สำปันนีรูปสำปั้น นึกถึงวันต้องไกลตา
ระลึกแต่วงหน้า ปรางค์ระเรื่อเจือชมพู...
“แม่......ทำไมโถนี้ถึงเหลือครึ่งเดียวล่ะ? สำปันนีของน้องหายไปไหน?”“ไหนลูก? อ๋อ.......แม่แบ่งให้หลานพี่โชคเขาไปน่ะน้อง พองานเลิก ขนมหวานเราก็แจกแขกหมด มีแต่ตาอ๋องเนี่ยที่ไม่ได้อะไรติดมือกลับกรุงเทพฯเลย แม่เลยแบ่งสำปันนีในโหลของน้องให้ไป เมื่อคืนนี้แม่รีบเลยไม่ทันบอก เห็นน้องหาววอดๆ กลับมาถึงบ้านก็ดิ่งเข้าห้องนอนเลยนี่ลูก”
โห...ดูสิครับ แทนที่แม่จะโอ๋ลูกรักอย่างผม พอแม่ผ่องเดินมาถึงตัวก็กลับส่ายหน้าเหมือนจะระอาซะงั้น
ผมไม่ได้ทำอะไรผิดน้า....ก็แค่ กำลังลูบคลำส่วนครึ่งบนที่ว่างเปล่าของขวดโหลเนื้อหนาบรรจุขนมสีชมพูอ่อนที่ถอดพิมพ์เป็นรูปเรือสำปั้นจากภายนอก....อย่างแสนเสียดายเท่านั้นเอง
ผมเล่าไปแล้วใช่มั้ยครับ ว่าผมไม่ได้อยู่ให้แม่เลี้ยงที่บ้านแล้ว ตอนนี้ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯโน่น ผมจะกลับบ้านอย่างน้อยก็สองสัปดาห์ครั้ง แม่กับพี่ผึ้งก็อยากให้ผมกลับทุกสัปดาห์หรอกนะครับ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมเพิ่งจะทำงานได้ยังไม่ครบปีเลย ถึงจะเก็บเงินเก่ง....ไหน ใครว่า ‘งก’ นะครับ น้องตัวต่อไม่ได้งกน้า...ผมแค่ใช้เงินเป็นต่างหาก
อื้อ...นั่นแหละครับ ถึงผมจะเก็บเงินเก่ง แต่ด้วยรายรับและรายจ่ายที่แสนจะสมดุล เงินเก็บที่มีหลังจากทำงานมาได้สิบเดือนจึงยังไม่เพียงพอจะให้ผมมีรถยนต์ส่วนตัวตามมาตรฐานชายไทยวัยทำงานอย่างใครเขา คุณนายผ่องพรรณก็ยื่นข้อเสนอจะดาวน์ให้ แต่ว่าผมก็ยังไม่เห็นความจำเป็นของการมีรถขับขนาดนั้นนี่ครับ
อีกอย่างนะครับ ถ้าเรามีรถก็จะมีค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆตามมากวนใจอีกตั้งมากมาย ไหนจะค่าน้ำมันที่มีแต่ประกาศขึ้นราคาไม่มีลงบ้างเลย ค่าประกันภัย....ซึ่งมันแปลว่าพอเรามีรถ ความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของเราก็จะสูงขึ้นด้วย แล้วยังพวกค่ารักษาสภาพ ค่าซ่อมบำรุง และที่สำคัญนะครับ....ค่าที่จอดรถ!!
เหมือนกับรถเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักที่เราควรซื้อที่นอนแพงๆให้ยังไงยังงั้นเลยครับ แล้วค่าที่จอดรถกลางเมืองนี่ก็แสนแพง อย่างที่อพาร์ทเม้นท์ที่ผมอยู่นี่นะครับ ผมเคยคุยกับพี่ห้องข้างๆ แกบอกว่าแกต้องเสียค่าจอดรถเพิ่มอีกเดือนละหนึ่งพันบาท......
โอ้...มายพระพุทธเจ้า 1,000 บาท!!
น้องตัวต่อกินข้าวเฉลี่ยมื้อละ 30 บาทครับ นั่นคือราคาที่บวกค่าน้ำแล้ว แต่ถ้าวันไหนมีอาการอยากกินผลไม้ ก็บวกไปอีก 10 บาท ดังนั้น ถ้าคิดว่าหนึ่งมื้อผมใช้เงินในการกิน 40 บาท เพราะฉะนั้น ค่าที่นอนรถเดือนละ 1,000 บาท จึงมีราคาเท่ากับอาหารของผม 25 มื้อ
25 มื้อ เชียวนะครับพี่น้อง!!
ด้วยเหตุนี้ ทุกวันนี้เวลากลับบ้านผมก็จะใช้บริการรถตู้ครับ ผมจะไปขึ้นรถตู้สายกรุงเทพฯ-บางลี่ ที่วงเวียนใหญ่ แล้วนั่งหลับตั้งแต่ต้นสายไปจนถึงสุดสายโดยใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง จากนั้นต่อรถแดงหวานเย็นอีกไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงปากทางเข้าบ้านแล้วล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่ผมก็ไม่ค่อยได้พึ่งบริการรถแดงหรอก เพราะผมมักจะกะเวลาให้รถตู้ที่นั่งมามาถึงพอดีกับเวลาที่แม่ผ่องหรือไม่ก็พี่ผึ้งออกมาจ่ายตลาดแล้วจะได้เป็นคนขับไอ้เจ้ากระบะที่บรรทุกทั้งน้ำตาลทั้งแป้งและส่วนผสมทำขนมอื่นๆที่สำคัญซึ่งไม่เคยขาดครัวบ้านเรากลับบ้าน
แล้วเย็นวันอาทิตย์เมื่อผมจะกลับเข้ากรุงเทพฯ สัมภาระที่จะเพิ่มมาด้วยเป็นประจำก็คือขนมครับ แหะๆ ก็ขนมที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าขนมบ้านเรานี่ครับ แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องไปซื้อขนมตามร้านมากินล่ะ.....จริงมั้ย?
แม่น่ะ ถึงจะจู้จี้ขี้บ่นไปบ้าง แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลกเลยล่ะครับ แค่สัปดาห์ก่อนผมแกล้งพูดเบาๆให้พอเข้าหูว่าอยากกินสำปันนีฝีมือแม่จังน้า....แค่นั้นเอง พอกลับมาเตรียมงานแต่งพี่ผึ้ง แม่ก็บอกว่า
‘เดี๋ยววันอาทิตย์อย่าลืมหยิบโหลขนมในตู้กลับนะน้อง....แม่จัดไว้ให้แล้วนะลูก’ แล้วนี่มันอะไรกันครับ มาแบ่งของของผมให้คนอื่นไปซะงั้น....ดีนะที่คนได้ไปเป็นแค่เด็กน้อยน่ะ ไม่งั้นผมไม่ยอมจริงๆด้วย
“ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอะไรแบบนั้นล่ะน้อง เดี๋ยวอาทิตย์หน้าทำให้ใหม่ ได้กินบ่อยๆขี้คร้านจะเบื่อเอาด้วยซ้ำ แล้วนี่จะกลับเข้ากรุงเทพฯก็ไปได้แล้วนะ เดี๋ยวกว่าจะไปถึงก็ค่ำมืดกันพอดี”
ผมวางโหลขนมของมีค่าสุดหวงลงแล้วเดินเข้าไปกอดกอดแม่ โอบแขนรอบเอวกลมๆที่นุ่มนิ่ม แอบขยับมือลูบห่วงยางที่สามสี่ปีหลังมานี้คุณนายผ่องพรรณพกติดตัวไปด้วยทุกที่เล่นเบาๆจนถูกตีมือดังเพียะ
“อ๊อย...แม่อ่า....ก็มันนิ่มดีนี่ น้องชอบ ฮ่าๆๆ หวงเนื้อหวงตัวจังเลยนะครับคุณนายผ่องพรรณ”
“ไม่ต้องมาทะลึ่งกับแม่เลย ไปได้แล้วน้อง เดี๋ยวแม่ขับไปส่งท่ารถ....เฮ้อ...น้องนี่ก็ดื้อจริงๆเชียว น่าจะมาหางานทำแถวบ้านเรา ถ้าแค่ที่จังหวัดก็ไปกลับได้ทุกวันสบายๆแท้ๆ นี่นายกฯแกก็ประกาศรับสมัครเจ้าหน้าที่อยู่นะลูก ขี่รถเครื่องแค่ห้านาทีก็ถึงแล้ว ไม่รู้จะเข้าไปลำบากลำบนในกรุงเทพฯทำไม......”
ครับ.....บลาๆๆ...บลาๆๆๆ แม่คงจะพูดต่อไปเรื่อยๆแน่ถ้าผมไม่ช่วยขัดจังหวะโดยการหอมแก้มที่ทั้งนิ่มทั้งหอมเสียสองฟอดใหญ่ๆ แล้วเลยได้รางวัลเป็นค้อนวงเบ้อเริ่ม
อ้อ แล้วถ้ามีใครสงสัย นายกฯที่แม่ว่าน่ะ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรียิ่งใหญ่ไฮโซนะครับ แม่ผ่องแกหมายถึงนายกอบต. ที่เป็นเพื่อนกับแม่ตั้งแต่เรียนโรงเรียนวัดดอนมะนาวสมัยยังหิ้วปิ่นโตไปแลกกับข้าวกันทุกวันนั่นต่างหาก
เช้าวันจันทร์ผมตื่นตั้งแต่หกโมงครึ่ง อาบน้ำแปรงฟันพร้อมแต่งตัวเสร็จด้วยเครื่องแบบหนุ่มออฟฟิศทั่วๆไปก่อนเจ็ดโมง ดื่มนมจืดพร่องมันเนยเย็นเฉียบหนึ่งแก้วเรียกความสดชื่น
....อันที่จริง สารภาพก็ได้ครับว่าผมยังคงดื่มนมทุกวันเพราะเชื่อว่าตัวเองยังสามารถโตได้อีก
แหม...ก็ผมยังอยากสูงขึ้นอีกนิดนี่นา สักเซ็นต์สองเซ็นต์ก็ยังดี ความสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรถ้วนนี่มันก็มาตรฐานชายไทยดีอยู่หรอกนะครับ และเวลาขึ้นรถเมล์หรือรถไฟฟ้าผมก็ไม่มีปัญหาว่าจับราวหรือที่จับไม่ถึงด้วย แต่พอมีคนถามว่าสูงเท่าไหร่ ผมก็อยากจะตอบว่าร้อยเจ็ดสิบกว่าๆแบบคนอื่นเขาบ้างนี่นา ถึงความเป็นจริงมันจะเป็นร้อยเจ็ดสิบกว่าน้อยๆแต่มันก็ดูดีขึ้นตั้งเยอะไม่ใช่เหรอครับ?
“บอสเรียกเข้าไปทำไมอะน้อง?”
“หึๆ เรียกไป
‘ชม’ ครับพี่แอ๊ว”
ผมหันไปตอบคำถามจากรุ่นพี่ที่นั่งทำงานอยู่ในคอกเยื้องๆกันพร้อมยกมือสองข้างขึ้นทำเครื่องหมายอัญประกาศเน้นคำว่า ‘ชม’ ไปด้วย
พี่แอ๊วถึงกับหลุดหัวเราะคิกแถมหลิ่วตาพยักพเยิดไปทางบานประตูไม้ปิดทึบที่เจ้าของห้องเป็นคุณป้าแว่นกรอบกระวัยย่างสี่สิบผู้ใส่สูทกระโปรง ผมทำสีน้ำตาลเข้มไม่มีผมขาวโผล่ให้เห็นสักเส้นรวบตึงเนี้ยบกริบมาทำงานทุกวัน จะว่าไปป้าแกก็เป็นเจ้านายที่ดีนะครับ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมแกมักจะมาจ้ำจี้จำไชอะไรกับผมนักก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ผมก็ทำงานส่งได้เรียบร้อยตามเวลาทุกครั้ง
“มิน่า.....พี่ก็ว่าออกมาแล้วน้องยิ้มแปลกๆ”
น้องตัวต่อเป็นน้องเล็กของแผนกเล็กๆในบริษัทเล็กๆที่ตั้งอยู่ในสำนักงานเล็กๆบนตึกที่เปิดให้เช่าพื้นที่ทำสำนักงานซึ่งไม่เล็กครับ
ตึกนี้สูงสามสิบสองชั้น ตั้งอยู่ริมถนนสาธร เดินจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์แค่สองบล็อกก็ถึงแล้ว ตอนเช้าเราต้องสแกนบัตรเข้างานก่อน 08.00 น. ถ้าเลขแสดงเวลาเกินมาแม้แต่นาทีเดียวก็จะมีจดหมายตักเตือนจากหัวหน้าแผนก และหากคุณถูกตักเตือนครบสามครั้ง คุณจะถูกหักเงินเดือนเดือนนั้นห้าเปอร์เซ็นต์ และคุณก็จะหมดสิทธิ์รับโบนัสปลายปีด้วย