ตอนที่ 12
ตาเรียวกระพริบแผ่วเบาราวกับผีเสื้อแตะกลีบดอกไม้ ก่อนมือขาวจะยกขี้นขยี้ตาช้าๆ แสงแดดรำไรจากภายนอกฉายผ่านกระจกบานกว้างเข้ามาบอกเวลายามสาย… แดดยังไม่แรงขนาดจะล่วงเลยไปถึงตอนบ่าย เครื่องปรับอากาศเย็นๆกับวิวต้นไม้จากกระจกที่ทอดยาวมาตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นลอยทำให้รู้สึกเหมือนตื่นขึ้นมากลางรีสอร์ท หลังคาก็ยกสูงไม่สร้างความอึดอัด…
เฌอแตมดันตัวเองลุกจากเตียงเดินลงบันไดไม่กี่ขั้นไปเข้าห้องน้ำ จัดการล้างหน้าแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันที่อีกฝ่ายหามาให้ตั้งแต่เมื่อคืน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาจางๆ ถึงได้เห็นว่าชั้นสองที่ตอนแรกว่างเปล่าตอนนี้มีผู้ชายผิวสีแทนนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าโต๊ะเขียนแบบ
ฌามาในเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงผ้าขายาวสีเทานั่งแผ่นหลังเหยียดตรงบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง มือมีดินสอหนึ่งแท่ง กับโต๊ะเขียนแบบสีเขียวมะนาวที่กำลังวาดอะไรบางอย่าง
ความเข้ากันที่ไม่เข้ากัน… เรือนมะนาวที่มีแต่สีเขียว มีเจ้าของเป็นผู้ชายที่ไม่เคยมีสีเขียวบนตัว เหมือนจะรู้ว่าถูกมองเพราะฌามาหันหน้ามาส่งยิ้มให้
ผมบ๊อบที่ทิ้งตัวตามธรรมชาติปรกใบหน้าไปนิดหน่อย บาร์เบลที่หูสะท้อนแสงแดดเล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปสนใจงาน
ขายาวพาตัวเองเดินเข้าไปใกล้บริเวณทำงานของฌามา คือบริเวณที่กินพื้นที่ปีกซ้ายของชั้นสองตรงกับห้องครัวชั้นหนึ่ง มีชั้นวางหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบมากมายวางอยู่เต็มชั้น มีม้วนกระดาษแผ่นใหญ่หลายม้วนถูกมัดด้วยเชือกวางแน่นอยู่ในกล่องทรงแปลกตาข้างชั้น บานกระจกก็มีเชือกสีน้ำตาลห้อยผ้าสามเหลี่ยมสลับสีห้อยระโยงรยางค์ เป็นมุมทำงานที่เหมือนมุมสำหรับเด็กเล่นของเล่น
อันที่จริงฌามาก็เหมือนเด็กโข่งนั่นแหละ… ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งกวนประสาท
ลอบยิ้มกับความคิดของตัวเองก่อนะไปยืนซ้อนหลังเพื่อดูว่าอีกฝ่ายทำอะไร ฌามานั่งทำงานด้วยมือข้างหนึ่งจับดินสอ อีกมือถือแก้วมัคสีขาวที่มีควันกาแฟลอยเอื่อยๆ
แบบร่างที่ถูกวาดบนโต๊ะไม่ใช่ผลงานสถาปัตยกรรมใดๆ แต่เป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่ง… ที่มีผมหน้าม้าปรกตาเล็กน้อย ตาเรียวสวย ปลายจมูกโด่ง ที่กำลังทำหน้าเฉยเมยมองตรงมา
“วาดน่ะขอยัง?”
ภาพเหมือนของตัวเขาเอง…
“ขอตอนแตมหลับ…กระซิบข้างหูเลยนะ แล้วแตมก็ตอบว่า อื้อออออ”
ดึงหูที่มีบาร์เบลเบาๆเป็นการลงโทษกับความมโน อื้อออ ที่ว่าคงจะเป็นเพราะรำคาญที่ถูกกวนตอนนอนหลับมากกว่า
“ขอวาดนะ… จะเอาไปอเมริกาด้วย”
“จำขนาดวาดได้ละเอียดแบบนี้เลยหรอ…”
ถามแผ่วเบาหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของอีกฝ่าย…ก็น้ำเสียงติดจะอ้อนแบบนั้นมันทำให้ทำอะไรไม่ถูก ตาสวยแกล้งทำเป็นมองภาพ เพราะไม่อยากสบตาคมที่แหงนหน้าขึ้นมา
“จะลืมได้ยังไง… จำได้หมดแหละ จำได้แม้กระทั่งมีจุดสีดำเล็กๆตรงนี้ที่ใต้ตา”
มือสากยกขึ้นมาไล้ผิวแก้มเนียนบริเวณใต้ดวงตาแผ่วเบา ก่อนฌามาจะผละออกเล็กน้อยแล้วหมุนตัวมานั่งหันหน้าชนกับคนที่ยืนอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับพระจันทร์ เฌอแตม”
รอยยิ้มจางที่สร้างความหวั่นไหวยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม มือหนาที่มีดินสอคาดอยู่ระหว่างนิ้ววางทาบลงกับแก้มซีดที่ยอมปล่อยให้ลูบไล้ตามใจ… แต่เจ้านิ้วโป้งก็ชักเหิมเกริมขยับมาไล้ตามเรียวปากสีสวย…
ก่อนมือที่ถือแก้วกาแฟจะวางแก้วลงบนโต๊ะและยกขึ้นโน้มคออีกฝ่ายลงมา พร้อมกับที่ยืนตัวขึ้นเพื่อประทับจูบรับอรุณ…ในยามสิบโมงกว่า
“เมื่อคืนฝันดีไหม…”
กระซิบถามชิดเรียวปาก แต่ไม่ได้คาดหวังจะฟังคำตอบ… เพราะทันทีที่ถามจบก็ประกบจูบลงไปอีกครั้ง จูบของคนเอาแต่ใจมันเลยไม่ใช่แค่จูบเพราะมือที่ไล้แก้มนิ่มมันเลื่อนลงไปที่เอวบางออกแรกรั้งทีเดียว…
ร่างโปร่งบางก็นั่งลงบนตักแกร่ง…มือซีดยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งนวดเบาๆไปตามท้ายทอย…และดูเหมือนเจ้าของตักแกร่งจะชอบใจเพราะส่งเสียงครางถูกใจในลำคอ
นาน…กว่าฌามาจะยอมปล่อยให้เฌอแตมได้หายใจหายคอ…ปากสีสวยเห่อบวมขึ้นมาเล็กน้อยจากการถูกฟันคบขบเม้มอย่างได้ใจ
ยังไม่นับจุ้บย้ำๆหลายทีกว่าคนผิวแทนจะยอมซุกหน้าลงกับไหล่ขาว แต่สองแขนก็ยังโอบรอบเอวเฌอแตมไม่ยอมปล่อย
ใบหน้าซีดซับสีเรื่อจางๆ สองมือลูบกลุ่มผมบ๊อบนิ่มเบาๆ ยิ้มจางด้วยความพอใจเมื่อเด็กน้อยครางงุ้งงิ้งเหมือนชอบใจ…อย่างกับเลี้ยงหมา
ชอบให้ลูบ ชอบให้จับ…
แต่เจ้าตัวนี้คงเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่…เพราะเวลาซนก็ซนเหลือเกิน
“ปล่อยได้แล้ว”
“ไม่ปล่อย จะดื้อ”
หลุดขำกับท่าทางงอแงเป็นเด็ก แถมยังส่ายหัวดุ้กดิ้กกับไหล่เขาอีก….ตัวออกโคร่งมาทำท่าแอ๊บแบ๊วเป็นสาวๆไปได้ เลยดึงหูสีแทนเล่นเบาๆ
แต่ไม่ใช่ข้างที่มีบาร์เบลนะ…กลัวอีกฝ่ายเจ็บ จริงๆการเจาะหูแล้วใส่บาร์เบลดามไว้แบบนี้มันทำให้ดูน่ากลัวเหมือนกัน แต่พอมันเป็นฌามากลับทำให้ดูน่ามอง ฌามาเหมือนคนที่เหมาะกับการมีเครื่องประดับสีเงินแบบนี้ หูอีกข้างไม่มีบาร์เบลก็จริงแต่มีจิลที่ทำเหมือนปลอกเหล็กหุ้มใบหูอยู่เล็กน้อย ทั้งยังมีลวดลายแปลกตา
นิ้วก็มีปลอกนิ้วนางกับนิ้วกลาง…ใส่สลับกันไปในแต่ละวัน ขนาดไม่ได้เซ็ตเพราะไม่ได้ออกไปไหนผมแต่เจ้าพวกเครื่องประดับเงินเหล่านี้นี้ก็ยังปรากฏบนตัวฌามา
“วาดรูปต่อไป จะลงไปหาอะไรกิน”
“ฝากดูเจ้าแคกตัสหน่อยสิ”
“ยังไม่ได้รดน้ำ?”
“เปล่าครับ มันไม่ต้องรดบ่อยๆหรอก แค่ต้องดูพวกแมลงเฉยๆ ผมกลัวแมลงมาเกาะแล้วมันจะตาย”
เฌอแตมพยักหน้าก่อนจะลุกออกจากตักที่ฌามาก็ยอมปล่อยออกไปโดยดี ร่างโปร่งเดินลงบันไดไปเลยไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่โผล่มาชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นยิ้มจางเมื่อหันกลับไปสนใจงานวาดของตัวเอง
มือยกขึ้นทำท่าบีบแก้มคนในกระดาษ ซึ่งผิวกระดาษก็ไม่เหมือนผิวนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย… เฌอแตมน่ะร้ายจะตาย เจอกันไม่นานกลับทำให้เขาจำรายละเอียดได้ชัดเจนทุกอย่าง
ใบหน้าเฉยเมยนี่คือวันแรกที่ได้เจอกันในร้านกาแฟ… อีกฝ่ายประทับตัวเองอยู่ในความรู้สึกและความทรงจำเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
“พระจันทร์วายร้าย…”
เสียงทุ้มต่อว่าระคนพึงพอใจก่อนจะเริ่มลงรายละเอียดในส่วนต่อไป จริงๆไม่ได้ชอบวาดภาพคนแบบนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่ชอบการมองหน้า การสบตากับคนที่ไม่สนิท แต่พอเป็นเฌอแตมมันก็เหมือนจะล้นเต็มหัวไปหมดจนต้องหาทางระบายออกมา
การระบายความรู้สึกที่แค่ถ่ายรูปเก็บไว้มันไม่พอ…เพราะเขาจำได้ทุกรายละเอียด จำได้ทุกรอยยิ้ม ทุกสีหน้า หรือจะการกระทำใดๆ…
มันอัดแน่นจนเหมือแผ่นฟิล์มที่เล่นซ้ำๆแล้วไม่สามารถสลัดออกไปไหนได้ มันเป็นเขาเองที่ปล่อยตัวเองให้ดิ่งลงไปในโลกของเฌอแตมและไม่ยอมพาตัวเองว่ายออกมาจากเวิ้งความรู้สึกนี่เสียด้วย
คนอะไร…โคตรร้ายเลย ทุกจูบ ทุกสัมผัสนี่ใส่กัญชาด้วยหรือเปล่า? ถึงติดงอมแงมไม่อยากจะไปไหนไกลๆ
“พกกลับไปอเมริกาด้วยได้ไหมเนี่ย?”
ส่ายหัวกับความอยากครอบครองของตัวเอง สลัดความฟุ้งซ่านและเริ่มทำงานต่อ…
เฌอแตมลงมาทำข้าวผัดง่ายๆ จากข้าวสวยที่อีกฝ่ายหุงไว้ กระทะใบเล็กที่แช่ในซิงค์น้ำกับเศษไข่ก็พอจะรู้ว่าฌามาคงจะทำข้าวไข่ดาวหรือไข่เจียวง่ายๆกินไปแล้ว วัตถุดิบในห้องครัวไม่มีอะไรพิเศษเช่นเดิม พอเริ่มทำกับข้าวก็ชักเพลินมือ ลองเอาเครื่องปรุงของเมืองนอกยี่ห้อแปลกๆมาผสมกันไปมาจนได้รสชาติที่ไม่ค่อยเหมือนข้าวผัดปกติแต่ออกเปรี้ยวหวานเล็กน้อย
ห้องครัวฌามาเหมือนห้องครัวตัวอย่างในร้านเฟอร์นิเจอร์ สะอาดตลอดเวลาแถมเครื่องปรุงก็ถูกจัดวางบนชั้นราวกับถูกออกแบบ จริงๆก็ถูกออกแบบนั่นล่ะ…ก็เจ้าของบ้านเป็นสถาปนิกจะไม่ลงไม้ลงมือกับบ้านตัวเองเลยก็คงไม่ใช่
เฌอแตมวางจานข้าวลงบนโต๊ะ เขาเลือกนั่งหัวโต๊ะเพื่อมองวิวหน้าบ้านที่มีต้นไม้มากมายกับทางเดินหินแบบญี่ปุ่น บ้านที่เป็นกระจกสามด้านแบบนี้ยากต่อการดูแลรักษาเหมือนกัน ไม่ขัดทำความสะอดบ่อยๆก็อาจจะเป็นรอย เลอะฝุ่น หรือมีขี้นกมาติด ประตูบ้านก็บานกว้างลากไปถึงชั้นสอง แต่ก็ไม่ได้เปิดออกรับลมเพราะแดดประเทศไทยแรงเหลือเกิน ลมที่พัดเข้ามาก็มีแต่ลมร้อน
เลยกลายเป็น…เปิดแอร์ทั้งบ้าน
ก็ไม่แปลกใจเพราะฌามาไม่น่าทนต่อสภาวะร้อนเข้าขั้นไหม้ของประเทศไทยได้ อีกฝ่ายเติบโตในเมืองนอกที่มีหิมะ หรือหน้าร้อนก็ไม่ร้อนเท่าที่นี่
ขนาดออกไปดูแลแคกตัสตอนเช้ายังเหงื่ออกราวกับร้อนนักหนา… ส่ายหัวที่ตัวเองดันจำได้แม้แต่ตอนฌามาเหงื่อออก…ชักจะเป็นเอามาก
กินข้าวเสร็จล้างจานที่เจ้าของบ้านทิ้งไว้และของตัวเองเรียบร้อยก็ออกไปดูแปลงแคกตัสตามที่อีกฝ่ายฝากฝังไว้ สงสัยจะชอบเจ้ากระบองเพชรพวกนี้มาก นับดูคล่าวๆก็ประมาณเกินสามสิบต้น แต่พื้นที่แปลงแคกตัสก็ยังเหลืออีกเยอะ สงสัยกะจะทำแปลงใหญ่
ป้ายชื่อรูปพระจันทร์ถูกปักอยู่ตรงกลาง…รู้สึกเหมือนมีส่วนร่วมกับเจ้าพวกแคกตัสเล็กๆนี้ไปซะอย่างนั้น แต่มองๆไปก็น่ารักดีเหมือนกัน เป็นต้นอวบๆอ้วนๆมีหนามเล็กๆ บางต้นก็ดันมีดอกเล็กๆเหมือนกิ๊ฟติดผมติดอยู่
เฌอแตมย่อตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้ที่ต่อออกจากตัวบ้าน หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปแคกตัสแฟมิลี่ของฌามา คิดเพลินๆว่าตอนโตมันจะใหญ่ขึ้นกว่านี้เยอะไหม?
ถ้าได้เห็นก็คงจะดี
โตเร็วๆนะเจ้าแคกตัสแฟมิลี่…
ฌามาเดินลงบันไดมาเพื่อเปลี่ยนจากกาแฟที่เพิ่งหมดแก้วเป็นน้ำเปล่าเย็นๆสักแก้ว จังหวะที่เดินผ่านประตูที่ทอดไปด้านหลังตัวบ้าน ปรากฏร่างเฌอแตมกำลังถ่ายรูปเบบี้แคกตัสก็หลุดยิ้มออกมา
พึงพอใจที่เห็นอีกฝ่ายกับเจ้าแคกตัสไปกันได้ด้วยดี… ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ คนอ่อนโยนก็คือคนอ่อนโยน ถึงจะซ่อนมันไว้ด้วยท่าทางเฉยเมยก็ตาม…
แผนการฝากฝังเบบี้แคกตัสไว้กับเฌอแตมน่าจะไม่มีปัญหา…เจ้าพวกนี้ก็เหมือนลูกของเขากับอีกฝ่าย เขาในฐานะหัวหน้าครอบครัวก็จะออกไปทำงาน ปล่อยลูกๆหลายสิบต้นให้อยู่ในความดูแลของคุณแม่ไป
“ชอบเจ้าพวกนี้หรอคุณ?”
มือชะงักจากการถ่ายรูปหันมามองฌามา ใบหน้าซับสีเรื่อเล็กน้อยด้วยความเขิน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาเห็นบุคลิกแปลกๆของตัวเอง
“ก็น่ารักดี”
“ผมแบ่งให้ไปไว้ที่ห้องไหมครับ? ยังมีต้นเล็กๆที่ยังไม่ลงแปลงอยู่”
“ได้หรอ?”
“อื้อ…แต่ตอนผมไม่อยู่ฝากมาดูเจ้าพวกนี้บ้างได้ไหม? คนสวนจะมาก็จริงแต่ผมก็ยังไม่วางใจ กลัวเขารดน้ำมันเยอะไปแล้วมันจะตาย”
“ไม่ดีมั้ง เจ้าของบ้านไม่อยู่แต่เข้ามาเองคงไม่ดีหรอก”
“บ้านผม ผมอยากให้คุณมาทำไมจะมาไม่ได้? นะ…ฝากดูแลแคกตัสแฟมิลี่หน่อยนะครับ”
ก็ไม่รู้ว่าเพราะแคกตัสมันน่ารักหรือท่าทางอ้อนของผู้ชายตัวโตทำให้รู้สึกลังเลอยู่เหมือนกัน ในความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ดูจะลงล็อคแปลกๆ แต่ยังหาไม่เจอว่ามันคืออะไร
“นะ…แตม”
“ไม่มีกุญแจ…”
“หึหึ…ผมมีกุญแจสำรองครับ ฝากลูกๆของผมด้วยนะ”
มือสากยกขึ้นบีบแก้มซีดเบาๆ ทำเหมือนที่อยากทำตอนวาดรูปใบหน้านิ่งๆนี่เหลือเกิน ถึงจะดูออกว่าเขินแต่ก็ยังแสดงท่าทีน้อยแสนน้อยจนถ้าไม่ได้ใกล้ชิดคงแทบดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง
“นี่ ไม่ใช่เด็กนะ ไม่ตลก”
มือซีดปัดออกแถมถลึงตาใส่ ส่วนเด็กโข่งโดนขู่กลับไม่ยอมแพ้ ยกมือสองข้างขึ้นมาบีบแก้มนิ่มเบาๆ แถมยังทำเสียงปิ๊บๆๆ กวนโมโห
“ฌามา!”
“คร้าบผมมมม”
“เลิกกวนตีนได้ละ”
“เสือกไรอ่ะ อยากกวนมีไรป้ะ?”
คราวนี้คนเขินหายเขินสนิท ดวงตาวาวโรจน์มือซีดยกขึ้นฟาดหัวคนกวนประสาทดังลั่น
“โห เกินไปปะเนี่ย”
“เออ แล้วจะทำไม? ก็บอกว่าอย่ากวนตีน”
“มากไปละ ไหนมาฟาดคืนดิ๊”
“คิดว่ากูยอมหรอ”
“พูดคำหยาบด้วยว่ะ ซ่ามากใช่ปะ กูปล้ำแม่งเลยดีไหม? หา!!”
ตาคมวาวโรจน์ก่อนจะล็อคคอคนแรงน้อยกว่าเข้ามา จับจูบแก้มซ้ายขวาไม่สนใจเสียงโวยวายและมือเท้าที่ปัดป้องมาอย่างรุนแรง
แต่โดนหนักเข้าก็ทนไม่ไหว เลยคว้าเอวบางอุ้มขึ้นพาดบ่า… ถึงจะตัวสูงเท่าๆกันแต่การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแม้การมาไทยจะลดน้อยลงไปบ้างก็ไม่ได้ทำให้เรี่ยวแรงหายไปไหน
“ปล่อยนะไอ้สัส”
“หยาบคายฉิบหาย เป็นหมออะไรเนี่ย โมโหนิดหน่อยไม่ไล่คนไข้ไปนอนหน้าโรงบาลเลยหรอ”
มือหนาฟาดป๊าปที่ก้นนิ่มยิ่งสร้างความโมโหเข้าไปใหญ่
“ไอ้เหี้ย”
“หึหึ…”
บรรยากาศสีลูกกวาดกลับกลายเป็นสีคนละโทน แต่กลับตอบโจทย์ความรู้สึกฌามาได้มากกว่า เวลาได้ทะเลาะ ได้เถียง…เขารู้สึกดีมากกว่ามานั่งคุยกันตามปกติ
เฌอแตมก็อาจจะคล้ายๆกัน เพราะพอจับโยนลงบนเตียงและกระชากเสื้อก็ไม่ยอมแพ้กระชากกลับเหมือนกัน แถมยังเป็นฝ่ายกระชากคอคนแรงเยอะกว่ามาบดจูบก่อน
“หึ…ชอบให้รุนแรงหรอไง..”
“ก็ตั้งใจจะเอาอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?”
“ก็รู้นี่… ทำไมยังจะยั่วอีก”
กระซิบเสียงพร่า ส่วนมือสาละวนกับการถอดเสื้อผ้าทีละชิ้น
เหมือนหนังคนละม้วน เหมือนภาพตัดฉากไปคนละเหตุการณ์ อารมณ์ที่เปลี่ยนไวราวกับกดเปลี่ยนช่อง… จากละครซีรีส์เกาหลีกลายเป็นหนังผู้ใหญ่ติด ฉ ที่เด็กห้ามดู
“ขอกัดได้ปะ…จะขาวโคตรไปถึงไหน”
“ไม่ให้กัด โอ้ย…ก็บอกว่าไม่ให้ อื้อ…”
มือฟาดไปบนแผ่นหลังกว้างที่เพิ่งทิ้งรอยฟันไว้บนลาดไหล่ แต่สุดท้ายมือก็ถูกกำรวบขึ้นไปบนหัวเตียงแล้วถูกปิดปากด้วยจูบเอาแต่ใจ
“จะเอาให้ตายคาเตียงเลยคอยดู”
“ฌามา! ไอ้เวรเอ้ย… โอ้ย”
น้ำตาร่วงลงมาเมื่อความใหญ่โตได้เบียดแทรกเข้าไปในความคับแน่น ไม่มีความอ่อนโยนแถมกระแทกทีเดียวเข้าไปจนสุด
“ชู่ว…ไม่เอาไม่ร้อง…”
น้ำเสียงกระด้างที่แผ่วเบาลงราวกับปลอบโยน พร้อมกับจังหวะขยับที่เริ่มต้นขึ้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังอยู่สักพักก่อนจะกลับกลายเป็นเสียงครางหวาน…
และสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นร้องขอมากขึ้น… สลับกับเสียงร้องเมื่อโดนฟันคมขบกัด หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาด้วยแรงอารมณ์ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“บอกว่าอย่าร้อง…ยิ่งร้องก็ยิ่งอยากอ่ะ…อย่ายั่วกันสิครับ…”
“อะ ไอ้บ้า… อ้ะ”
ร่างกายแอ่นสะท้านเพราะฟันคมขบลงที่ยอดอก ทั้งเจ็บทั้งเสียวซ่านจนเผลอขยุ้มกลุ่มผมสีดำไว้แน่น
“คุณนี่… แม่งน่าตายคาเตียงจริงๆ”
เสียงครางผสานกันของคนสองคนทอดยาวไปถึงยามบ่ายแก่ๆ… จนเหลือเพียงร่างกายที่เลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำ นอนกอดก่ายกันบนเตียงยับยู่ยี่…
…หนังคนละช่อง…ที่มีนักแสดงนำคนเดิม…
===========================================================
ฌามาไบโพล่าจริงๆเลย ! =....=