ลายที่ 7
Flying Fish
(มัจฉาถลาลม)
ป่านไม่มีความฝัน
ไม่ใช่เรื่องผิดประหลาด หากสุ่มถามเพื่อนวัยเดียวกัน แม้มัธยมปีสุดท้ายกำลังก้าวผ่านสู่อุดมศึกษา พื้นที่กึ่งฝันกึ่งจริง สู่ความเป็นผู้ใหญ่อีกขั้น แต่เด็กในระบบการศึกษาที่ไม่เอื้อให้ฝันอาจหาตอบไม่ได้ เป็นเพียงล้อเหล็กเลื่อนเรื่อยบนรางรถไฟ
‘น้องป่านเรียนเก่งขนาดนี้ สอบติดหมอให้คุณแม่ได้แน่นอนเลยค่ะ’
เขาโทษว่าเป็นความผิดเธอคนนั้น คุณป้าข้างบ้านที่จุดประเด็นสนทนาก้าวก่ายความคิด รวมถึงอนาคตของเขา
‘แหม ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิคะ หม่ามี้ป่วยไข้ แก่ตัวไปน้องป่านจะได้ดูแลหม่ามี้ได้’ โทษแม่ที่ยิ้มแย้ม แววตาเปี่ยมด้วยความภูมิใจ คาดหวัง
‘แต่น้องป่านวาดรูปเก่งด้วยนี่คะ บางทีอาจจะเดินตามรอย เป็นศิลปินเหมือนพ่อ...’
ที่สุดแล้วเขาโทษตัวเอง
‘ป่านจะเรียนหมอครับ’
ไม่อาจควบคุมตัวเอง พยายามหนีไกลจากผู้ชายคนนั้น คนเห็นแก่ตัวที่เลือกปลดเปลื้องภาระทุกอย่างเพื่อวิ่งตามความฝัน
สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงพรสวรรค์ที่ติดสายเลือด ติดปลายนิ้ว ย้ำตัวตนผู้ให้กำเนิดทุกครั้งยามจับพู่กัน
มีพรสวรรค์ แต่ไม่มีฝัน
แต่ถ้าความฝันมันทำให้ต้องทิ้งคนที่รักไว้ข้างหลัง ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่มี
ไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้นค้นหา ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสนไขว่คว้าอะไร แค่วิ่งไปตามราง... รถไฟที่เพิ่มจำนวนตู้ตามความหวังที่บรรจุไว้เต็มคัน เอ่อล้น ถมทับ หนัก ล้าแต่ไม่อาจหยุดชะงักกลางทาง
[ วันนี้หม่ามี้มารับช้าหน่อยนะคะ น้องป่านรอที่เดิมนะ ] เพราะรู้ดีว่ามีอีกคนที่เหนื่อยกว่า หวังมากกว่า
“ครับ” ไม่ต้องถามถึงสาเหตุ ชาชินกับการถูกเลื่อนนัดเพราะรู้ดีว่าคนปลายสายกำลังติดพันธุระสำคัญถึงได้มีน้ำเสียงเร่งรีบนัก
รู้ดีว่ายิ่งงานยุ่งเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับความเป็นอยู่ของสองแม่ลูก เป็นผลดีกับอนาคตป่าน
[ ขอโทษนะคะลูก ]
แต่ถึงอย่างนั้น
“หม่ามี้ครับ...” ป่านเหนื่อย
[ ว่าไงคะ ]
บางทีถ้าเราต่างลืมเรื่องอนาคต ถ้าเราต่างหยุดพักบ้าง...
“อย่าหักโหมนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย”
คนปลายสายหัวเราะ เอ็นดูในความห่วงใย [ น้องป่านก็เหมือนกัน เรียนพิเศษเสร็จก็ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนบ้าง อย่าเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวนะคะ ]
แม้ไม่เห็นแต่เด็กดีก็พยักหน้ารับ ระบายยิ้มให้มารดาสบายใจ
“ครับ ป่านรักหม่ามี้นะ”
[ มี้ก็รักป่านค่ะ ] รอยยิ้มระบายบางที่อ่อนระโหยลงในบางคราว แต่เพียงได้ยินคำบอกรักอ่อนหวานก็เติมเต็มเชื้อความหวัง ราวได้อ้อมกอดอุ่นโอบอุ้มให้มีกำลังใจก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
ตลอดมาแม่คือความรักหนึ่งเดียวของป่าน อะไรที่แบ่งเบาได้ป่านจะช่วยแบ่งเบา อะไรที่เป็นความสุขของแม่ก็เป็นความสุขของป่าน
แต่บางที ป่านคงต้องเริ่มเผื่อพื้นที่ความสุขให้คนอื่นบ้าง
ที่พึ่งพึงอื่น เซฟโซนที่จะพาใจไปวางพัก
“ทำไมไม่เข้าไปในร้าน”
สายถูกตัดไปพักใหญ่ แต่เด็กหนุ่มยังนั่งจมจ่อมในความคิด ไม่รู้ตัวว่าเสี้ยวหน้าเหม่อลอยถูกจับจ้องด้วยดวงตาคมอยู่นานสองนาน กระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยทัก ร่างสูงเดินมานั่งที่ม้านั่งตัวเดียวกัน ตามด้วยเจ้าตัวโตที่วิ่งตามมานอนแหม่บแทรกกลาง
“คุยโทรศัพท์น่ะครับ” ไม่มีรอยยิ้มอยู่ในคำตอบ ดวงตายังคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์บางอย่าง
พี่วาขมวดคิ้ว ไม่ชอบเลยสีหน้าแบบนี้
“เป็นไร” เสียงทุ้มถามเจืองุ่นง่าน เป็นห่วงจนหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดเมื่อรู้ตัวว่าเป็นห่วง
“เปล่าครับ” เด็กน้อยไม่อยากให้พี่วาไม่สบายใจ ปั้นยิ้มซื่อใสพลางเอ่ยปากเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้พี่ไม่มีคิวสักเหรอครับ”
สองมือลูบหัวลูบหางโมโจที่ทำหน้าเคลิ้มสบายใจ เห็นแบบนั้นป่านก็คลายความหนักล้าลงบ้าง เขาว่าการเลี้ยงสัตว์จะช่วยประโลมจิตใจได้ คงจริงดังนั้น มาที่นี่ทีไรแค่ได้เห็นโมโจเริงร่ากระโจนขออาหารป่านก็อารมณ์ดีตาม อยากมีโมโจเป็นของตัวเองบ้าง ติดอยู่ที่ว่าแม่คงไม่อนุญาต
“ลูกค้าแคนเซิล” คนพี่ตอบไม่ยี่หระควักมวนบุหรี่ออกมาคาบ ทว่าไม่จุดสูบเหมือนทุกครั้ง
แม้จะเสียลูกค้าแต่ก็ดีแล้ว เขาจะได้พักบ้าง
อีกอย่าง ดูเหมือนตรงนี้จะมีคนต้องการเขา
วาไม่ได้ทึกทักไปเอง แม้ไม่ได้เซ้าซี้ถามจี้จุดให้ลำบากใจ ทว่าการมีคนนั่งอยู่ข้างๆ ก็ช่วยให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป
“ทำไมพี่ถึงมาเป็นช่างสักเหรอครับ ” ในความเหม่อหม่นน้องเอ่ยปากถาม
เส้นทางผิดแผลกเกินจินตนาการ อยากรู้ว่าเป็นเพราะความฝัน หรือวิ่งตามความฝันคนอื่นแบบเขา
“ไอ้เฮียมันชวนมา” คนพี่ตอบไม่ยี่หระ ฟังยียวนจนคนถามหันมาขมวดคิ้วเบ้หน้าใส่
“...” ไม่เห็นหรือว่าน้องจริงจัง
วาหัวเราะพลางเอื้อมมือลูบหัวน้องเบาๆ “ล้อเล่น พี่ชอบนะ ศิลปะบนเลือนร่าง เรียกว่าหลงใหลเลยล่ะ”
อาจเพราะเห็นใจ เห็นน้องมีเรื่องกังวลหรืออย่างไร คำพูดและการกระทำวันนี้ถึงได้ฟังดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง แถมฝ่ามือที่วางอยู่บนหัวก็คล้ายจะแผ่ความร้อนลงทั่วหน้า ความรู้สึกบางอย่างวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนกลบเกลื่อนแกล้งเย้า
“หลงใหลความเจ็บปวดด้วยหรือเปล่าครับ”
“นั่นมันเราต่างหาก” คนพี่เลิกคิ้ว แซวกลับ
“...” สรรพนามไม่คุ้นหูทำน้องชะงักไปอีกครั้ง
“อยากให้พี่ถ่ายรูปให้ดูไหม ว่าตอนโดนสัก เราทำหน้ายังไง” ไม่ชอบเลยเวลาพี่วาพูดเพราะ อ่อนหวาน เจือออดอ้อน
“มะ... ไม่ดีกว่าครับ” เหมือนแกล้งกัน หัวใจป่านกำลังเต้นตึกตัก จนน่ากลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน
พี่วายิ้ม มองแก้มที่ขึ้นสีระเรื่ออย่างน่ารัก สีหน้าขึ้นสีฝาดไร้ริ้วความกังวลอย่างตอนแรกทำให้เขาพอใจ
“ขอดูบัตรประชาชนหน่อยดิ” ในเมื่ออารมณ์ดีแล้วก็ถึงเวลาที่เขาจะเอ่ยธุระบ้าง
“ครับ?” ป่านหันกลับมาเลิกคิ้วงุนงง
ทำไมถึงจะมาตรวจบัตรประชาชนเอาตอนนี้ ตอนที่สักเกือบจะเสร็จแล้ว
พี่วารู้ว่าแปลก ก็ไม่รู้จะถามยังไงให้ไม่แปลก มันเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ได้ตรวจตั้งแต่แรก เพราะไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร
เกือบไม่คิดว่าเป็นปัญหา หากบทสนทนากับเฮียเมื่อวานไม่เตือนสติขึ้นมา
‘เฮีย กูว่าแย่ว่ะ ’ โทษน้องนั่นแหละ คราวก่อนที่มาสักเล่นพูดจาหยอกยั่วเสียจนพี่วาตบะแตก
‘อะไร’
‘มีแววจะติดเชื้อ’ เพ้อพกเตลิดไกล
‘เอดส์?’
‘ไอ้สัด! หมายถึงติดเชื้อหลงเมียเด็กจากมึงเนี่ย’ ยังไม่ทันเป็นอะไรกันก็ทึกทัก คิดเอาเองไปถึงไหนต่อไหน
‘หึ ธรรมดา เนื้ออ่อนมันหวาน’ เฮียเข้าใจ คุณหนูของเขาก็เด็กกว่าเช่นกัน เนื้อขบเผาะแสนหวาน ทุกครั้งที่เจอหน้าต้องห้ามใจไม่ให้กอดฟัดจนช้ำจนไม่เป็นอันทำงานทำการ
‘ยัง กูยังไม่ได้เขา’
อ้าว
‘อ้าว มึงเพ้อซะกูคิดว่าได้กันแล้ว’
‘ก็อนาคต... แม่งต้องได้ว่ะ ต้องได้แน่ๆ’ ก็คงจริงอย่างนั้น ในฐานะผู้สังเกตการณ์ฝั่งน้องก็ใช่จะดูไม่ออกว่ามีใจ
สายตาที่มอง พวงแก้มใสที่มักเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อยามอยู่ใกล้ชัดเจนว่าคงใจตรงกัน ติดก็แต่รุ่นน้องเขานี่แหละที่เล่นตัว อยากเล่นหัวเล่นหางเขาจะแย่แต่ก็ยังทำซึนใจแข็ง
แต่แข็งยังไงก็ละลายให้กลิ่นเนื้ออ่อนหอมหวานแสนน่ารัก พนันเลยว่าอีกไม่นานสัตว์ร้ายจะคลุ้มคลั่ง
‘งั้นได้เมื่อไหร่ก็บอก กูจะได้เตรียมขายร้านไปประกันตัวให้’ แต่เหมือนวาจะลืมปัญหาใหญ่
‘...’ พอเฮียเตือนถึงนึกได้ หลุดภวังค์เสน่หาเบิกตากว้าง
‘…’
‘เออว่ะ ไอ้ฉิบหาย! น้องยังอยู่ม.ปลาย’
เฮียหัวเราะเสียงดัง นานๆ จะเห็นไอ้ขี้เก๊กตื่นตูม ‘แต่สิบแปดแล้วไม่ใช่?’
‘น้องบอกว่าอีกสองเดือนสิบแปด’ เขานึกถึงคำพูดตอนที่เจอกันครั้งแรก
‘สองเดือนตั้งแต่ตอนไหน’
เออว่ะ
‘สองเดือนตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว...’
‘…’
นั่นแหละปัญหาที่ทำให้พี่วานึกอยากตรวจบัตรประชาชนน้องเอาป่านนี้
ไม่จำเป็นต้องทู่ซี้มากมาย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักป่านก็ยอมควักกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบบัตรประชาชนให้
สิ่งแรกที่มองคือใบหน้าอ่อนใสวัยเมื่อสมัยทำบัตรประชาชน เขาลอบยิ้มกับใบหน้าบึ้งเกร็งทว่ากลับฆ่าไม่ตาย แม้แต่กล้องแสนห่วยของราชการยังทำอะไรความน่ารักของน้องป่านไม่ได้
สายตาคมไล่อ่านชื่อ-นามสกุลจริงน้องลอบจดไว้ในใจก่อนเลื่อนสู่ใจความสำคัญ แต่กลับชะงัก เบิกตากว้าง
“เฮ้ย วันนี้นี่”
“อะไรครับ” ยิ่งตกใจยิ่งกว่าเจ้าตัวดูจะไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ
“วันเกิดน้อง”
“อ๋อ ครับ” น้องพยักหน้ารับ
ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ป่านเลิกสนใจมันไปนานแล้ว วันเกิดไม่ใช่วันสำคัญสำหรับป่าน เพียงวันธรรมดา ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีครอบครัวพร้อมหน้า อย่างมากที่สุดถ้าหม่ามี้ไม่ลืมก็จะมีเค้กก้อนเล็กๆ วางไว้ในครัวพร้อมของขวัญ
แต่เมื่อเช้ามีเพียงเงินจำนวนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในบัญชีเท่านั้น
หรือนี่เองสาเหตุที่ท้องฟ้าวันนี้หม่นหมองนัก
“แล้วมานั่งทำไมอยู่นี่ ไม่ไปปาร์ตี้อ่ะ” คนที่จัดแม้กระทั่งวันเกิดโมโจอย่างพี่วาไม่เข้าใจ
“ไม่มีหรอกครับปาร์ตี้” น้องหัวเราะเบาๆ นึกตลกที่สีหน้าพี่วาดูเป็นเดือดเป็นร้อนยิ่งกว่าตัวเอง
ยิ่งได้ยินแบบนั้นพี่ยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อน
“ไร้สาระ วันเกิดไม่มีปาร์ตี้ได้ไงวะ”
สำหรับป่านปาร์ตี้ต่างหากที่ไร้สาระ
ป่านแทบไม่มีเพื่อน หม่ามี้ก็ไม่ว่าง จะให้เขาจัดงานเลี้ยงไปเพื่อใครกัน
“มานี่มา” แต่พี่วาไม่ละความพยายาม น้องไม่สน แต่พี่ใส่ใจ
“ครับ?” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาจับมือน้องฉุดจากที่นั่ง
ไร้คำอธิบาย พี่วากึ่งลากกึ่งจูงน้องเข้าไปในร้านกดไหล่ให้นั่งบนโซฟาก่อนเดินไปเปิดห้องสักของเฮียซึ่งกำลังรับลูกค้าตะโกนฝ่าเสียงมอเตอร์เข้าไป
“เฮีย วันนี้วันเกิดป่าน” ป่านไม่แน่ใจว่าเฮียตอบอะไรกลับมา แต่พอรายงานเสร็จพี่วาก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครอีกคน
“คุณหนูวันนี้เข้าร้านไหม” ดวงตาป่านเบิกกว้าง เดี๋ยวสิ... “ต้องเข้าแล้วแหละ ซื้อขนมมาเยอะๆ...”
“พี่ครับ” ป่านทำท่าจะแย้งด้วยความเกรงใจ ทว่ากลับโดนสายตาดุๆ ปรามก่อนกลับไปคุยกับปลายสาย
“ซื้อเค้กมาด้วย”
“...”
“อือ วันนี้มีคนอายุครบสิบแปด”
วาเคยมีความฝัน
เขารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าชอบอะไร อยากเป็นอะไร
วาชอบวาดรูป และอยากเป็นจิตรกร
โชคดีที่ครอบครัวของวาเปิดกว้างและเคารพเส้นทางที่เขาเลือก ด้วยรู้ว่าลูกชายมีนิสัยเลือดร้อนหัวขบถจึงไม่คิดตีกรอบให้ยิ่งแหกกฎเละเทะไปกันใหญ่ ที่ดีที่สุดคือปล่อยให้ทำตามใจ ปล่อยให้ใช้ชีวิตดิ้นรนต่อความฝันด้วยตัวเอง
ในวัยยี่สิบหกปีวาเผชิญมาแล้วทั้งฝันดีฝันร้าย ฝันสลาย ฝันใหม่อีกครั้ง
เส้นทางศิลปินของทิวากรล้มลุกคลุกคลานกว่าที่คาด จากเด็กที่มีความสามารถในชั้นมัธยม ตาสว่างถูกผลงานชั้นเลิศของคนอื่นกดทับจมหายในสมัยมหาวิทยาลัย มุ่งมั่นพยายามจนจบ เพื่อกลายเป็นศิลปินไส้แห้งในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งไม่มีกำลังพัฒนาศิลปะ
ข้อดีคือในความหัวร้อนรั้นร้ายนั้นไร้อีโก้ ขบถทว่าพร้อมเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ อารมณ์ร้ายแต่มองโลกในแง่ดี ไม่เคยปล่อยตัวจมหายในความสิ้นหวังน่าหดหู่ของชีวิต
เมื่อพี่ชายคนสนิทออกปากชวนเขาทำร้านสักจึงตอบตกลงอย่างไม่คิดลังเล ศิลปะบนเรือนร่างคือสิ่งที่เขาหลงใหลมาตั้งแต่สมัยมัธยม วารู้ตัวว่าชอบรอยสักทว่าไม่เคยคิดถึงการเป็นช่างสัก กระทั่งเฮียของเขามาชี้ทางสว่าง
เขาตกหลุมรักอีกครั้ง ทวีลุ่มหลงเมื่อได้เห็นฝีแปรงของตัวเองบนเรือนร่างของคนอื่น ยิ่งกว่าชื่อเสียงคือใบหน้าอิ่มเอิบพอใจของลูกค้ามากหน้าหลายตา
และพอใจยิ่งกว่าคือการได้เห็นลวดลายแสนสวยบนสรีระหมดจดงดงาม
ดวงตาคมไม่อาจละสายตาจากร่างบางที่กำลังวิ่งวุ่นเดินตามคนนู้นทีคนนี้ทีเพื่ออาสาช่วยจัดงานปาร์ตี้วันเกิดตัวเอง เรียวขาขาวในกางเกงขาสั้นที่เลิกให้เห็นฝูงปลาแหวกว่ายเป็นระยะดูน่าสัมผัส
...ทว่าไม่อาจสัมผัส ได้เพียงจับจ้องจดจารด้วยสายตาเพียงเท่านั้น
งานเลี้ยงเล็กๆ ถูกจัดขึ้นในเวลาเพียงหัวค่ำ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรด้วยความฉุกละหุกกะทันหัน มีเพียงไฟหลากสีที่เฮียช่วยจัด ป้ายแฮปปี้เบิร์ดเดย์ที่พี่วาช่วยเขียน ขนมขบเคี้ยวหนึ่งรถเข็นที่คุณหนูซื้อมา และเค้กหน้าตาน่ารัก ปักเทียนเป็นเลขอายุ
ไม่ได้ดีที่สุด แต่ดีที่สุดแล้วสำหรับป่าน
เด็กน้อยตาวาว แม้จะเคยปฏิเสธไม่เห็นความสำคัญ แต่ลึกๆ แล้วใครๆ ก็คงอยากมีงานวันเกิดของตัวเองทั้งนั้น เพราะมันอาจเป็นเพียงวันเดียวที่เราจะเป็นคนพิเศษ
“อย่าลืมอธิษฐาน” วันที่ได้เอ่ยความปรารถนาโดยไม่ต้องครุ่นคิดพะวง ลืมความเป็นจริงสักครั้ง
ป่านหลับตา อธิษฐานเงียบงัน ก่อนลืมตาขึ้นมาสบดวงตาคมต้องแสงเทียน ก่อนเป่าดับ
คำอธิษฐานคงเป็นจริงหากเก็บไว้เป็นความลับ
งานเลี้ยงเริ่มต้นเมื่อไฟสว่างอีกครั้ง ขนมและเครื่องดื่มถูกเปิด เจ้าของร้านสักดูจะสนุกมากกว่าใครเพราะจะได้เปิดแชมเปญที่เก็บไว้สำหรับโอกาสพิเศษ ขณะที่โมโจเริงร่ากับขนมและอาหารส่วนของตัวเองที่ได้รับอนุญาตให้กินมากกว่าทุกวัน
เป็นงานวันเกิดแปลกๆ ที่คงไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าป่านไม่ได้มาที่นี่ ไม่ได้รู้จักคนเหล่านี้ที่ผูกพันโดยไม่รู้ตัว
“คราวหลังบอกให้เร็วกว่านี้สิ” น้ำเสียงคาดโทษดังมาจากคนที่นั่งข้างๆ “ตอนวาโทรมาเรายังอยู่ต่างจังหวัดอยู่เลย ดีนะที่คุยงานเสร็จแล้ว” สภาพของคุณหนูวันนี้ดูจริงจังกว่าทุกครั้ง คนที่มักจะชอบใส่เสื้อยืดโคร่งๆ กับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขาขาวกลับสวมเชิ้ตสูทภูมิฐาน ดูดีเสียจนป่านตะลึงไปในตอนแรก
“ขอโทษครับ ผมไม่คิดว่ามันสำคัญ” เด็กยิ้มเจื่อน แต่น้องไม่ได้เป็นคนต้นคิดนี่ พี่วาต่างหาก
ว่าแล้วก็หันมองตัวตั้งตัวตีที่กำลังละเลียดเค้กแกล้มแชมเปญ สีหน้ามีความสุขของพี่วานั้นดูมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าตอนบูดบึ้งที่ชอบทำเป็นประจำ
“สำคัญสิ” คุณหนูแค่นหัวเราะจางๆ หลังได้ยินคำตอบ ยิ้มมีเสน่ห์แพรวพราวยิ่งพราวระยับใต้แสงไฟหลากสี ฝ่ามือที่เอื้อมมาลูบหัวเด็กน้อยแผ่วเบา อ่อนโยนทำให้ป่านรู้สึกได้ถึงความเอ็นดูแม้จะเจอกันไม่กี่ครั้ง
“อีกหน่อยก็คงจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน” ทิ้งถ้อยคำพร้อมความอุ่นที่ศีรษะไว้ก่อนลุกออกไปร่วมวงกับเฮียและพี่วา
ป่านมองทั้งสามคนในวงแชมเปญที่ป่านไม่ได้รับอนุญาตพลางลอบยิ้ม นานแค่ไหนที่ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับส่วนใด โดดเดี่ยว คล้ายมีเพียงตัวคนเดียวในโลก
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ป่านถูกต้อนรับเข้ามาในโลกใบเล็กๆ ที่ไม่เคยจินตนาการถึง โลกที่ไร้การตัดสิน คาดหวัง และหลงใหลในสิ่งเดียวกัน
“แม่มารับสี่ทุ่มใช่ป่ะ” เมื่อเห็นน้องนั่งคนเดียวพี่วาจึงผละจากวงมานั่งเป็นเพื่อนเอ่ยถามชวนคุยเพื่อตะล่อมเข้าจุดประสงค์บางอย่าง
“ครับ” วามองนาฬิกา อีกไม่กี่นาทีหม่ามี้ของป่านก็คงโทรมา นี่คงเป็นจังหวะสุดท้าย
“อ่ะ” กล่องสีฟ้าผูกริบบิ้นขาวขนาดเล็กเท่าฝ่ามือถูกดึงออกมาจากกระเป๋ายื่นให้
“ครับ?” น้องงุนงง เลิกคิ้วมองของขวัญสลับกับใบหน้าที่กลับมาเก๊กนิ่งอย่างไม่แน่ใจ ไม่เคยคาดหวังของขวัญวันเกิด แค่จัดปาร์ตี้ให้ก็ถือว่ารบกวนมากแล้วด้วยซ้ำ แต่จะปฏิเสธก็คงเสียมารยาท ป่านจึงเต็มใจรับไว้
“ขอบคุณครับ”
“แกะดูสิ” พยายามคาดเดาจากขนานว่าข้างในเป็นอะไร กล่องเล็กๆแบบนี้น่าจะเป็นเครื่องประดับสักอย่างล่ะมั้ง
และเป็นจริงตามนั้น ภายในกล่องบุผ้าสักราดสีครามปรากฏสร้อยสีเงินเส้นห้อยจี้รูปผีเสื้อและปลาตัวเล็กๆรอบวงซึ่งขนาดใหญ่กว่าข้อมือของป่านอยู่มาก
เป็นสร้อยข้อเท้า
“มา สวมให้” ไม่เปิดโอกาสให้น้องได้ถามว่าไปหามาจากไหน ของขวัญเฉพาะเจาะจงขนาดนี้จะบอกว่าฝากคุณหนูซื้อมาเหมือนขนมอื่นๆ คงไม่ใช่ แต่ป่านก็ไม่เห็นพี่วาหายไปจากปาร์ตี้เลย
หมายความว่าเตรียมไว้ก่อนหน้าจะรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดน้องงั้นหรือ?
ป่านคิด แต่ไม่อนุญาตให้ตัวเองเชื่อในความคิดนั้น
ดวงตากลมมองร่างสูงที่นั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ฝ่ามือบรรจงประคองฝ่าเท้าน้องขึ้นมาวงบนตัก สวมสร้อยข้อเท้าสีเงินกับจี้ที่ห้อยล้อแสงไฟพราวระยับขับให้ข้อเท้าได้รูปยิ่งดูงดงาม
ถึงจุดนี้ป่านคิดอะไรไม่ออกนอกจากปล่อยให้หน้าแดงซ่าน สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือใหญ่คล้ายจะสลักไว้อยู่อย่างนั้นตลอดกาลทั้งที่พี่วาปล่อยมือขยับออกไปจ้องมองเรียวขาขาวอย่างพอใจ
ป่านคิดว่ามันเป็นเพียงความเอาแต่ใจของคนพี่ที่เห็นข้อเท้าน้องสวยจึงหาเครื่องประดับให้ ไม่ได้พิเศษมากกว่านั้น ทว่าจี้รูปผีเสื้อและฝูงปลาทนโท่ก็ทำให้ยากที่จะกล่อมความคิดไม่ให้เตลิดไกล
โดยเฉพาะสายตาที่กำลังมองสบตาคล้ายกำลังจกภวังค์หหลงใหล
“พี่ครับ หยุดจ้องได้แล้ว ”
“เฮ้อ”
“พี่...”
“มึงอ่ะ ยี่สิบสักทีดิ๊”
คำพูดเอาแต่ใจผูกโยงกับบทสนทนาก่อนเก่าที่ดังเข้ามาในหัวราวกับจะช่วยเตือนความทรงจำ
‘ผมเห็นคุณหนู... เอ่อ แฟนเฮียสักรูปดอกไม้ตรงข้อเท้า สวยดีนะครับ ’
‘เอาบ้างไหมล่ะเดี๋ยวสักให้’ เหตุที่มาของของขวัญวันเกิดที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า ทั้งที่ไม่รู้ด้วยว่าน้องเกิดวันไหน
‘ผมไม่อยากได้รูปดอกไม้’
‘ก็ไม่ได้จะสักดอกไม้ให้’
‘...’
‘ของมึงแค่เส้นเดียวรอบข้อเท้าก็พอ’
‘อย่างกับถูกจองจำเลยครับ’
‘อือ’ แม้ไม่ได้สลักลวดลายสมใจ ทว่าสร้อยข้อเท้าจับจองจองจำไว้
‘...’
‘กูจอง’
รอวันที่ฝูงปลาจะแหวกว่าย ผีเสื้อสยายปีกโตเต็มวัย
☀ ------------------ #มอปลายลายสัก #สักวาป่านหวาน #วาป่าน -------------------☀
ขอโทษที่ไม่เคยแจ้งไว้ในนี้เลยว่าตั้งใจจะเขียนให้จบแล้วมาโพสต์ทีเดียวเลยหายไปค่ะ
ตอนนี้ก็ยังเขียนไม่จบง่ะ แต่คิดถึงจังเลย เลยแอบแวะมาขอกำลังใจแงๆ ;-;
ตอนนี้แก้อยู่ประมาณเกือบ10รอบแน่ะ สาหัสมากถ้ายังไม่สมูทหรือผิดพลาดตรงไหนแจ้งได้เลยนะคะ
ปล.เดี๋ยวจะหายไปซุ่มต่อ เจอกันอีกทีประมาณปลายเดือนน้า (ภาวนาให้ปั่นจบทันเดดไลน์ด้วยเท้อออ)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้กันเสมอนะคะ
รักมากๆ เลย
-Martian-