บทที่ 19 กาลครั้งหนึ่ง
เปลว talk
“เวลาแห่งความสุขนี่ผ่านไปเร็วเสมอเลยเนอะ”ผมเปรยขึ้นระหว่างนั่งรอรถของที่บ้านมารับกับฟง กลุ่มน้ำเงินมีพ่อแม่มารับกลับไปหมดแล้ว ตอนแรกเจ้าพวกแกงค์ป่วนวางแผนไว้ว่าจะนั่งรถกลับกันเองแต่เวลาสองคืนสามวันริมทะเลเจ้าพวกนี้งัดแรงที่มีทั้งหมดออกมาใช้แล้ว ไหนจะของฝากอีกเป็นภูเขาเลากา สุดท้ายก็ต้องโทรหาคุณพ่อคุณแม่กันใหญ่ น่ารักจริงๆ หึหึ
“อา...และที่เหลืออยู่กับเราก็จะมีแค่ความเศร้า”
สายลมเอื่อยๆความหมายเดียวเดียวกับชื่อของคนพูดพัดผ่านร่างของพวกเราสองคนไป ผมเห็นเสี้ยวหน้าของคนข้างกายฉายแววอ้างว้างก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม...รอมยิ้มที่คุ้นตา
“ขอบคุณนะที่ตอนนั้นมึงยอมย้ายโรงเรียนมาเป็นเพื่อนกู”ฟงกล่าวก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นรถแท็กซี่ไปลำพัง
ไม่ต้องแปลกใจ พ่อแม่ของมันไม่มีทางมารับลูกชายด้วยเหตุผลว่าไปเที่ยวแล้วเหนื่อยกลับบ้านไม่ไหวหรอกครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะให้มันติดรถกลับไปด้วยแต่มันก็ไม่ยอมท่าเดียวเลยต้องปล่อยๆมันไป โตแล้วดูแลตัวเองได้
“หึ...”เรื่องที่มันพูดถึงเมื่อครู่ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างออก เรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว...ช่วงเวลาที่ได้พบกับน้ำเงินครั้งแรก
.
.
“พ่อครับ!! ให้ผมย้ายไปเรียนที่เดียวกับฟงเถอะนะครับ!!”ตัวผมตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นม.หนึ่งในโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดัง สวมเสื้อสีขาวกางเกงลายสก็อตสีกรม ตีสีหน้าขึงขังอ้อนวอนผู้เป็นบิดาอย่างไม่ยอมแพ้
“ที่ที่เรียนอยู่ตอนนี้ไม่ดีตรงไหนเหรอลูก ทำไมถึงอยากย้ายไปเรียนโรงเรียนรัฐบาลแบบนั้นหละ”แม้โรงเรียนดังกล่าวจะมีชื่อเสียงด้านผลการเรียนก็ตามแต่ครอบครัวของผมก็ไม่สนับให้ลูกชายคนเล็กลาออกจากที่เดิมตามเพื่อนสนิทไปแบบนั้น...
“ผมไม่มีเหตุผล...”ก้มหน้าอ้ำอึ้งตอบกลับไป
ใช่แล้ว ผมไม่ได้อยากย้าย แต่เมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนเจอฟงครั้งแรกในรอบสองเดือน หลังจากที่แม่ของฟงแต่งงานใหม่ได้ไม่นานฟงก็โดนบังคับให้ลาออกจากโรงเรียนที่พวกเราเรียนด้วยกันและใช้เส้นสายเข้าเรียนชั้นม.1กลางเทอมที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งนั้น
สีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้แต่ก็ฝืนยิ้มออกมาของเพื่อนบีบคั้นหัวใจของผม
เพื่อนของผมยิ้มอยู่เสมอ แต่หลังจากย้ายโรงเรียนไปเพื่อนของผมก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย...
ตอนนั้นผมยังเด็กและฟงก็ไม่ได้เล่าอะไรผมก็เลยคิดว่าฟงมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียนใหม่...
สุดท้ายพ่อก็ทนฟังผมตื้อทั้งเช้าทั้งเย็นไม่ไหวยอมให้ผมย้ายเข้าไปเรียน ตอนแรกผู้อำนวยการโรงเรียนก็ทำท่าจะไม่ยอมเพราะเขาพึ่งรับเงินก้อนโตมาจากครอบครัวของฟงหากให้เด็กอีกคนหนึ่งย้ายเข้ามาด้วยวิธีคล้ายๆกันเขาอาจจะถูกสอบเอาได้ แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับครอบครัวของผมเพราะทั้งพ่อและเครือญาติส่วนใหญ่ทำงานมีตำแหน่งอยู่ในกระทรวงหรือเป็นนายทหารทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจเก่าแก่ ข้าราชการธรรมดาอย่างผอ.โรงเรียนจึงต้องก้มหน้ารับผมเข้าเรียนแต่โดยดี
วันถัดมาหลังจากตกลงกับผอ.เสร็จผมก็ย้ายเข้ามาทันทีเดือดร้อนครูบาอาจารย์ต้องตาลีตาเหลือกหาห้องให้ผมลง ตอนแรกผมกะจะอยู่ห้องเดียวกับฟงด้วยแต่พ่อบอกว่าให้ผมเพลาๆลงหน่อยย้ายมาได้ก็บุญแล้วอย่าเรื่องมากนัก
เด็กชายวัยสิบสามขวบเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1เทอม2ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนรัฐบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นทำให้ผมซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองเสมอรู้สึกฝ่อลงไปเล็กน้อยยามสวมเครื่องแบบที่ไม่คุ้นเคยแถมยังต้องตัดผมให้สั้นลงอีก...
เนื่องจากโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนรัฐบาลสำหรับเด็กที่มีความสามารถด้านการเรียนไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือภาษาศาสตร์เข้าเรียนเพื่อพัฒนาเป็นบุคคลากรระดับชาติเรื่องเล็กน้อยอย่างทรงผมเขาจะไม่บังคับให้ตัดตามระเบียบนักเรียนหญิงต้องติ่งหูนักเรียนชายต้องผมเกรียนแต่เด็กม.ต้นส่วนใหญ่ก็ตกลงพร้อมใจตัดตามระเบียบกันผมเลยโดนพ่อจับตัดตามนั้น
ถ้าขึ้นม.ปลายก็จะไว้ทรงอะไรก็ได้ขอแค่อย่าย้อมสีมาก็พอ...
วันนี้ผมออกจากบ้านมาแต่เช้ามีคนรถมาส่ง ทีแรกพ่อบ้านเก่าแก่ก็เสนอตัวอยู่ดูแลผมด้วยแต่ผมไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาก็เลยบอกให้คุณตาแกกลับไปนั่งพักผ่อนที่บ้านแทน
ชั้นเรียนของที่นี่ค่อนข้างใหม่เพราะโรงเรียนได้งบประมาณมาเยอะ ผมเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆก่อนจะนั่งรออยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง...รอให้สายสักหน่อย เดี๋ยวฟงมาแล้วผมจะไปหา...
สัญญาณออดเข้าเรียนดังขึ้น ตัวผมที่รอฟงอยู่หน้าห้องของฟงนานสองนานแต่ก็ไม่เห็นตัวจนเพื่อนร่วมชั้นของฟงทยอยเข้าห้องมา
“นี่”ผมรั้งชายเสื้อของนักเรียนชายคนหนึ่งไว้ เจ้านั่นหันมามองผมตาเขม็ง สงสัยว่าผมจะแจ็คพ็อตเจอหัวโจกเข้าให้แล้ว...”รู้ไหมว่าฟงอยู่ไหน”
“ฟง อ๋อ ไอ้ลูกคุณหนูขี้แหยนั่นน่ะเหรอ เฮอะ! คงมุดหัวอยู่ที่ไหนซักที่นั่นแหละ ก็เมื่อเช้าโดนไปหนักเอาเรื่องหนิ ฮ่าๆๆๆ”สิ้นคำผมก็รีบวิ่งออกจากจุดนั้นทันที คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจที่ลางสังหรณ์ของตัวเองเป็นจริง ผมใช้ความเร็วทั้งหมดที่มีวิ่งลงจากตึกเรียนและเทียวหาตามสถานที่ต่างๆ
เพราะผมเพิ่งย้ายมาวันแรกจึงยังไม่ชำนานเส้นทางนักต้องใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง...ในห้องชมรมภาษาไทย ผมผลักประตูเข้าไปก็พบเข้ากับร่างเล็กๆของเพื่อนผมนั่งกอดเข่าซบหน้าอยู่ตรงมุมห้อง คนข้างในรู้สึกถึงการมาเยือนของผมจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อฟงเห็นคนที่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่มากที่สุดอย่างผมก็ทำตาโตแปลกใจ
“ทะ...ทำไมเปลวถึง...มาอยู่...ที่นี่...แล้วชุดนักเรียนแบบนั้นมัน”
ผมปิดประตูและเดินเข้าไปหาเพื่อน ผมค่อยๆย่อตัวลงนั่งตรงหน้ามันอย่างทำอะไรไม่ถูก ผิวขาวๆรอบข้อมือและแขนหลายจุดกลับถูกแทนที่ด้วยรอยช้ำเหมือนโดนบีบมาอย่างนั้นแหละ แถมชุดนักเรียนตัวบางก็เปียกชื้น ขนาดฟงน่าจะนั่งอยู่อย่างนี้มาเป็นชั่วโมงแล้วแท้ๆมันยังไม่แห้งแสดงว่าต้องโดนสาดมาเต็มๆแน่ๆ
“ฟงนั่นแหละ ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
ฟงเสตาไปทางอื่นทำท่าจะไม่ตอบอะไรผมเลยกล่าวสมทบ”ใครแกล้งฟง เข้าแกล้งฟงทำไม!? ย้ายกลับไปเรียนที่เดิมเถอะนะ”
ผมคิดว่าไม่ควรปล่อยให้เพื่อนเรียนอยู่ในที่แบบนี้ แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แม่ของฟงย้ายฟงมาที่นี่ก็ตามแต่ผมคิดว่าไม่น่าใช่ปัญหาทางการเงินเพราะแม่ของฟงเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ขนาดนั้นถ้าบริษัทระดับนั้นมีปัญหาไม่มีทางที่ที่บ้านผมจะไม่รู้เรื่อง
“ไม่เอา..ฟงไม่กลับ...”
“ทำไมหล่ะ!?”
“ถ้าต้องกลับไปที่บ้าน ฟงยอมอยู่ที่นี่ดีกว่าเยอะเลย”
“....”ผมชะงักกับคำพูดของเพื่อน ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย ผมเซ้าซี้ถามอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องยอมแพ้และตัดสินใจเรียนที่นี่ต่อเป็นเพื่อนฟง
...บางทีแค่สถานะเพื่อนอาจไม่ใช่ใบเบิกทางให้เราเข้าไปในเส้นแบ่งของชีวิตใครได้...
เปลวตะวันคว้าข้อมือของเพื่อนแล้วก็พาเดินออกจากห้องนั้น เขาเลิกถามว่าทำไมถึงไม่ยอมย้ายกลับไปและเปลี่ยนเป็นถามว่าใครคือตัวการรังแกฟง
“...เพื่อนที่ห้อง...พวกเขาไม่ชอบฟง...เขาบอกว่าฟงเข้ามาที่นี่แบบสบายๆ...ในขณะที่พวกเขาตั้งใจเรียนกันแทบแย่...”
จะว่าไปก็ถูกอย่างที่ฟงพูด ผมเข้าใจเหตุผลพวกนั้นนะ...
“แต่ฟงก็ผิดด้วย ตอนแรกพวกเขาก็แค่จิกกัดฟงด้วยคำพูดทำนองว่าฟงงอมืองอเท้ารอพ่อแม่สรรหาข้าวของมาบำเรอ ทั้งๆที่มันไม่ใช่แบบนั้น ฟงไม่เคยอยากมาที่นี่และแม่ก็ไม่เคยเห็นฟงอยู่ในสายตาเลย...สุดท้ายฟงก็ทนไม่ไหวเถียงกลับพวกเขาไปว่า...ก็แน่หละสิ ก็บ้านเรามีเงินนี่เนอะ พวกคนธรรมดาอย่างเธอก็จงตะเกียจตะกายปีนหน้าผาค้นหายอดเขากันต่อไปเถอะ ฉันจะนอนรออยู่บนยอดนั้นไปพลางๆก็แล้วกัน...เท่านั้นเอง...ก็มีคนปารองเท้าใส่หัวฟง ฟงเลยปากลับ ...”
นี่แหละครับเพื่อนผม เห็นหงิมๆอย่างงี้ก็สู้ยิบตาเชียวแหละ...แต่ก็เอิ่ม...ออกจะสู้แบบไม่ดูตาม้าตาเรือไปหน่อยนะ
“เอาเป็นว่าเปลวอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้ามีใครมาแกล้งฟงอีกล่ะก็รีบมาหาเปลวเลยนะ!”ผมพูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับก่อนพวกเราจะแยกย้ายกันไป ผมเข้าห้องเรียนไปแนะนำตัวและเริ่มเรียนคาบสายท่ามกลางเสียงกระซิบของเพื่อนร่วมชั้น...
มาเรียนวันแรกก็หายหัวไปสองคาบเต็มๆแถมกลับมาอาจารย์ยังไม่ว่าอะไรเลย...ก็สมควรล่ะ
เห้อ...ผมไม่ได้อะไรเลยถ้าอาจารย์จะกรุณาลงโทษผมอย่างที่สมควร แต่ดูเหมือนครูประจำชั้นและครูผู้สอนคนอื่นๆจะกลัวอิทธิพลของที่บ้านผมหัวหดไม่กล้าทำอะไร...
ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่....ดูเหมือนเรื่องของฟงจะดังอยู่พอตัวพวกเขามองผมเป็นตาเดียวและจัดผมอยู่ในกลุ่มเด็กเส้นผู้สมควรถูกกำจัดในทันที
“เด็กสมัยนี้รู้มากชะมัด...”รำพึงกับตัวเองเบาๆเป็นคนแก่แต่ดูเหมือนมันจะลอยไปเข้าหูเพื่อนร่วมชั้นซึ่งนั่งโต๊ะถัดไปเข้า...เด็กผู้หญิงตัดผมสั้นประบ่าสวมแว่นสีดำท่าทางคงแก่เรียนหันขวับมามองผมทันที
“หึ พวกคนรวยไร้สมอง”เธอกระตุกยิ้มเหยียดๆ ดูเหมือนสงครามจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ...
เวลาพักกลางวันผมรีบไปหาฟงที่ห้องแต่ก็ไม่พบแม้กระทั่งเงา ไอ้ครั้นจะหันไปถามเพื่อนร่วมชั้นก็คงไม่ได้ความอะไร...บอกให้รอไปด้วยกันแล้วหายไปไหนของเขากันนะ...”เธอรู้รึปล่าวว่าฟงไปไหน”เลือกถามกับเด็กผู้หญิงท่าทางเป็นมิตรที่สุด
“ครูประจำชั้นเรียกพบจ่ะ”เธอตอบ
อ่อ คงเป็นเรื่องที่โดดเรียนเมื่อเช้าสินะ ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็เดินตามๆคนอื่นลงไปยังโรงอาหาร โรงอาหารของที่นี่ใหญ่พอสมควร เมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนแล้วถือว่าไม่ต้องเบียดเสียดกันมาก แต่ที่พิเศษสำหรับที่โรงเรียนนี้ก็คือเด็กมัธยมต้นและมัธยมปลายจะพักพร้อมกัน
ผมแทรกตัวผ่านนักเรียนกลุ่มใหญ่เข้าไปวางกระเป๋าจองที่นั่งที่มีพัดลม ผมคิดว่าการนั่งทานอาหารคนเดียวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนัก เพราะที่บ้านผมก็มักทานคนเดียวเป็นประจำเพราะคุณพ่อกับคุณแม่มักจะงานยุ่งเสมอ จะมีก็แต่พ่อบ้านแม่บ้านคอยยืนอยู่ริมห้องเผื่อผมเรียกใช้อะไร...
หึหึ...คิดซะว่าพวกนักเรียนคนอื่นเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับเท่านี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว
ที่โรงเรียนเก่าของผม อาหารกลางวันทางโรงเรียนจะจัดเตรียมไว้ให้เป็นบุฟเฟ่ต์ให้เด็กเลือกตักกันตามใจชอบการยืนต่อแถวซื้อข้าวแกงจึงเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผม
เมนูวันนี้ก็คือ...กระเพราหมูไข่ดาว...พระเจ้า...เกิดมาผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองสิ้นคิดก็วันนี้แหละ...แต่ผมกินอาหารไทยไม่ค่อยบ่อยนักน่ะสิ...ยิ่งข้าวราดแกงยิ่งไม่เคยกินเลย ที่พอคุ้นหน้าที่สุดก็มีกระเพรากับไข่ดาวนี่แหละ เมนูอื่นนอกจากนี้มีแต่เศษผักเศษหมูทั้งนั้น...
...คุณชายเปลวผู้ทานไข่ลวก ไส้กรอกลมควัน ครัวซองและนมสดเป็นอาหารเมื่อเช้ากำลังตื่นตระหนกกับข้าวราดแกงแบบไทยๆ...
กึก
“นั่งนี่แหละ ตรงอื่นเต็มหมดแล้ว”เด็กผู้ชายท่าทางเอาเรื่องสามคนวางจานแล้วก็นั่งลงบนโต๊ะเดียวกับผม ผมแค่เหลือบตามองนิดหน่อยก็กลับมานั่งทานของตัวเองต่อ
“มองไรวะ ทำไมยังไม่ลุกไปอีก!! อ๊า....นี่มันหนึ่งในเด็กใหม่คนดังนี่หน่า...”ผู้ชายผมปรกหน้าพูดขึ้น เท่าที่ดูสามคนนี้ยังอยู่ม.ต้น ไม่ม.2ก็ม.3 แต่ไว้ผมซะขนาดนี้ คงไม่ได้กินมื้อเที่ยงอย่างสงบแล้วสินะ
“แต่ผมมานั่งตรงนี้ก่อนนะครับ”เพราะเป็นรุ่นพี่เลยพูดสุภาพสักหน่อย
“เป็นรุ่นน้องคิดขัดคำสั่งรุ่นพี่เหรอ!?”ขืนผมทำตามที่คนพวกนี้สั่งจริงๆบรรพชนต้องร้องไห้แน่ๆ
ผมยังนั่งนิ่งอยู่จุดเดิมจ้องตากับพวกนั้นแบบไม่หลีกหนี คนละแวกนั้นเริ่มหันมาให้ความสนใจพวกเรา
“นับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ลุกล่ะก็...ตาย!!”คนเดิมพูดเสียงเหี้ยม
“หนึ่ง!”
ผมตักข้าวเข้าปากคำโตเพราะคิดว่าคงไม่ได้กินมันอีกแล้วขณะที่เจ้างั่งคนนั้นกำลังนับ”สอง!!”
ผมวางช้อน รวบจานไปเก็บในจุดที่โรงอาหารเตรียมไว้ให้ซึ่งบังเอิญอยู่ติดกับโต๊ะของผมพอดี และนั่น เป็นการกวนส้นตีนขั้นสูงสุดสำหรับคนที่กำลังนับเลขให้โต๊ะฟัง
“สาม!!! มึงอย่าอยู่เลยไอ้เหี้ย!!”
ผมคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายจังหวะเดียวกับร่างของอันธพาลทั้งสามคนโผเข้าใส่ ผมก้าวหลบด้วยก้าวสั้นๆสองคนในนั้นก็เสียหลักเซชนกันเอง ผมอาศัยจังหวะนั้นลอบหนีออกมา
“ให้ตายเถอะ โรงเรียนเด็กเรียนทำไมมีจิ๊กโก๋ได้เนี่ย?”บ่นกับตัวเองสบายใจ วิ่งเหยาะพอให้พวกนั้นตามมาทัน คิดว่าเปลวตะวันคนนี้จะหนีนักเลงกระจอกสามคนรึไง”หึหึ...หลังโรงยิมก็ไม่เลว...”ผมกำลังหาสถานที่ต่อกรกับเหล่าร้ายต่างหาก
ตีกันกลางโรงอาหารแล้วอาจารย์ฝ่ายปกครองไม่ทำโทษคงดูอลังการเกินไป
หมับ!
ฉับพลัน ตัวผมก็ถูกมือปริศนาคว้าและออกแรงดึงให้ถลาตามเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งลากผมเข้ามาในห้องน้ำ...หญิง?
ปึง!
เด็กคนนั้นล็อคกลอนห้องส้วมด้านในสุดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่”เห้อออ รอดไปที” ใบหน้าน่ารักฉายแววโล่งอกอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ จนผมอดสงสัยไม่ได้
“เอ่อ...โล่งอะไรเหรอ?”
“หา!? ก็โล่งอกที่รอดพ้นจากส้นตีนสามคนนั้นได้ไงเล่า!!”เด็กคนนั้นหันมาแหวใส่ผมแล้วก็รีบตะครุบปากตัวเองเพราะได้ยินเสียงเจ้าสามคนนั้นแว่วๆหน้าห้องน้ำ
“เห้ย!! มันหายไปไหนวะ!?”
“ในห้องน้ำมีไหม!? หาให้เจอ!!”
“ไม่มีหวะ หรือว่าอยู่ในห้องน้ำหญิงวะ”
ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ประตูห้องน้ำหญิงถูกเปิดออก พวกเราสองคนที่แอบอยู่ในห้องส้วมห้องในสุดมองหน้ากับแบบตกใจ
“กรี๊ดด อะไรเนี่ย เข้ามาทำไม!?”เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นก่อน เธอคงเพิ่งออกมาจากห้องส้วมเพราะตอนพวกผมเข้ามาในนี้ไม่มีคนอยู่ ต้องขอบคุณเธอ เพราะเธอทำให้สามคนนั้นลนลานล่าถอยไป
“รอดจริงๆสักที เห้อ”เด็กชายคนนั้นกลับมาโล่งอกอีกครั้ง
“แล้วตกลงรอดเรื่องอะไรกันเหรอ”ผมก็ยังคงถามอย่างไม่เข้าใจต่อไป
เด็กคนนั้นหันมามองผมตาเขียวก่อนจะเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมจึกๆๆๆๆอย่างกับคุณแม่อบรมลูกน้อย”ก็นายอ่ะ นายๆๆๆๆเพิ่งเข้ามาเรียนวันแรกก็ไปมีเรื่องกับพี่ปอม.สามเข้า เกือบไม่รอดแล้วนะรู้ไหม!!”พูดจบก็กอดอกตีหน้าตาขึงขัง
“หา? อย่าบอกนะว่า...นายกำลังช่วยเรา?”...ช่วยโดยที่รู้ว่าผมเพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้ ก็แปลว่าช่วยทั้งๆที่รู้ว่าผมเป็นใคร?
“โอ๊ย! ทำไมถึงได้โง่เง่าขนาดนี้เนี่ย เห็นว่ากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่รึไง อ๊ะ ชู่วๆ เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวพวกผู้หญิงก็ได้ยินหรอก”ผมว่าผมไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยนะ...
อีกฝ่ายพยามแง้มประตูออกไปดูนอกห้องแล้วก็ต้องรีบปิดเพราะช่วงนี้นักเรียนส่วนใหญ่กินข้าวเสร็จแล้วก็มาเข้าห้องน้ำนี้แหละ”ต้องติดแหง่กอยู่ในนี้จนกว่าจะหมดคาบพักแหงๆเลย โอยย..”เด็กคนนั้นกล่าวแบบสิ้นหวัง
“อ่า...ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนนะ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วย เราค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็ดีใจมากๆเลยนะ”ผมพูด
“อืม...ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้องเอง ย้ายมาใหม่นี่ก็ลำบากหน่อย แต่อีกเดี๋ยวพอเข้ากับเพื่อนๆได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วหละ ทุกคนที่นี่ใจดีกันทั้งนั้นแหละ...เราชื่อน้ำเงินนะ นายหละ”
“เปลว...จากเปลวตะวัน”
“โห ชื่อเท่ห์จังเลย”น้ำเงินตาเป็นประกายชื่นชมชื่อของผม จนอดหัวเราะกับท่าทางแสนตรงไปตรงมานั่นไม่ได้
“จะดีเหรอ มาคุยกับเราแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนรุมแอนตี้หรอก”
“เหยๆ เปลวนี่ก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะ น้ำเงินไม่ได้เป็นคนดีฮีโร่ขนาดเข้ามาช่วยเหลือคนทุกข์ยากไปทั่วหรอกนะ ที่น้ำเงินช่วยเปลวก็เพราะน้ำเงินคิดว่าน้ำเงินช่วยได้ และสิ่งที่คนอื่นทำกับฟงมันก็ผิด เพื่อนน้ำเงินก็คิดอย่างนั้นเราก็เลยตกลงกันว่าจะช่วยฟงแบบลับๆ อย่างเมื่อเช้านี้เพื่อนของน้ำเงินก็เป็นคนพาฟงเข้าไปหลบในห้องชมรมภาษาไทย อื้มๆ นานๆทีจะได้ทำความดีมันก็สดชื่นแบบนี้นี่เอง”
น้ำเงินกอดอกอย่างภาพภูมิใจ ผมมองภาพเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมแต่จิตใจกลับเข้มแข็งกว่าหลายเท่านัก...
วันที่เลวร้ายที่สุดวันหนึ่งของผมกลับได้พบกับเด็กชายประหลาดในห้องน้ำหญิง
“ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราเป็นเพื่อนกันได้ไหม”ผมยิ้มแล้วก็ถามเขา
ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ยิ้มกว้างกว่าแล้วก็พูดว่า”แน่นอน!”
และแล้วเวลาก็ผันผ่านไป หนึ่งวัน สองสัปดาห์ สามเดือน และสี่ปี ที่พวกเรารู้จักกัน...
ผมเรียนรู้การอยู่รอดในสังคมนี้ด้วยการสร้างจุดเด่นให้ตัวเอง หากโดนแกล้งแล้วยังก้มหน้าหงออยู่ชาตินี้ก็โดนเขาเหยียบอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนฟงเองก็หาวิธีการของตัวเองได้แล้วเช่นกัน...
จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าผมยังไม่รู้ว่าทำไมฟงถึงต้องย้ายโรงเรียน แต่ฟงก็ไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้ว กลายเป็นฟงที่รักและหมั่นไส้ของผู้คน ตัวผมก็ไม่ห่วงอะไรอีกต่อไป...
และทุกๆวันที่แต่งตัวไปโรงเรียน ผมมักจะมองเข้าไปในกระจกที่สะท้อนภาพของตัวเองและกล่าวขอบคุณ’เด็กชายในห้องน้ำหญิง’ที่ช่วยเหลือผมเอาไว้...
ถึงตอนนี้น้ำเงินจะนิสัยเสียกว่าเดิมเยอะก็เถอะนะ ฮ่าๆๆๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนแต่งรู้สึกหมั่นไส้คุณชายเปลวผู้ตื่นตระหนกกับข้าวราดแกงเหลือเกินค่ะ 55555