ตอนที่ 14
เพราะเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทำให้รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวในยามค่ำคืน ไม่อนุญาตให้พลเมืองคนใดออกจากบ้านในยามวิกาลไม่ว่าจะเหตุการณ์จำเป็นแค่ไหนก็ตาม หากผู้ใดขัดขืนสามารถกำจัดได้ทันทีโดยไม่มีการประนีประนอม
แน่นอนว่าคำสั่งที่ออกมาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ล้วนมีนัยยะสำคัญคือรัฐบาลต้องการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏ และตักเตือนไปยังเบต้าทั่วไปที่มีความคิดที่เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏชังชาติเหล่านี้
การกระทำเช่นนี้แสดงออกชัดว่ารัฐบาลกำลังหวาดหวั่น
อนุสาวรีย์ของพวกเขานั้นไม่เคยถูกทำลายได้สำเร็จมาก่อน ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาบรรจงเขียนบรรจงสร้างขึ้นมาให้เหล่าพลเมืองของประเทศได้ภาคภูมิใจนั้นกำลังถูกสั่นคลอน
ถึงแม้ทางรัฐบาลจะพยายามปิดข่าวอย่างไร แต่ข่าวใหญ่แบบนี้ก็ไม่มีวันเงียบในหมู่มวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่ากลุ่มปฏิวัติที่ทั้งเก็บภาพ อัดเสียง และทำทุกวิถีทางที่จะเก็บวินาทีประวัติศาสตร์เหล่านี้ไปเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้ ให้พวกเขาเริ่มสงสัยและตั้งคำถามก่อนที่จะผันตัวมาเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏในที่สุด
อนาคตอันรุ่งโรจน์
กลุ่มปฏิวัตินิยามมันเช่นนั้นยามที่โปรยรูปอนุสาวรีย์สิงโตของอัลฟ่าที่ถูกแผดเผาไปทั่วเมือง ไฟแห่งความหวังของพวกเขากำลังล้างผลาญอำนาจอันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลและประกาศศักดาว่าพวกเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของอำนาจโดยแท้จริงในประเทศนี้ ไม่ใช่พวกอัลฟ่าเห็นแก่ตัวที่มาชุบมือเปิบแล้วอวดอ้างว่าตนเองนั้นมีบุญคุณนักหนาแล้วทวงบุญคุณไม่เลิกสักที
การปฏิวัติกำลังถูกจุดขึ้นอย่างจริงจัง เหล่าเบต้าที่หลบซ่อนความเป็นขบถในใจมานานต่างเริ่มเผยตัวกันออกมาเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติด้วยความหวังว่าจะส่งต่อประเทศที่ดีกว่านี้ให้กับตัวเองและลูกหลาน แต่ด้วยความเป็นรองทั้งในแทบทุกด้าน ในเวลานี้พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเล่นละครไปตามที่อัลฟ่าต้องการ แสร้งว่ายอมศิโรราบและเฝ้ารอสัญญาณจากกลุ่มปฏิวัติว่าพวกเขาควรจะลุกฮือเมื่อใด
ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำร้อยในแบบเดิมอีก
การต่อสู้ครั้งนี้ผู้ชนะจะต้องเป็นมวลชนเท่านั้น!
แน่นอนว่าถึงแม้รัฐบาลจะพยายามประกาศเคอร์ฟิวหรือศักดาอย่างไร พื้นที่บางพื้นที่ก็ยังคงความเป็นเอกเทศและไม่สนใจข้อกฎหมายใดหรือศีลธรรมจรรยาเช่นเดิม
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็กลับไปหาพวกอาได้นะ”
ธันลูบหัวทวิชด้วยความเอ็นดูหลังจากที่พากลับมาส่งไว้ที่เขตปลอดแสงสว่าง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคึกคักอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะทหารของทางการเข้ามาในพื้นที่อย่างหนาตาก็ตาม
“ครับ”
ทวิชพยักหน้ารับเบาๆ แล้วกระชับเสื้อฮู้ดของตัวเองให้ปิดหน้ามากขึ้นเมื่อมีคนเดินเฉียดเข้ามาใกล้
“งั้นอากลับก่อนนะ”
ธันเอ่ยลาทวิชก่อนที่จะเดินเข้าไปในฝูงชนกลืนหายเข้าไปในพริบตา ส่วนทวิชนั้นก็ตัดสินใจคืนร่างต้นส่วนบนเป็นเสือดำแล้วถึงเดินลึกเข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตามในเวลานี้สถานะของอัลฟ่าในสายตาคนส่วนใหญ่นั้นก็ยังน่าหวาดหวั่นอยู่ ทวิชที่แทบไม่มีทักษะการต่อสู้อะไรจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการปกป้องตัวเองอยู่เสมอ
“…”
ทวิชพยายามคงสีหน้านิ่งเฉยเพราะรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการจับตามองอย่างผิดปกติจากเหล่าเบต้าที่อยู่ในเขต ทั้งๆ ที่ปกติแล้วผู้คนที่อยู่ในเขตนี้จะไม่สนใจอะไรนัก จดจ่ออยู่กับสินค้า เงินทอง และชีวิตของตัวเอง
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ทวิชรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดที่คืนร่างต้น
กลิ่นอายของการปฏิวัติที่ลอยไปทั่วจนแม้แต่ผู้คนในเขตนี้ให้ความสนใจ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่หวังถึงอนาคต ความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้อยู่แล้ว เพราะในเขตนี้ลำพังแค่สูดหายใจให้เต็มปอดยังทำไม่ได้เลย มีทั้งฝุ่นควัน กลิ่นสาป อะไรต่างๆ คละคลุ้งไปหมด ยามที่เดินผ่านตรอกต่างๆ รองเท้าก็มักจะเหยียบน้ำอยู่ตลอดเนื่องจากเป็นเขตที่ตั้งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เวลาที่มีฝนตกบริเวณนี้ก็มักจะน้ำท่วมอยู่เสมอ
ข้อดีเพียงอย่างเดียวข้อที่นี่ก็คือความมืดมิดที่ก่อเกิดจากตึกสูงของพวกอัลฟ่าที่ตั้งขนาบไว้แทบทุกทิศ เงาที่ทอดลงมาทำให้เขตนี้ทั้งเขตมืดมัวจนต้องเปิดไฟตลอดเวลา แต่ผู้คนในเขตนี้ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะใช้ไฟจากตะเกียงมากกว่าเพราะมีราคาที่ถูกกว่ามาก
และแน่นอนว่าความมืดมิดเหล่านี้ก็ล้วนก่อให้เกิดการอำพราง การอาศัยอยู่ในย่านนี้ทำให้ผู้คนไร้ตัวตน หนำซ้ำวัฒนธรรมการสวมชุดคลุมดำที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นนั้นก็ยิ่งทำให้สถานะของบุคคลในเขตนี้ไร้ตัวตนมากยิ่งขึ้นไปอีก
ฉะนั้นเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย ถูกล่วงละเมิด ลักพาตัว อุ้มฆ่าหรือทรมานจนตายก็ไม่มีใครสนใจ
ชีวิตในที่แห่งนี้คล้ายกับมีอิสรภาพแต่มันก็เป็นแค่ของจอมปลอม พวกเขายังคงเป็นบุคคลไร้สถานะในสังคมเช่นเดิม และมีหน้าที่จำนนต่อชะตากรรมชีวิตก่อนที่จะก่นด่าตัวเองว่ายังพยายามไม่มากพอ
สาเหตุที่ผู้คนนั้นต่างดูออกนั้นว่าทวิชนั้นเป็นอัลฟ่าก็อาจจะเป็นผลพวงมาจากนัยน์ตาสีทองที่กำลังเรืองรองในความมืดอย่างสัตว์ตระกูลแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงหน้าที่ดูดุร้ายนั้นก็แสดงออกชัดว่าเป็นอัลฟ่า แน่นอนว่าทวิชไม่อยากมีปัญหากับใครในที่แห่งนี้จึงรีบก้มหน้าเดินไปยังจุดหมายของตัวเอง
‘บาร์ตึกแถว’ คือชื่อจุดหมายที่ว่าและเป็นสถานที่ที่ทวิชได้ยินคำเล่าลือมานานว่าเข้าถึงยาก มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของร้านให้ขึ้นไปลิ้มรสสุรารสจัดได้
แน่นอนว่าถ้าเป็นตอนปกติทวิชคงไม่สนใจ เพราะลำพังแค่เข้ามาเดือนละครั้งก็ทำให้เขาเจ็บปวดเต็มกลืนแล้ว และในเขตนี้ก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินใจด้วย สิ่งเดียวที่ทำให้เขายิ้มออกคือจำนวนเงินได้รับจากแม่เล้าเท่านั้นเอง
ทวิชเดินตอนไปเรื่อยๆ โดยพยายามตัวให้เล็กและเป็นจุดสนใจน้อยที่สุด อาศัยจังหวะช่วงหนึ่งที่คิดว่าไม่มีใครสนใจคืนกลับเป็นใบหน้ามนุษย์แล้วเดินต่อด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น หากแต่สิ่งเดียวที่ทวิชซุกซ่อนไม่ได้ก็ยังคงเป็นนัยน์ตาเรืองรองของตัวเอง
ผ่านไปสักพักหลังจากที่ลัดเลาะไปหลายซอยในที่สุดทวิชก็พาตัวเองมาถึงหน้าตึกของบาร์ที่ว่านั่นได้ ซึ่งชั้นล่างก็เป็นกิจการขายยาสูบที่เจ้าของร่างเป็นเบต้าหนูร่างเล็กที่ยืนสูบอยู่และพ่นควันออกมาเป็นช่วงๆ
“วันนี้ร้านปิดแล้ว ไม่มีของ ของมาเติมพรุ่งนี้”
เบต้าหนูในร่างกึ่งมนุษย์เหลือบมองทวิชด้วยหางตา ไม่สนใจอีกฝ่ายสักนิด
“ผมมาตามคำเชิญ”
ทวิชล้วงหยิบการ์ดที่เพิ่งได้รับมาจากอานทีและยื่นให้กับเจ้าของร้านร่างเล็ก ซึ่งเจ้าหนูก็ขมวดคิ้วนิดๆ ตอนที่รับไปดูเพราะสภาพการ์ดที่เขามีนั้นค่อนข้างเก่าพอสมควร แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเนื่องจากการ์ดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมรดกที่เขาได้รับจากพ่อแม่ตัวเอง
‘สิทธิพิเศษสำหรับเหล้าความจริงหนึ่งแก้ว’
บาร์ตึกแถว
นั่นเป็นข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ข้างในและเขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร ซึ่งคนที่งงกว่าก็คืออานทีที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบาร์อะไรนี้เลย สิ่งเดียวที่อาของเขารู้คือพ่อแม่ฝากเอาไว้ให้เขาเท่านั้นเอง
“รหัส”
“รหัส?”
ทวิชทวนคำงงๆ จนเบต้าหนูหงุดหงิดกว่าเดิม และพ่นควันใส่หน้าทวิชจนทวิชไอโขลก ซึ่งพอแกล้งทวิชเสร็จก็อารมณ์ดีขึ้นยอมคุยด้วยดีๆ
“ก็รหัสในวิทยุไง”
ทวิชอยากจะทำหน้างงอีก แต่สุดท้ายก็ลองเดาสุ่มไปจากข้อความในความทรงจำที่ดูพิลึกพิลั่นเกินกว่าจะเป็นคำปลุกใจทั่วไปของกลุ่มปฏิวัติ “..จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ”
“ถูก แล้วก็จำด้วยนะไอ้หนูว่าไอ้รหัสนี้มันไว้เช็คพวกเดียวกัน อย่าไปพูดกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วกัน”
เบต้าหนูหัวเราะร่วน คืนการ์ดให้ทวิชแล้วพยักพเยิดไปยังบันไดทางขึ้นข้างหลังตัวเอง
“ขึ้นไปซะ ร้านอยู่ชั้นสาม”
“..ครับ”
ทวิชพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นไปบันไดด้วยความยากลำบากนิดๆ เพราะส่วนภายในห้องนั้นค่อนข้างรกมาก ข้าวของภายในถูกวางอย่างระเกะระกะ ส่วนตามบันไดก็เต็มไปด้วยลังที่บรรจุข้าวของต่างๆ เอาไว้ ทวิชพยายามเดินอย่างระมัดระวังจนในที่สุดก็พอตัวเองมาถึงหน้าประตูชั้นสามได้
‘Whale’s Bar’
“...”
ทวิชจ้องป้ายเล็กๆ ที่ห้อยไว้หน้าประตูนิ่ง และได้แต่หวังว่าสัญชาตญาณของเขาจะแม่นยำมากพอ เพราะเขารู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขาในทางทางหนึ่งแน่ๆ เขาจึงยอมมาที่นี่ก่อนที่จะกลับไปร้านของเขา
แน่นอนว่ามาถึงตอนนี้แล้ว ทวิชไม่มีวันถอยกลับจึงเลือกที่จะเปิดประตูเข้าไปทันทีและยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นบรรยากาศข้างในชัดๆ
“...ยินดีต้อนรับ”
น้ำเสียงนุ่มนวลจากบาร์เทนเดอร์ที่กำลังยืนเช็ดแก้วอยู่แทบไม่เข้าหูทวิชสักนิด เพราะบรรยากาศในร้านนั้นราวกับไม่มีอยู่จริง ถึงแม้ทุกอย่างจะมืดสลัวแต่ก็ถูกกล่อมเกลาด้วยบรรยากาศบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกวาบหวามลึกลับและร้อนแรง ห้องนั้นถูกฉาบไปด้วยไฟสีแดงกับม่วงสลัว บนผนังนั้นมีไฟนีออนสีฟ้ากับขาวที่ถูกดัดเป็นรูปวาฬซึ่งบริเวณใต้ท้องมันนั้นก็ถูกมีชื่อร้านที่ใช้ไฟนีออนทำเหมือนกันดัดเป็นตัวเขียนเล็กๆ อีกที
“ครับ”
ทวิชรับคำในลำคอเผลอเหม่อลอยไปชั่วขณะ ต้องยอมรับเลยว่าเขารู้สึกเมาทั้งๆ ที่ยังไม่ดื่มอะไรแม้แต่หยดเดียว
“เดี๋ยวผมขอการ์ดของลูกค้าด้วยนะครับ”
ทวิชสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของร้านและพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีผมสีเงินหนำซ้ำยังมีตาเทาอีก ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่รูปลักษณ์แบบที่ผู้คนทั่วไปมีอย่างแน่นอน
“..อ่า ผมลืมแนะนำตัวสินะ” คนเป็นเจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ และยิ้มบางให้ทวิชอย่างใจดี “ผมชื่อรุจ เป็นเจ้าของบาร์ตึกแถวแห่งนี้ที่พวกคุณเล่าลือกันนั่นแหละครับ เพียงแต่ผมเจ้าของร้านที่เรื่องมากนิดหน่อยตรงที่ชอบเลือกลูกค้าเนี่ยแหละ ฮะๆ ”
ผ่านไปสักพักสติของทวิชก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ทวิชจึงหยิบการ์ดออกมาให้อย่างว่าง่าย ซึ่งรุจก็รับไปดูด้วยท่าทีสบายๆ และยิ้มให้ทวิชอีกครั้ง
“เหล้าความจริงหนึ่งที่สำหรับคุณทวิชนะครับ”
“...คุณรู้จักผม?”
รุจหัวเราะแล้วหันไปจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับการชงเหล้าให้ทวิชอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าคมคายที่ถึงแม้จะดูมีอายุแต่ก็ยังคงเสน่ห์เอาไว้อย่างผุดยิ้มลึกลับ
“รู้จักสิ ผมก็รู้จักทุกคนที่ผมสนใจนั่นแหละ”
“...”
จากที่นั่งสบายๆ บนที่นั่งกลายเป็นเกร็งตัวขึ้นมาทันทีด้วยความหวาดหวั่น ซึ่งรุจก็คล้ายกับเห็นความกลัวนั้นของทวิชจึงพูดต่อเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
“ไม่ต้องห่วง คุณทวิช ผมก็แค่เฝ้ามองคุณเท่านั้นเอง แล้วคุณก็ไม่ใช่คนเดียวที่ผมมองด้วย”
รุจพูดไปยิ้มไป
“..คุณเป็นใครกันแน่”
“เห็นแก่ที่คุณยังมีชีวิตรอดจนมาถึงตอนนี้ได้ ผมก็จะยอมบอกหน่อยแล้วกัน” รุจหัวเราะก่อนที่จะวางทุกอย่างในมือลง แล้วถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสมบูรณ์ข้างใต้เสื้อที่มีร่องรอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมด นัยน์ตาสีเทาของรุจนั้นคล้ายกับเรืองรองขึ้นเมื่อจับจ้องทวิช
“คิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณนั้นเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เหรอ คุณทวิช”
“...ผมไม่เข้าใจ”
ทวิชตอบเสียงแผ่วเผลอกุมมือตัวเองแน่นใต้โต๊ะตามสัญชาตญาณ
ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไรด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้สึกหวาดกลัว
“วันนั้นที่คุณบินไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
“คุณเป็นพวกกลุ่มปฏิวัติ?”
รุจแค่นเสียงหัวเราะ “ผมไม่ใช่พวกใครทั้งนั้น และผมก็ไม่รับใช้ใครนอกจากพรรคพวกของผม” นัยน์ตาสีเทาจับจ้องไปยังปลาวาฬที่ถูกดัดจากไฟนีออนด้วยความอาลัย “คุณเคยได้ยินเรื่องวาฬรึเปล่า”
ทวิชเบิกตากว้างเพราะพอรุจหันหลัง เขาถึงเห็นว่าบนแผ่นหลังหนานั้นมีครีบสีดำงอกออกมา
“..ไม่ใช่ว่าพวกคุณสูญพันธุ์หมดแล้วเหรอ”
“ก็แค่เกือบเพราะอย่างน้อยก็มีคนที่รอดอย่างผมอยู่”
พอให้ทวิชดูเสร็จก็หันไปง่วนกับการชงเหล้าต่อ และเล่าด้วยท่าทีสบายๆ
“ก็อย่างที่ประวัติศาตร์ของอัลฟ่าเขียนไว้นั่นแหละ พวกวาฬอย่างเราก่อกบฏก่อนรุ่นพ่อแม่คุณอีก แต่สุดท้ายก็แพ้ยับเยินจนตายกันหมด ที่ผมยังทนมีชีวิตอยู่ก็แค่สืบต่อเจตนารมณ์ของพวกเขาเท่านั้น”
ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่น้ำเสียงของรุจนั้นก็ยังแข็งกร้าวมากอยู่ดี อายุที่ยืนยาวบางครั้งก็เหมือนเป็นคำสาปร้ายมากกว่าพรจากพระเจ้า ความโดดเดี่ยวและความทรงจำอันเจ็บปวดทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าสุขสันต์
“หน้าที่ของผมก็คือล้มพวกชนชั้นนำสารเลวพวกนั้นให้ได้ก่อนที่ผมจะตาย”
“..สรุปคือคุณอยู่เบื้องหลังกลุ่มปฏิวัติครั้งนี้?”
รุจวางแก้วลงตรงหน้าทวิชและยิ้มแทนคำตอบ
“ทุกครั้งของการปฏิวัติต่างหาก ใครจะให้คำปรึกษาด้านการปฏิวัติได้ดีเท่าคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ล่ะ ทุกการเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิวัติพวกนี้ต้องปรึกษาผมกันทั้งนั้น อาจจะเรียกผมว่าเป็นที่ปรึกษากลุ่มก็ได้”
“แล้วที่คุณบอกว่าที่ผมบินไม่ใช่เรื่องบังเอิญหมายถึงอะไร”
ทวิชหยิบแก้วขึ้นมาอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมผลไม้หมักนั้นเชิญชวนเขาไม่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเขาก็ยังลังเลนิดๆ เพราะรู้ตัวดีว่าเขานั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพังบนโลกห่วยแตกนี้แล้ว
“ก็ตามที่ผมพูดนั่นแหละ ผมรู้ว่าวันนั้นต้องเกิดอะไรสักอย่างขึ้นที่บีบให้คุณใช้ปีก แล้วผมก็มั่นใจด้วยว่าเด็กดีอย่างคุณต้องไม่ยอมอยู่เฉยกับความไม่ยุติธรรมพวกนี้แน่ๆ ”
“..คุณมองผมมานานแค่ไหนแล้ว”
“ตั้งแต่ที่พ่อแม่คุณตาย” รุจลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับทวิชและเท้าคางพูด “พวกเด็กที่ยังมีปีกสมบูรณ์แบบคุณมันมีไม่กี่คนหรอก ทวิช และผมก็ต้องการปีกของคุณมาใช้แทนสัญลักษณ์เพื่อโต้กลับใส่พวกอัลฟ่าด้วย”
“แปลว่าคุณก็รู้จักพ่อแม่ผม”
“รู้จักสิ” รุจตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของทวิช “พ่อของคุณเป็นคนดีนะ ทวิช เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองบ้าๆ นี่ถึงกับยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตตัวเองเพื่อมัน ทั้งๆ ที่ผมก็ให้คำแนะนำพ่อคุณไปแล้วแท้ๆ ว่าอย่าเชื่อผมให้มันมาก เพราะบางทีผมก็พูดเรื่อยเปื่อย”
“..ที่อยู่ๆ พ่อผมไปเป็นแกนนำปฏิวัติก็เพราะคุณเหรอ”
น่าแปลกที่ทวิชตอบตัวเองไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่
ผิดหวัง? โกรธ? หรือเสียใจ?
เขาไม่รู้เลย รู้แต่ว่าตัวเองตัวสั่นเทาจนลืมความลังเลเมื่อกี้ไปเสียหมด และหนทางเดียวที่เขาจะประคองความสุขุมของตัวเองต่อไปได้นั้นคือแก้วเหล้าตรงหน้าตัวเองเท่านั้น
ทวิชกำแก้วแน่นจนมือสั่นระริก ก่อนที่จะยกซดกินมันหมดแก้วในคราวเดียวทันที
..ช่างเด็กในท้องมันเถอะ คนเป็นแม่อย่างเขาแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!
ฝีมือการชงเหล้าของรุจนั้นสมกับเป็นบาร์ลึกลับจริงๆ เพราะเพียงแค่แก้วเดียวก็ทำให้เขาสมองโล่งทันที รสเหล้าที่แรงจนแทบเผาคอเขาให้ไหม้นั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมายอมรับความจริงที่ต้องเผชิญ
พ่อเขาต้องตายอย่างทรมานเพราะไปเป็นแกนนำปฏิวัติ ถ้าหากพ่อเขาไม่ถูกปั่นหัวให้เข้าร่วม พ่อกับแม่เขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้!!!
ทวิชจ้องรุจตาขวาง เผลอคืนร่างต้นเป็นเสือดำแบบทั้งตัวก่อนที่จะแยกเขี้ยวออกมาอย่างดุร้าย ถึงแม้จะรู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของตัวเองห่วยแตก แต่เขาก็โกรธมากๆ อยู่ดี และหวังว่าเขี้ยวเล็บของตัวเองจะทำอะไรอีกฝ่ายได้บ้าง
“แน่ใจเหรอว่าจะโทษผม คุณทวิช ที่คุณจะควรจะโกรธมากกว่าคือรัฐบาลพวกนั้นรึเปล่า”
“...”
แน่นอนว่าทวิชรู้ดีว่าต่อให้โกรธให้ตายยังไง เขาก็ไม่ได้พ่อแม่เขากลับคืนมาอยู่ดี แต่เขาก็เลิกโกรธไม่ได้เพราะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมารับรู้ความจริงซ้ำๆ ว่าพ่อแม่เขาตายเพราะประเทศเฮงซวยนี้ และรายต่อไปที่โดนหมายหัวก็คือเขา
ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงเรียกร้องความเป็นธรรมกับใครไม่ได้เลย เขาก็แค่อยากมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขกับครอบครัวเท่านั้นเอง
ทวิชค่อยๆ คืนกลับร่างมนุษย์ ลูบหน้าตัวเองอย่างสิ้นหวัง พยายามเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าออก
“..คุณคิดจะทำยังไงกับผมต่อ”
การรับรู้ว่าความจริงแล้วตัวเองเป็นเพียงแค่หมากในมือของอีกฝ่ายนั้นทำให้ทวิชเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทุกการกระทำของตัวเองนั้น เกิดจากความต้องการตัวเองจริงๆ หรือเปล่า
“เอาเข้าจริงหน้าที่ของคุณก็จบแล้วนะ ทวิช เพราะผมก็แค่อยากใช้ปีกคุณกระตุ้นให้พวกเบต้าตื่นตัวมากขึ้นก็เท่านั้นเอง ตอนนี้คุณก็หมดหน้าแล้ว หลังจากนี้คุณก็อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มปฏิวัติเถอะ”
รุจตอบอย่างไม่ยี่หระ เพราะเหตุผลหนึ่งเดียวที่รุจยังทนมีชีวิตอยู่คือการปฏิวัติให้สำเร็จ การรักษาความสัมพันธ์อะไรต่างๆ นั้นแทบไม่ใช่เรื่องสำคัญกับรุจอีกต่อไป
“..ที่ผมท้องไม่ใช่เพราะความตั้งใจของคุณใช่ไหม”
รุจเลิกคิ้วนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรนัก เนื่องจากรู้ดีว่าทวิชนั้นประกอบอาชีพอะไร “สิ่งเดียวที่ผมบงการคือเรื่องเมื่อวันก่อนแค่นั้น ผมแค่ใช้ปีกคุณครั้งเดียว ทวิช ไม่ต้องมาโทษผมหรอกว่าชีวิตห่วยๆ ที่คุณเจอมันเป็นเพราะผม เพราะคุณเป็นคนเลือกมันด้วยตัวเองต่างหาก”
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วเมื่อถูกแทงใจดำ แต่ถ้าให้เขาเลือกอีกครั้งเขาก็จะเลือกแบบเดิมอยู่ดี
“ผมไม่มีทางเลือก”
“ไม่มีใครมีทางเลือกทั้งนั้นแหละ คุณทวิช แม้แต่ผมเองก็เถอะ”
คนเป็นเจ้าของร้านถอนหายใจหน่ายๆ เอาเข้าจริงแล้วเขาก็เบื่อการต้องมาพยายามก่อปฏิวัติซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกัน และก็ไม่รู้เวรกรรมอะไรของเขาที่มันไม่เคยสำเร็จสักที เขาอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติมาสามครั้งแล้ว และนี้ก็คือครั้งที่สามของเขาที่เขาหวังว่ามันจะสำเร็จเพราะเขาเหนื่อยที่จะพยายามใหม่แล้ว
การรวบรวมความกล้าของผู้คนเป็นเรื่องยาก กว่าเขาจะรวมกลุ่มปฏิวัติกลุ่มใหม่นี่ให้ได้มากขนาดนี้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาล และเขามั่นใจมากว่าถ้าครั้งนี้ถูกทำลายไปอีก ครั้งต่อไปจะยากขึ้นกว่านี้มาก
“กลับร้านของคุณไปได้แล้ว ทวิช เจ้าเด็กที่คุณรับอุปการะไว้ยังรอคุณอยู่”
“..คุณอย่ายุ่งกับเขาได้ไหม ผมไม่อยากให้เขาตาย” ทวิชพูดด้วยสีหน้ากังวล “ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ให้ผมทำแทนเถอะ”
“สบายใจได้ ผมไม่ใจร้ายขนาดเอาพวกเด็กมาใช้งานหรอก”
รุจหัวเราะแล้วโบกมือไล่ทวิช
“ไปซะ คุณหมดธุระกับที่นี่แล้ว ทวิช หลังจากนี้จะอยู่เฉยๆ หรือเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติคุณก็เลือกเอาเอง แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะว่ามันจะสำเร็จ”
“จนถึงตอนนี้คุณยังไม่มั่นใจอีกเหรอ”
แน่นอนว่าทวิชก็พอได้ยินข่าวคราวเรื่องการเผาอนุสาวรีย์ของอัลฟ่าบ้างระหว่างที่เดินมา เบต้าพวกนั้นคุยเรื่องนี้ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายโดยไม่แยแสพวกทางการที่เดินอยู่ฝั่งตรงข้ามสักนิด
“ผมไม่กล้ามั่นใจหรอก เพราะทุกครั้งที่มันจะสำเร็จ พวกมันก็ใช้วิธีการรุนแรงฆ่าเราจนพวกเราต้องยอมจำนนต่อพวกมันเพื่อที่จะได้ไม่ถูกฆ่า ครั้งพ่อแม่คุณพวกเขาก็ปิดล้อมฆ่า มีคนมากมายที่พยายามจะหนีลงน้ำแต่สุดท้ายก็จมน้ำตายกันอยู่ดี ซึ่งผมก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกนั้นจะโหดร้ายกันขนาดนั้น คนบริสุทธิ์ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมานเพียงเพราะพวกเขาเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองควรจะได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยเหรอ”
นัยน์ตาสีเทาของรุจนั้นเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะพยายามไม่รู้สึกกับมัน แต่เขาก็ยังเจ็บปวดที่มีคนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องถูกพรากชีวิตไปเหมือนเดิม
เรื่องพวกนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นกับใคร แต่เขารู้ดีว่าถ้าหากต้องการปฏิวัตินี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิด และหากเขานิ่งเฉยไม่ทำอะไรต่อไป ทุกความเลวร้ายในสังคมก็จะถูกส่งต่อในรุ่นลูกรุ่นหลานอีก ดีไม่ดีจนถึงตอนนั้นพวกอัลฟ่าอาจจะทำให้อะไรที่มันบ้าคลั่งกว่านี้ก็ได้ ขนาดเนื้อเบต้ามันยังกินกันได้เลย อีกไม่นานมันคงจะทำฟาร์มมนุษย์เพื่อกินเนื้อแน่ๆ
“แล้วตอนนี้ยังมีอะไรที่ผมทำได้ไหม”
“มีชีวิตต่อเพื่อเห็นความพินาศของพวกมัน”
รุจตอบก่อนที่จะล้วงหยิบจี้ห้อยคอซึ่งเป็นรูปอีกาสยายปีกสีเงินออกมาให้ทวิช มันยังคงดูใหม่อยู่แม้ว่าจะผ่านกาลเวลามานานหลายสิบปีเพราะรุจมักจะนำมันมาทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งเมื่อนึกถึงเจ้าของสร้อยเส้นนี้
“..มันคือ”
ทวิชรับไปดูด้วยความสนใจ
“พ่อคุณฝากเอาไว้”
“...”
แน่นอนว่าทวิชเลือกที่จะสวมมันให้กับตัวเองทันที ถึงแม้จะรู้ว่าการมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับนกนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง แต่ยังไงเขาก็สบายใจที่จะแต่งตัวให้มิดชิดมากกว่าเดิมมากกว่าเก็บมันไว้ในที่ใดที่หนึ่งอยู่ดี
“จี้นี้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มปฏิวัติรุ่นก่อน มันเป็นรุ่นแรกและเป็นของพ่อคุณ พวกอัลฟ่าพยายามจะหามาทำลายแต่ก็หาไม่เจอเพราะพ่อคุณเอามาฝากไว้ให้กับผมก่อน แน่นอนว่าพ่อคุณให้ผมเขียนการ์ดโง่ๆ ไร้รสนิยมนี้ด้วย เหล้าความจริงอะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี ผมไม่ตั้งชื่อเหล้าไร้สาระแบบนี้หรอก แต่ผมก็เห็นแก่ที่พ่อคุณชอบเหล้านี้มากก็เลยยอมๆ ไป”
บรรยากาศที่ดูตึงเครียดมาตลอดดูเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทวิชก็พอจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกดีและเป็นมิตรกับพ่อตัวเองไม่น้อยถึงได้ดูมีความสุขนักยามที่พูดถึง
“ถึงแม้การปฏิวัติครั้งนั้นจะพ่ายแพ้ แต่ผมก็เชื่อนะว่ามันไม่ได้สูญเปล่า”
รุจจับจ้องจี้ที่อยู่ตรงคอของทวิชด้วยความอาลัย เพราะลึกๆ แล้วเขาอยากจะเก็บมันไว้เองมากกว่า มีคนไม่กี่คนจริงๆ ที่เขาเคยเจอและประทับใจ ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าหากทวิชไม่เป็นเด็กดีขนาดนี้ เขาอาจจะเลือกที่จะชงเหล้าให้ทวิชกินสักแก้วแล้วไล่กลับไปเลยก็ได้
แต่พอเห็นใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับเขาคนนั้นแล้วเขากลับทำไม่ลง
“จงมีชีวิตต่อไป ทวิช สร้างโลกที่ดีพอแล้วถึงค่อยปล่อยให้เด็กในท้องคุณเกิดมา”
นั่นเป็นความฝันของเขาคนนั้น น่าเสียดายจริงๆ ที่มันไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นเด็กคนนี้ก็คงจะมีความสุขและมีชีวิตที่ดีกว่านี้
“..ครับ”
ทวิชพยักหน้ารับ รู้สึกผิดเล็กๆ เพราะเขาเลือกที่จะกินแก้วเมื่อกี้เข้าไปและมันก็คงจะส่งผลไม่ค่อยดีกับลูกของเขาสักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็จะเป็นแก้วสุดท้ายที่เขากิน ต่อจากนี้เขาถ้าหากไม่เหลืออดเหลือทนจริงๆ เขาก็จะไม่กินอีก
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่คุณจะได้มาที่นี่”
รุจหัวเราะน้อยๆ
เพราะคนที่จะมาร้านเขาตอนไหนก็ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น
----------
หลังจากนี้จะเครียดขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ 555
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ