บทที่ 21
::ไม่อยู่เฉย::
ผมเปิดตู้รื้อครัวของบ้านหลังใหญ่อย่างตั้งใจ เพราะอยากรู้ว่ามีอะไรที่พอจะเอามาใช้ทำอาหารได้บ้าง สุดท้ายก็พบว่าบ้านหลังนี้มีอุปกรณ์เครื่องครัว ‘ทุกอย่าง’ ที่ห้องครัวทุกบ้านควรมี และทั้งหมดยังดูใหม่ราวกับไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน ขนาดเครื่องปรุงที่เก็บไว้ในตู้ก็ยังไม่เคยเปิดด้วยซ้ำ
อันที่จริงๆ ผมไม่ติดใจเท่าไหร่หรอก เพียงแต่สงสัยว่าเขาทานอาหารข้างนอกทุกวันได้ยังไง ไม่มีอารมณ์แบบซื้อของกินมาตุนไว้ในตู้เย็นบ้างเลยหรอ ทำตัวเป็นคนบ้างาน มีทีวีก็ไม่เคยเปิดดู ผมว่าเพราะชีวิตเขาไม่มีสีสันแบบนี้ล่ะมั้งถึงได้อยากทำธุรกิจไนต์คลับขึ้นมา
วันก่อนเคยขออนุญาตเรื่องใช้ของในครัวไปแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา เช้านี้ผมตั้งใจจะทำข้าวผัดสูตรของจ้านเลยซื้อของมาครบ ไม่รู้ว่าจ้านใส่อะไรลงไปถึงทำให้ผมเอาแต่นึกถึงจนอยากกินเอามากๆ จะหาซื้อที่ไหนก็ไม่ถูกปาก สุดท้ายเลยต้องทำเอง ผมเคยช่วยจ้านทำมาก่อน ลำดับขั้นตอนเลยจำได้แม่น แต่กว่าจะทำอะไรแต่ละอย่างผมต้องใช้เวลาเตรียมการพอสมควร ไม่ได้หยิบจับอะไรคล่องนัก
ใช้เวลาไปเท่าไหร่ไม่รู้ ช่างมัน แค่ทำสำเร็จออกมาน่าทานเท่านั้นเป็นพอ ข้าวสำเร็จรูปที่ซื้อมาสองห่อผมแกะใส่หมดปริมาณเลยเยอะเกินกำลังผม ถ้าเหลือมาน่าเสียดายแน่
ระหว่างที่ผมกำลังถือจานข้าวมาทานวางบนโต๊ะอาหาร ลูเซียนก็ลงมาจากบนบ้านพอดี
“ทานด้วยกันมั้ยครับ” ผมถามตามมารยาทและแสดงความมีน้ำใจ แม้จะรู้เต็มอกว่าเขาจะตอบยังไง
“จะต้องฉันให้พูดซ้ำไปถึงเมื่อไหร่”
โอเค! รู้เรื่อง
“อืม... แล้ว... วันนี้คุณจะได้เจออีวานมั้ยครับ”
“ทำไม”
“ถ้าเกิดเขายื่นข้อเสนอเพื่อให้คุณเปลี่ยนใจ คุณก็จะยังยืนยันว่าผมเป็นคนของคุณอยู่หรือเปล่า” ลูเซียนต้องคิดว่าผมฟุ้งซ่านแน่ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็มีนิดนึงแหละ ผมเชื่อใจลูเซียนมากเกินไปไม่ได้ และจะจัดการเองก็ไม่ได้อีก สุดท้ายเลยได้แต่นั่งหวั่นวิตกจนต้องหาอะไรทำอย่างการทำอาหารอยู่อย่างนี้
“ก็เลยจะเอาอาหารขยะมาติดสินบนฉันรึไง”
“ไม่ใช่นะครับ”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนายแล้ว อีวานจะเสนออะไร” ลูเซียนเอ่ย “แต่ถ้าเขาเกิดลืมนายขึ้นมา ไม่รู้ว่าฉันต้องหน้าชาก่อน หรือควรหัวเราะให้ลั่นไปเลย”
“ขอให้ได้หัวเราะแล้วกันครับ ส่วนผมจะยอมกลายเป็นคนโง่ที่หลงตัวเอง” ถ้าเป็นอย่างที่ลูเซียนพูดก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ชอบการพูดล้อเลียนของเขาเลย “ตอนนี้ผมกำลังคาดการณ์ว่าเวลาไหนถึงจะเหมาะแก่การออกจากบ้านคุณ อยู่ที่นี่ผมไม่ค่อยได้ทำอะไร แถมยังจะสร้างความรำคาญให้คุณด้วย ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากไปจากที่นี่เร็วๆ เหมือนกันครับ”
ผมกับลูเซียนจ้องตากันโดยไม่พูดอะไร ก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าอ่อนไหวกับคำพูดของเขาเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ตอบแบบประชดประชันไปอย่างนั้น ลูเซียนพูดดูถูกแกมเหน็บแนมผมมาตลอดอยู่แล้ว ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย
“วันนี้ฉันหยุด จะเจออีวานอีกทีคงเป็นวันพรุ่งนี้” อยู่ๆ ก็ย้อนมาตอบเรื่องที่ผมเคยถามไป
“คุณมีวันหยุดด้วยหรอครับ ตั้งแต่มาอยู่นี่ผมเห็นคุณออกไปทำงานทุกวัน”
“เห็นฉันเป็นเครื่องจักรที่ไม่ต้องมีวันหยุดพักรึไง”
“แล้วคุณจะทานข้าวเช้าที่ไหนล่ะครับ”
ถามจบไปไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกริ่งดัง ลูเซียนไม่มีท่าทีประหลาดใจแบบผม เขาทำเพียงแค่เดินไปเปิดผ้าม่านแล้วหยิบเครื่องอะไรสักอย่างขึ้นมากด จากนั้นประตูบานใหญ่ก็เปิดออก และมีใครบางคนเดินเข้ามาในบ้านอย่างรู้ที่ทางว่าควรเดินเข้ามาทางไหน
คนคนนี้ดูเด็กกว่าผมมาก เป็นผู้ชายตัวสูงสมวัย ท่าทางกระฉับกระเฉง ใส่เสื้อผ้าสไตล์วัยรุ่นธรรมดา เข้ามาพร้อมกับถุงใบใหญ่ที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกกับข้าว
“คุณเซียนมีวันหยุดจนได้นะครับ ผมไม่ได้เอาข้าวมาส่งหลายวันจนคิดว่าคุณเซียนจะสั่งข้าวกับเจ้าอื่นไปแล้ว” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในครัว หยิบจานชามออกมาโดยไม่ต้องขออนุญาตใดใดจากเจ้าของบ้าน เขาจัดการนำกับข้าวทั้งหมดเทใส่ภาชนะ จากนั้นก็นำมาวางไว้บนโต๊ะอาหารที่ผมกำลังนั่งอยู่อีกฝั่ง
“ฉันไม่เคร่งเรื่องรสชาติเท่ากับการตรงต่อเวลา” ลูเซียนเดินมานั่งตรงหัวโต๊ะตรงข้ามกับผม “ในเมื่อเรามาไม่เคยสาย... ฉันจะไปสั่งร้านอื่นทำไม”
ถ้าให้เดา ผมว่าเด็กคนนี้คงเป็นคนส่งอาหาร แต่ดูจากถุงใส่มา มันไม่น่าจะใช่ภัตตาคารใหญ่ หรือส่งตรงจากโรงแรมห้าดาว คนอย่างลูเซียนทานอาหารง่ายๆ แบบนี้ได้ด้วยหรอ ไม่อยากจะเชื่อ
“ผมไม่รู้ว่าคุณเซียนมีเพื่อนทานด้วย ก็เลยเอามาแค่ชุดเดียว...” เด็กหนุ่มมองมาที่ผมอย่างสงสัย
“เขามีของเขาแล้ว” ลูเซียนตอบแค่นั้นก็ลงมือทานทันที
“ตอนกลางวันคุณเซียนเอาเมนูเดิมใช่มั้ยครับ” สีหน้าของเด็กหนุ่มสดใสทันตาเมื่อเห็นลูเซียนพยักหน้าเป็นคำตอบ แต่มันยังไม่จบแค่นั้น...
“เอามาสองชุด” ได้ยินอย่างนั้นผมถึงกับมองหน้าลูเซียนตรงๆ และเห็นว่าเขากำลังหันไปมองเด็กหนุ่มเพื่อพูดด้วย “เสร็จแล้วก็กลับไปเถอะ วันนี้ฉันมีคนล้างจานให้แล้ว”
สิ้นเสียง ลูเซียนกลับเด็กหนุ่มก็หันมามองหน้าผมพร้อมกัน
“อ้อครับ ผมล้างเอง” พูดจบก็ก้มหน้าทานข้าว โดยที่ในใจยังมีเรื่องค้างคาอยู่
สองชุดงั้นหรอ? ไม่เอาน่า วันนี้เขาอาจจะอยากกินเยอะๆ ก็ได้
“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด สองชุดที่ว่า...” ตัดสินใจถาม แต่ชักจะลังเลเพราะกลัวหน้าแตกนี่แหละ ผมเลยเว้นคำพูดไว้อยู่สักพัก เพื่อรอให้อีกฝ่ายขยายความให้ฟังเอง
“ฉันอยู่บ้าน แปลว่าวันนี้คนทำความสะอาดจะไม่เข้ามา...” ต้องการสื่อถึงอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจ “แต่บังเอิญว่าฉันอยากเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ทั้งหมด และที่ต้องทำคงเป็นนาย ก็ถือซะว่าข้าวกลางวันนั่นเป็นแรงไป”
“เปลี่ยนผ้าม่าน...” อ่า~ ข้อแลกเปลี่ยนสินะ
“นายบอกเองว่าอยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรทำ”
“งั้นผมขออะไรคุณเรื่องนึงได้มั้ยครับ”
“อะไร”
“ขอยืมคอมหน่อย”
ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนผ้าม่าน ผมได้รับอนุญาตจากลูเซียนให้ใช้คอมได้ จุดประสงค์ก็คือการเข้าเว็บของมหาวิทยาลัยเพื่อดูผลสอบ เพราะเห็นว่าระบบมันต้องใช้คอมตรวจสอบเท่านั้น มาถึงโต๊ะทำงานผมก็นั่งเก้าอี้ที่เป็นดั่งบัลลังก์ของลูเซียนทันที ส่วนเจ้าตัวก็ถือหนังสือมานั่งตรงโซฟาที่อยู่เยื้องไปไม่ไกล
“ต้องเข้าตรงไหน...” ผมพึมพำอยู่หน้าคอมพลางหาหัวข้อที่ควรกดเข้าไป เข้าหน้าต่างนั้นออกหน้าต่างนี้อยู่สักพักก็เริ่มสับสน ดูท่าว่าเรื่องการใช้คอมจะไม่สิ่งที่ผมไม่ถนัดซะแล้ว
“ได้รึยัง” ได้ยินเสียงเจ้าของห้อง ผมรู้ตัวทันทีว่าใช้คอมนานกว่าที่คิด
“อีกแปบนึงครับ ผมหาทางเข้าหน้าเว็บประกาศผลอยู่” ว่าแล้วก็พยายามต่อ รหัสกับพาสเวิดเตรียมพร้อมแล้วแท้ แต่กลับหาทางเข้าระบบไม่ได้ แค่เรื่องเท่านี้ยังทำไม่ได้ เรื่องสอบของผมก็เป็นไปได้ยากแล้วล่ะ
เวลาผ่านไปสักพัก คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาลุกขึ้นแล้วเดินมาหาผม คิดในใจว่าคงโดนด่าว่าซื่อบื้อหรือไม่ก็ต้องโดนลูเซียนดูถูกเรื่องสติปัญญาแน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะเงยหน้ามองเพื่อถามว่ามีอะไร เขาก็เดินไปหยุดตรงหลังเก้าอี้ จับมือผมออกจากเม้าส์แล้ววางมือตัวเองแทน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับอยู่ตรงพนักเก้าอี้ที่ผมนั่ง ก่อนจะโค้งตัวลงโดยให้ระดับสายตาสามารถมองเห็นหน้าจอคอม
ผมไม่รู้หรอกว่าสภาพการณ์ในตอนนี้เป็นยังไง สัมผัสได้แค่ว่าใบหน้าของลูเซียนอยู่ใกล้ผมมาก มากซะจนหางตามองเห็นข้างแก้มและจมูกโด่งๆ ของเขาได้ในระยะไม่กี่นิ้ว ผมไม่กล้าขยับตัวมาก ได้แต่คิดว่าจะลุกเพื่อหลีกทางให้ หรือควรควบคุมลมหายใจก่อนดี เพราะเมื่อกี้ผมรู้สึกว่าตัวเองจะเผลอกลั้นหายใจไปซะนาน
“รหัสอะไร” คำพูดประโยคสั้นๆ ผมให้ผมสะดุ้งอย่างที่ไม่ควรจะเป็น แถมร่างกายยังกระตือรือร้นกับการหยิบแผ่นกระดาษที่เคยจดขึ้นมาวางให้ลูเซียนเห็น
หลังจากกดตามตัวอักษรบนคีย์บอร์ดเสร็จเขาก็จะกดลงไปที่ปุ่ม Enter
“เดี๋ยวก่อนครับ!” ผมคว้ามือข้างขวาของลูเซียนไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง การกระทำอย่างลืมตัวทำให้ผมชะงักค้างก่อนจะอ้าปากกว้าง เลยเป็นเหตุให้โดนลูเซียนมองหน้า จังหวะนั้นผมสัมผัสได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ของเขาอยู่ใกล้แค่นี้เอง ถ้าไม่พูดอะไรสักอย่างสถานการณ์คงน่าอึดอัดแย่ “คือ... ผมขอเตรียมใจสามวินะครับ”
พูดจบก็หันหน้าไปที่หน้าจอคอมแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
“โอเคครับ กดได้เลย” ผมปล่อยมือจากลูเซียน นำมือตัวเองขึ้นมาประสานกัน รอลุ้นด้วยใจระทึกไปพร้อมๆ กับจ้องหน้าจอคอมอย่างตั้งใจ
ตึ้ง!!
ผมมองทุกตัวอักษร ไล่เรียงเป็นประโยค ทั้งที่เป็นคำสั้นๆ แต่ผมกลับใช้เวลาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีก หลายวันที่ทุ่มเทไปกับการอ่านหนังสือ อดหลับอดนอน ตั้งใจทำมันอย่างจริงจัง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรแสดงการตอบสนองแบบไหน ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรให้ตรงกับใจที่สุด นอกจากเสียจากตั้งสติพร้อมข่มอารมณ์ไว้
‘ไม่ผ่าน’ความหวังทั้งหมดทั้งมวลแทบจะถมทับตัวผม ความรู้สึกหนักอึ้งนั้นเต็มไปด้วยความเสียดาย และโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่ทำให้ดีกว่านี้ หรือเพราะผมก็คือผม ชีวิตเคยล้มเหลวมายังไงก็จะเป็นมันอยู่อย่างนั้น
‘น่าอายชะมัด’ผมนึกในใจอย่างนั้นก่อนจะหันไปมองหน้าลูเซียน นึกไม่ถึงว่าเขากำลังมองผมอยู่
“ทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะครับ” สายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ พอไม่ได้รับคำตอบก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด “อ้อ~ คงเสียดายเงิน 10 ล้านที่เคยเดิมพันกับผมไว้ล่ะสิ... ถ้าคุณไม่บอกความจริง ปานนี้คงได้หัวเราะเยาะผมแล้ว”
“ฉันจะเสียดายกับเงินแค่นั้นทำไม”
“‘แค่นั้น’ เพราะเป็นคุณถึงพูดได้สินะ”
“แพ้แล้วพาลหรอ”
“ก็ที่คุณพูดมันน่าโมโห”
“นายพูดประชดประชันฉันก่อน”
“แล้วมันไม่จริงหรอครับ คุณต้องดูถูกผมอยู่ในใจแน่ๆ คงอยากหัวเราะกับความอวดดีของผม ทำเป็นมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองทำได้ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นคนไม่เอาอ่าวอะไรเหมือนเดิม”
“จะยอมแพ้แค่นี้รึไง” ลูเซียนสวนผมทันควัน “สอบไม่ผ่านมันทำให้โลกนายหยุดหมุนหรอ หกล้มไปก็ลุกขึ้นมาใหม่สิ ใช่ว่าครั้งหน้าจะไม่มีโอกาสซะเมื่อไหร่ มหา’ลัยเอกชนก็มี... ความผิดหวังทำให้ท้อแท้ได้ แต่ถ้าเสียความตั้งใจมันก็ไร้ความหมาย ทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองวาดฝันในอนาคตให้ดี แล้วเอาความผิดพลาดเป็นประสบการณ์เพื่อก้าวผ่านมันไปซะ”
เหมือนผมกำลังโดนญาติผู้ใหญ่สั่งสอนยังไงอย่างงั้น พอได้คิดไตร่ตรองดู จิตใจท้อแท้ที่ใกล้จะดิ่งลงเหวกลับกลายเป็นเห็นแสงสว่างอยู่อีกฝากฝั่ง ลูเซียนใส่อารมณ์กับผมอย่างเต็มที่ จนสามารถอ่านสีหน้าของเขาออกได้โดยไม่ต้องใช้สมองคิด เพราะสิ่งที่ผมมันเรียกว่าความหวังดี
“ที่จริง... นายสอบไม่ผ่านก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับฉันเท่าไหร่”
ให้ตาย~ ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ผมส่ายหน้าพร้อมยิ้มให้กับใบหน้าไร้อารมณ์ของลูเซียน และน่าแปลกที่หลังจากนั้นไอ้คำว่า ‘ไม่ผ่าน’ ดันกลายเป็นเพียงตัวหนังสือสำหรับผมไปเลย
ขณะที่กำลังหันไปปิดคอมผมก็นึกขึ้นได้ว่าควรบอกข่าวนี้ให้ใครบางคนรู้...
“จริงสิ ต้องโทรบอกจ้าน” หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลดล็อคหน้าจอได้แล้วแต่ลูเซียนดันคว้าไปจากมือผมเฉยเลย
“ไปทำงานแลกข้าวก่อน เสร็จแล้วค่อยมาเอาคืน”
“ผมขอคุยแปบเดียวเอง” แสดงสีหน้าอ้อนวอนเต็มที่ จนมารู้ว่าใช้กับคนอย่างลูเซียนไม่ได้ก็ตอนที่โดนเขาขึงตาใส่เนี่ยแหละ
เผด็จการชะมัด!
**
กรัณย์เดินหน้าหงอยออกไปจากห้อง ชายร่างสูงมองตามหลังจนลับตา มารู้ตัวอีกทีก็นึกสงสัยว่าเดี๋ยวนี้เขาเผลอมองเด็กคนนั้นไปกี่ครั้งแล้ว บ้านที่เคยสงบสุข ตั้งแต่มีกรัณย์เข้ามาอยู่ก็ดูน่ารำคาญไปหมด ตอนเช้าต้องได้ยินเสียงกุกกักในห้องครัว อ่านหนังสือก็ดันท่องออกเสียง เวลาเดินผ่านหน้าห้องจะได้ยินทุกครั้ง ที่เคยบอกไว้ว่าให้อยู่แบบไม่รู้ว่าอยู่มันอาจใช้กับเด็กคนนี้ไม่ได้จริงๆ
ลูเซียนวางมือถือของกรัณย์ไว้บนโต๊ะข้างคอม นั่งคิดว่าตัวเองใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าผิดหวังของเด็กคนนั้นใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เห็น แต่น่าแปลกที่มันสามารถกระตุ้นอะไรบางอย่างในใจจนทำให้เขาเผลอพูดอะไรยืดยาวออกไป และสิ่งที่น่ารำคาญไปกว่านั้นคงเป็นตอนที่กรัณย์ยังมีหน้ามายิ้มหลังจากเขาพูดจบ
คิดอะไรสักพัก เสียงโทรศัพท์ของลูเซียนก็ดังขึ้น เบอร์แปลกปรากฏอยู่บนหน้าจอ ชายหนุ่มต้องตั้งข้อสงสัยเพราะน้อยครั้งนักที่จะมีคนโทรมา เนื่องจากการคุยธุรกิจส่วนใหญ่ลูเซียนจะใช้เบอร์จักรพงษ์ในการติดต่อและฝากเรื่อง ทำให้เขาต้องตั้งเบอร์ของเลขาส่วนตัวเป็นเบอร์ต้นๆ
ลูเซียนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่มีคนขอเบอร์เขาผ่านทางจักรพงษ์ ฉะนั้นคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก...
“ฮัลโหล” ลูเซียนติดสินใจรับสาย
[มีโอกาสคุยกันผ่านโทรศัพท์ครั้งแรก หวังว่าคุณลูเซียนจะจำเสียงผมได้]
เจ้าของเบอร์แปลกช่างน่าสนใจ ลูเซียนยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “Welcome to Thailand”
[หึ... ผมใช้เบอร์ส่วนตัวโทรมา หวังว่าคุณจะบันทึกไว้ในเครื่องนะครับ เพราะกว่าจะได้เบอร์คุณมามันยากยิ่งกว่าเผด็จศึกคนภายในสิบวิซะอีก] ลูเซียนเพิ่งบอกให้จักรพงษ์ส่งเบอร์ตัวเองให้อีวานเมื่อเช้า ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะโทรมารวดเร็วราวกับรอการติดต่อกลับอยู่ทุกเวลา ยิ่งโดนเหน็บกลับแบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความจริงได้ดีทีเดียว
“ลำบากคุณแล้ว... แต่หวังว่าความพยายามของคุณจะคุ้มค่า”
[น้อยคนที่จะมีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กับลูเซียน คนที่ได้ชื่อว่ามีโลกส่วนตัวสูงและเข้าถึงยาก ผมอุตส่าห์ได้รับโอกาสนั้น มีหรอจะไม่ยินดี] น้ำเสียงของอีวานมีความขบขันอยู่ไม่น้อย [ผมหลงคิดกระทั่งว่าเลขาของคุณอาจหวงเบอร์เจ้านาย ถึงกล้าปล่อยให้ผมรอตอบกลับซะนาน]
“ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง อาจจะพลาดข้อความของคุณ ต้องขอโทษด้วย”
[ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าเวลามีอะไรเข้ามาดึงความสนใจ ก็อาจทำให้ลืมเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญไปได้] ลูเซียนเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากำลังจะเริ่มเข้าสู่บทสนทนาที่แท้จริงแล้ว
“คุณเองก็คงมีเรื่องที่สนใจมากถึงขนาดตามหาเบอร์ผมเพื่อคุยกันเป็นการส่วนตัว”
[ผมแค่จะขอเจอคุณหน่อย ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้ผมจะแวะเข้าไปที่บริษัทได้หรือเปล่า]
“เราเป็นหุ้นส่วนกัน คุณจะเข้ามาคุยธุระกับผมเมื่อไหร่ก็ย่อมได้”
[บังเอิญว่าเรื่องที่ผมจะคุยไม่เกี่ยวกับธุรกิจน่ะสิครับ] สิ้นเสียงปลายสาย ลูเซียนพังหลังกับพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว่ห้างท่วงท่าสบาย ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดประโยคนั้นสักนิด
“ถ้าอย่างนั้น... ผมก็พอจะเดาออก”
[แหงล่ะ ก็คุณเพิ่งทำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องไม่อยู่เฉย ใช่มั้ยล่ะครับ]
สิ่งแรกที่ลูเซียนคิดหลังจากฟังจบคือเรื่องราวซับซ้อนที่เดาไม่ได้ว่าจะจบอย่างไร สัญชาตญาณหวาดระแวงของกรัณย์ที่มีต่ออีวานสรุปว่าถูกต้อง เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ไม่อาจเลี่ยงได้ จึงตอบตกลงไปอย่างมีความพร้อม โดยหลังจากนัดเวลากันเรียบร้อยอีวานก็วางสายไป
ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าเด็กนั่นทำงานที่สั่งไปถึงไหน เปลี่ยนผ้าม่านคนเดียวเป็นงานใหญ่ คิดว่าอีกเดี๋ยวคงมาขอความช่วยจากเขาแต่ก็ไร้วี่แวว จะไปเสนอตัวก็ไม่ใช่เรื่อง และถ้าเกิดบอกให้ฟังว่าวันพรุ่งนี้อีวานอยากคุยด้วย เขาอาจถูกเจ้าเด็กนั่นซักจนไม่เป็นอันทำงานเลยก็ได้
เวลาผ่านไปไม่นาน ลูเซียนตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ กำลังจะเดินออกไปจากห้องแต่กลับได้เสียงจังหวะดนตรีของโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูซะก่อน ซึ่งเสียงดนตรีสั้นๆ นั้น คงเป็นข้อความเข้าในมือถือของกรัณย์...
ชายหนุ่มไม่ใส่ใจ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วกำลังจะคว้าลูกบิด ทว่าจู่ๆ กลับชะงัก นึกลังเลใจอย่างที่ไม่ควรจะเป็น จากนั้นจึงเดินกลับที่โต๊ะทำงาน ทิ้งมารยาทไว้แล้วหยิบมือถือคนอื่นขึ้นมากดหน้าจอดู
‘มาเจอกันหน่อย’
จาก... ไทด์TBC
อีวานมาแต่เสียง แต่ก็มานะ 555555555
ตอนนี้มีตัวละครใหม่อีกแล้ว เดี๋ยวได้รู้ชื่อแน่ จะมีบทบาทยังไง ต้องรอติดตาม