ”เสียงอันแสนคุ้นเคยของน้องสาวเรียกรอยยิ้มมุมปากของคนเป็นพี่



“มีอะไรเหรอครับน้ำตาล”



“วันนี้ที่ห้างที่เราไปกันบ่อยๆเขามีจัดงานซันไรเดอร์ค่ะ”



“ครับๆ น้ำตาลอยากไปดูเหรอครับ เดี๋ยวพี่ชายพาไปนะครับ รอเดี๋ยวเดียวนะเดียวพี่ไปรับ”โรงเรียนอนุบาลของน้ำตาลก็ปิดเทอมอยู่เช่นกัน จอนนี้เธออยู่บ้านกับป้าตาป้าแม่บ้านสองคน



“ไม่ค่ะ ตอนนี้นำตาลอยู่ที่ทำงานของป๊ะปา ไปกับพี่น้ำเงินไม่ได้”จะว่าไปเมื่อเช้าป้าตามาขอลางานนี่นะ พ่อคงพาน้องไปที่ทำงานด้วยเพราะไม่อยากปล่อยไว้คนเดียวที่บ้าน”พี่น้ำเงินช่วยไปถ่ายคลิปการแสดงให้หน่อยได้ไหมคะ บนเวทีตรงลานน้ำพุตอนหกโมงเย็นค่ะ”



ผมรับคำน้องสาวผู้น่ารัก ตามประสาคนหลงน้องจากนั้นก็หันมามองพี่ไอริณพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เริ่มเห็นประตูแห่งอิสรภาพชัดขึ้น



คนเป็นรุ่นพี่มีท่าทีอึกอัก เธอแอบได้ยินการสนทนาเมื่อครู่และรู้ดีว่าเจ้าเด็กตรงหน้าต้องใช้โอกาสนี้ชิ่งหนีไปแน่แท้...



“วันนี้พอแค่นี้ก็ได้ แต่น้ำเงินต้องสัญญากับพี่นะว่าจะกลับไปซ้อมที่บ้าน เพราะอาทิตย์หน้าเราก็ต้องฝึกพร้อมกับวงดุริยางแล้ว”ดาวโรงเรียนยกธงขาวยอมปล่อยตัวนักโทษ...



“ขอบคุณครับ! พี่ไอริณน่ารักที่สุดจริงๆด้วย!!”ผมวิ่งเข้าไปเขย่ามือเธอสองสามครั้งอย่างดีใจจากนั้นก็รับคฑาของเธอมาและอาสาไปเก็บในตู้เก็บของของโรงยิม



น้ำเงินเปิดดูคลิปที่น้องสาวส่งมาให้ ดูเหมือนน้ำตาลจะฝากผมซื้อดีวีดีของหนังหลอกเด็กซันไรเดอร์ด้วย...ให้ตายเถอะ จำได้ว่าผมเปิดการ์ตูนสาวน้อยเวทมนต์ให้น้องดูทุกวันไม่เคยเผยแพร่หนังงี่เง่าแบบหนังฮีโร่ก๊อกแก๊กให้น้องดูสักครั้งเลยนะ



ความจริงอันโหดร้ายของโลกมนุษย์อย่างการที่ผู้ชายดูการ์ตูนสาวน้อยเวทมนต์ส่วนผู้หญิงดูการ์ตูนกีฬาได้เผนแพร่มายันโลกของเด็กอนุบายเสียแล้ว...



ภาพของชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดรัดรูปห้าคนก็ฉายชัดขึ้นมาบนหน้าจอ ผมซึ่งเป็นพี่ชายที่ดีนั่งบนเก้าอี้พลาสติกในโรงยิมและอาศัยสัญญาณไวไฟของโรงเรียนเพื่อเปิดดูหนังตัวอย่างต่อไป



ตอนแรกเจ้าตัวร้ายก็ได้เปรียบโจมตีผู้ชายในชุดรัดรูปห้าสีห้าคนจนแตกกระเจิงแต่ไปๆมาๆเจ้าผู้ชายชุดรัดรูปห้าคนก็คว้าอาวุธออกมาจากไหนไม่รู้แล้วก็กระโจนเข้าไปหมาหมู่รุมสัตว์ประหลาดเพียงตัวเดียวและในที่สุดพวกเขาก็ชนะและมายืนโพสต์ท่าที่คิดว่าเท่ห์และจบไปในที่สุด



คือมึง...ทำไมมึงรุมเขาแล้วยังยืดอกภูมิใจแบบนี้...น่าไม่อาย



“ปัญญาอ่อน”ผมนั่งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย



“สนุกดีออก น้ำเงินไม่เคยดูเหรอ”



ทันใดนั้นเองก็มีมือมาแตะที่บ่าก่อนคนมาใหม่จะแย่งมือถือไปจากมือผมและกดดูซ้อย่างถือวิสาสะ เพราะเสียงเพลงเปิดมันดังขึ้นอีกรอบผมเลยหันไปมองคนข้างหลังและพบเข้ากับเปลวตะวันชายหนุ่มอันเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนสาวค่อนโรงเรียน...



กำลังเปิดคลิปขบวนการเรนเจอร์ดูตาเป็นประกาย...



ผมจ้องหน้าแฟนผู้หลุดเข้าสู่ภวังค์ไปแล้วอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง



“มึง...มึงชอบแนวนี้เหรอ!?”...มึงชอบดูผู้ชายห้าสีใส่ชุดรัดรูปรุมตัวประหลาดเหรอ



“อื้ม ชอบมากๆเลยล่ะ”...ยิ่งตอนเด็กๆนี่ดูทุกวันเลย ปกป้องคนดีสั่งสอนคนเลว...ฮีโร่อย่างที่อยากเป็น...



น้ำเงินหน้าซีดกับคำตอบส่วนเปลวตะวันไม่รู้ว่าเกิดความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ขึ้นและตั้งอกตั้งใจดูคลิปต่อจนจบ



“ได้ยินว่าวันนี้ซันไรเดอร์มีจัดอีเว้นท์ที่ร้านน้ำพุห้าง xxx ด้วยนิ”เปลวส่งคืนมือถือให้ผมและเกริ่นถึงงานที่ผมต้องไปอยู่แล้ว วันนี้มันอยู่ในเสื้อลายสก็อตสีอ่อนแล้วก็กางเกงขายาวเข้ารูปสีดำดูดีหล่อและไม่ตัดอ้อยซึ่งผมคิดว่ามันแต่งตัวมาแบบจัดเต็มขนาดนี้คงไม่ได้แวะมาทำธุระที่โรงเรียนแน่ๆ



“จะชวนกูไปว่างั้น?”ผมถาม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราจะไปเที่ยวกันในฐานะแฟน...



“อื้ม”มันยิ้มหน้าบานแฉ่งแข่งกับแสงตะวันเล่นเอาผมปฏิเสธไม่ลงเพราะยังไงก็มีจุดหมายเดียวกันอยู่แล้ว



“พอดีเลย น้ำตาลใช้ให้กูไปอัดวีดีโอการแสดงบนเวทีพอดี”



ณ ลานกว้างชั้นดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นวันธรรมดาแต่บริเวณนี้กลับมีผู้คนเนืองแน่น ลานกว้างโล่งๆซึ่งใช้จัดงานอีเว้นท์ของห้างเป็นประจำยามนี้ถูกตกแต่งด้วยภาพไวนิลของชายหนุ่มชุดรัดรูปห้าคน ลูกเล็กเด็กแดงจูงมือพ่อแม่ขวักไขว่ทั่วงาน



หากสังเกตดูดีๆจะพบจำนวนเด็กผู้หญิงมากกว่าปกติมีทั้งช่วงวันอนุบาลยันระดับมหาลัย...หรือขบวนการเรนเจอร์ขบวนนี้จะเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ?



“ทำไมผู้หญิงเยอะจัง”หากไม่นับคุณแม่ที่พาลูกมาเที่ยว จำนวนเด็กสาวมันมีมากกว่าที่ควรผมเลยเอ่ยถามคนที่เดินอยู่ข้างๆเผื่อมันจะรู้อะไร แต่ผลที่ได้ก็ทำให้ผิดหวัง...



“ไม่รู้สิ ไม่เคยดูเหมือนกัน”



“อ้าว! แล้วมึงชวนกูมาทำไมเนี่ย”



“ก็แค่หาที่เดทที่มันแปลกๆเท่านั้นแหละ เดินห้างดูหนังมันโหลๆ ฟงเลยแนะนำที่นี่มา”



ผมยกมือขึ้นตบหน้าผาก”ให้ตายเถอะเปลว! มึงไม่ต้องเชื่อเพื่อนมึงทุกเรื่องขนาดนั้นก็ได้นะ”แม้ว่าผมที่ตกลงมากับมันจะมีส่วนผิดด้วยก็เถอะแต่ผมต้องปรามมันไว้ก่อนจะโดนฟงล้างสมอง



“ไม่นะ กูก็ชอบเรนเจอร์อยู่แล้ว ไม่ได้ดูตั้งนาน คิดถึงเลยชวนมาด้วยกัน”เปลวแย้ง”ที่สำคัญ...เปลวอยากให้น้ำเงินรู้ด้วยว่าตอนเด็กๆ แฟนตัวเองโตมาแบบไหน”มันยกมือขึ้นมาโอบไหล่แล้วก็กระชับให้ผมเข้าไปใกล้ๆมันก้มหน้าเล็กน้อยพอให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วๆพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มมุมปาก



“เกือบหล่อแล้วสัด ติดตรงมึงโตมากับผู้ชายรัดรูปห้าคนนี่แหละ”ผมว่า



“ฮ่าๆๆ พูดซะเสียหมด”เปลวตะวันหัวเราะลั่น



เนื่องจากยังไม่หกโมงทำให้พวกเราไม่มีอะไรทำ ไอ้ครั้นจะเดินไปดูฟิกเกอร์หรือต่อคิวเล่นเกมส์แย่งเด็กก็หน้าด้านเกินไปผมเลยจัดการพาตัวคุณเปลวผู้ละสายตาหน่อยก็ไปโผล่เข้าแถวปะปนอยู่กับเด็กๆแล้วมานั่งบนม้านั่งใต้ต้นห่างจากลานไม่ไกล



เลยม้านั่งตัวนี้ไปก็สุดเขตของห้างเป็นถนนสองเลนและย่านชุมชนแล้ว เด็กหนุ่มสองคนนั่งพูดคุยสัพเพเหระรอเวลาครู่หนึ่งก่อนคนตัวสูงกว่าจะพบกับอะไรบางอย่าง



“กินไอติมไหม เดี๋ยวซื้อให้”ผมมองตามเปลวไปก็เห็นบูทไอศกรีมท่าทางน่ากินจากญี่ปุ่น



“เอาๆ ท็อปปิ้งโมจิกับถั่วแดง”เปลวรับคำแล้วเดินไปซื้อของหวานในร้านดังกล่าวซึ่งมีคนต่อแถวยาวเหยียด...กว่าจะซื้อเสร็จคงอีกนาน



ผมมองนู่นมองนี่แบบเซ็งๆ รอบตัวมีเด็กวิ่งเล่นเต็มไปหมด บางคนก็สวมหน้ากากหลากสีบางคนก็ถืออาวุธพลาสติกไล่ตีกัน เดี๋ยวนะไอ้หนูพวกเอ็งแต่งตัวเป็นฮีโร่ทั้งคู่แล้วสู้กันเองเนี่ยนะ!?



นายน้ำเงินผู้จริงจังขมวดคิ้วมองเหล่าเด็กที่เล่นแบบไม่สมบทบาทอย่างไม่เข้าใจ...ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายตัวจิ๋วคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนมาทางนี้เพียงลำพัง



“อันตราย!!”มีรถกระบะคันหนึ่งหักเลี้ยวเข้ามาในซอยแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ เด็กคนนั้นช็อคค้างอยู่กับที่ โดยสัญชาติญาณขาของผมมันเร็วกว่าความคิด รู้ตัวอีกทีก็กระโจนเข้าไปคว้าตัวเด็กคนนั้นเอาไว้แล้วก็กลิ้งโคโล่หลุดไปอีกฝั่งของถนน



“กรี๊ดดด”เหล่าคุณแม่และคนย่านนั้นกรีดร้องกันแตกตื่น คนขับรถกระบะรีบจอดรถแล้วเข้ามาดูอาการพวกเรา ผมปล่อยเด็กคนนั้นเป็นอิสระก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปราบที่ข้อศอกและหัวเข่าด้านขวา...



“ขอโทษนะเจ้าหนูเป็นอะไรไหม!?”ลุงคนขับวิ่งเข้ามาถาม ไทยมุงเริ่มทำงาน รอบๆตัวผมเต็มไปด้วยผู้คน



เพราะตอนพุ่งตัวเข้ามาเอาข้างขวาลง แขนและขาเลยมีรอยถลอกเต็มไปหมด หนักสุดคือข้อศอกและหัวเขาโชคดีที่ไม่มีแผลเลือดออก



“ไม่เป็นไรครับ แค่แผลเล็กน้อย”ผมยิ้มแห้งๆให้ลุงคนขับ เด็กน้อยที่ผมช่วยเอาไว้เบะปากใกล้ร้องไห้”ไง เด็กน้อย มาคนเดียวเหรอ คุณแม่หละ”คำตอบที่ได้คือเสียงสะอื้นและการส่ายหน้าไปมา



“น้ำเงิน!!”เปลวตะวันวิ่งฝ่าฝูงคนเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล แต่เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าคนที่เขาเรียกหาปลอดภัยดี น้ำเงินยันตัวลุกขึ้นแล้วก็ก้มหน้าถามเด็กชายคนนั้นอีกครั้งว่ามากับใคร



“หม่าม๊า...”โดยไม่ต้องตามหาแม่ของเด็กก็วิ่งออกมาจากร้านสะดวกซื้อแล้วเธอก็ถลาเข้ามากอดลูกน้อยของเธออย่างเป็นห่วง ภาพแม่ลูกกอดกันกลมก็น่าประทับใจดีอยู่หรอก แต่...



“หลบฉากกันเถอะ กูเกลียดไทยมุงหว่ะ”ผมกล่าวก่อนเดินนำเปลวออกมา มันเดินตามผมมาด้วยสีหน้าติดกังวลนิดๆ ตอนแรกคุณแม่ของเด็กก็ร้องเรียกไว้เพื่อขอบคุณแต่ผมก็ตอบกลับไปโดยไม่เหลียวหลังมองว่า



“ไม่เป็นไรครับ เห็นคนเดือดร้อนก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา”



“โหยยยยยยยยยยยย!!”ทว่า ตัวผมซึ่งเดินออกมาได้แค่สามก้าวก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงร้องดังออกมาจากผู้คนทั่วบริเวณนั้นอย่างพร้อมเพรียง



“เอ๋”



ผมหันซ้ายทีขวาทีเห็นดวงตาเป็นประกายจากเด็กๆที่มาร่วมงานและแววตาชื่นชมของผู้ปกครองแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล พอหันไปหาไอ้เปลวยิ่งแล้วใหญ่...มันกำลังมองผมด้วยแววตาสุดยอดแห่งความชื่นชม...



“เท่ห์เป็นบ้า!!!!!”



ท่ามกลางงานจัดแสดงโชว์ฮีโร่ห้าสี ฮีโร่สีน้ำเงินขวัญใจเด็กไทยคนใหม่ก็ถือกำเนิด ตัวผมผู้ไม่ชอบหนังเรนเจอร์และไม่ค่อยมีน้ำใจเท่าไหร่กลับตกที่นั่งลำบากจากไทยมุงที่เริ่มออตัวกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ...





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
5555555+ น้ำเงินนี่เป็นฮีโร่ตั้งแต่เด็กยันโตจริงๆ แต่ขำที่ไปโฟกัสกับผู้ชายใส่เสื้อรัดรูปห้าสี แหมมม

ออฟไลน์ TrafalgarLAW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1

ออฟไลน์ AllTheWay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้ำเงินลูก 5555555

ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน



บทที่ 21 น้องบ้า...



“ฮ่ะๆๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เขาอุตส่าห์ให้ตั๋วหนังมาฟรีๆน่าจะดีใจนะ”เปลวตะวันซึ่งรับหน้าที่ตากล้องใช้มือถือของผมถ่ายคลิปการแสดงสดของขบวนการเรนเจอร์บนเวทีทักผมที่กำบัตรชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์หน้ามุ่ย



“อย่าพูดสิ เดี๋ยวเสียงก็เข้ากล้องหรอก”ผมดุ”นอกจากจะเจ็บตัว อดกินไอติมแล้วยังโดนล้อด้วย”เพราะเปลวตกใจเสียงเอะอะมันเลยวิ่งออกมาจากแถวพอมันจะไปต่อใหม่ผมก็ห้ามมันไว้เพราะเสียเวลา ที่สำคัญก็คือผมโดนพิธีกรบนเวทีเรียกขึ้นไปและมอบรางวัลสำหรับเด็กดีที่สุดในงานให้



คือไอ้รางวัลบ้าบอนี่ตามคิวต้องแจกหลังจบงานแต่เพราะผมเป็นเด็กดีสุดๆพี่ซันเรนเจอร์ก็เลยออกหน้ามามอบรางวัลให้กับมือและไอ้รางวัลที่ว่านั้นก็คือตัวหนังรอบปฐมทัศน์ของซันเรนเจอร์เดอะมูฟวี่จำนวนสามใบสำหรับพ่อแม่ลูกซึ่งจะฉายพรุ่งนี้นั่นเอง
คิดแล้วก็แค้นสุดขีดสุดฤทธิ์สุดเดช ไหงตัวผมที่เกลียดเรนเจอร์ชีวิตถึงได้พัวพันกับเรนเจอร์ขึ้นมาได้หละ



“พระเจ้าต้องแกล้งกูอยู่แน่ๆ”



“พระเจ้ากำลังอวยพรเราอยู่ต่างหาก”เปลวเอ่ยแทรก มันยกโทรศัพท์ออกห่างจากตัวแล้วก็เอี้ยวคอมากระซิบข้างหูลมหายใจที่ระต้นตออยู่เล่นเอาผมรู้สึกหวิวๆ”พรุ่งนี้ไปดูกันนะ ชวนน้ำตาลไปด้วย”



อย่างที่ทราบกันดีว่าบัตรมีสามใบ...ดังนั้นตัวผมซึ่งเป็นเจ้าของบัตรจึงจำต้องไปด้วย อีกทั้งน้ำตาลเองก็คงอยากไปเช่นกัน พี่ชายผู้แสนดีถอนหายใจยาวเหยียด



“เบื่อเหรอคะ”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงวัยอนุบาลดังขึ้น น้ำตาลอยู่ในชุดเอี๊ยมสีเดียวกับชื่อของเธอ เกล้าแกะสองข้างดูทะมัดทะแมง มือเล็กๆจับจูงมือของพี่ชายหน้าตาหล่อเหลาเอาการแต่ใบหน้าซึ่งเป็นศูนย์รวมสายตาของประชาชนผู้เดินผ่านป้าย
รถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังไปมากลับแสดงความเบื่อโลกออกมาอย่างชัดเจน



“ไม่ครับ พี่น้ำเงินอยากดูใจจะขาดแล้วเนี่ย”



เวลาสิบนาฬิกาวันพุธนักเรียนเจ้าของตำแหน่งคฑากรโรงเรียนไม่มีซ้อมจึงขออนุญาตคุณแม่พาน้องสาวไปดูหนังด้วยกัน ทีแรกแม่ก็อิดออดทำท่าไม่ไว้ใจกลัวว่าผมจะดูแลน้องไม่ดีแต่พอบอกกว่าเปลวก็ไปด้วยเท่านั้นแหละยอมเลย...



แหม...ก็เปลวเขาดูเป็นผู้ใหญ่นี่จ๊ะ ต้องดูแลน้ำตาลได้แน่ๆเผลอๆต้องดูแลน้ำเงินด้วยนะ ฮ่ะๆๆ...แม่กล่าวเช่นนี้ตอนผมทำท่างอนๆ



ให้ท้ายกันเข้าไป “ชิส์...”



ผมจิ๊ปากเมื่อหันไปเห็นใครบางคนเดินหน้าชื่นตาบานมาทางนี้



“รอนานรึป่าว ทำไมไม่เข้าไปรอข้างในล่ะ”เปลวตะวันในชุดเสื้อยืดคอวีสีน้ำเงินกางเกงยีนส์สีเข้มเอ่ยถาม ผมกวาดตามองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็อดจิ๊ปากอีกรอบไม่ได้...เสื้อผ้าธรรมดาบนตัวของผู้ชายรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา...



“มึงไม่ได้มาช้า พวกกูมาเร็วเอง ห้างเพิ่งเปิดพอดีไปกันเถอะ”หนังฉายหลังห้างเปิดสิบนาทีผมก็นัดมันเวลานั้นเลย แต่ผมกลับมาถึงเร็วกว่าที่คาดเพราะคุณแม่อาสาขับรถมาส่งสาเหตุคือไม่ไว้ใจไม่อยากให้ผมพาน้ำตาลขึ้นรถเมล์ตามลำพัง



“หวัดดีค่ะพี่เปลว”น้องสาวที่น่ารักของผมเอ่ยทักมารพระอาทิตย์ เจ้าหญิงตัวน้อยในสายตาของผมยกมือไหว้เจ้าจอมมารในสายตาของผมอีกเช่นกัน



“หวัดดีครับคนสวย แต่งตัวน่ารักจัง ใครเลือกชุดให้ครับเนื่ย”



“คุณแม่ค่ะ”น้ำตาลยิ้มแป้น



“อ๋อ ก็ว่าแล้วว่าน้ำเงินไม่มีทางรสดีนิยมดีขนาดนี้”เปลวกล่าวพลางเหลือบตามองมาที่ผม



คนใส่เสื้อยืดโปโลสีขาวสลับแดงกับกางเกงขาสามส่วนสีกรมแลบลิ้นใส่ไอ้คนใส่ชุดอะไรก็ดูดีไปหมด ผมจูงมือน้องทรยศที่แปรพรรคไปร่วมกับไอ้เลวเปลวแล้วนำลิ่วเข้าไปในโซนโรงหนัง ยื่นบัตรให้พนักงานเคาเตอร์ดูด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ



“อ่อ บัตรรอบปฐมทัศน์ เชิญทางนี้เลยครับ”พนักงานคนนั้นเดินนำพวกเราเข้าไปข้างใน เลวเปลวแย่งมือน้ำตาลไปจูงเองผมก็เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปข้างใน ดูท่าบัตรฟรีที่ผมได้มาจะมีค่าพอตัวเพราะที่นั่งเป็นที่นั่งชั้นบนสุด ผมดูหมายเลขตามบัตร”A 7...อ่ะนี่ไง”



หาที่เจอได้ไม่ยากผมดันเบาะลงมาและนั่งตรงที่ที่ตรงตามบัตรก่อนจะชี้ตำแหน่งให้อีกสองคนที่เหลือนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป แม้ในโรงหนังจะปิดไฟมืดแต่ผมสาบานได้เลยว่าเมื่อกี้ผมเห็นไอ้เปลวมันยิ้มแปลกๆ ก่อนจะรู้ตัวมันก็นั่งลงข้างๆผมและให้น้ำตาลนั่งที่ถัดจากมัน



“เห้ย!”ผมผงกตัวจากเบาะพิงทำท่าจะโวยมันแต่ตัวอย่างหนังก็เริ่มฉายพอดี ไอ้เปลวเลยยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเชิงให้ผมเงียบเสียงซะ



“ทำไมให้น้องกูไปนั่งซะไกล น้องกูก็ต้องนั่งข้างกูดิ”ผมดึงคอเสื้อมันลงมาใกล้ๆและกระซิบเสียงรอดไรฟัน



แล้วมันก็ทำสิ่งเรื่องน่าตกใจ”น้ำตาลอยากนั่งข้างพี่น้ำเงินไหมครับ”ด้วยการหันไปถามความเห็นจากน้องสาวของผม



“ไม่ค่ะ”สั้นๆสองคำ เสียงใสของเด็กน้อยผู้ใสซื่อทำร้ายจิตใจดวงน้อยของพี่ชายผู้คลั่งไคล้น้องสาว น้ำเงินพ่ายแพ้ในสงครามที่นั่งโดยสมบูรณ์...



นั่งดูโฆษณากันไม่นานตัวหนังก็เริ่มฉาย ด้วยความเป็นคนรอบคอบเมื่อคืนผมจึงนั่งศึกษาตัวละครและเนื้อเรื่องย่อของซันไรเดอร์มาแล้วเรียบร้อย



“นี่...”หนังเริ่มไม่ถึงสามนาทีคนข้างๆก็สะกิดต้นแขน”คนไหนคือพระเอกเหรอ”เปลวตะวันขมวดคิ้วขณะสายตาจับจ้องไปยังหน้าจอขนาดไหนใหญ่ซึ่งมีผู้ชายสองคนกำลังยืนถกเถียงปัญหาชีวิตกันอยู่



“อืม...คนที่ตัดผมสั้นเป็นเพื่อนเก่าของพระเอกส่วนคนผมทองซอยๆนั่นเป็นซันไรเดอร์สีแดง คือมันกับพระเอกอ่ะมีชะตากรรมอันโหดร้าย ถ้าพระเอกเป็นไรเดอร์เพื่อนพระเอกก็ต้องเป็นจอมมาร ถ้าพระเอกเลือกเป็นจอมมารเพื่อนพระเอกก็ต้องเป็นไรเดอร์สรุปคือไม่ว่าจะเลือกทางไหนสองคนนี้ก็ต้องเป็นศัตรูกันและนี่เค้ากำลังย้อนความให้คนไม่เคยดูนิดหน่อย...”



เมื่อคืนตอนเช็คเนื้อเรื่องผมก็ถึงบางอ้อ...เพราะเนื้อเรื่องอย่างงี้นี่เองพวกผู้หญิงถึงได้ดูกันเยอะ...



ตัวหนังดำเนินมาได้สิบนาที เครื่องปรับอากาศของโรงหนังก็หนาวสมกับเป็นเครื่องปรับอากาศในโรงหนัง ครอบครัวพ่อแม่ลูกทยอยกันจับจองที่นั่งจนเต็ม ผมยกมือขึ้นลูบต้นแขนไปมา”มึงถามน้องกูหน่อยว่าหนาวไหม เห้ย! โหย ทำไมพระเอกแม่งโง่อย่างนี้วะ ไอ้ที่มึงคุยด้วยอ่ะคือลูกน้องของเพื่อนมึง ตัวร้ายไงตัวร้าย!!”



ด้วยความเป็นพี่ที่ดีผมจึงถามถึงน้องแต่ยังถามไม่ทันเสร็จก็ถูกเนื้อเรื่องดูดกลืนไปเป็นที่เรียบร้อย



หนังดำเนินมาได้เกือบครึ่งเรื่อง เปลวลุกพาน้ำตาลออกไปเข้าห้องน้ำเดินผ่านหน้าผมไปอย่างยากลำบากเพราะขายาวๆของมัน”เดินเร็วๆดิวะ บังกูหมด”ผมไล่



หนังดำเนินมาได้ครึ่งเรื่องเด็กหลายคนที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายเริ่มเงียบลงผมคิดว่าเจ้าหนูทั้งหลายคงหลับไปแล้วเพราะน้ำตาลก็หลับไปแล้วเช่นกัน”อ๊ากกกก บลูจะตายมั้ยมึง”ส่วนผมตรงกันข้าม เอื้อมมือไปเขย่าแขนคนข้างๆแบบลุ้นๆ



หนังดำเนินมาถึงจุดไคลแม็กซ์ผมกำมือแน่นลุ้นให้ซันไรเดอร์สีแดงผู้เป็นพระเอกของเรื่องปรับความเข้าใจกับเพื่อนได้ “โหยยย พวกมึงเพื่อนกันก็ดีๆกันไปโลกก็สงบสุขแล้วมั้ยล่ะ”แต่น่าผิดหวังเมื่อจอมมารซึ่งหวั่นไหวกับคำพูดของพระเอกถูกลูกน้องซึ่งเป็นหนุ่มหล่อล่ำฟาดหัวสลบและอุ้มกลับรังไป



“สนุกมากเลยมึง”ช่วงหลังๆไม่มีอะไรแล้วผมเลยหันมาชวนเปลวคุยแต่เมื่อผมหันไปก็พบว่ามัน’หลับ’



“หืม เมื่อกี้พูดอะไรรึป่าว”มันงัวเงียถาม



“ปะ เปล่า”



เห้ๆ...ได้ข่าวว่ามึงชอบไรเดอร์และน้องกูก็ชอบเรื่องนี้ส่วนกูไม่ชอบและถูกบังคับมาไม่ใช่เหรอวะ!?



“หึหึ สนุกล่ะสิ”มันยิ้มแซวราวกับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่



“ก็สนุกดี ไม่เหมือนกับหนังเด็ก ออกแนวดราม่ามากกว่า”ผมตีหน้าเข้มวิจารณ์หนัง



“หึหึ ฮ่ะๆๆ เหรอๆ ชอบแบบนี้สินะ ฮ่ะๆๆ”แต่ไอ้คงข้างๆไม่ติดกับ หัวเราะเยาะผมร่วน



“ไม่เห็นต้องเขินเลย ก็แค่ชอบซันไรเดอร์เอง”เปลวว่าพลางยกมือซ้ายขึ้นมาเกลี่ยแก้มแดงๆของผมแผ่วเบา”ดูซิ อายจนหน้าแดงเลย”



“พอเลยมึง อายเอยอะไร สีชุดพระเอกมันสะท้อนบนหน้ากูตะหาก หนังก็งั้นๆ ไม่ถึงกับชอบ”ผมยักไหล่ทำทีเป็นไม่สนใจ แต่ในใจวางแผนกลับไปหาตัวซีรี่ส์มาดูแล้ว



“เหรอ...งั้นๆ ไม่ถึงกับชอบเหรอ แล้ว...น้ำเงินชอบเปลวมั้ย”



“อืมชอบ เห้ย มึงหลอกถาม”ผมพยักหน้าตอบไปตามสัญชาติญาณแล้วก็หลุดแหวออกมาเสียงเกือบดังเพราะรู้ตัวว่าโดนหลอกได้มือของมันช่วยตะครุบปากได้ทัน ผมซึ่งส่งเสียงในโรงหนังไม่ได้ได้แต่มองมันตาเขียวปั่ด



“ไม่ได้หลอกซะหน่อย ก็แค่ถาม หึหึ”มันหัวเราะเบาๆแล้วก็ค่อยเคลื่อนใบหน้าของมันเข้ามา ผมเบิกตากว้างเพราะรู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร



“ที่สาธารณะ”ผมยันไหล่มันไว้เบาๆ



“ไม่มีใครเห็น”



ฝ่ายที่โน้มตัวมาเหมือนจะมีแรงมากกว่า มันดึงมือผมออกและคว้าไปกุมไว้ก่อนใช้มืออีกข้างพาดผ่านเบาะมากระชับไหล่ผมให้เข้าไปใกล้ ใบหน้าของพวกเราใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ...และริมฝีปากก็ประทับกันแผ่วเบา...



ระหว่างเรานี่เป็นจูบครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่หลังจากที่คบกัน...นี่เป็นจูบแรก...



“อืม”ผมเผลอครางเสียงแผ่วเมื่อมันสอดเรียวลิ้นเข้ามาในโพรงปากของผม จากตอนแรกที่ผมจูบไม่เป็นแต่มาครั้งนี้กลับชำนานขึ้น น้ำเงินซึ่งถูกฝึกโดยเปลวตะวันใช้ลิ้นของตัวเองเกี่ยวกระหวัดอีกฝ่าย จังหวะของเราดำเนินไปอย่างเนิบช้า อุณหภูมิในช่องท้องเริ่มอุ่นขึ้นทีละนิด ผมเอื้อมมือไปกำบ่าของมันไว้เมื่อความรู้สึกบางอย่างเริ่มเข้ามาแทนที่ความอบอุ่น



ก่อนจะเลยเถิดกลางโรงหนังพวกเราก็ผละออกจากกัน



จังหวะเดียวกับไตเติ้ลรายชื่อนักแสดงและคณะผู้จัดทำมาพอดี



“อ๊า...เพราะมึง กูเลยอดดูตอนจบ”แฟนบอยของซันไรเดอร์หันไปโวยใส่คนขอจูบไม่ดูเวล่ำเวลา



“ฮ่ะๆๆ บรรยากาศมันพาไปนิ”เปลวยักไหร่ไม่สนใจแต่สายตามันเสมองไปยังที่นั่งของหญิงชายคู่หนึ่งซึ่งอยู่แถวถัดไป และทั้งสองคนก็ไม่ได้ดูหนังแม้แต่นิดเดียว



“อา...”ผมมองร่างของคนสองคนซึ่งกำลังนัวเนียกันได้ที่ คือพี่ครับ นี่กำลังอยู่ในโรงหนังสำหรับเด็กและเยาวชนนะครับ...นายน้ำเงินผู้ไม่เคย(?)ทำตัวลุ่มล่ามในที่สาธารณะตำหนิชาวบ้านเขาอย่างคนมีมารยาท(ถุย)



“น้ำตาลได้ดูค่ะๆ”และเสียงของน้องสาวซึ่งหลับไปนานก็ดังขึ้น เด็กน้อยยกมือไปมาราวกับจะยกมือตอบคำถามในชั้นเรียน”ตอนที่ตื่นมาพวกพี่สองคนก็หันไปทำอะไรก็ไม่รู้น้ำตาลก็เลยดูเผื่อให้แล้วค่ะ!”เธอตอบ



“!!”



พูดอย่างนี้ก็แปลว่าเห็นหมดเลยน่ะสิ!!



“ร เหรอครับ...ขอบคุณนะครับ ถ้าอย่างนั้นช่วยเล่าตอบจบให้พวกพี่ฟังได้ไหมครับ เดินไปเล่าไปเนอะ”แม้กระทั่งเปลวตะวันผู้ไม่เคยสั่นคลอนยังเสียงสั่นไปนิดหนึ่งตอนได้ยินคำตอบของน้องสาวของผม...



พวกเราเดินจูงมือกันออกมา เอิ่ม หมายถึงผมกับเปลวจูงมือน้ำตาลคนละข้าง”แล้วก็นะ ตัวร้ายก็คิดถึงตอนที่เรดเข้าไปกอดตัวร้ายเอาไว้แล้วก็ร้องไห้ แล้วก็นะ แล้วก็ ตัวร้ายก็ร้องไห้ออกมาแล้วก็จบค่ะ!!”...ผู้กำกับยังกล้าเรียกสิ่งนี้ว่าหนังขบวนการห้าสีอีกหรืออย่างไร ช่างหน้าหนายิ่งนัก ตอนจัดหมวดหมู่หนังไม่ควรเป็นหนังแอคชั่นแม้แต่น้อย



“ตอนจบทำออกมาได้ดีมากเลยนะคะ เดี๋ยวดีวีดีออกพี่น้ำเงินซื้อให้น้ำตาลหน่อยได้ไหมคะ”



“ได้ครับได้”ผมตอบเสียงเนือยทำทีเป็นยอมซื้อเพราะน้องขอ แต่เปล่าเลย...อยากเก็บสะสมไว้เองต่างหาก หึหึหึ...



“แล้วเมื่อกี้พวกพี่ทำอะไรกันเหรอคะ?”



“หะ”ผมชะงักเท้า ตอนนี้พวกเราอยู่ระหว่างทางไปร้านอาหาร แม้จะมองไม่เห็นหน้าของตัวเองแต่ผมเชื่อว่าตาผมตอนนี้ต้องโตเท่าไข่ห่านแล้วแน่ๆ



“เอ่อ...คุยกันไงครับ พวกพี่แค่คุยกันเฉยๆ”เปลวตอบ ผมแอบหันหลังไปปาดเหงื่อ เท่านี้ก็รอดล่ะ



“งืม...น้ำตาลแอบฟังอยู่นะคะแต่ไม่เห็นได้ยินคำพูดเลย ได้ยินแต่ อืมๆ แจ่บๆ”



“!!!”



“!!!”



พวกเราหันมามองหน้ากันตาเหลือก ผมพยามส่งสายตาให้ไอ้เปลวมันใช้ทักษะการแถของมันไหลออกไปแต่ดูเหมือนมันจะโดนความใสซื่อโจมตีจนต่อมเสื่อมทรามหยุดทำงานกะทันหัน เด็กอนุบาลสามในชุดเอี๊ยมน่ารักเอียงคอแล้วก็มองพวกเราสลับกันไปมา



“อ๊ากกกก นั่นมันดีวีดีซันไรเดอร์ภาคซีรีส์นี่!!!!!!”



ผมรีบแจ้นเข้าไปในร้านขายดีวีดีใกล้ๆทันที รีบคว้าเอาแผ่นใหม่ล่าสุดชูขึ้นสุดแขนเหมือนเจอขุมทรัพย์ ทั้งหมดทำไปเพื่อนเบี่ยงเบนประเด็นเท่านั้นไม่ได้อยากได้หรืออะไรหรอกนะ



“อ๊ะ! พี่น้ำเงินจะซื้อให้เหรอคะ”



วินาทีนี้คำว่ารักน้องมันหายไป...



ผมอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ของในมือถูกน้องนำไปชื่นชมเรียบร้อยแล้ว



“เปลว...”



ในที่สุดก็มีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้วงเวลาอันมืดมิด



“อะไรเหรอ”



เปลวตะวันของผมเดินตามเข้ามาในร้าน



“มึงจ่าย”



และมันก็แผดเสียงหัวเราะทันทีที่ได้ยิน...



ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะว่ามันหัวเราะไปพลางพูดว่าน่ารักไปพลางนั่นหมายความว่ายังไงแต่มันมีความสุขและยอมควักเงินซื้อยกเซ็ต
ตั้งแต่ภาคหนึ่งยันภาคสามให้เลยผมก็ยินดีไปกับมันด้วย...





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ TrafalgarLAW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักน้ำเงิน เป็นคนที่น่ารักจริงๆ กลายะป็นสาวกไรเดอร์ซะแล้ววว

ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน



บทที่ 21 part 2



...พ่อกับแม่ไม่อยู่สักสองสามวัน ส่วนป้าตาแกลางานไปเฝ้าไข้ลูกวันหนึ่งจะกลับมาพรุ่งนี้ดึกๆ น้ำเงินอยู่กับน้ำตาลสองคน ช่วยดูแลน้องให้ดีด้วยนะจ๊ะ...



ผมยืนมองกระดาษโน้ตซึ่งแปะอยู่บนกระจกห้องน้ำด้วยสีหน้าว่างเปล่า



“ถ้าจะไปไหนก็ช่วยบอกกันล่วงหน้าสักนิด”เด็กหนุ่มผู้กลับมาจากโรงเรียนหลังผ่านการซ้อมมาอย่างหนักหน่วงก็อยากอาบน้ำอาบท่าจึงหยิบผ้าขนหนูเดินเข้ามาในห้องน้ำ แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นเจ้าสิ่งนี้เข้าเสียก่อน...



“แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้...”เหลือบตามองออกไปข้างนอกทางช่องระบายอากาศ ใช้ความคิดไปพลางอาบน้ำไปพลาง



ไอ้ลำพังตัวผมน่ะ ดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว...แต่จะพ่วงน้องสาววัยห้าขวบเข้ามาด้วยนี่ไม่น่าไหวนะ...



“โอย...ทำไงดี จะดูแลน้ำตาลไหวไหมเนี่ย...พระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้วเนี่ย...อะ”คำว่าพระอาทิตย์ทำให้ความคิดบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในหัว ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จและเดินไปหยิบมือถือในห้องนอนแล้วต่อสายหาเปลวตะวันทันที




“ฮัลโหล”รอไม่นานปลายสายก็รับ”เปลวเหรอ เย็นนี้ว่างไหม คืนนี้มึงต้องทำอะไรรึป่าว มาค้างบ้านกูมั้ย มาเถอะ นะๆๆๆๆๆๆ”
โดยไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายพูด ผมก็มัดมือชกทันที”มาหากูนะ กูหิวแย่แล้วเนี่ย แวะซื้อข้าวเย็นสำหรับสามคนมาให้ด้วยนะ
ครับ แล้วเจอกันครับ รักที่สุดเลย!”


ว่าแล้วก็วางสายทันที ผมหันตัวหมายจะเดินไปหาน้ำตาลที่ห้องเสียหน่อย ทว่าร่างเล็กของเด็กที่ผมคิดถึงกลับยืนจิ้มลิ้มอยู่หน้าห้องของผมแล้ว



“เอ่อ...น้ำตาล เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ...”อย่าบอกนะว่าได้ยินที่คุยเมื่อกี้!?



“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ ใครจะมาบ้านเราเหรอคะ”เธอถาม



“พี่ชวนพี่เปลวมาค้างบ้านเราน่ะ คืนนี้พ่อแม่แล้วก็ป้าตาไม่อยู่”ว่าพลางเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่มมือของน้องสาว เด็กตัวเท่านี้ต้องอยู่บ้านโดยไม่เจอพ่อแม่ตั้งหลายวันคงจะเหงาน่าดู



ในฐานะพี่ชายผมต้องเอาใจใส่น้องสาวให้ถึงที่สุด...



“เย้! พี่เปลวมาก็ดีเลยค่ะ น้ำตาลจะได้ชวนเล่นเกมส์”เด็กน้อยยิ้มแจ่มใส เธอชูแขนแล้วก็หมุนตัวสองสามรอบพอให้พี่ชายซึ่งอ้าปากค้างเจ็บช้ำน้ำใจโดยไม่รู้ตัว



“เหรอ...”ผมกัดฟันระงับความเจ็บปวด(ทางจิตใจ)แล้วก็อุ้มร่างเล็กเดินลงบันไดมาดูทีวีที่ชั้นล่าง รอเวลา



หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงออดประตู ตอนนี้เวลาหกโมงกว่าแล้วเนื่องจากเป็นเดือนตุลาคมทำให้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เปิดไฟหน้าบ้านแล้วก็เดินล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยยืนอยู่นอกรั้ว



ในมือของมันถือห่ออะไรบางอย่างอยู่ ผมยิ้มให้แล้วก็มองของในมือมัน...สงสัยเป็นข้าวเย็น...แต่ดูท่าจะไม่ได้ซื้อมาจากร้านข้าวแกง...



ผมเอากระเป๋าเสื้อผ้าของมันไปเก็บไว้บนห้องนอนของผมในขณะที่สั่งให้มันอุ่นอาหารรอ เมื่อผมเดินลงมาและพาน้ำตาลไปที่ห้องอาหารก็พบว่ามันจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว



.



.



“กูอาบเสร็จแล้วมึงต่อได้เลย อะนี่ ผ้าขนหนู”ผมเพิ่งค้นพบความจริงว่าเกมส์ออฟไลน์มันเล่นยากกว่าที่คิด...แต่ที่สำคัญคือผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าน้องสาววัยห้าขวบของผมจะเล่นเกมส์พวกนี้ด้วย...



หลังจากทานอาหารอิตาเลียนด้วยฝีมือพ่อครัวประจำบ้านเปลวตะวันกันเสร็จพวกเราก็เล่นเกมส์กัน...มันออกจะน่าสมเพชไปหน่อย แต่ผมเล่นแพ้แม้กระทั่งน้องสาวตัวเอง เป็นบุญมากที่มีไอ้เปลวอยู่ผมเลยยัดให้มันแข่งกับน้องผมไป แม้ผลจะออกมาชนะบ้างแพ้บ้างแต่เท่าที่เห็นคือมันออมมือให้น้องผมขั้นสุด เล่นด้วยมือเดียวได้มันเล่นไปแล้ว



มือแกร่งรับผ้าขนหนูที่ผมยื่นให้ด้วยใบหน้าสดชื่น มันมองผมตาเป็นประกายราวกับกำลังพออกพอใจอะไรอยู่



“มองไร”ถูกมองนานๆมันก็เขินนะ



“มองมึง”



“กวนตีน”



“ฮ่ะๆๆ น้องมึงน่ารักดี แต่มึงน่ารักกว่า”



“หะ ไอ้เชี่ยนี่มะ...เห้อ...”ผมถอนหายใจทันทีที่ประตูห้องถูกปิด ร่างสูงผู้ทิ้งระเบิดเอาไว้เดินหายไปในห้องน้ำ



ที่พูดน่ะหมายความว่ายังไง...



สีหน้าแววตาตอนที่มันหยอกผมเมื่อครู่ยังติดตาอยู่เลย”ย๊ากกกก!!”เดือดร้อนหมอนต้องกลายร่างเป็นกระสอบทรายระบายอารมณ์(เขิน)



น้ำเงิน...มึงต้องตั้งสตินะ มึงไม่ใช่สาวน้อยวัยใสนะ...



“เห้อ...”ถอนหายใจแล้วก็นอนแผ่สองสลึงค์บนเตียงของตัวเอง



เรียกเปลวมาก็ดีอย่างตรงมีคนช่วยเลี้ยงนอน น้ำตาลว่าง่ายมากเมื่ออยู่กับเปลว นี่ก็ถูกกล่อมให้เข้านอนไปแล้ว...แต่ปันหามันต่อจากนี้นี่สิ...



สีหน้าของเปลวตอนบอกให้น้ำตาลเข้านอนตั้งแต่ทุ่มครึ่งนั่นมันไม่ต่างอะไรกับปีศาจจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์เลย!!



มันต้องมีแผนการ....มันต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆ ฟงต้องเสี้ยมมันมาแน่ๆ ไม่นะ!!!



เหยื่อก็คือผมน่ะสิ!!



คนตกเป็นเหยื่อเริ่มอยู่ไม่สุข ร่างโปร่งบางพลิกตัวไปมาบนเตียง ด้วยความตื่นเต้นเลยเอาหมอนอุดหน้าเอาไว้



“ทำอะไรอยู่น่ะ”เสียงทุ้มกล่าวแทรกจังหวะ เปลวตะวันที่อาบน้ำเร็วเกินคาดเดินเข้ามาในห้องและถามอย่างสงสัย ทว่าด้วยความตกใจและสติที่เหลือน้อยอยู่แล้ว ร่างของคฑากรโรงเรียนจึงร่วงผล็อยลงไปกองอยู่ข้างเตียงในสภาพดูไม่จืด



“เจ็บบบบ”



หมอนที่เอาปิดหน้าไว้ไหลลงมากองอยู่ข้างๆหัว ขาซ้ายยังพาดอยู่บนเตียงส่วนที่เหลือก็กองอยู่ข้างล่างนั่นแหละ



แขกผู้มาเยือนหัวเราะเอ็นดูแล้วก็ยืนมือแกร่งมาให้ฉุด ตัวผมซึ่งกำลังอับอายก็ยอมรับความช่วยเหลือไว้แต่โดยดี”มึงแกล้งกู”แต่ก็ไม่วายโทษคนอื่นไว้ก่อน



ผมผละตัวจากมันแล้วก็ทำทีเป็นจัดเสื้อผ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสตามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งท้องฟ้าบัดนี้มืดสนิทแล้ว ผมเดินทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปตรงหน้าต่างหมายจะปิดม่านหากแต่สายตากลับเหลือบเห็นอะไรบางอย่างเข้า นัยน์ตาสีดำขลับฉายประกายประหลาดยามทอดมองออกไป



“มึงมาดูนี่สิ”มือเรียวกวักเรียกอีกคนด้วยรอยยิ้ม



“ลุงข้างบ้านโดนเมียโกรธ ไม่ให้เข้าบ้าน ฮ่าๆๆ”ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำในชุดนอนแขนสั้นสีขาวส่งยิ้มให้อย่างเคยๆ  และตรงเข้ามาโอบเอวบางจากด้านหลัง คนโดนโอบสะดุ้งเล็กน้อย เอียงหน้าไปเอ็ดไอ้คนที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับการสอดส่องเพื่อนบ้าน



“มึงทำลายอารมณ์เสือกของกู”



“งั้นเรามาสร้างอารมณ์อื่นกันดีไหม?” ริมฝีปากคมแนบแก้มเนียนชวนให้หัวใจเต้นระรัว ใบหน้าของผมขึ้นสีเรื่อด้วยความตกใจระคนเขินอาย 



“ทำบ้าอะไรเนี่ย!?”แหวกลับไปทั้งที่ยังถูกโอบกอดเอาไว้



“ปิดม่านสิ”เสียงทุ้มกระซิบบอก เหมือนมีเวทมนต์สะกด ผมเอื้อมมือที่กำลังสั่นระริกดึงม่านสีเข้มเข้าหากัน ก่อนจะปิดสนิท...และทุกอย่างก็ตกสู่ความเงียบมีเพียงเสียงหัวใจที่ดังก้องอยู่ในหัว



เสียงหัวใจของผม...



หรือของใคร...



ริมฝีปากของเปลวตะวันคลี่ยิ้มอย่างพอใจ สองมือพลิกร่างในอ้อมแขนให้หันมาหาตัวเอง “น้ำเงินขี้อ่อย...” มอบจุมพิตแสนหวานชวนเคลิบเคลิ้มให้แค่นั้นก็หลอมละลายสติสัมปชัญญะ



ตัวผมผู้กำลังเมามายจากรสสัมผัสและกลิ่นหอมของสบู่ รู้ตัวอีกทีก็ถูกผลักให้นอนราบลงบนเตียงเสียแล้ว...



“อะ... อืออ.....”       



เสียงครางหลุดจากริมฝีปากของผมซึ่งตกอยู่ใต้อาณัติบนเตียงในห้องนอนของตัวเอง เปลวแนบสัมผัสไปทั่วซอกคออย่างอ่อนโยน มันอาจจะดูอบอุ่นทว่าอุณหภูมิในร่างกายของผมกลับพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ มือร้อนสอดเข้ามาใต้สาบเสื้อแล้วควานปะป่ายไปทั่ว



“เปลวมึง...”ยังไม่ทันสิ้นคำ ริมฝีปากก็ถูกครอบครองอีกครั้งพร้อมกับเสื้อนอนที่ถูกปลดกระดุม ทีละเม็ด...ทีละเม็ด...ลิ้นของเราคลอเคลียกันไม่ห่างจนกระทั่งอาภรณ์ชิ้นแรกถูกปลดเปลื้องจนเสร็จเผยให้เห็นแผ่นอกและหน้าท้องขาวเนียน...



ตัวผมที่ทนสบสายตาของมันไม่ไหวเสหน้าไปด้านข้าง



“อ๊ะ...อื๊อ...”แล้วก็ต้องสะดุ้งเกร็งเมื่อมือของคนด้านบนอยู่ไม่สุขลากไล้ผ่านแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่ถี่กระชั้นและคล้อยต่ำลงไปใต้สะดือ...ใช่ฝ่ามือสัมผัสกับบางอย่างซึ่งยังซ่อนอยู่ภายใต้กางเกง



ความร้อนอุ่นวาบเข้าครอบครองส่วนรวมความรู้สึกแสนอ่อนไหวใจกลางลำตัว   ร่างทั้งร่างสั่นเกร็งด้วยความเขินอาย     



“อะ....เปลว...เดี๋ยว ตรงนั้นไม่...”ผมเอื้อมมือไปรั้งไหล่มันไว้ ก่อนที่มันจะให้ความสนใจท่อนล่างของผม   



“ไม่เป็นไรนะ...ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก”ว่าพลางดึงรั้งกางเกงของผมลงไปกองแทบเท้า...น่าอาย...ตอนนี้บนตัวผมไม่มีอะไรปกปิดอยู่เลย...แถมยังเปิดไฟสว่างขนาดนี้...



แต่ที่น่าอายกว่าคงเป็นผมที่ปากร้องห้ามแต่ร่างกายกลับไม่ขัดขืนอะไรเลย...



มือแกร่งเคลื่อนขึ้นลงเชื่องช้า...ค่อยๆหอบความความวาบไหวพุ่งสูงขึ้นทีละน้อย



“อะ... ฮา...”ผมจิกมือข้างหนึ่งบนผ้าปูที่นอน ส่วนอีกข้างก็เอาก่ายพาดหน้าผาก ซ่อนดวงตาเพื่อไม่ให้มองเห็น  นัยน์ตาพราว
ระยับคุกรุ่นด้วยความรู้สึกของคนด้านบน



 อุณหภูมิร้อนในร่างกายของผมได้ปล่อยปล่อย ปิดหน้าปิดตาแล้วก็นอนหอบหายใจแรงแล้วก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ริมฝีปาก...
ยกมือขึ้นโอบรอบคอของอีกฝ่ายไว้หลวมๆพร้อมกับแหวกขาให้กว้างขึ้นเพื่อให้เราได้กอดก่ายกันแนบชิดขึ้น



ก็อกๆ...



“!!!”



ฉับพลัน พวกเราที่กำลังกอดกันนัวเนียก็สะดุ้งโหยงกับเสียงเคาะห้อง บานประตูที่ไม่ได้ล็อคค่อยๆเปิดออกโดยบุคคลที่สาม ไวเท่าความคิด ไอ้เปลวรีบกระโจนไปทีประตูก่อนจะแทรกผ่านตัวออกไปแล้วปิดอย่างรวดเร็ว...



“อะ...”ตัวผมในสภาพล่อนจ้อน ชันตัวขึ้นมานั่ง เรี่ยวแรงเริ่มกลับเข้าที่เข้าทางแล้วอาศัยเวลาที่เปลวมันอุตส่าห์ออกไปถ่วงให้รีบใส่เสื้อผ้า...



คิดว่าคนเรียกคงเป็นน้ำตาล...ไม่รู้หรอกว่ามาเรียกทำไม...แต่ว่า...



ไอ้ตัวผมที่ได้ปลดปล่อยไปแล้วน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่มันนี่สิน่าเป็นห่วง...



พอเปิดประตูออกมาก็เห็นมันยืนอุ้มน้องสาวของผมอยู่ด้วยใบหน้าปุเลี่ยน ผมยิ้มแหยๆให้มันเชิงปลอบใจพลางเหลือบสายตาลงมองส่วนนั้นของมันที่ยังค้างคาอยู่แล้วก็รีบรับน้องสาวซึ่งขยี้ตางอแงมาไว้ในอ้อมกอด



“เดี๋ยวกูดูน้องเอง...มึงไปเถอะ”เพยิดหน้าให้มันไปเข้าห้องน้ำแล้วก็หันมาหาน้องสาวของตัวเอง”น้ำตาลเป็นอะไรเหรอครับ”



“ปวดฉี่...”เด็กน้อยตอบเสียงงัวเงีย ผมแทบจะเอาหัวโขกฝาบ้าน



ปวดฉี่ก็ไปเข้าห้องน้ำสิครับแม่คุณ!!



ก่อนจะนึกได้ว่าน้องยังเล็ก เวลาจะเข้าห้องน้ำกลางดึกแม่ก็มักจะเป็นคนพาไป



“ห้องข้างบนพี่เปลวเขาใช้แล้ว เดี๋ยวพี่พาไปข้างล่างนะคนดี”ว่าพลางลูบหัวแล้วก็เดินพาน้องลงไปทำธุระที่ห้องน้ำชั้นล่าง...
เหอๆ...ห้าปีที่ผ่านมาผมก็เพิ่งรู้วันนี้แหละว่าน้องสาวของผมไม่ได้น่ารักเลยสักนิด...



++++++++++++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เป็นกำลังใจให้นะ เรื่องนี้น่ารักมากก
เอาใจช่วย น้ำเงินน่ารัก 5555

ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน



เปลว talk



ผมปิดประตูห้องน้ำแล้วก็ยืนพิงมันอย่างแสนเสียดาย...บรรยากาศทั้งหมดที่อุตส่าห์สร้างขึ้น...สีหน้าของน้ำเงินตอนมีความสุขถึงขีดสุด...



ผมได้เห็นมันทั้งหมดแล้วเมื่อครู่...



แต่ทั้งที่อยากเห็นมากกว่านี้แท้ๆ...น้ำตาลกลับ...



“เห้อ...”



จะไปว่าเด็กมันก็ไม่ได้ ผมทอดถอนหายใจยาว เดินไปเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าเรียกสติ...



ครั้งนี้ผมก็ต้องจัดการมันด้วยตัวเองหรือเนี่ย”ทั้งๆที่น้ำเงินยอมตั้งขนาดนั้นแล้วแท้ๆ”



บอกตามตรงเลยคือผมไม่คิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่มันจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ...ใบหน้าของน้ำเงินตอนนั้นมันช่าง...ยั่วยวนและเว้าวอน...โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย...



จัดแจงถอดกางเกงของตัวเอง...นำไปวางพาดไว้ในที่ของมัน...บรรจงวางนิ้วล้อมรอบ...ทว่า...



“เปลว”



เสียงของคนที่ผมกำลังคิดถึงกลับดังขึ้นที่อีกฟากของประตู ตัวผมซึ่งไม่คาดคิดว่าน้ำเงินจะมาหาในยามนี้ยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม ดวงตาเพ่งมองบานประตูราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง



“เปลว...เปิดประตูหน่อย”ท้ายเสียงค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ ผมพอจะจินตนาการใบหน้าของคนพูดได้....ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อและเสตามองไปทางอื่น...



ผมตัดสินใจเปิดประตูทั้งอย่างนั้นแล้วก็ต้องหลุดหัวเราะกับสีหน้าตกใจของผู้มาเยือนเมื่อตาโตๆคู่นั้นเผลอเลื่อนลงต่ำ....น้ำเงินซึ่งมีสีหน้าท่าทางเหมือนที่ผมคิดไว้เดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วก็ปิดประตูล็อค การกระทำใจกล้าแต่กลับหลบตา...ผมมองน้ำเงินที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่โดยไม่พูดอะไร



รู้ดีว่าเขามาหาผมทำไม แต่ในเมื่อทำตัวน่ารักขนาดนี้ก็ขอแกล้งสักหน่อยจะเป็นไร



“มึง...หน้าด้าน”ส่งเสียงอ้อมแอ้มด่าผมทั้งๆที่เงยหน้ามองเพดาน...หึหึ...



“อะไร ว่ากูทำไม มึงนั่นแหละว่า เข้ามาทำไม ทะลึ่ง”



“เอ๊ะ! ก็กู...ก็กู...มึงเลว!!!”อยู่ดีๆก็ด่าซะอย่างนั้น”มึงรู้แต่มึงไม่พูด มึงแกล้งกู มึงคิดอะไรอยู่พูดออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”



“คิดว่ามึงน่ารักดี”



อึ้งไปเลย...น้ำเงินของผมยืนอ้าปากเหวอทำอะไรไม่ถูกเลย



“งั้นกูก็ไม่มีธุระอะไร...กลับล่ะ...”ร่างโปร่งพลิกตัวกลับแต่ก็ถูกผมรวบตัวเข้ามาเสียก่อน ขี้งอนจริงๆเลยคนอะไร



“น้ำเงินคนดี ช่วยเปลวหน่อยนะครับ”



“ก็เท่านั้นแหละ...”ได้ยินเสียงอู้อี้ตอบกลับมา ฝ่ายที่ต้องพูดคำนี้มันผมไม่ใช่เหรอ เข้ามาอ่อยกันขนาดนี้แล้วยังจะมาเขินอะไร



น้ำเงินสะบัดตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของผม มือเรียวออกแรงนิดหน่อยผลักผมให้ไปติดผนัง...ลมหายใจอุ่นๆปะทะที่ใบหน้า ผมค่อยปรือตารับสัมผัสที่ริมฝีปาก ปลายคาง ซอกคอแล้วก็แผ่นอก...สัมผัสบางเบายิ่งกว่าขนนก...ฝ่ายกระทำกลับมือสั่นเสียเอง น้ำเงินคว้าชายเสื้อของผมเอาไว้แล้วก็ค่อยๆย่อตัวลงนั่งคุกเช่า...



ยกมือขึ้นทัดผมข้างหู แล้วก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ...



การกระทำของคนตรงหน้าจะทำให้ผมเป็นบ้า



“เร็วๆสิ”



ความจริงผมก็ไม่อยากเร่งเร้าอะไร...แต่น้ำเงินที่เป็นแบบนี้น่ะ...ถ้าขืนปล่อยไว้นานเข้าความอดทนของผมคงหมดลงแล้วมันจะไม่ได้จบลงแค่นี้น่ะสิ...



“มึงห้ามทำอะไรกูนะ...”กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ สาบานได้เลยว่าเสียงหัวใจที่ได้ยินตอนนี้ไม่ได้มีแค่ของผมคนเดียว



น้ำเงินลากมือลงมาถึงท้องน้อยและลูบไล้ พร้อมกับมือนุ่มที่เริ่มลงต่ำถึงส่วนอ่อนไหวเบื้องล่าง ขยับมือปลุกเร้าส่วนอ่อนไหวของผมด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆแต่ในสายตาของผมกลับเห็นว่ากำลังถูกยั่วยวน ท่วงทำนองเนิบช้าและใบหน้าขึ้นสีของคนที่แอบเหลือบตาขึ้นมามองหน้าผมเป็นระยะราวกับต้องการให้สติสัมปชัญญะคลุ้มคลั่งจนแทบบ้า   



“อา...”



จากส่วนล่างถึงส่วนปลาย...   จากส่วนปลายถึงส่วนล่างสลับไปมา..



“น้ำเงิน...ขออย่างอื่นที่ไม่ใช่มือได้ไหม?”



ผมไม่รู้ว่าน้ำเงินทำสีหน้ายังไง จากตรงนี้ พอก้มหน้าแล้วผมก็มองไม่เห็นอะไรอีก...ตอนแรกก็กลัวว่าจะโกรธ หากแต่ความอุ่นร้อนที่เข้าครอบงำส่วนนั้นทำให้ผมต้องเงียบปากแทบไม่ทัน...



“น้ำเงิน...”



อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงก่ำกับนัยน์ตาสีดำขลับฉ่ำอารมณ์ที่ค่อยๆปรือลง



หลงใหลราวกับต้องมนต์ อุ่นแรงเหมือนกับถูกเผาไหม้...เผาผลาญจนแทบละลาย



ผมพินิจมองร่างโปร่งตรงหน้า ตั้งแต่เส้นผมสีดำที่พลิ้วไหว้ตามจังหวะ เรียวลิ้นที่ลากเรียงไปทุกพื้นที่ กลีบปากบางที่ครอบครองส่วนนั้นเอาไว้



รู้สึกปานเส้นดายบางๆกำลังจะขาดได้ทุกเมื่อ..สองมือซึ่งไม่มีที่ไว้ขยับวางตรงกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา  อยากให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์...แต่คงเป็นไปไม่ได้...



.



.



แสงไฟนีออนภายในห้องนอนถูกปิดลง น้ำเงินล้มตัวลงนอนหันหน้าเข้าหากำแพง ตั้งแต่ออกจากห้องน้ำมาเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย...ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีสินะ



“น้ำเงิน”ออกแรงรั้งคนที่หันหน้าหนีไม่พูดไม่จา ร่างโปร่งพลิกหันกลับมาตามความต้องการของผม น้ำเงินจ้องใบหน้าของผมนิ่งงันไม่พูดอะไร...เพราะแสงไฟจากถนนทำให้เราพอจะมองเห็นกันและกันเลือนราง



“โกรธเหรอ...”



สิ้นคำถามน้ำเงินก็คลี่ยิ้ม มือเรียวเอื้อมมาลูบผมของผมแผ่วเบาจากนั้นก็กระเถิบตัวเข้ามาใกล้ ตัวผมก็โอบกอดอีกฝ่ายไว้อย่างรู้งาน...กระชับอ้อมกอดแล้วก็แนบริมฝีปากลงบนหน้าผาก



“มึงอ่ะหน้าด้าน...กูที่เป็นแฟนมึงเลยซึมซับพฤติกรรมาหมด ไม่ต้องห่วง...กูเดินเข้าไปหามึงเองจะมาโกรธมึงทำไม”



ผมหัวเราะให้กับคำตอบที่ได้ยิน....



ผมชอบความตรงไปตรงมานี้ที่สุดเลย...



“พ่อแม่ไม่อยู่บ้านคราวหน้าชวนมาค้างอีกนะ”กระเซ้าแหย่ด้วยรอยยิ้ม ผลที่ตามมาคือเสียงอู้อี้ของคนในอ้อมอก ได้ยินแว่วๆว่า ไม่เอาแล้ว เข็ด หรืออะไรทำนองนั้น



“ฮ่าๆๆๆๆ”



วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ AllTheWay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน



บทที่23 เล่นกับไฟ


...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีชายหนุ่มผู้โง่เขลานามอิคาลอส...



เขาได้รับปีกที่สามารถโผบินได้อย่างอิสระจากบิดา...เขาล่อนเหินไปในอากาศอย่างรื่นรมย์



สายลมที่พัดผ่านร่างกายและภาพของผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ก่อร่างความกำเริบเหิมเกริมขึ้นในจิตใจ...



...ถ้าเราบินขึ้นไปเรื่อยๆ จะแตะต้องพระอาทิตย์ดวงนั้นได้ไหมนะ...



ความคิดซึ่งนำจุดจบของชีวิตมา เขาทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆจนปีกทนต่อไปไม่ไหว...



อิคาลอสผู้ไม่เจียมตัว ร่วงหล่นสู่ความตาย...



ผมปิดหนังสือนิทานก่อนนอนของน้องสาวลง แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ให้ความสว่างแก่ผมภายในห้องนอนของน้ำตาล เสียงเครื่องปรับอากาศดังคลอไปกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของน้องสาว ผมลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดู แม้เธอจะเข้าสู่ห้วงนิทราตั้งแต่ผมเริ่มอ่านคำว่ากาลครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม...



 “โอยยย...เมื่อยตัวชะมัด อาบน้ำนอนบ้างดีกว่า”



ผมเพิ่งทราบความจริงว่าพ่อต้องไปประชุมที่ต่างจังหวัดแม่ก็เลยต้องตามพ่อไปด้วยเพราะแม่กับพ่อผมทำงานอยู่ที่เดียวกัน


ตำแหน่งก็ทำนองพ่อเป็นหัวหน้าแผนกแม่เป็นเลขา สามวันนี้ผมและน้องจึงต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน...อา ยกเว้นเมื่อวานที่มีคนมาอยู่ด้วยอ่ะนะ



แต่ผมขอไม่พูดถึงดีกว่า...



ห้องนอนใหญ่ของบ้านที่เคยนอนกันสามคนเหลือเพียงน้ำตาลคนเดียว ผมหย่อนขาลงจากเตียงจากนั้นก็เดินด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด ดับโคมไฟและออกจากห้องไป



จะว่าไปแล้ว...อย่างเรานี่นับว่าเป็นอิคาลอสไหมนะ...



   ผมหัวเราะให้กับความสร้างสรรค์ของตัวเอง เพราะใครหลายๆก็เปรียบไอ้เปลวเป็นพระอาทิตย์อยู่แล้วนิ...



“ถ้างั้นตอนจบก็ต้องตายน่ะสิ?”ก่อนจะคิดได้ว่าเผลอแช่งตัวเองไป”งั้นไม่เป็นละ”



คืนนั้นนายน้ำเงินอาบน้ำแล้วก็เข้านอนตั้งแต่หัววันอย่างที่วางแผนไว้ เครื่องมือสื่อสารอย่างมือถือถูกเสียบชาร์ตเอาไว้ปลายเตียง พรุ่งนี้ไม่มีซ้อมที่โรงเรียนจึงปิดเสียงกันคนรบกวนไว้เสร็จสรรพ...จะได้ตื่นสายให้เต็มที่และลืมตรรกะง่ายๆอย่าง’โทรคุยกับแฟนก่อนนอน’เสียสนิท



“พี่ไอริณ โอย....”



วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เหล่าเด็กนักเรียนมาซ้อมงานกีฬาห้องกัน ม.ต้นที่ต้องซ้อมแสตนด์ก็ซ้อมกันไป รุ่นพี่ที่คุมแสตนด์ก็คุมกันไป บางคนเบื่อๆก็ไปซ้อมกีฬา วงโยเองก็ซ้อมเพลงสำหรับเดินในงานและจังหวะก้าวเท้ากันอยู่อย่างแข็งขัน หากแต่...ตำแหน่งของคฑากรซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวเอกของงานนี้ นายน้ำเงินนักเรียนชั้นม.5ใช้ไม้คฑาค้ำยืนต่างไม้เท้า ยืนพักหลบแดดอยู่ใต้ร่มไม้และเอ่ยปากโอดครวญรอบที่แปดร้อยของวัน



เด็กสาวคนสวยเจ้าของตำแหน่งดาวโรงเรียนถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้าไปมา...



“อย่างอแงสิจ๊ะ มาเร็ว”



“ก็ผมทำได้แล้วหนิ”



“แต่ยังไม่คล่องนี่จ๊ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องซ้อมเดินกับวงโยแล้วด้วย”เธอกล่าวพลางเดินเข้าไปลากแขนจอมอู้



“เที่ยงแล้ว หิวแล้ว กินข้าวกันเถอะคร้าบบ...”



“เห้อ...ให้ตายสิ พี่ไม่เคยใจแข็งกับเราได้เลย ก็ได้จ่ะ ไปกินข้าวกัน”พี่ไอริณถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอตีสีหน้าระอาปนเอ็นดูแล้วก็เดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ



“วันนี้กินอะไรดีฮะ”เพราะเราซ้อมกันแค่สองคน เวลากินข้าวก็เลยไปกินด้วยกันสองคน



พักหลังๆมานี่เด็กคนอื่นแอบจิ้นคู่ของผมกับเธออยู่ไม่น้อยทำเอาไอ้เปลวหน้ามุ่ยทันทีที่ได้ยินข่าวลือ มันกะจะมากินข้าวกลางวันที่โรงเรียนกับผมด้วย ดีนะที่ผมห้ามทัน...เสียสติมากมึง คือมึงโดดคุมแสตนด์ โดดซ้อมกีฬาอยู่บ้านสบายใจได้แล้วจะนั่งรถมาแดกข้าวกับกูทำไม...



“วันนี้คนน้อยจัง”ผมเดินเข้ามาในโรงอาหารแล้วแต่กลับมีเด็กม.ปลายนั่งอยู่แค่สี่ห้าโต๊ะเท่านั้น



“ใกล้ถึงวันซ้อมแสตนด์วันสุดท้ายแล้วเขาเลยฝึกหนักกันหละมั้งจ๊ะ น้ำเงินก็ดูเอาไว้เป็นตัวอย่างนะ”



“เห...ทำไมล่ะ นี่เพิ่งครึ่งเดือนเองนะ พวกเราต้องซ้อมต่อถึงเปิดเทอมเลยไม่ใช่เหรอครับ”



“ก็เพราะพวกเขาซ้อมกันทุกวัน ส่วนพวกเราซ้อมอาทิตย์ละ2-3วันเพราะน้ำเงินต่อรองกับพี่ไว้ไงล่ะจ๊ะพี่สาวคนสวยกล่าว เธอชี้นิ้วชี้มาจิ้มระหว่างคิ้วของรุ่นน้อง



ท่าทางเหมือนขุ่นแม่กับขุ่นลูกนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของ FCที่เดินผ่านมาพอดี



“ต๊าย! น้ำเงินของชั้น! มาอี๋อ๋ออะไรกันกลางโรงอาหารจ๊ะเนี่ย มันแสลงใจนะรู้มั๊ย!!”เสียงดังมาก่อนจะเห็นตัว ตุ๊ดทัพบกเดินจีบปากจีบคอเข้ามาทักทาย



“เอ๋ออ๋ออะไรของมึง”ผมตีหน้าเข้ม



“เห๊อะ!! ทิ้งเทยไปหานี น้ำเงิน จำไว้!!!”



“เดี๋ยวนะ ทิ้งเทย เทยที่ว่าคือมึงอ่อ ฮ่าๆๆๆ มั่นมาก แล้วนี่ไม่ต้องคุมน้องเหรอ?”



“ใส่ใจกันบ้าง ทางนี้เป็นหลีดย่ะ เชียร์หลีดเดอร์!!”แม่นางเท้าเอวแหวใส่ เชียร์หลีดเดอร์โรงเรียนผมก็ไม่เหมือนชาวบ้านอีกนั่นแหละ ของที่อื่นเขาจะเชียร์สีใครสีมัน แต่ของผมจะให้เชียร์ห้องใครห้องมันก็คงโหดไปเลยแบ่งเป็นชั้นปีเอา โดยปีที่จะส่งหลีดเข้าประกวดได้ก็มี ม.3-ม.5



“ปีนี้ม.5แพ้แน่มีมึงอยู่ด้วย”



“ต๊ายยย นั่นปากเหรอจ๊ะ ไหน มาลองจูบทีซิ!”



“ไม่ใช่ละ ไปไหนก็ไปเลยไป ชู่วๆ!!”ตุ๊ดก็คือตุ๊ด มันเดินสะบัดตูดออกไปอย่างเฉิดฉาย ผมมองตามแบบยิ้มๆแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากพี่ไอริณ



“คุยกันน่ารักจังเลย ท่าทางจะสนิทกันเนอะ”เธอทัก ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที ผมแค่ถูกมันตามแอ่วตามประสาคนหล่อแหละกระเทยซึ่งมีความสัมพันธ์กันแบบผู้ล่าและเหยื่อเท่านั้น...



หลังจากนั้นก็จัดการกินข้าวกันเสร็จแน่นอนว่าคนอยากอู้ก็จงใจกินช้าถ่วงเวลาให้มากที่สุด



“กินขนมมั้ยครับ”



“ไม่เอาจ่ะ ไปซ้อมกันเถอะ”



“ผมเลี้ยง”



“ไม่จ่ะ”



“นะ”



“เห้อ แพ้อีกจนได้ พี่ไม่ค่อยแพ้ใครบ่อยๆหรอกนะ ไปซื้อมาสิจ๊ะ แค่ของตัวเองนะ”



ผมหัวเราะร่า ดูเหมือนพี่เขาจะชินกับพฤติกรรมของผมแล้วนะ ผมสั่งขนมปังน้ำแดงกับป้าขายขนมป้าแกก็ทักขึ้นมาว่า”แฟนสวนนะเรา”



“เอ่อ...พวกเราไม่ใช่แฟนกันหรอกครับ”ให้ตายเถอะ ทำไมหลังจากที่ผมมีแฟนแล้วถึงได้มีคนมาจิ้นผมกับพี่ไอริณด้วย น่าจะจิ้นตอนยังโสดจะได้ถือโอกาสจีบ...แต่จะว่าไปก็คิดถึงไอ้เปลวมันเหมือนกันนะ วันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย...



ผมรับของหวานมาและเดินกลับไปยังโต๊ะเห็นพี่ไอริณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เธอเห็นผมเดินมาก็ลุกออกไปคุยตรงอื่นไม่ไกลนักท่าทางเป็นเรื่องซีเรียสเพราะท่าทางเธอดูเกร็งๆ



ผมตั้งถ้วยน้ำแข็งไสไว้หน้าตัวเองนั่งจ้องรอพี่เขากลับมากินพร้อมกัน รออยู่ไม่นานเธอก็วางสายแล้วก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่พยามทำให้ดูปกติที่สุด...”ไม่เป็นไรนะครับ”ผมถาม



“อะ อื้ม”พี่เขาตอบกลับยิ้มๆก่อนจะนั่งลง”ของพี่เหรอ”เธอถามถึงถ้วยตรงหน้าเธอ ผมพยักหน้าแทนคำตอบ



ช่วงเวลาแบบนี้ก็ไม่เลวนะ นั่งกินน้ำแข็งไสกันเงียบๆ ดูเหมือนผมที่พยามอู้จะกินเร็วกว่าพี่สาวตรงหน้าด้วยซ้ำ ท่าทางเรื่องที่คุยในโทรศัพท์จะเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่ก็...คนที่คุยด้วยเป็นคนที่ไม่อยากคุยเท่าไรนัก...



“น้ำเงินจ๊ะ....คือ...”จู่ๆไอริณก็วางช้อนลงทั้งๆที่น้ำแข็งยังพร่องไปไม่ถึงครึ่ง



ผมรีบวางช้อนและมองสีหน้าอ้ำอึ้งของเธอด้วยแววตาจริงจัง”ครับ?”



“วันนี้เราพอเท่านี้ได้ไหม คือพี่มีเอ่อ...ธุระ...”



“ครับ...”ท่าทางของเธอตอนนี้ธุระที่ว่าคงไม่ใช่ธุระธรรมดาแล้วล่ะ”มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ได้ แต่เผื่อกรณีที่ไม่ใช่ผมควรจะถามเธอไว้ก่อน



“ความจริงแล้วพี่อยากให้เราไปเป็นเพื่อน...ไม่สิ คนที่พี่จะไปหาเขาให้พี่พาเราไปด้วย”



“...”



“ได้ไหมจ๊ะ”



ผมเงียบอย่างครุ่นคิด พี่ไอริณไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรเลย เธอเพียงแค่ชวนให้ผมไปเจอ’ใครสักคน’ใน’ที่แห่งหนึ่ง’เท่านั้น...ผมกวาดตามองพี่สาวดาวโรงเรียนซึ่งสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและปล่อยออกมาอยู่สองถึงสามครั้ง เธอคนนี้เป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมทั้งรูปลักษณ์ สติปัญญา กิริยามารยาท



...ในชีวิตนี้คงมีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นข้อผิดพลาด...



...ผู้ชายที่เธอรัก...



....เปลวตะวัน...



.



.



“ได้สิครับ ผมไปด้วย”



   
ดูเหมือนพวกแสตนด์จะไปพักกินข้าวกันแล้วนะ...ผมคิดในใจเมื่อปรายตามองไปทางจุดซ้อมแล้วเห็นแต่อุปกรณ์แปรอักษรวางไว้
แต่ไร้เงาผู้คน หลังจานจัดการกับของหวาน(ของพี่ไอริณ)จนหมดพวกเราก็ตัดสินใจเอาคฑาไปเก็บและก็เดินออกมาทางประตูหลัง



ให้ตายเถอะ เรียนที่นี่มาตั้งแต่ม.1เข้าออกทางประตูหน้าตลอดแต่มาปีนี้กลับได้ใช้ประตูหลังเรื่อยๆ อย่างนี้นี่มันลางห์บอกเหตุอะไรรึป่าวเนี่ย...หึหึ



“แดดร้อนนะ เข้าร่มมั้ย”เสียงใสเอ่ยถาม พี่ไอริณซึ่งกางร่มสีชมพูหวานแหววหันมาถามผมซึ่งเดินเหงื่อตกตามหลังเธอด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ



“อา...ไม่ดีกว่าครับ”



ระหว่างเดินมาพวกเราเดินกันโดยไม่พูดอะไร ไม่ได้เดินคู่กันด้วยซ้ำซึ่งมันผิดวิสัย...แสงแดดยามบ่ายอ่อนทำลายเซลล์สมองของนายน้ำเงินไปหมดแล้วหรือไม่ก็ท่าทีปริศนาของหญิงตรงหน้านั้นยากจะเข้าใจกันแน่ ทำไมผมคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเลยว่าเธอกำลังจะทำอะไร



เดินล้วงกระเป๋าเรื่องเปื่อยจนคนข้างหน้าหยุดฝีเท้า ผมเหลือบตามองไปรอบๆสถานที่ที่เธอพามาด้วยแววตาระแวดระวัง...
ที่ดินร้าง?



สิ่งก่อสร้างที่คิดว่าเป็นตึกแถมซึ่งสร้างไม่เสร็จถูกขีดเขียนพ่นสีโดยมือดีและมีหญ้าขึ้นรก ระยะห่างจากโรงเรียนใกลพอสมควร ที่แห่งนี้หากเป็นช่วงเปิดเทอมจะมีอาจารย์มาเดินตรวจเพราะมันเป็นแหล่งมั่วสุมของเด็กเกเรในชุมชน



“พี่ไอริณครับ...ผมว่าที่นี่ไม่เหมาะมั้ง?”



ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอไรก็ตามผู้หญิงสวยๆอย่างเธอก็ไม่ควรมาอยู่ในที่เปลี่ยวแบบนี้



พี่คงไม่คิดว่ามีน้ำเงินอยู่ด้วยก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่หรอกนะ...คือไอ้น้องน้ำเงินของพี่มันไม่สามารถปกป้องพี่ได้หรอกนะ ถึงเวลาจริงตัวใครตัวมันนะ



คนสวยหันเลิ่กลั่กเหมือนกำลังมองหาใครสักคนไม่สนใจคำพูดของผมสักนิด ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจ เดินเข้าไปคว้าข้อมือบางเอาไว้



“มันอันตรายนะครับ พี่นัดใครไว้ผมไม่รู้แต่ผมว่าพี่นัดเจอเขาที่อื่นเถอะครับ”เธอผวาแล้วก็หันกลับมา สีหน้าฉายแววกังวลชัดเจน
ผมออกแรงดึง แต่เธอกลับยื้อเอาไว้และสะบัดหลุดไป ผมหรี่ตามองเธออย่างคาดคั้น



“พี่ไอริณเป็นอะไร ปกติพี่ไม่ใช่คนแบบนี้นี่ครับ”ก็พี่น่ะทั้งฉลาดและรอบคอบ พี่ไอริณคนนั้นไม่มีทางพาตัวเองมาอยู่ในบริเวณที่เสี่ยงต่อการถูกฉุดขนาดนี้หรอก



“ไม่...พี่ไม่ไป...พี่ต้องเจอคนๆนึงที่นี่”เธอกล่าวเสียงสั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้



ให้ตายเถอะ! ผมตามอารมณ์ผู้หญิงไม่ทันจริง



“เหรอ...งั้นพี่ก็อยู่รอเขาไปคนเดียวแล้วกัน ผมกลับล่ะ”ผมหันหลังให้หล่อนแล้วก็ก้าวเดินออกจากสถานที่แห่งนั้น ผมไม่ได้คิดจะทิ้งเธอไว้จริงๆหรอกครับ ผมแค่ขู่ให้เธอวิ่งตามมาแล้วเราจะได้ออกจากที่นี่ด้วยกันเท่านั้นแหละ



ตึก ตึก



เป็นไปตามคาด มีเสียงฝีเท้าดังไล่หลังมา ผมกระตุกยิ้มมุมปาก



มือเรียวคว้าข้อสองผมเอาไว้ ในที่สุดพี่เขาก็ยอมกลับแล้วสินะ....



“อย่าไปนะ! อยู่รอกับพี่ก่อนเถอะ! ขอร้องหละ!”ผิดคาด ผมเบิกตากว้างแล้วหันไปมองหน้าเธอชัดๆอีกครั้งว่าผู้หญิงคนนี้คือพี่ไอริณตัวจริงหรือไม่”คนๆนั้นเขาบอกให้พี่พาน้ำเงินมาด้วยแล้วเขาจะเล่าความจริงให้พี่ฟังทุกอย่าง ขอร้องล่ะ พี่แค่อยากรู้...”



“อยากรู้?”ผมเลิกคิ้วถาม ลมเย็นๆซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนพัดเข้ามาภายในตัวอาคารทำเอาขนทั่วตัวพร้อมใจกันลุกซู่...”พี่อยากรู้อะไรกันแน่”ผมกุมมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นมา



นัยน์ตาคู่กลมสวยประดับแพขนตางามเสมองไปทางอีก เธอกัดริมฝีปากแน่น



“ตอบสิครับ! พี่อยากรู้อะไรทำไมไม่ไปถามแชคล่ะ...ระ...หรือว่า...”



คราวนี้เป็นผมเองที่หัวใจเต้นระรัวเหมือนถูกกลองทุบ”เปลว...”คำสั้นๆเพียงคำเดียวดังขึ้นและจากนั้นระหว่างเราก็มีเพียงความเงียบ เธอมีท่าทีแปลกใจเมื่อผมเอ่ยคีย์เวิร์ดนั้นออกมา



“ใช่...พี่อยากรู้...ว่าใคร...คือแฟนของเขา...เขาคนนั้นที่พี่รักมาตลอด...”



“พี่ไอริณ...”ผมเปล่งเสียงแบบไร้เรี่ยวแรงเมื่อได้ยินคำตัดพ้อของเธอ...



เพราะที่ผ่านมาเธอทำตัวเหมือนปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเรื่องที่เปลวบอกปัดคำสารภาพรักของเธอมันก็ตั้งหลายเดือนแล้ว...ผมประเมินความรักของพี่สาวคนนี้ผิดไป...



“พี่แค่อยากรู้เฉยๆ!! ตอนนี้พี่ไม่มีทั้งความอิจฉาหรืออะไรแล้ว!! พี่ก็แค่อยากเห็นหน้าแฟนของเขา!! คนที่ได้รับความรักจากผู้ชายที่พี่เฝ้ามองเสมอมา...ฮึกๆ”และหยาดน้ำใสๆก็ไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาผู้หญิงในอุดมคติตรงหน้าผม



ผมยกมือขึ้นหมายเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่ก็ต้องชะงักค้าง...



เมื่อมีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น...เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคย...



“น้ำเงิน”



ดังหลังจากเสียงจอดรถและเสียงปิดประตู...




ตรงหน้าทางเข้า...ปรากฏร่างสูงใหญ่เจ้าของผิวสีเข้มซึ่งยังติดพลาสเตอร์ทำแผลเอาไว้หลายจุด...



อีกคนที่โง่เขลาเพราะความรัก...เม่น...



“คนที่เธอกำลังตามหาอยู่ ก็คือน้ำเงิน!!”เม่นกล่าวย้ำ พี่ไอริณเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง!




........................................................................

ลงให้ยาวๆเลย เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว ><

ออฟไลน์ TrafalgarLAW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น้ำเงินขี้ยั่วมากกกก

เม่นนี่ยังไม่เลิกจองเวรกับเปลวและผองเพื่อนอีกหรอเนี่ย

รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
โอ๊ะโอ~ หลังจากนี้จะเกิดอะไีรขึ้นหว่าาาา เปลวตามมาช่วยน้ำเงินจากสถานการณ์นี้เร็ววววว

ออฟไลน์ MiddaySuN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
    • พระอาทิตย์กลางฤดูร้อน




บทที่23 อดทนเวลาที่ฝนพรำ




วันนี้เป็นวันที่ผมจะจำไปจนตาย...




แรงบีบที่ข้อมือทำเอาผมต้องเบ้หน้าเพราะความเจ็บปวด มือหยาบอย่างคนเล่นดนตรีของเพื่อนไอ้เม่นมันแข็งอย่างกับคีม



ท่ามกลางความเงียบสงบและเสียงเครื่องยนต์ของรถตู้ทางปิดม่านรอบทิศมิดชิด พี่ไอริณสะอื้นไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นรถมา เธอกำลังถูกเพื่อนของเม่นอีกคนมัดมือไขว้หลัง พอไอ้เวรนั่นมัดผู้หญิงเสร็จแล้วก็เคลื่อนมาหาผม



เชือกป่านเก่าๆที่พวกมันเตรียมเอาไว้แต่แรกแล้วพันเกี่ยวรอบข้อมืออย่างแน่น...



โดยไม่มีการขัดขืนจากผมแม้แต่น้อย...



ผมเสมองร่างบางที่สั่นไม่หยุดและเบือนไม่หน้าไปทางอื่น...เหมือนถูกประชด เพราะพริบตาที่ผมเห็นเม่น ผมก็รู้แล้วว่าพี่ไอริณต้องโดนมันหลอกมาแน่ๆผมเลยคว้ามือเธอแล้วก็วิ่งหนี...



แต่น่าเสียดาย...เพื่อนของมันล้อมเอาไว้หมดแล้ว



ผมขัดขืนแล้วก็ต่อรองให้ปล่อยพี่ไอริณไปซะเพราะเธอไม่เกี่ยว อย่างน้อยก็ขอให้ผู้หญิงปลอดภัย...



ผลที่ได้ก็คือโดนกระทืบ...กระชากหัวให้ถอยห่างจากพี่ไอริณแล้วก็ต่อยให้ที่มุมปาก เสียหลักล้มลงกับพื้น จากนั้นก็ไม่รู้ตีนใครเป็นตีนใครแม่งเหยียบกันมาเต็มนอนจุกลุกไม่ขึ้นแล้วมันก็ลากขึ้นรถตู้มาอย่างที่เห็น...แต่ว่าบนหน้ากลับมีแค่แผลโดนต่อยตอนแรกเท่านั้น



“จะพาไปไหนเนี่ย”ผมถามเสียงนิ่ง หลับตานั่งพิงเบาะแบบหมดสภาพ



“อยู่เฉยๆไปอย่าพูดมาก”คนหนึ่งตอบกลับ



พวกมันไล่ให้ผมกับพี่ไอริณถอยไปนั่งเบาะหลัง ทำให้ผมสังเกตการณ์พวกมันได้ง่ายขึ้น ในรถตอนนี้ประกอบด้วยห้าคน...หนึ่งคือคนขับซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า ที่เหลือก็คือเม่นแล้วก็เพื่อนของมัน



“พี่ขอโทษ”พี่ไอริณกล่าวเสียงสั่นเครือ เธอกระเถิบตัวเข้ามาใกล้ผม”เจ็บไหม พี่ขอโทษ”น้ำเสียง สีหน้าและสภาพของเธอที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเพราะถูกกระชากตอนวิ่งเข้ามาช่วยผม เห็นแบบนี้แล้วใครที่ไหนจะไปโกรธลง



“พี่โง่เอง พี่ขอโทษ ดูก็รู้แล้วว่าพวกมันไม่น่าไว้ใจแต่พี่ก็ยัง...”



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้เรามาหาทางหนีกันก่อนเถอะ”ผมปลอบและขยับตัวหมายจะไปเปิดม่านดูทาง...



“ทำอะไร!!!”ฉับพลันเสียงของคนขับก็ดังลั่น เล่นเอาสะดุ้งกลับไปนั่งเรียบร้อยเหมือนเดิม



“น้ำเงินรู้จักคนพวกนี้ไหม เขาต้องการอะไรเหรอ”พี่ไอริณถาม



“พี่ไม่รู้จักพวกนี้เหรอครับ”เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นผมก็เลยกล่าวเสริม”ก็พวกที่มาหาเรื่องเปลวในงาน first night ไงครับ”



“เอ๋...มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยเหรอ!?”



“พี่ไม่รู้เหรอครับ”น่าแปลกนะ ข่าวนี้เขารู้กันทั่วเลยหนิ



“พอสอบเสร็จพี่ก็รีบไปขึ้นเครื่องเลย เอ่อ...ไปดูมหาลัยที่นู่นน่ะจ่ะ ก็เลยไม่รู้อะไร”ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ



“เปลวบอกว่าพวกมันไม่ใช่นักเลงแต่กลับอุ้มคนขึ้นรถตู้แบบนี้มาเฟียเลยตะหาก”ผมบ่น ไอ้มั่วเปลวมึงรู้มั้ยว่าอริเพื่อนมึงมาโหดขนาดไหน...



“เม่น...เจ้าตัวหันมาตามเสียงเรียก หน้างงๆผมรู้เลยว่ามันโง่



“มึงจะไม่ทำอะไรผู้หญิงใช่ไหม”เห็นมันคล้อยตามผมก็รีบยิงคำถามที่คิดว่ามันน่าจะตอบมากที่สุดออกไปก่อน งานนี้ต้องงัดสมองทั้งหมดที่มีออกมาใช้งานแล้วล่ะครับท่านผู้ชม...



“อืม”มันตอบสั้นๆสงสัยโดนไอ้คนขับรถนั่นกำชับว่าอย่าพูดอะไรมาก



“เตรียมใจไว้แล้วใช่ไหม”เพราะไม่อยากให้คนขับซึ่งน่าจะโหดสุดได้ยินผมเลยพูดเสียงเบาๆเม่นที่หูไม่ได้และไม่มีสมองก็เลยต้องเขยิบมานั่งข้างๆผม เห็นแบบนี้ผมก็อดถอนหายใจโล่งอกไม่ได้



นอกจากคนขับรถที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้แล้วพวกที่เหลือก็แค่เด็กม.ปลายธรรมดาไม่มีพิษภัยอะไร พอมองดูดีๆแล้วเพื่อนของไอ้เม่นทุกคงมีท่าทีกลัวๆอยู่ด้วยสงสัยกลัวโดนผมแจ้งตัวรวจจับ



“เตรียมใจไรวะ”



“อ่าว ก็ที่จับกูมานี่ไง”มันนิ่วหน้า แสดงออกชัดเจนว่าหยามผมมาก หน้าอย่างผมไม่มีปัญญาทำอะไรมันได้หรอกทำนองนั้น
ต้องใส่ไข่เพิ่มอีก”อุ๊ย!? มึงไม่รู้เหรอว่าแฟนกูอ่ะ ระดับหลานนักการเมือง ลูกนายพลเชียวนะ”



ก็ไม่รู้หรอกนะว่าบ้านเหี้ยเปลวทำมาหากินอะไร เมื่อกี้มั่วครับ แต่เห็นหน้ามันมีบารมีก็เลยเสริมอาชีพให้บุพการีมัน
ไอ้เม่นตาโตทำท่าตกใจอย่าบอกนะว่ามันเชื่อจริง...”เหรอ!! มิน่าล่ะ”



ไอ้พวกนี้แรกเริ่มเดิมทีมันแค้นไอ้ฟงก็เลยมาลงกับเปลว ตอนนี้แค้นเปลวเลยมาลงกับผมงั้นสินะ โห...ตรรกะควายมากมึง



“ฟงมาขู่กูว่าอย่าหือกับเปลว อย่าหาว่าไม่เตือน ถ้าโผล่หน้ามาให้เห็นอีกครั้งมึงจะไม่มีที่ยืนในแผ่นดิน!”



“โห...”ผมอดร้องโหไม่ได้ ฟงแม่งขู่เว่อร์วังกว่าผมเยอะเลยครับ...



“แล้วคนขับรถนั่นใคร”



“พี่ชายไอ้กล้วย...เอ่อ เพื่อนกูคนนู้นนะ”



ผมพยักหน้า เท่านี้ก็สบายใจไปหลายขุมแล้ว...



หนึ่งคือมันโง่...



สองคือมันโง่...



สามคือมันโง่...



.




   .



ร้อยคือมันโง่



ที่สำคัญก็คือคนบนรถนี้ไม่มีใครเป็นนักเลงหรือมาเฟียถือปืนสักคน...ผมเลิกถามเพราะไอ้เม่นมันรู้ตัวแล้วว่าโดนหลอกถาม(ช้ามาก)จึงนั่งต่อไปแบบสงบเสงี่ยม




เนื่องจากเราถูกยึดมือถือ นาฬิกา กระเป๋าไปจนหมด ทำให้ไม่รู้เวลาและแอบติดต่อใครไม่ได้เลย เท่าที่กะคร่าวๆตั้งแต่ขึ้นรถมาคงเกือบชั่วโมงได้แล้ว ผมไม่รู้ว่าพวกมันจะพาพวกเราไปที่ไหน ไม่นานนักรถก็หยุดทีแรกคิดว่าติดไฟแดงแต่พอ’ลูกพี่’ดับรถและเปิดประตูคนขับพร้อมหันมาตวาด



“นั่งโง่ทำไม!!? พาพวกมันลงมาเซ่!!”



เม่นกระตุกแขนผมแล้วก็ลากให้เดินตามมันลงไป ท่าทางมันจะโกรธที่ผมไปหลอกถามมันเมื่อกี้เลยตีหน้าซะเข้มเชียว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ช่วยกลัวหน่อยแล้วกัน



“เดี๋ยว!! เม่น ที่นี่ที่ไหน!? มึงจะทำอะไรกับพวกกู!!?”ใบหน้าหล่อเหลาของคฑากรโรงเรียนฉายแววตื่นตระหนก ร่างโปร่งสั่นระริกเหมือนลูกแมวตกน้ำ ดวงตากลมโตฉายชัดถึงความหวาดกลับ...ตอแหลสัด!



ผมเดินลงจากรถอย่างชวยไม่ได้สถานที่คือโกดังร้างแห่งหนึ่ง มองไปรอบๆไม่เห็นเงาคนสักคนเดียวมีแต่โกดังร้างหลายแห่งตั้งเรียงกันไปแนวยาว พวกมึงเลือกสถานที่ได้เหมาะกับการฆ่าปิดปากมากมันสั่งให้ผมกับพี่ไอริณเดินเข้าไปในโกดังหมายเลข 4



“อดตายอยู่ตรงนี้แหละ!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!!!”หัวเราะลั่นเสร็จแล้วก็หันหลังกลับขึ้นรถตู้ไป...ผมมองตามรถโดยสารสี่ประตูที่เคลื่อนตัวออกจากสถานที่เปลี่ยวไปจนลับตาก่อนจะหันมาหาพี่สาวคนสวยข้างตัวพร้อมพูดด้วยสีหน้าปลอบประโลมว่า



“ไปกันเถอะครับ...ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เราอยู่ไม่ไกลจากย่านชุมชนมากลองเดินไปขอความช่วยเหลือพวกเขาดู”



เธอย่นคิ้วอย่างสงสัยว่าผมรู้ได้อย่างไรผมจึงต้องอธิบายเสริม...



“ก็เมื่อกี้นี้เราติดไฟแดงครั้งหนึ่งใช่ไหมครับ แถมพอหลุดจากไฟแดงแล้วรถกลับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ลดลงทั้งๆที่ถนนก็ไม่ได้แย่อะไร...”ผมหันไปทางทิศถนนซึ่งรถตู้เพิ่งคล้อยหลังไป มันถูกลาดยางอย่างดีด้วยซ้ำ



“ก็หมายความว่าที่รถแล่นช้าก็เพราะติดรถคันอื่นอยู่ใช่ไหมล่ะ สำคัญเจ้าพวกนั้นไม่ได้เลวร้ายอะไร ไม่ได้เจตนาฆ่าให้ตายอย่างมากก็แค่ทำให้ขวัญเสียเล่น แถมยังขับรถออกไปต่อหน้าต่อตาให้พวกเราเห็นทิศที่ควรเดินออกไปอีกแบบนี้...”



“น้ำเงินเก่งจัง...”ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมาฉายประกายอีกครั้ง ดูเหมือนจะใจชื้นขึ้นมาก ผมยิ้มน้อยๆรับคำแล้วก็ออกเดินนำไปโดยไม่รอช้า ตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้วขืนโอ้เอ้เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกดินจะแย่เอายิ่งเป็นฤดูหนาวด้วย...



ภายใต้ท้องฟ้าสีครามยามบ่ายของฤดูหนาว ผมและหญิงสาวผู้สวยที่สุดในโรงเรียนเดินเคียงคู่กันไปตามทางที่ทอดยาวโดยไม่มี



คำพูดใดใดสื่อสารระหว่างกัน...หัวใจในอกซ้ายเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น...



บรรยากาศโรแมนติกไม่น้อยถ้าไม่นับมือที่โดนเชือกมัดเอาไว้แล้วก็ความกลัวจนใจสั่นนั่นน่ะนะ...



.



.



“ตายแล้ว พ่อหนุ่ม ทำไมถึงอยู่สภาพนั้นได้หล่ะ”และแล้วคำถามที่ผมเฝ้ารอมาเกือบชั่วโมงก็ดังขึ้น หญิงวัยกลางคนรีบผุดลุกจากที่นั่ง เดินอ้อมร้านส้มตำริมทางของเธอมายังพวกเราสองคนที่อยู่ในภาพดูไม่จืด...



ซ่าๆ...



หยาดน้ำจากฟากฟ้า...อีกชื่อหนึ่งคือฝนนั่นแหละ ร่วงหล่นลงมาแบบไม่ปราณีนักเดินทางทั้งสอง แม้มันจะไม่แรงเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ไอ้การเดินตากละอองฝนเป็นชั่วโมงก็เสี่ยงจับไข้ ผมเดินหน้าซีดปากสั่นไปหาป้าแกก่อนจะกล่าวเสียงอ่อย”แกะเชือกให้หน่อยครับ...”



ดังคาด พอเดินมาแล้วก็เจอย่านชุมชนจริงๆ แต่ผมกะเวลาผิดไปหน่อย...ไม่คิดจะนานขนาดนี้ ลืมไปว่าเวลาเดินกับเวลานั่งรถมันต่างกันโข...



พี่ไอริณก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันป้าแกรีบพาพวกเราเข้าไปหลบฝนในร้าน แกะเชือก แล้วก็หยิบผ้าขนหนูมาให้



“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หือ?! ให้แจ้งความไหม!!?”เธอทำท่าควักมือถืออกมาด้วยสีหน้าเอาเรื่องผมต้องรีบร้องห้ามไว้แทบไม่ทัน



“เอ้อ!! คือไม่ต้องครับ พวกเราก็แค่ เอ่อ...”เสมองไปยังพี่ไอริณ ก่อนหน้านี้คุยกันแล้วเธอก็เห็นด้วยที่จะไม่แจ้งความ...



คุณป้านิ่วหน้ามองเราอย่างไม่เห็นด้วย”ห้ามทำไมล่ะอิหนู ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ ปล่อยให้ผู้หญิงมาเดินตากฝนในที่แบบนี้” ผมหดคอกับคำนั้น...เสื้อนักเรียนของพี่ไอริณเปียกฝนแนบเนื้อผมที่เดินมาด้วยกันเลยต้องนำมาก่อนก้าวหนึ่ง



“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คือเราไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ คนทำก็คงไม่ได้มีเจตนาแบบนี้”พี่สาวซึ่งนั่งดื่มไมโลอุ่นๆช่วยชี้แจง



“ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ”ป้าที่ทำเหมือนจะเอ่ยปากค้านก็ยืนลังเลอยู่อึดใจก่อนจะส่งมือถือมาให้ผม



ผมกดหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ของแม่ซึ่งจำได้ขึ้นใจลงไป แต่ก่อนจะกดโทรออกก็ถูกพี่ไอริณกล่าวห้ามไว้เสียก่อน



“น้ำเงินกำลังจะโทรหาใครน่ะ อย่าบอกนะว่าคุณแม่ เดี๋ยวคุณแม่ก็ให้ไปแจ้งความหรอกจ่ะ”ทำให้ผมคิดได้แล้วก็หันไปยิ้มแหยให้เธอ



“อ่า...แล้วเราจะโทรหาใครดีล่ะครับ”



ไม่รู้ส่วนไหนในประโยคทำให้ใบหน้าสวยๆประดับด้วยรอยยิ้มเสมอของพี่ไอริณแปรเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดแทน



เธอถอนหายใจเฮือกให้ วางแก้วไมโลลงแล้วก็เอ็ดผมเสียงเข้มว่า”ถ้าพี่เป็นแฟนน้ำเงินพี่คงร้องไห้”



“เอ๋!?”



เหมือนได้ยินเสียงฟ้าฝ่าแว่วๆราวกับมันฝ่าลงมากลางหัวผม”ลืมไปซะสนิทเลย ฮ่ะๆๆๆ”ผมหัวเราะแห้งๆยกมือลูบหัวแก้เก้อ



ความจริงแล้วผมไม่ได้ลืมหรอกครับ...ผมแค่เกรงใจพี่แก คือสภาพพี่เค้าตอนนี้โทรมมาก ถ้าเรียกไอ้เปลวมาก็เกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจอีก



“...แค่นี้นะ!!”ผมกดวางหูแทบไม่ทัน หลังจากถามที่อยู่และทางมาจากป้าร้านส้มตำซึ่งไม่มีลูกค้าแล้วก็โทรมาบอกให้แฟนมารับ ก็โดนคุณแฟนเทศน์ชุดใหญ่จนผมต้องรีบตัดจบวางสายแทบไม่ทัน



“เห้อ...แค่นี้ก็แย่แล้วยังมาดุกันอีก”



“คิกๆ...”เสียงหัวเราะจากคนข้างๆเรียกให้ผมหันมามองหน้างอ



“หัวเราะอะไรมิทราบครับ”



“ก็ทั้งสองคนน่ารักดีนี่นา...พี่ไม่เคยเห็นเปลวเหวี่ยงใครขนาดดังลอดโทรศัพท์ขนาดนี้มาก่อน เขาต้อง...รักน้ำเงินมากแน่ๆเลย...”



แม้ว่าสีหน้าจะหมองลงตอนพูดคำสุดท้าย แต่เธอก็ยังคงรอยยิ้มมุมปากเอาไว้



“ขอโทษครับ”



“ขอโทษพี่เรื่องอะไรเหรอ”เธอเอื้อมมือเย็นเฉียบมาแตะมือของผมซึ่งอุณหภูมิไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก



มองออกไปข้างนอกร้านสายฝนก็เทลงมาหนักขึ้น...โชคดีที่เราเจอที่นี่ก่อน



ผมอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบเธอว่าอย่างไรดี...



ขอโทษที่แย่งคนที่พี่ชอบครับ?


ขอโทษที่ปิดบังพี่ครับ?



งั้นเหรอ...ใครมาได้ยินเข้าคงขำแย่ ผมสบตาคู่สวยของเธอแทนคำตอบ เห็นดังนั้นเธอจึงระบายรอยยิ้มอุ่น



“พี่ดีใจนะที่เป็นน้ำเงิน...น้องชายที่น่ารักของพี่”



.............................................................................


ผู้หญิงที่พูดจาดีๆแล้วเข้าใจนี่น่ารักจริงๆ คนแต่งชอบผู้หญิงแบบนี้นะคะ 5555555555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด