บทที่ 22
ความเย็นเยียบคืบคลานเข้ามาเกาะกุมอย่างเงียบเชียบ ผมยกแขนขึ้นกอดอกและห่อตัวเอาไว้ เจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดบนทุกส่วนของร่างกาย ตัวของผมสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ มีเพียงเสียงครางแผ่วเบาเท่านั้นที่หลุดออกมาจากลำคอ รู้สึกถึงน้ำดีที่แล่นขึ้นมาจนถึงคอหอย ผมยกมือขึ้นปิดปาก มืออีกข้างขยำเสื้อบริเวณอกข้างซ้าย ได้ยินเสียงหัวใจบนอกเต้นรัวขึ้นจนเหมือนจะหลุดออกมา
หัวใจที่เคยเป็นของคริสเตียนมาก่อน…
“ไม่…” ผมพูดออกมาได้เพียงแค่นั้นก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ถลาไปที่ห้องน้ำจากนั้นจึงโก่งคออาเจียนออกมาจนลำคอร้อนเหมือนถูกไฟลน
“แค่ก…”
“ออสติน” ผมได้ยินเสียงไซม่อนวิ่งตามมา แต่ผมยกมือสั่นเทาของตัวเองขึ้นเพื่อห้ามเขา รู้สึกถึงน้ำตาที่ค่อยๆ หยดลงมาอาบแก้ม
หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียน… เป็นของคนที่ผมเกลียดที่สุด
“ฮึก…” เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากริมฝีปาก สัมผัสแผ่วเบาแตะลงบนบ่าแต่ผมปัดมันออกสุดแรง ผมลุกขึ้น ถลาตัวออกจากห้องน้ำอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงฝีเท้าของไซม่อนดังตามมาติดๆ
วิดีโอน่าสยดสยองนั่นถูกปิดไปแล้ว แผ่นยังคาอยู่ในเครื่อง
ผมจ้องหน้าจอโทรทัศน์ที่มืดสนิทราวกับมันปีศาจร้ายที่คอยจะไล่ฆ่าผม ไซม่อนก้าวเข้ามาประชิดที่ด้านหลัง ผมหันกลับไปปล่อยหมัดหนักๆ ใส่หน้าเขาอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติอย่างที่สมองผมยังประมวลผลไม่ทัน รู้ตัวอีกทีร่างสูงก็เซไปด้านหลังตามแรงต่อยของผม แต่แน่นอนว่านอกจากรอยช้ำนิดๆ หน่อยๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก
หมัดผมไม่ใช่หมัดของนักมวยหรือนักสู้ที่ไหน มันไม่ทำให้เขาเจ็บมากหรอก และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… ผมรู้ว่าถ้าเขาคิดจะหลบเขาก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ เขาจงใจรับความโกรธนั้นของผมไป และนั่นยิ่งทำให้ผมแทบคลั่ง
“คุณมันสารเลว! ไซม่อน!” ผมกรีดเสียงลั่น ถลาตัวจะต่อยเขาอีกรอบ แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มหลบอย่างว่องไวทำให้ผมเป็นฝ่ายเซไปเสียเอง
ผมหันกลับมาหาเขาด้วยแววตาโกรธขึ้ง จ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“คุณรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว! คุณปิดบังผม! คุณโกหกผมทุกอย่าง! คุณทำแบบนี้ทำไม ไซม่อน ผมไปทำอะไรให้คุณ!”
“ออสติน ใจเย็นๆ… ใจเย็นๆ ก่อนครับ” เขาก้าวเข้ามา เอื้อมมือลงมาจับแขนผมทั้งสองข้าง ผมผลักเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“อย่ามาแตะตัวผม! คุณรู้อยู่แล้วว่าหัวใจที่ผมได้มาเป็นของใคร!” ผมกรีดเสียงอีกรอบ สิ่งที่หลุดออกจากริมฝีปากซึมเข้ามาในสมอง ก้อนเนื้อบนอกข้างซ้ายชาวาบราวกับมีน้ำแข็งก้อนยักษ์ทาบลงมา
หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียน เป็นของเขา
ผมมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเขา
‘คุณเป็นของผมตลอดกาลแล้ว ออสติน’
ผมกรีดร้องอีกรอบอย่างอัดอั้น ยกสองมือขึ้นปิดหูตัวเองราวกับมันจะช่วยกลบเสียงที่ดังอยู่ในหัวตัวเองได้ ไซม่อนเรียกชื่อผมด้วยความตกใจก่อนจะถลาเข้ามา แรงของเขาโอบล้อมรอบตัว ผมพยายามผลักออกแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ผมคิดอะไรไม่ออก เหมือนในหัวมันขาวโพลนไปหมด ได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นและดังขึ้น มันมาพร้อมกับเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหู
‘ทุกลมหายใจของคุณ ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ ชีวิตของคุณ…’
“ไม่!” ผมออกแรงดิ้นทุรนทุรายเหมือนคนบ้า แรงของไซม่อนที่พยายามขืนไว้ทำให้ผมแทบคลั่ง อยากเอาเขาออกจากตัวเอง ผมเกลียดสัมผัสของเขา เกลียดน้ำเสียงอ่อนโยนที่พยายามพูดปลอบให้ผมสงบ แต่เหนือส่ิงอื่นใด… ผมเกลียดก้อนเนื้อที่เต้นตุบตุบอยู่ใต้อก
ผมอยากเอามันออกไป อยากควักหัวใจที่อยู่บนอกข้างซ้ายของตัวเอง
ผมไม่ต้องการมัน เอามันออกไป…
“เอามันออกไป!”
“ออสติน! ได้โปรด…” ไซม่อนพยายามอีกครั้ง เขาโอบร่างผมไว้แนบกับอก ผมส่ายหน้ารัวๆ ราวกับคนไม่มีสติ “ตั้งสติหน่อยคุณ มันไม่สำคัญหรอกว่าหัวใจที่คุณได้ไปเคยเป็นของใคร มันเป็นของคุณแล้ว ออสติน คุณ---”
“ผมไม่ต้องการมัน!”
“ให้ตายสิ โธ่เว้ย!”
ผมพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเขา ความโกรธทำให้ผมมีเรี่ยวแรงมหาศาลก็จริง แต่ก็ยังสู้แรงของเขาไม่ได้อยู่ดี ไซม่อนล็อกตัวผม ออกแรงดันไปตามโถงทางเดิน กระชากประตูห้องนอนแล้วเหวี่ยงผมลงไปบนเตียง ผมออกแรงดิ้น พยายามผลักเขาออก อะดรีนาลีนสูดฉีดไปทั่วร่าง
“ไซม่อน ปล่อยผม!”
"ออสติน!" น้ำเสียงของชายหนุ่มตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าผมเริ่มทุบอกของตัวเองอย่างบ้างคลั่ง มือหนาเลื่อนมายึดข้อมือผมไว้แน่นก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น "ออสติน หยุดเถอะ ทำแบบนี้ไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น"
"ปล่อย! ไซม่อน! คุณไม่มีสิทธิ์มาจับผมไว้แบบนี้ ปล่อย!"
หากอีกฝ่ายไม่ทำตามที่ผมพูด มือข้างหนึ่งของเขากดหลังผมให้ติดกับพื้นเตียง ผมได้ยินเสียงสับกุญแจมือจากด้านหลัง ยึดข้อมือทั้งสองข้างไพร่หลังแล้วพันธนาการมันให้ติดทั้งสองข้าง โลหะเย็นเยียบแตะลงบนผิวบนข้อมือยิ่งทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า
เขากล้าทำแบบนี้กับผมได้ยังไง คริสเตียนเคยสับกุญแจมือแล้วยึดผมไว้กับเขาสองอาทิตย์ ผมเกลียดสัมผัสเย็นเยียบนี้ ไซม่อนกล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนี้กับผม!
“เอากุญแจมือนั่นออกไป!”
“ผมทำแน่ถ้าคุณสงบสติอารมณ์ได้แล้ว”
“สารเลว! ไซม่อน! ทั้งเรื่องหัวใจนี่แล้วก็เรื่องที่คุณทำอยู่นี่! คุณแม่งชั่วไม่ต่างอะไรกับไอ้โรคจิตนั่นเลยสักนิด เอามันออกไป!”
“ออสติน พอได้แล้ว ผมขอร้องล่ะ”
ผมโจนตัวออกจากเตียงหากมือหนาเอื้อมมากระชากผมกลับลงไปนอนเหมือนเดิม มือหนากดบ่าทั้งสองข้างเอาไว้ ผมเตะลงบนสีข้างเขาอย่างแรง ไซม่อนกัดฟันแน่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกดขาของผมราบลงไปบนพื้นเตียงด้วยเข่า
ผมรู้สึกได้ถึงความกลัวที่เอ่อล้นขึ้นมาผสมปนเปไปกับความโกรธแค้นอัดอั้นที่หาทางออกไม่ได้ ผมดิ้นตัวภายใต้การเกาะกุมของเขาราวกับคนบ้า ความรู้สึกมากมายพวกนี้กำลังกัดกร่อนจิตใจผม ทำให้ตัวผมแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ
“เอามันออกไป!”
ไซม่อนสูดลมหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นติดกัน ไม่พูดอะไร ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าคำพูดไม่สามารถช่วยอะไรได้ในสถานการณ์แบบนี้
“เอามันออกไปจากตัวผม!” ได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้จนคำพูดแหบพร่า รู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่อยู่บนหางตาและแก้ม
หัวใจที่อยู่ในอกผมนี่เป็นของคริสเตียนเหรอ น่าหัวเราะเป็นบ้า หัวใจที่เคยเป็นของคนที่ผมเกลียดที่สุดกำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ในตัวผม ผมมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมัน
แต่...ถ้าผมทำลายมันล่ะ? ถ้าผมหยุดการทำงานของมันลงได้ ก็เหมือนกับว่าผมสามารถฆ่าคริสเตียนได้ด้วยเหมือนกันใช่ไหม
ผมเหลือบไปมองด้ามปืนที่คาดเอวของคนด้านบน กระชากขาออกจากเข่าของร่างสูงที่กดลงมาจนหลุด จากนั้นก็เตะเอาปืนกระบอกนั้นหลุดออกมาจากซอง ไซม่อนอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขาจับตัวผมพลิกคว่ำลงอีกครั้ง ดึงแขนผมขึ้นแล้วเหยียดจนตึง ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับมันจะถูกฉีกขาดออกจากร่าง ความเจ็บปวดนั่นทำให้ความกลัวล้นปรี่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ผ่อนคลาย ออสติน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคุณจะหายเจ็บ”
ผมยังฝืนตัวดิ้น ก่อนจะต้องคำรามออกมาเพราะความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น แรงที่ยึดแขนผมไว้อยู่เพิ่งมากขึ้น
“อยู่นิ่งๆ คุณหมอ ใจเย็นๆ ค่อยๆ หยุดเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วความเจ็บจะหายไปเอง ใช่ แบบนั้นแหละครับ แบบนั้นแหละ”
ผมหายใจช้าลง รู้สึกว่าลมหายใจหนักขึ้น หยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง ความเจ็บปวดเมื่อครู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นด้านชาจนแทบไม่รู้สึกอะไร มือหนาค่อยๆ คลายออกจากแขนของผม วางมันแนบลงกับแผ่นหลังอย่างเบามือ จากนั้นสัมผัสอบอุ่นก็ไล้ลงบนศีรษะผมอย่างปลอบโยน
ผมสะอื้นจนตัวโยน เบี่ยงหนีสัมผัสเขา เขาทำกับผมขนาดนี้ คิดว่าผมจะยอมรับการปลอบใจของเขาง่ายๆ งั้นเหรอ
“ผมเจ็บนะ ไซม่อน” ผมครวญ ขยับข้อมือที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกันทั้งสองข้าง “ทำแบบนี้ทำไม”
“ผมขอโทษ ออสติน”
“คุณทำแบบนี้ทำไม” ฟุบหน้าลงกับผ้าปูที่นอน เนื้อตัวสั่นเทา “หลอกผมทำไม… ไซม่อน ทำแบบนี้กับผมทำไม ผมทำอะไรผิด”
"ออสติน" เสียงนั้นเรียกชื่อผมอย่างอ่อนโยน มันมาพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมรอบตัว แต่มันไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น "ผมขอโทษครับ มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษ"
ผมส่ายหน้ารัวๆ ในอ้อมแขนเขา ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงอย่างอ่อนล้า รู้สึกราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ผมได้หัวใจของคนที่เกลียดที่สุดมาอยู่ในตัว ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรนอกจากอยากกระชากมันออก โยนมันออกไปให้ไกลแสนไกลเท่าที่จะทำได้ อยากจะวิ่งไปหยิบมีดแล้วคว้านมันออกไปเลยเสียเดี๋ยวนี้ ไม่สนใจด้วยว่าตัวเองจะต้องตายหากทำแบบนั้น
ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอวัยวะของไอ้สารเลวนั่น... ผมเลือกที่จะไม่มีชีวิตต่อไปน่าจะดีกว่า!
"ชู่... ไม่เป็นไร ออสติน" มือหนาไล้ลงบนใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา "หลับตาเถอะนะครับ คนดีของผม ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ไม่ต้องคิดถึงอะไรทั้งนั้น ปล่อยมันไปซะ"
เสียงปลอบโยนของเขาดังแว่วเข้ามาในหู และเมื่อผมสงบลง หอบหายใจจนตัวโยน มือหนาก็เลื่อนมาปัดผมที่ปรกหน้าผากของผมออก มันเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ไม่เป็นไร ออสติน ไม่เป็นไร ผมอยู่นี่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ”
ผมทำตามที่เขาบอกโดยอัตโนมัติ หลับตาทั้งสองข้างลงอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่ติดบนกรอบตา สัมผัสแผ่วเบาเลื่อนมาปาดมันออก และเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยของไซม่อนก็กำลังจับจ้องผมนิ่งอย่างห่วงใย
"ทำไม..." เสียงของผมแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ "ทำไมต้องเป็นหัวใจของหมอนั่นด้วย"
ไซม่อนไม่ตอบ เขาดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นอีกรอบ เลื่อนให้ใบหน้าผมไปเกยอยู่บนบ่าของเขาโดยที่ยังนอนราบอยู่กับเตียง ไออุ่นจากร่างกายเขาทำให้ผมหลับตาลงอีกครั้ง อย่างน้อยนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวในตอนนี้
"ทำไม..." น้ำเสียงผมพร่ำเพ้อ "ทำไมคุณต้องโกหกผมด้วย ไซม่อน"
เขาไม่ตอบ หากเสียงกลืนน้ำลายดังๆ นั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังประหม่าและรู้สึกผิดจากคำถามนั้น
"ผมขอโทษ"
ผมส่ายหน้าเบาๆ กับคำพูดนั้น ความเหนื่อยล้าทำให้ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด ผมทิ้งตัวลงในความมืดดำที่ค่อยๆ โอบอุ้มร่างเอาไว้
มันไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ
…
ผมไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยมานานเท่าไรตั้งแต่ที่โดนคริสจับตัวมาอยู่ที่นี่
เสียงลมหายใจฟืดฟาดของตัวเองดังแผ่วเบาอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงสะอื้น ภาพทุกยังคงเป็นสีดำมืดเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออาการเจ็บแปลบบนต้นขาที่เพิ่งโดนของมีคมกรีดลงมาเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ มือทั้งสองข้างของผมยังคงถูกพันธนาการติดกันเหมือนเดิม โลหะเย็นเยียบสัมผัสกับข้อมือ รู้สึกว่ามันเย็นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ผมเอนหน้าลงไปพิงกับขอบอะไรสักอย่าง ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัวไปไหน ร่างกายยังช็อกจากอาการบาดเจ็บส่งผลให้มันยังสั่นเทาอยู่เบาๆ แต่ต่อเนื่อง
ได้ยินเสียงจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลดังเข้ามาหู เหมือนเสียงโลหะหรือเหล็กหนักๆ กระทบกัน หรือไม่ก็เหมือนมีอะไรตกลงพื้น นี่ก็อีกเรื่อง ผมแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของตัวเอง เสียงแผ่วเบาของใครอีกคนที่จับผมมา มากสุดก็มีแค่เสียงหัวเราะเบาๆ ข้างหูที่ชวนให้ประสาทหลอน แต่คริสไม่เคยปริปากพูดอะไรกับผม ความเงียบพวกนั้นเริ่มทำให้ผมกลัวที่จะส่งเสียงออกมา มันให้ความรู้สึกเหมือนผมจะแหกกฎอะไรบางอย่าง
แต่แล้วเสียงดนตรีที่คลอมาเบาๆ ก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท เสียงท่วงทำนองที่แสนคุ้นเคยที่เหมือนไม่ได้ยินมานานแสนนาน เสียงของนักร้องชื่อดังที่สอดประสานเข้ากับเสียงกีต้าร์และกลอง เนื้องเพลงที่ฟังดูเหมือนไม่มีความหมายแต่กลับติดหูและเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก
ผมเคยร้องเพลงนี้กับคริสในรถช่วงที่เราคบกันแรกๆ ผมบอกเขาว่าชอบเพลงนี้มาก ยังจำได้ดีตอนที่เขาหันกลับมายิ้มให้และบอกว่า เขาเองก็ชอบมันมากเหมือนกัน
แก้มของผมอุ่นซ่านขึ้นเพราะของเหลวหยดหนึ่งไหลออกจากตา ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าผ้าที่ปิดตาผมอยู่จะชื้นขนาดไหน ผมร้องไห้จนเหมือนน้ำจะหมดตัวได้อยู่แล้ว
เสียงของคริสร้องคลอกับเพลงดังมาให้ได้ยิน เสียงที่ดัดให้เข้ากับท่วงทำนองเพลงนั่นฟังดูไม่เหมือนเสียงเขาเลย และมันก็กำลังทำให้ผมตัวสั่นขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
“อึก” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ฟุบหน้าลงกับอะไรก็แล้วแต่ที่กั้นผมเอาไว้ ผมอยากจะเกลือกกลิ้งลงกับพื้นมากกว่า แต่แค่จะทำแค่นั้นผมยังทำไม่ได้เลย
เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้เสียงเพลงที่ลอยมาจากนอกห้องชัดเจนขึ้นตาม เสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามาอีกครั้ง ผมไม่อยากรับรู้แล้วว่าตัวเองจะโดนอะไรอีก
“ได้โปรด” เสียงแหบแห้งของตัวเองเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก “ปล่อยผมไปเถอะ”
มีเพียงเสียงเพลงคลอแผ่วเบาเพลงนั้นเป็นคำตอบให้ผม
…
สิ่งแรกที่ได้เห็นหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าคือเพดานห้องนอนที่คุ้นตา ผมหลับตาลงอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็วเพราะแสงที่ส่องผ่านม่านตาเข้ามามีมากเกินไป ผมปรับตัวไม่ทัน
แรงหนักๆ ที่พาดอยู่บนลำตัวผมทำให้ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้นอีกครั้ง มองชายหนุ่มอีกคนที่ยังอยู่ในห้วงนิทรา เท่าที่สังเกตดูจากขอบตาอีกฝ่ายแล้วไซม่อนก็คงได้นอนน้อยพอๆ กับผมเหมือนกัน ใต้ตาของเจ้าตัวลึกเข้าไปทีเดียว ถ้าส่องกระจกคู่กันตอนนี้คงเหมือนซอมบี้สองตัวที่หาหลุมตัวเองไม่เจอ
“อ่า...” ผมครางด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ขยับแขนขึ้น กุญแจมือเมื่อคืนถูกปลดออกไปแล้ว ผมหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่ข้างตัวก่อนจะยกมือกุมหัวที่หนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินมาถ่วงเอาไว้พร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ผมดูวิดีโอที่คาดคั้นไซม่อนให้เอามาให้ แล้ว…
“อุบ” แค่คิดถึงมันก็รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาอีกรอบ
ผมไอแห้งๆ ออกมาสองสามที เสียงไอของผมทำให้คนบนเตียงเริ่มขยับตัว ไซม่อนปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะหันมามองตามต้นเสียง นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขามองผมอย่างห่วงใยขณะเลื่อนมือออกมา
“ออสติน”
“อย่าครับ” ผมขยับตัวหนีสัมผัสเขา ยกมือขึ้นจับแขนตัวเองราวกับจะใช้มันเป็นป้อมปราการไม่ให้ใครก้าวล้ำเข้ามา “อย่าเพิ่ง… อย่าแตะผม ผมขอร้อง”
ไซม่อนครางออกมาแผ่วเบาขณะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง สภาพของเขาดูย่ำแย่เหมือนกัน ผมเผ้าชี้ไปคนละทิศละทาง เคราครึ้มโผล่ขึ้นมาให้เห็นประปรายที่รอบคาง เขามองมาทางผมด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างชัดเจน
“คุณโอเครึเปล่าครับ ดีขึ้นบ้างไหม”
ผมขยับตัวถอยหนีทันทีที่เขาทำท่าจะเคลื่อนตัวเข้ามา นั่นทำให้เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักไป ผมเห็นแววตาเจ็บปวดของเขาแวบหนึ่ง จากนั้นนัยน์ตาคู่สวยนั่นก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบว่างเปล่า
ดีจัง ผมว่าตอนนี้เราน่าจะมีแววตาเหมือนกันเลย
“หิวรึเปล่าครับ ออสติน”
ไม่เลย ผมไม่หิวเลยสักนิด หรือต่อให้ท้องว่างยังไง ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกลืนอะไรลงอยู่ดี
“ให้ผมไปทำอะไรให้ทานไหม”
ผมนิ่งเงียบไป เหมือนคิดไม่ออกว่าควรจะตอบยังไงดี ผมไม่อยากอยู่กับเขาแล้วตอนนี้ ทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขา เรื่องโกหกของเขา มัน… มันมากเกินกว่าที่ผมจะรับไว้ ผมรู้สึกเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้วขณะที่คิดหาทางหนีทีไล่ ผมตัดสินใจพูดกับเขาเสียงเรียบ
“ผม… ผมอยากอาบน้ำ ไซม่อน ถ้าเป็นไปได้ คุณเตรียมน้ำใส่อ่างให้หน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ครับ” เขาว่า ทำท่าจะเลื่อนมือมาลูบหัวผมโดยอัตโนมัติ แต่ตอนนี้ระหว่างเราทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมถอยหนีสัมผัสของเขา ไซม่อนไหล่ตกลงนิดหนึ่ง หากเจ้าตัวก็พยักหน้าเบาๆ ราวกับจะสื่อว่าเขาเข้าใจ ก็มันช่วยไม่ได้นี่ อะไรทำนองนั้น
ผมมองร่างสูงของเจ้าตัวชะงักฝีเท้าลงที่ประตู เขาหันกลับมามองหน้าผมก่อนจะพูดน้ำเสียงจริงจัง
“ออสติน เรื่องที่ผมปิดบังคุณ… ผมเสียใจ”
“ผมรู้แล้วครับ” ผมว่า ก้มหน้าลงต่ำ ไม่สบตาเขา “คุณบอกผมแล้วเมื่อคืน”
เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันกลับไปแล้วปิดประตูลง ผมทิ้งช่วงเล็กน้อย รออยู่นิ่งๆ แบบนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำจากก๊อกที่ไหลลงในอ่างดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมใช้จังหวะนี้ฉวยโอกาสหยิบข้าวของของตัวเองแล้วก้าวเท้าฉับๆ ออกจากคอนโดของไซม่อน
อย่างกับว่าผมจะยอมอยู่กับเขาต่อหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานอย่างนั้นแหละ
ผมเรียกแท็กซี่และนั่งกลับบ้านไปทั้งๆ อย่างนั้น เหลือบมองทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่างโปร่งใส เงาของตัวเองสะท้อนออกมาเล็กน้อย นั่นทำให้ผมต้องรีบเลื่อนมือไปปัดผมเป็ดที่กระดกขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นี่ยังไม่นับใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนตายมาแล้วนี่อีกนะ สงสัยจังว่าคนขับแท็กซี่จะคิดยังไงตอนรับผมขึ้นมาบนรถ แต่ที่แน่ๆ หลังจากผมบอกที่อยู่แล้ว เขาไม่ชวนผมคุยสักคำ ก็ดี
“เอ่อ ขอโทษครับ” ผมเอ่ยปากหลังจากที่ตัวรถวิ่งเข้าสู่ถนนในเขตที่ผมอยู่ ถัดจากพื้นคอนกรีตนี่ไปก็เป็นหาดทรายแล้ว บ้านของผมอยู่ห่างจากตรงนี้ออกไปไม่ไกล “จอดตรงนี้เลยครับ”
ผมจ่ายเงิน ลงจากรถ จากนั้นก็เดินทอดน่องไปตามริมหาด ดูดดื่มไปกับลมทะเลและคลื่นแผ่วเบาที่ซัดลงบนข้อเท้า เหม่อมองออกไปยังเกาะอีกฟาก สถานที่ศักสิทธิ์ของแม่ผม สถานที่ที่อยู่แล้วรู้สึกสบายใจและปลอดภัย
แม่ของผมไม่ได้ไปที่นั่นในช่วงบั้นปลายของชีวิต แม้ว่าหล่อนจะต้องการมากแค่ไหน
ผมเองก็เหมือนกัน ผมกลับไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไม่ได้แล้ว การที่เราต้องการไปยังสถานที่พิเศษของเราแต่ไม่สามารถไปได้ทั้งที่มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม มันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง
ผมปล่อยให้ความคิดมากมายลอยวนอยู่ในหัว สิ่งที่ทำให้ผมระส่ำระส่ายจริงๆ ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องไซม่อน แต่เป็นเรื่องของก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายของตัวเองต่างหาก นึกถึงเจ้าของคนก่อนของมัน นึกถึงสิ่งที่ไอ้บ้าคริสนั่นทำเอาไว้ก่อนจะลาโลกนี้ไป
มันฆ่าคนบริสุทธิ์ไปสามคน… และตอนนี้หัวใจของไอ้ฆาตกรนั่นก็อยู่ในตัวผม
ระยำสิ้นดี
สามคนนั้นต้องตายก็เพราะผม เพราะหัวใจที่ผมไม่ได้ร้องขอ… ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยซ้ำถ้าทุกอย่างต้องกลายมาเป็นแบบนี้
หาดรอบตัวผมแทบจะไม่มีผู้คน ผมทอดสายตามองผืนมหาสมุทร นึกถามตัวเองในใจเล่นๆ ว่าอยากจะเดินลงไปในนั้นเลยไหม แต่น่าเสียดายที่ผมรักตัวเองเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้
ผมมุ่งหน้าไปที่บ้านของตัวเอง ตัวบ้านปรากฎสู่สายตาแล้ว ผมล้วงมือลงในกระเป๋าเพื่อหยิบกุญแจบ้านออกมาก่อนจะต้องนิ่งไปเมื่อสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ที่หน้าประตูบ้าน
ผมชะงักฝีเท้าลง ตัวชาวาบขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นกลัว
‘ให้ตายสิ’ ผมอยากจะคราง แต่อ่อนล้าเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ ‘ทุกอย่างนี่จะไม่มีวันจบสิ้นจริงๆ ใช่ไหม’
--------------------------------------------
Talk: ขอโทษที่อาทิตย์ที่แล้วหายไปนะคะ! พอดีติดเดินทาง เลยวุ่นๆ นิดหน่อย เอาเป็นว่ารอบนี้เอาเต็มๆ ตอนมาฝากเลยแล้วกัน จะได้ไม่ค้างกันเนอะ! //นี่ไม่ค้างแล้วนะ 5555555