เพราะสำหรับฉัน
โลกที่ไม่มีเธอน่ากลัวเหลือเกิน
ตกหลุมรักระยะที่ 0.1
“เดย์ จะไปไหน คอนเสิร์ตอยู่นี่”
“อ...เออ คนมันเยอะนี่หว่า กูก็หลงทางบ้างอะไรบ้าง” เขาว่าแล้วรีบวิ่งไปหาเดือนอ้ายที่เท้าสะเอวรออยู่อยู่อีกฝั่งของถนน ก่อนจะมันจะผลักหัวเขาหนึ่งที “อยู่มาจนจะจบแล้วมึงเคยจำทางในม.ได้สักที่ไหมเหอะ จารย์เรียกไปหาตึกวิทย์ มึงเดินไปแพทย์ เรียกไปตึกกลาง มึงไปอาคารสำนักงาน กูละเชื่อมึงจริงๆ”
เขาหัวเราะกับเรื่องเซ่อซ่าของตัวเอง ขณะสายตาสอดส่องไปทั่วงานราวกับกำลังมองหาใครอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม ในงานเต็มไปด้วยผู้คนที่ชอบวงวีอาร์เหมือนกันกับเขาเต็มไปหมด หากแต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนที่เขารอ
ใครคนนั้นที่เขาตามหา ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของคนเหล่านั้น
“นี่ขนาดมาก่อนเริ่มตั้งครึ่งชั่วโมงคนยังเยอะเป็นหนอน แล้วอย่างนี้จะไปด้านหน้าได้หรือวะ” เดือนอ้ายว่าพลางสอดส่ายสายตาหมายจะหาลู่ทางเพื่อไปอยู่ด้านหน้าสุดให้ได้ มีปัณยืนอยู่ข้างๆ มองการกระทำของคนตัวเตี้ยกว่าตัวเองถึงช่วงศีรษะกระโดดไปมาจนอ่อนใจ เลยเป็นฝ่ายช้อนเข้าที่ใต้รักแร้ของเดือนอ้าย ก่อนยกตัวอีกฝ่ายขึ้นสูงเหมือนเป็นเด็กๆ
“เชี่ยยย”
“เห็นชัดยัง”
“ปล่อยกูลง ไอ้ปัณ!”
“ก็เห็นกระโดดอยู่นั่นแหละ กูเลยช่วยไง เห็นชัดไหม” ขาของเดือนอ้ายขยับไปมา ดิ้นรนหมายจะลงไปสู่พื้นให้ได้ ปากก็โวยวาย ทำเอาคนมองไปทั่วบริเวณ ส่วนทิวาก็มองภาพนั้นแล้วหัวเราะเหมือนคนบ้า
“โอ๊ยย กูจะกระโดดเป็นกบหรือจะเตี้ยเท่าหมา จะทำอะไรก็เรื่องของกู ไม่ต้องมายุ่ง ปล๊อย!!”
ปัณถอนหายใจแต่ก็ยอมปล่อยอีกคนลงแต่โดยดี แถมก้มหัวบริการให้ทันทีเพราะรู้ว่าเดือนอ้ายอยากจะตีเขาเป็นแน่ “คนเขาหวังดี”
“ไม่รับว้อย แม่ง เล่นไม่รู้เรื่อง” เดือนอ้ายว่าแล้วดึงหูคนสูงกว่าเป็นการลงโทษ ก่อนจะกลับไปมองทางและเริ่มเดินไปยังแถวหน้าสุด ไม่เสียเวลากระโดดไปมาให้เพื่อนเขามองดูแล้วหัวเราะอีกแล้ว
ทิวาเดินตามทั้งคู่ไปจนกระทั่งอยู่เกือบด้านหน้าสุดของกลุ่มคน มองกลุ่มวงดนตรีที่ตัวเองเป็นแฟนคลับมาตั้งแต่เริ่มตั้งแบนด์แรกๆ ด้วยรอยยิ้มเปื้อนเต็มแก้ม โดยเฉพาะยามที่มองมือกี้ต้าร์คนโปรด ดวงตาของเขาคล้ายจะเปล่งประกายมากกว่าปกติ ไม่ปฏิเสธหรอกว่าดีใจและมีความสุขมากๆ ที่ได้เห็นนักร้องที่ชอบยืนอยู่ตรงหน้า
“เกือบไม่ทันแล้วไหมล่ะ กูบอกแล้วให้รีบออก พวกมึงอะเอาแต่ชักช้า”
“ใครกันแน่ที่ช้า มึงนั่นแหละ โวยวายว่ากินยังไม่เสร็จจะรีบไปตายที่ไหน ที่นี้มาโบ้ยพวกกู สารเลว”
“ใคร มั่วแล้ว ไม่ใช่กู!”
เสียงโวยวายจากด้านซ้ายมือเรียกให้ทิวาหันไปสนใจอย่างเสียไม่ได้ ด้วยเพราะเป็นกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่จากการเบียดแทรกจากด้านหลัง บางช่วงทิวาก็ได้แต่แอบยิ้มกับสีหน้าตลกๆ ของหนึ่งในนั้นที่ยังโวยวายไม่เลิก เมื่อไม่สามารถเถียงเพื่อนคนอื่นที่มาด้วยกันไม่ได้
มันตลกดีและ...คุ้นเคยอย่างประหลาด
“เลิกโวยวายสักที คอนจะเริ่มแล้วมึงช่วยหุบปากมึงด้วยไอ้เวย์ กูมาฟังเพลง ไม่ได้มาฟังมึงโวยวาย”
“มึงเสียงดังกว่ากูอีกแคท”
“ทั้งสองตัวนั่นแหละ เสียงดังโว้ย”
หนึ่งในนั้นปรามเพื่อนเสียงแข็งก่อนจะหันมาเห็นสายตายิ้มๆ จากเขาพอดี คิ้วจึงขมวดเข้าหากันเหมือนจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงมอง ทำเอาหลบตาแทบไม่ทัน แต่ทั้งๆ ที่ละสายตากลับไปมองบนเวทีเหมือนเดิมแล้วแท้ๆ แต่ทำไมก็ไม่รู้ถึงได้ยังรู้สึกว่าคนคนนั้นยังมองมาอยู่เรื่อยๆ
เหมือนว่าจับตามองเขาอยู่เลยก็ว่าได้
ไฟรอบๆ เริ่มหรี่ลงจนกระทั่งมีเพียงแสงไฟบนเวทีที่เจิดจ้าที่สุด จนทำให้ชั่วพริบตาแรกดวงตาเขาพร่าจนมองใบหน้าของนักร้องบนเวทีไม่ชัด แต่หูยังได้ยินเสียงดนตรีชัดเจน ริมฝีปากขยับตามเนื้อเพลงที่ถูกขับร้องโดยนักร้องที่เขาชอบมากที่สุด
ทิวาชอบช่วงเวลานี้ ที่ตัวเองได้พบกับสิ่งที่ชอบ ได้ฟังในสิ่งที่หลงรัก ชอบช่วงเวลาที่หลงลืมทุกสิ่งอย่างที่ทำให้หัวใจหม่นหมอง ปล่อยหัวใจตัวเองให้ล่องลอยไปกับบทเพลง แม้มันจะคล้ายใช้เวลาไปอย่างเลอะเลือนที่สุดท้ายก็ต้องกลับไปพบความจริงที่ไม่ชอบก็ตาม
ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น
‘ชอบวีอาร์เหรอ’
“เดย์”
เสียงของใครคนนั้นก็ยังดังก้องคล้ายจะทะลุผ่านความเลอะเลือนนั้นให้เขาพบกับสิ่งที่เมินเฉยตลอดมา
“ร้องไห้ทำไม”
เสียงของเดือนอ้ายทำให้ทิวาได้สติ หลังเอามือปาดแก้มที่ชื้นไปด้วยน้ำตาก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมในช่วงเวลาที่ยินดีเช่นนี้ เขากลับร้องไห้ออกมา ทั้งที่ยืนอยู่ต่อหน้านักร้องที่ชอบที่สุด ยืนฟังเพลงที่ชอบมากไปพร้อมกับเพื่อนที่เขาสนิทที่สุดทั้งสองคน เขาอยู่ในสถานที่ที่เขาคิดว่าเขาจะต้องมีความสุขไม่แพ้ใครในโลก แต่ทำไมในส่วนหนึ่งของหัวใจเขากลับยังปรากฏช่องโหว่ที่ไม่ว่าใครก็เติมมันให้เต็มไม่ได้เสียที
เสียงเล็กๆ จากช่องโหว่นั้นมักจะสะท้อนก้องเบาบางบอกว่าต้องเป็นคนคนนั้นเท่านั้น
แล้วคนนั้นคือใคร
ถ้าเขามีตัวตนจริงแล้วทำไมจึงไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเสียที
“ไหวไหมมึง เป็นอะไรวะ”
“ไม่เป็นไร”
“ขนาดนี้มึงยังจะว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ” เดือนอ้ายว่าเสียงดังขึ้น ถึงจะไม่สามารถดังแข่งกับเสียงดนตรีบนเวที แต่กระนั้นก็มากพอให้คนรอบตัวพวกเขาหันมามองได้ “มึงแปลกไป แต่มึงก็ยังเอาแต่ยิ้ม ยิ้มทำเหี้ยอะไรวะเดย์ ไม่โอเคก็คือไม่โอเคสิวะ มึงก็แค่ร้องออกมา”
“...”
“เหมือนที่มึงกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันยากตรงไหนวะ”
“...”
“กลับหอกันไหม วันนี้คงดูไม่สนุกแล้ว” ปัณก้มหน้าลงมากระซิบ เมื่อเห็นว่าสายตาเริ่มจับจ้องมาที่พวกเขามากขึ้นกว่าตอนแรกทันทีที่ทิวาก้มหน้าซุกที่ไหล่เพื่อนตัวเล็กและหลุดสะอื้นจนไหล่สั่น เดือนอ้ายเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงตัดสินใจโอบเพื่อนสนิทที่ตาแดงเหมือนกระต่าย ทั้งยังร้องไห้จนหน้าตาน่าเกลียดค่อยๆ เบียดแทรกคนจำนวนมากไปยังทางออก
“เขาทะเลาะกันเหรอวะ”
“ไม่รู้ อยู่ด้วยกันจะรู้ไหมล่ะ”
“วิน มึงมองตามเขาแบบนั้น มึงรู้เหรอวะว่าเขาร้องไห้ทำไม”
“...”
“วิน? เฮ้ย! มึงจะไปไหนวะ” เสียงนั้นคล้ายดังมาจากที่ไกลๆ สำหรับเจ้าของชื่อที่ถูกร้องเรียกเสียแล้ว วินไม่สนใจเพื่อนตัวเองที่กำลังร้องหาอยู่ แต่กลับพยายามเบียดแทรกตามคนทั้งสามไปอย่างไม่ลดละ แต่น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจช้าไป จนทำให้เมื่อออกมาถึงทางออกก็ไม่พบใครแล้ว ถึงแม้ว่าคนจะบางตา แต่คล้ายกับว่าคนบนฟ้าไม่ประสงค์ให้เขาได้พบกับคนคนนั้น เขาจึงทำได้แต่มองความว่างเปล่าและคนแปลกหน้าที่เดินผ่านตัวเองไปเท่านั้น
ในใจนึกโทษตัวเองที่เอาแต่ยืนมอง ไม่ยอมเดินตามออกมาตั้งแต่แรก จนทำให้เสียโอกาสไป
เขาไม่รู้หรอกว่าคนนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับคนในฝันของตัวเองที่ฝันติดต่อกันมาหลายต่อหลายคืน สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าคนคนนั้นแตกต่างจากคนอื่นและเขาต้องไปหาให้ได้ คงเป็นแว่บแรกที่เห็นว่าใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มกลับค่อยๆ เปียกชื้นจากรอยน้ำตานั่น
เขาไม่ชอบและไม่อยากเห็น
ไม่อยากเห็นเขาคนนั้นร้องไห้
มือข้างขวาขยำเสื้อที่อกข้างซ้ายจนยับย่นไม่เหลือเค้าเดิม บีบเค้นราวกับที่อยู่ในมือไม่ใช่เสื้อที่สวมแต่เป็นหัวใจตัวเอง ลงโทษที่มักจะช้าเกินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักจำเสียที
---------------------------------------------------------------------------------------------
บางครั้งการไม่มีเหตุผลอาจเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด เมื่อถูกถามถึงการกระทำที่กระทำลงไป
นี่อาจจะอธิบายสถานการณ์ของเขาตอนนี้ได้ดีที่สุด...ละมั้ง
ทิวาเงยหน้ามองหน้าเวทีอีกครั้งในช่วงเวลาเดิมกับเมื่อวาน เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขายืนอยู่เพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนสนิททั้งสองยืนฟังเพลงเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เพราะทั้งสองคนนั้นต้องรีบกลับบ้านโดยด่วน ทิ้งให้เขาอยู่ที่หอเพียงลำพังจนเกือบฟุ้งซ่าน สุดท้ายก็ได้แต่พาตัวเองเดินมาเรื่อยๆ กระทั่งมาอยู่ในงานอีกครั้ง
เมื่อวานหลังจากที่ออกจากคอนเสิร์ตไป แน่นอนว่าทั้งระหว่างทางกลับหรือกระทั่งถึงที่หอแล้ว เพื่อนทั้งสองก็ยังซักถามเขาไม่หยุดว่าทำไมถึงร้องไห้ ช่วงนี้เขาเป็นอะไรและทำไมถึงได้ชอบทำหน้าเศร้าๆ อยู่แทบตลอดเวลา ทว่าเขาไม่อาจตอบได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่เขาไม่มีคำตอบอะไรจะบอกแก่ทั้งสองคนได้เลย
เขาเองก็ทราบดีว่าตัวเองแปลกไป ทั้งยังเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง แต่กลับไม่รู้ต้นตอและทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คล้ายว่าในหัวมีบางอย่างคอยสกัดกั้นไม่ให้เขาได้รู้ในสิ่งที่สงสัย
นานวันเขามันก็เริ่มสะสมจนทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและอึดอัดในใจจนแทบหายใจไม่ออก
โดยเฉพาะในช่วงที่หลับฝัน คล้ายว่าความฝันนั้นจะยาวนานมากขึ้น ภาพที่เขานั่งข้างใครบางคนที่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นใบหน้า ไม่มีคำพูด ไม่มีการเคลื่อนไหวเหมือนเป็นเพียงภาพนิ่ง ทว่าในความเงียบนั่นกลับทำให้เขาทั้งคิดถึงและอบอุ่นใจ หลายครั้งที่พยายามบังคับให้ตัวเองในฝันหันไปมองคนคนนั้นให้ได้ แต่พอทำแบบนั้นทีไรสุดท้ายเขาก็พลันสะดุ้งตื่นไปเสียทุกรอบ
จบลงที่ไม่รู้และไม่เห็นอะไรเหมือนเคย
วันนี้อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากออกมาดูคอนนักหรอก เมื่อวานเขาสภาพค่อนข้างแย่เลยทีเดียว มันคงดูไม่จืดเท่าไหร่ถ้ามีคนจำได้ แต่ห้องที่เงียบจนเกินไปมันทำให้เขาฟุ้งซ่านเกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้ จึงทำได้แต่มายืนอยู่ที่นี่ อยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกจนไม่มีความเป็นส่วนตัว ให้เสียงเหล่านั้นกลบความอ้างว้างและเงียบเหงาส่วนหนึ่งในใจเขา
หลายครั้งระหว่างที่รอเวลา สายตาเขามักไปตกอยู่ที่คู่รักหลายคู่ที่เดินเคียงกันมาในงาน มองรอยยิ้ม มองความสุขที่ต่างคนต่างมอบให้กันแล้วนึกอิจฉาในใจอย่างช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาโสดละนะ อีกทั้งไม่เจอใครที่ทำให้เขาอยากมอบหัวใจให้เลย
ไม่ใช่ว่าสเปคสูงหรือเลือกมาก เพียงแต่เขาเป็นพวกที่ถ้าปักใจไปแล้ว ก็จะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นไปตลอด เรื่องเกี่ยวกับความรักก็เป็นหลายๆ เรื่องที่เขายึดติดเช่นกัน เช่นว่า สำหรับเขาแล้ว มากกว่าการรักกันหมดใจ สิ่งที่เขาต้องการจากคนที่รักคือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องเป็นคนนี้เท่านั้น คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเจิดจ้าและเป็นคนเดียวที่เขามองหาเจอท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย คนที่แม้จะทำให้เสียใจมากมายเพียงใด เขาก็ยังรู้สึกคุ้มค่าที่จะรัก
ใครคนนั้นที่ยังไม่ปรากฏตัว แต่เขากลับเชื่อลึกๆ ว่ามีตัวตนอยู่คนนั้น
บางทีอาจจะปรากฏตัวพรุ่งนี้ มะรืนนี้ บางทีอาจจะเป็นเดือนหน้าหรือปีหน้า
ไม่ก็อาจจะเป็น
“เดย์...”
ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาเผลอกระพริบตาและลืมตาขึ้นมาพบกันก็เป็นได้
“...”
คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาส่งเสียงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแสดงความไม่มั่นใจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสีหน้าที่มีแต่ความสับสนนั่น กระนั้นก็ยังยืนอยู่ไม่ยอมจากไปไหน ส่วนเขาก็ทำได้แต่มองสบเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย คล้ายจะค้นหาอะไรบางอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่เขาชอบดวงตาคู่นี้ ชอบอย่างไม่มีเหตุผล
และการปรากฏตัวของอีกคนนั้น ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวด้วยความดีใจจนแทบทะลุออกจากอก
“เรา...รู้จักกันด้วยเหรอ”
“...ไม่รู้เหมือนกัน”
“...”
“แต่...” คนตรงหน้าเงียบไปนานมาก กว่าจะยอมพูดขึ้นมาอีกประโยค “...รู้แค่ต้องมา”
“...”
“แล้วก็จะไม่ให้หายไปไหนแล้ว”
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ชายคนนั้นพาเขาเดินออกมาจากคอนเสิร์ตแล้วจบลงที่แถวหน้าร้านสะดวกซื้อ ในมือของพวกเขามีไอศกรีมคนละแท่ง ยืนกินเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาสักประโยค ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดหรือต้องพยายามหาเรื่องมาพูดเพื่อสลายความเงียบแต่อย่างใด ราวกับเคยชินและสบายใจกับความเงียบนี้ที่อยู่ระหว่างกัน ทิวาชอบความรู้สึกเช่นนี้
และอยากให้มันดำเนินแบบนี้ไปนานๆ
“เดย์”
“ว่า”
“ชื่อเดย์เหรอ”
“อืม หรือจะเรียกทิวาก็ได้ แต่อันนี้ชื่อจริงนะ”
“...”
“แล้วชื่ออะไร” เขาว่า ขณะหันไปมองอีกคน “รู้ชื่อแค่ฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่แฟร์เลย”
ใบหน้าของอีกคนเปื้อนรอยยิ้มที่ทำให้ใจเต้นผิดจังหวะ ลมช่วงค่ำคืนพัดโชยหอบเอากลิ่นสดชื่นมายังพวกเขา พัดจนเส้นผมนุ่มของคนตรงหน้าปรกดวงตาคู่สวยที่ทิวาชอบมอง จนอดเอื้อมมือไปปัดออกไม่ได้ แม้จะรู้ดีก็ตามว่ามันไม่ควร
แต่ตอนที่ปัดเส้นผมแล้วมองสบดวงตา ตอนที่อีกคนเอามือมาจับมือของเขาไว้เหมือนจะห้าม ในใจของทิวาพลันมีกระแสไฟนับหมื่นสายปั่นป่วนจนทำได้แต่หลบตา ยิ้มแก้เก้อตอนที่พยายามดึงมือออกแต่ไม่สำเร็จ
“มาวิน” อีกคนพูด “เรียกแค่วินก็ได้”
“อ่อ”
“...”
“แล้ว...เมื่อไหร่จะปล่อยมือ”
วินยิ้ม ถามปนเสียงหัวเราะ “แล้วจับไม่ได้หรือไง”
“มันคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง มาจับมือกันแบบนี้” ผู้ชายกับผู้ชายนะเห้ย! ปกติคนเขาเลี่ยงกันไม่ใช่หรือไง
“แล้วยังไง”
ทิวาหน้าบูด เลิกดึงมือตัวเองจากอีกคน เอนพิงขอบปูนด้านหลังกัดไอศกรีมคำสุดท้ายในมืออีกข้างไปด้วย “ไม่ยังไง อยากจับก็จับไป ไม่เถียงแล้ว”
“...”
“ทำไมถึงบอกว่าจะไม่ให้หายไปแล้ว”
ทิวาโยนไม้ไอศกรีมลงถังขยะ แม้จะไม่มองหน้า แต่ความจริงแล้วเขาค่อนข้างคาดหวังกับคำตอบจากวินเป็นอย่างมาก ต่อให้พยายามซ่อนมากแค่ไหน ทว่าเขารู้ดีว่าอีกคนต้องรู้แน่ๆ แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้นแหละ
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เชื่อเช่นนั้น มันเป็นไปโดยจิตใต้สำนึก รวมถึงเรื่องที่เดินตามคนที่เพิ่งมาต้อยๆ แบบนี้ก็ด้วย
เขาแค่มั่นใจว่าคนคนนี้จะไม่มีวันทำร้ายเขา ก็เท่านั้นแหละ
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“ก็ไม่รู้นี่ ...รู้แค่ว่าต้องพูดไปแบบนั้นเท่านั้น”
“...”
“ไม่อยากเสียใจทีหลัง ถ้าไม่พูดออกมา”
“...มีอะไรต้องเสียใจนักหนา แค่คนไม่รู้จักกันเท่านั้นเอง”
“จริงเหรอ”
“หรือไม่จริง?”
“...ก็จริง” วินตอบกลับมาพร้อมถอนหายใจ “ยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำที่ได้คุยกันแบบนี้ จะเอาอะไรไปเสียใจ”
“แต่มันก็เป็นไปแล้ว”
“...”
“เมื่อวานร้องไห้ทำไม”
คราวนี้ทิวาสะดุ้งหันไปมองพร้อมสีหน้าตกใจสุดขีด คลื่นความร้อนเริ่มกระจายเต็มแก้มจนรู้เลยว่าหน้าตัวเองต้องแดงมากแน่ๆ สภาพเขาเมื่อวานดูไม่ได้เลย เขารู้ตัวดีว่าเวลาตัวเองร้องไห้มันแย่ขนาดไหน แต่ไม่แย่เท่ากับที่ว่ามีคนเห็นเมื่อวานแล้วยังเข้ามาทักเขาหน้าตายเฉยเช่นนี้
เวรเอ๊ย “เห็นด้วยเหรอ!”
“ก็เมื่อวานยืนอยู่ข้างๆ ตลอด จะไม่เห็นได้ไง”
“โอ๊ย แม่ง! ลืมได้ไหม ลบๆ ออกไปหน่อย” ทิวากุมหัว จนผมยุ่งเหยิงไปหมด ลนลานเสียจนคนมองได้แต่ยิ้ม เพราะมันทั้งตลกและ...เออ น่ารักดี “ทำไมต้องมาเห็นตอนสภาพทุเรศด้วย”
“ไม่ได้ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย โอเว่อร์” แล้วก็เคาะหัวไปหนึ่งทีให้คนขี้กังวลเลิกโวยวาย
ทิวาย่นจมูกแล้วมองใบหน้าที่สำหรับเขาแล้วก็ค่อนไปทางเพอร์เฟคของวิน บ่นกับตัวเองไม่สนใจแววตาที่กำลังมองมา “แน่สิ ตัวเองหน้าตาดีนี่ จะร้องไห้ทำหน้าตาน่าเกลียดยังไง คนก็ยังมองว่าหล่ออยู่ดี”
“เพ้อเจ้อ”
“...”
“มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่า”
“ไม่ฟังแล้วโว้ย”
“แต่ทางที่ดีอย่าร้องอีกเลยดีกว่า”
“เนี่ย! ไหนบอกว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นไง”
“ไม่ชอบ”
“...”
“ไม่ชอบที่ร้องไห้ อย่าร้องอีกนะ”
“...”
พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้ง ตัวเขาน่ะเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากที่วินพูดประโยคคลุมเครือแบบนั้นออกมา ออกจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ความเป็นห่วงเจือจางในประโยคในนั้นทำให้เขาดีใจอย่างประหลาด แต่วินเงียบไปนั้น เขาไม่รู้และไม่อยากเดาว่าทำไม
มันทั้งกลัวและคาดหวังในคำตอบ เลยไม่อยากรู้เท่าไหร่
นาฬิกาเดินข้างหน้าเรื่อยๆ กว่าเขาจะรู้ตัวก็ใกล้เวลาที่คอนเสิร์ตจะเลิกและเพื่อนทั้งสองคนจะกลับไปถึงหอแล้ว ทิวาเลยลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับไปยังหอตัวเอง แต่กลับได้แต่ยืนเก้กังไม่ยอมพูดลาออกมาเสียอย่างนั้น ยิ่งมองแววตาที่มองมาคล้ายรอว่าเขาจะพูดอะไรจากวิน เขาก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่
ไม่รู้ดิ แต่ไม่อยากบอกลาเลย
“คือ...”
“จะกลับเหรอ”
“อืม”
“งั้นเดี๋ยวเดินไปส่ง”
“...”
“ได้หรือเปล่า?”
ทิวามองสีหน้าคาดหวังแล้วได้แต่พยักหน้า มองวินเดินอยู่ข้างๆ ตัวเองไปยังเส้นทางที่คุ้นเคยในตอนเกือบสามทุ่ม ทางที่เขาเดินจนหลับตาเดินยังได้ แต่วันนี้เขากลับเลือกที่จะค่อยๆ เดินไปทีละก้าว จนเป็นจังหวะเดียวกับคนข้างกายที่อาสาเดินมาเป็นเพื่อนเสียอย่างนั้น
“จริงๆ ไม่ต้องเดินมาด้วยก็ได้นะ”
“อยากเดิน”
“คือ...มันก็เสียเวลาไง”
“ไม่เห็นจะเป็นแบบนั้น” วินว่า “เต็มใจ”
“...”
พูดแบบนี้เขาจะไปต่อยังไงวะ
“อ๋อ เออ...ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร”
วินไม่ได้พูดอะไรอีกแต่คอยเดินข้างๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นตอนที่ทิวาแอบมอง แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่อีกคนคอยมอง แต่มันก็ทำให้ใจเขาฟูขึ้นทีละนิด ต่างจากอีกคนที่คงทั้งงุนงงและสงสัยจนทนเก็บไว้ไม่ไหวในท้ายที่สุด
“...ทำไปทำไม อยากรู้” แม้จะพยายามกดความสงสัยเอาไว้ แต่ทุกอย่างกลับเหมือนยิ่งเร่งให้เขาอยากรู้จนทนไม่ไหว ทั้งสายตา คำพูด ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ หลากหลายอย่างถาโถมเข้ามาแทบจะในทันทีที่สบตากัน พวกเขาหยุดเดินระหว่างทาง หันไปมองกันและกันท่ามกลางความเงียบงัน ใต้แสงสว่างเพียงอย่างเดียวของไฟถนนที่ส่องพวกเขาอยู่ แสงนั้นกลืนความรู้สึกบางส่วนบนใบหน้าของวินไปจนเขานึกไม่เข้าใจ ว่าทำไมอีกคนถึงได้เข้ามาหาเขา ทำไมถึงได้ยืนอยู่ตรงนี้
และทำไมจึงได้ทำสีหน้าเหมือนเฝ้ารอจะได้พบกันมาตลอดนั่นกับเขา
วินหลบตาในตอนสุดท้าย แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา
“ความจริงแล้ว ช่วงนี้ฝันบ่อยมาก”
“แล้วยังไง”
“ฝันเห็นใครก็ไม่รู้ไม่มีหน้าตา”
“...”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“ผีหลอกในฝันเหรอ”
วินถอนหายใจ มู้ดเมื่อกี้สลายไปกับอากาศเลยเมื่ออีกฝ่ายตอบมาแบบนั้นพร้อมกับสีหน้าซีดๆ ยิ่งรวมไปกับอาการมองซ้ายขวาเหมือนระแวง วินยิ่งรู้สึกคิดผิดนิดๆ ที่เริ่มประโยคด้วยเรื่องนี้ ลืมไปได้ยังไงนะว่าคนคนนี้กลัวผี...
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก ลืมทุกคำพูดที่เตรียมเอาไว้ แล้วเอาแต่จ้องหน้าคนตรงหน้าที่ไม่รู้กำลังท่องบทสวดไล่ผีไปถึงไหนแล้ว
นั่นสิ ลืมไปได้ยังไง
ทั้งที่ไม่ควรลืมแท้ๆ
“ร...รีบเดินกันไหม”
“...”
ทิวากระตุกแขนเสื้อวินเบาๆ “อยากกลับหอแล้ว เดี๋ยวมีคนมาเป็นเพื่อนเดินเพิ่ม”
“ติ๊งต๊อง” สีหน้าหวาดกลัวนั่น สุดท้ายก็ทำเขาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ มันน่าแกล้งซะจริง แต่เขารู้ว่าถ้าแกล้งหนักกว่านี้จะต้องโดนโกรธแน่ๆ เลยจับมือที่คว้าชายเสื้อเขาแน่นหนามากุมเอาไว้แทน จึงพอจะดึงความคิดของอีกคนมายังตัวเขาได้บางส่วน “ไม่มีผีหรอกน่า”
“ก็เมื่อกี้วินยังบอกว่าฝันเห็น...”
“มันไม่ได้เป็นฝันน่ากลัวสักหน่อย”
“...”
“ออกจะเป็นฝัน...ที่อยากให้มันยาวนานกว่านี้เสียด้วยซ้ำ”
พวกเขาเริ่มเดินกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มือของทั้งสองกุมกันเอาไว้แน่น ทิวาได้แต่แอบมองมือที่จับกันเอาไว้ สลับกับรู้สึกเหมือนมันมีอะไรไม่ถูกต้อง แต่ถามว่าปล่อยมือไหม ก็ไม่ เพราะกลัวผี
อย่างน้อยถ้าผีมาจริงๆ ก็รีบผลักให้วินไปรับหน้าแทนได้ เขาคิดแบบนั้น
“มันน่าฝันยังไงไม่ทราบ ฝันที่เห็นคนไม่มีหน้าอะ”
“ก็...เพราะเขาเป็นคนที่อยากเจอไง”
“...”
“ไม่เคยหรือไง ที่ฝันถึงใครคนหนึ่งแล้วอยากเจอเขาในความจริงน่ะ”
จู่ๆ ทิวาก็หวนนึกถึงฝันของตัวเองขึ้นมาและอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่วินก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำอยู่เหมือนกัน
เขาเองก็อยากเจอเหมือนกัน คนที่เจอในฝันคนนั้น...คนที่เอาแต่นั่งอยู่ข้างตัว พูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและปวดใจบ่อยครั้งที่ตื่นขึ้นมา
ไม่อยากอยู่กับความไม่รู้และความเสียใจนั่นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว
“...เคย”
“...”
“ก็อยากจะเจอตัวจริงๆ เหมือนกัน ไม่อยากสงสัยอีกแล้ว”
วินมองสีหน้าเศร้าๆ ของทิวาแล้วเงียบนิดหน่อย “ถ้าเขาเป็นผีจริงๆ ก็คงซวยเลยเนาะ จะไปตามหา...”
“เงียบไปเลยนะ! อย่าพูด ห้ามพูด! ไม่ฟังด้วย!”
“...”
สีหน้าของทิวากลับไปเป็นหวาดกลัวเหมือนเดิมอีกแล้ว คราวนี้ถึงกับบีบแขนของวินแน่น ทำเอาวินนึกอยากจะหัวเราะแทบตาย ทว่าก็ได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเอาไว้ มองคนข้างกายเขย่าแขนเขาให้หยุดพูดเรื่องผีเสียที “จะพูดขึ้นมาอีกทำไม! ถ้า...ถ้าเขามาหาจะทำยังไง ไอ้บ้า”
“...”
“ไม่รู้หรือไงว่าเขาห้ามพูดเรื่องคนตายน่ะ เดี๋ยวเขามาหา...”
“ดูคลิปผีบ่อยใช่ไหมเนี่ย ไอ้ช่องเล่าเรื่องผีอะ”
“...”
“ฟุ้งซ่านไปเรื่อย”
“ยุ่งน่า!”
วินเอื้อมมือไปลูบหัวทิวาเบาๆ ขณะพยายามออกแรงเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แม้จะเหมือนพยายามให้ถึงหอไวๆ แต่เขารู้ดีว่าอันที่จริง...เขาอยากจะให้เส้นทางนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเสียด้วยซ้ำ
เขาชอบตัวเองตอนอยู่กับคนคนนี้
ไม่มีเหตุผล...แต่ไม่อยากจากไปไหนเลย
เหมือนกับรอคอยมานานมากและในที่สุดก็ได้พบกัน อะไรแบบนั้นเลยล่ะ
“ไม่มีผีหรอก”
“รู้ได้ไง”
“ถ้าจะมี...ก็มีแต่คนที่อยากจะพบเจอคนที่รักอีกสักครั้ง แม้จะไม่มีวันเป็นไปได้เท่านั้นแหละ”
“...พูดเหมือนเคยรอแบบนั้นเลยนะ”
วินหัวเราะร่วน “อาจจะเคยรอแบบนี้ในชาติที่แล้วก็ได้นะ”
“แต่ชาตินี้ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแล้ว อยากจะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายจากกันไปมากกว่า”
“...”
“แบบนั้นดีกว่าเห็นๆ ว่าไหม”
สีหน้ายิ้มแย้มของวินที่ทิวาแอบมองอยู่ ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไร ฟังครั้งแรกมันก็เหมือนการขอความเห็นธรรมดาอยู่หรอก แต่พอคิดอีกที...ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนอีกคนกำลังถามเขากันนะ
“ก็ต้องดีอยู่แล้วไหม”
“...”
“ใครๆ ก็อยากอยู่กับคนที่รักนานๆ กันทั้งนั้นแหละ”
“ใช่ไหม”
“...”
“ในครั้งนี้ก็จะอยู่แบบนั้นให้ได้เลยล่ะ”
เพราะงั้นอย่าจากไปไหนอีกนะ
นั่นเป็นคำภาวนาอย่างเดียวในค่ำคืนนั้นที่วินหวังว่าจะส่งไปถึงใครที่เอาแต่หวาดกลัวอยู่ข้างกายและถึงตัวเองคนที่แล้วมาว่าไม่ต้องกังวล
ครั้งนี้จะจบด้วยดีอย่างแน่นอน
เพราะแบบนั้นเอง ฉันจึงต้องทำทุกวิธีทาง
เพื่อให้เธออยู่เคียงข้างฉัน ไม่จากร้างลาเมื่อที่ผ่านมา
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ ช่วยอยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนนั้นเลยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาค่ะ
NAVY