เกือบปีที่ไม่ได้เอามาลง ไม่รู้ยังคิดถึงกันรึเปล่าคะ
*******************************
“พี่หนุ่ยเหรอ ตาลเอง" น้ำเสียงของผู้หญิงที่โทรมาแสดงความดีใจที่ผมรับสาย กลับกันกับความรู้สึกผมที่ไม่ดีใจเลย
“ไม่ใช่ครับ พี่หนุ่ยอาบน้ำอยู่" ผมอยากจะซักต่อว่าเธอมีอะไรกับพี่หนุ่ยผมก็ยั้งปากตัวเองไว้ เธออาจจะเป็นลูกค้าก็ได้
“ว้า งั้นไม่เป็นไรค่ะ บอกตาลรออยู่ที่เดิมนะคะ รีบมาหน่อย เพื่อนๆตาลมากันหมดแล้ว เค้าอยากเจอพี่หนุ่ย"
ผมสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ หึง หวงเอาไว้ ลองมาดูสักตั้งว่าผมจะทนไหวรึเปล่า "ครับ เดี๋ยวผมจะบอกพี่หนุ่ยให้" ผมกดวางสายไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้พี่หนุ่ยมารับสายเอง
“ใครโทรมาเหรอไอ้เตี้ย" พี่หนุ่ยออกมาจากห้องน้ำพอดี หยดน้ำยังเกาะอยู่ตามตัว พี่หนุ่ยไม่ชอบเช็ดตัวให้แห้ง ชอบที่จะนุ่งผ้าขนหนูอยู่แบบนั้นสักพักรอจนตัวแห้งเอง
ผมยื่นโทรศัพท์ให้ เอ่ยปากด้วยความยากเย็น “ชื่อตาล เค้าบอกรอพี่อยู่กับเพื่อนๆ ให้รีบไปไวๆ"
แต่พี่หนุ่ยคงจะรู้ว่าผมอารมณ์ไหน เลยเดินยิ้มประจบเข้ามาเอามือขยี้หัวผม "อย่าทำหน้าแบบนี้สิ เค้าเป็นลูกค้า ปีใหม่แล้วพี่ก็ต้องออกไปเอนเตอร์เทนลูกค้าแบบนี้ ยังไม่ชินอีกเหรอ"
ผมอยากจะบอกว่าไม่เฉพาะปีใหม่หรอก 'ทั้งปี' ต่างหากล่ะ มีผู้หญิงมาวนๆเวียนๆอยู่รอบๆตัวพี่หนุ่ยแบบนี้ ยังจะมาบอกให้ผมชินอีก ผมเอามือพี่หนุ่ยที่อยู่บนหัวออก "ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่"
ผมบอกแล้วออกจากห้องลงมาอยู่ข้างล่างนั่งทำงานของผมที่ยังค้างอยู่ อย่างน้อยผมก็ยังมีงานที่อยู่กับผมตลอดไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตาม ผมไม่โกรธพี่หนุ่ยแต่โกรธตัวเองมากกว่าที่ทำให้พี่หนุ่ยหยุดที่ผมไม่ได้ แต่ผมก็ไม่มีสิทธิไปเรียกร้องอะไรเพราะผมเป็นคนที่เลือกจะเป็นแบบนี้เอง เลือกที่จะ 'รอ'
ไอ้เตี้ยเดินลงข้างล่างไปนานแล้วแต่ผมยังจำสีหน้ามันได้ดี ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันไม่พอใจ แต่ผมก็เป็นแบบนี้ มีงานแบบนี้ มันก็รู้ ผมแต่งตัวเสร็จเตรียมจะออกจากบ้าน ยังเห็นเกี๊ยงนั่งทำงานอยู่เงียบๆ ผมเดินเข้าไปข้างหลังจับไหล่แล้วชะโงกหน้ามองหน้าคนขยัน "พี่ไปแล้วนะ อยากกินอะไรรึเปล่า เดี๋ยวขากลับซื้อมาฝาก"
ผมลูบหัวมันเบาๆ"ผมยาวแล้วนะเรา ไม่รำคาญเหรอ" ตอนนี้ผมที่เคยตัดสั้นแบบนักศึกษา ยาวเป็นรากไทรไปแล้ว แต่กลับทำให้มันดูอ่อนวัยลงไปอีกเห็นแล้วหงุดหงิดอยากให้มันไปตัด แต่ก็ไม่อยากขัดใจ หรือว่ามันอาจจะชอบ
เกี๊ยงไม่หันหน้ามาตอบเบี่ยงหัวออกจากมือผม แต่ปากบอก "ไม่หิว งานเยอะ พี่ไปเหอะ เดี๋ยวเค้าจะรอ"
มันอาจจะงานเยอะจริงหรืออารมณ์เสียผสมด้วย ผมเลยไม่อยากยุ่ง รออารมณ์ดีแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า
"งั้นพี่ไปก่อน ไม่ต้องรอนะ" ก่อนผมจะออกจากประตูบ้านผมยังหันมามองมันอีกครั้งเห็นเพียงแผ่นหลังเล็กๆนั่งก้มหน้าทำงาน
บางทีผมก็เสียดายชีวิตอิสระที่ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องบอกใครว่าจะไปไหน ไม่ต้องซื้อของกินมาฝากใคร ไม่ต้องมีใครรอ หรือต้องรอใคร บางทีผมอาจจะตัดสินใจอะไรง่ายเกินไปรึเปล่า ผมก็ยังไม่แน่ใจ ความรู้สึกหน่วงในใจยังติดตามผมไปถึงงานเลี้ยง แต่เมื่อเจอสาวๆในงานผมก็ลืมความรู้สึกที่เหมือนหมอกจางๆในใจไป ตาลโบกมือให้ผมเมื่อผมเข้าไปในร้านอาหารมืดสลัว พลางบอกให้เพื่อนจัดเก้าอี้ว่างข้างๆให้ พนักงานคนอื่นๆทักทายผมกันเกรียวกราว บางคนผมก็รู้จักบางคนแค่เคยเห็นหน้า
“นั่งนี่ค่ะ พี่หนุ่ยมาช้าจัง น้องชายไม่ได้บอกเหรอว่าตาลโทรไปตาม"
เมื่อแรกผมนึกไม่ออกว่าน้องชายไหนกันผมเป็นลูกคนเดียว แต่สักพักก็รู้ว่าใครริมฝีปากเหยียดยิ้มถึงไอ้เตี้ยขึ้นมา "เค้าบอก พี่ก็รีบที่สุดแล้วนะ เป็นไงอาหารอร่อยอย่างที่บอกรึเปล่า"
ตาลยกนิ้วโป้งให้ "อร่อยมากพี่หนุ่ย สมกับที่แนะนำมา เดี๋ยวอีกพักบอสมา ตาลเห็นว่าจะพาเอ็มดีอีกคนมาด้วย"
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างเคยๆ ดื่มเหล้า ร้องเพลง พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ บรรยากาศปีใหม่แบบนี้ทุกคนสนุกสนานกันเต็มที่เหมือนไม่เคยมีเรื่องน้ำท่วมมาก่อน หรือว่าที่เค้าว่าคนไทยลืมงายและรักสนุก ก็คงจะจริง ผมเดินทักทายน้องๆคุยกับคนนี้เปลี่ยนไปคนนั้น ไม่ติดใจอะไรกับใคร ความรู้สึกสนุกสนานกับงานเลี้ยงจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้
“หนุ่ยมารู้จักผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงเจ้านายของผมหน่อย"บอสของตาล คุณสุรัตน์ เดินมาตามผมถึงที่ ผมเริ่มเบื่อแต่ในเมื่อมันเป็นงานก็ต้องไป
“นี่คุณวริศ เป็นเอ็มดีดูแลไฟแนนซ์ของบริษัทเรา เพิ่งได้โปรโมทปีนี้เอง"ผมยกมือไหว้คุณวริศ ที่รับไหว้กลับมาพร้อมรอยยิ้ม
"นี่คุณหนุ่ย ชื่อจริงอะไรผมก็ไม่รู้เรียกแต่หนุ่ยๆจนชิน เค้ามาดูแลฝ่ายมาร์เก็ตติ้งของบริษัทเรา ร่วมเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงคืนนี้ครับคุณวริศ" คุณสุรัตน์ดูเกรงใจเจ้านายมากทั้งที่ผมดูหน้าตาแล้วคุณวริศน่าจะอายุน้อยกว่า แต่เดี๋ยวนี้อาวุโสไม่สำคัญเท่าความสามารถ
“ขอบคุณนะครับที่สนับสนุนบริษัทเรา" คุณวริศเอ่ยยิ้มๆ
“ผมต่างหากครับที่ต้องขอบคุณบริษัทของท่านที่ให้โอกาสเราดูแลมาตลอด"
คุณวริศโบกมือ พลางหัวเราะ"โอย คุณหนุ่ยเรียกผมซะแก่เลย ไม่ต้องเรียกท่านหรอก เรียกผมต่ายก็ได้ พี่สุรัตน์แนะนำผมซะเกินจริง เห็นมั้ยคุณหนุ่ยเกร็งเลย หึหึ"
คุณสุรัตน์ก็หัวเราะไปด้วย "พี่ก็ต้องแนะนำกันเต็มที่หน่อย แล้วหลังจากนั้นค่อยตามสบาย แต่คุณหนุ่ยต้องเอาใจคุณวริศมากๆหน่อยนะแกคุมงบทั้งบริษัท ถ้าพลาดมาล่ะก็มีหวังบริษัทคุณหลุดโผแน่ๆ"
คุณต่ายส่ายหน้า "พี่ทำเหมือนผมเป็นมาเฟียบริษัทอีกแล้ว ไปแกล้งคุณหนุ่ยเค้าทำไม"
หลังจากนั้นพอเราได้คุยกันสักพักก็เริ่มต่อกันติดแล้วครับ คุณต่ายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณสุรัตน์พูด ถึงจะพูดน้อยไปหน่อยแต่ก็ดูน่าสนใจเพราะอยู่ในตำแหน่งสูงทั้งที่อายุไม่มาก
“คุณต่ายไม่ค่อยดื่มเลยนี่ครับ ดื่มเป็นเกียรติให้ผมหน่อย ไหนๆก็รู้จักกันแล้ว พรุ่งนี้ก็วันหยุด" ผมพยายามรินเหล้าให้แต่คุณต่ายก็เพียงแต่ถือไว้ไม่ยอมดื่ม
“พรุ่งนี้ผมต้องกลับต่างจังหวัดแต่เช้า เดี๋ยวตื่นไม่ไหวครับ ขออนุญาติไม่ดื่มแล้วกัน" พูดขนาดนี้ผมก็ไม่กล้าคะยั้นคะยอแล้ว
“ไปเที่ยวหรือครับ ก็ดีนะครับหนีคน ช่วงปีใหม่เห็นว่ารัฐบาลจะให้หยุดยาว รถคงติดน่าดู"
คุณต่ายส่ายหน้า "ผมกลับบ้านน่ะครับ ปกติผมกลับทุกอาทิตย์อยู่แล้ว มีวันหยุดยาวเลยตั้งใจลาทั้งอาทิตย์เลย กลับมาทำงานอีกทีก็ปีใหม่ นี่พี่สุรัตน์บอกว่ามีงานเลี้ยงแผนก เลยมาแจมซะหน่อย งานเลี้ยงรวมทั้งบริษัทผมตั้งใจจะหลบ อยากอยู่บ้านสบายๆ" สีหน้าคุณต่ายดูมีความสุขในยามที่พูด คงจะคิดถึงบ้าน
“ผมก็อยากมีบ้านต่างจังหวัดบ้างเหมือนกัน เวลาเหนื่อยๆจะได้หนีไปพักผ่อน แค่ไปนั่งอ่านหนังสือ นอนเล่น ชมวิวทะเล ดุภูเขาอะไรแบบนั้นก็คงไม่เลว" ผมไม่เคยมีเวลาอะไรแบบนั้นเลย ทุกวันนี้มีแต่งานและงาน เกี๊ยงเองก็ไม่ค่อยมีเวลาพักพอๆกันกับผม เราเดินสวนกันไปกันมาตลอดแทบไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเท่าไหร่
“ผมสนับสนุนเลยนะครับ วัยอย่างเราๆ งานมาก่อนก็จริง แต่เรื่องพักผ่อนก็ต้องมี อย่างผมช่วงทำงานก็ทำเต็มที่ พอวันหยุดผมก็กลับไปหาแฟนที่บ้าน ถือโอกาสบังคับให้ตัวเองพักไปในตัว ถ้าอยู่กรุงเทพฯตลอดอาทิตย์ ผมคงต้องเผลอทำงานทั้งเจ็ดวันแน่ๆ"
“คุณต่ายก็เจอแฟนแค่วันหยุดหรือครับ ห่างกันแบบนี้คิดถึงกันบ้างไหมครับ"
คุณต่ายยิ้มแววตาเป็นประกาย "ห่างกันก็ต้องคิดถึงอยู่แล้วครับ แต่บางทีอยู่ด้วยกันยังคิดถึงเลย"
ผมถึงกับหัวเราะ ไม่นึกว่าคุณต่ายจะพูดอะไรแบบนี้ได้ ไม่รู้เราวกมาเรื่องความรักกันได้ยังไงทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ ตอนนี้คุณสุรัตน์ลุกไปเฮฮากับลูกน้องแล้ว เราเลยคุยเรื่องนี้กันได้สบายใจ
“น่าอิจฉาแฟนคุณต่าย ขนาดอยู่ห่างกัน ยังไม่มีปัญหา ของผมสิขนาดบางทีอยู่บ้านเดียวกันยังไม่ค่อยได้คุยกันเลย ต่างคนต่างออกไปทำงาน เจอหน้ากันก็หมดแรงคุยแล้ว" พูดแล้วผมก็เสียใจ ผมไม่ค่อยได้คุยกับเกี๊ยงหรือเกี๊ยงไม่พูดกับผม หรือเราหมดคำพูดต่อกันไปโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าอยู่ด้วยกัน ก็หาเวลาคุยกันสิครับ ไม่ได้พูดกันก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบไม่ต้องพูดก็ได้ คุณหนุ่ยโชคดีออกได้อยู่กับแฟน ผมอยากลาออกไปอยู่กับเค้า เค้าก็เสียดายงานผมไม่ค่อยอยากให้ออก"
“คุณต่ายไม่เหนื่อยหรือครับ ต้องขับรถไปๆมาๆ โทษทีนะครับบ้านคุณต่ายอยู่ที่ไหน"
“บ้านผมอยู่ปากช่องครับ โชคดีที่ไม่ไกลมาก จะว่าเหนื่อยก็มีบ้าง แต่พอเรารักใครแล้ว คำว่าเหนื่อยคงไม่มีอยู่ในสมองครับ ดีลีททิ้งไปแล้ว ถ้าเมื่อไหร่เรามีคำว่าเหนื่อยหรือรู้สึกว่าเป็นหน้าที่กับการอยู่ด้วยกัน ผมว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีละ ต้องรีบแก้ไขด่วน"
ยิ่งฟังผมก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเกี๊ยง อาทิตย์นี้ผมออกมางานเลี้ยงแทบทุกวัน ทั้งที่เกี๊ยงอยู่บ้านทำงานแก้ไขงานตลอดทั้งวัน พอผมกลับไปเกี๊ยงก็นอนหลับไปแล้ว แม้แต่การกอดผมยังเหนื่อยที่จะทำ หัวถึงหมอนก็หลับสนิท ผมไม่รู้ว่าเกี๊ยงจะเสียใจแค่ไหนที่ผมละเลยกันไป
เสียงคุณต่ายยังพูดต่อ "มางานแบบนี้แล้วผมคิดถึงแฟน อยากให้เค้ามาเที่ยวบ้าง เค้าก็ไม่ค่อยชอบ แต่คนทำงานอย่างเรามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ดีนะครับที่วันนี้เราได้มาเจอกัน ได้ยินชื่อคุณหนุ่ยมานานแล้ว อีกหน่อยคงได้เจอกันเรื่อยๆ"
เสียงโทรศัพท์ของคุณต่ายดังขึ้น "ผมขอตัวรับสายหน่อยนะครับ"
คุณต่ายเอามือป้องปากเพื่อก็จริงแต่ผมก็ยังได้ยินชัดเจน "พี่มางานเลี้ยง อืม...ไม่ได้ดื่ม ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวอีกสักพักก็กลับแล้ว อืม...กลับพรุ่งนี้ไง ไม่กลับกลางคืนอีกแล้ว ก็โอมห้ามพี่นี่" สีหน้าคุณต่ายดูมีความสุข ริมฝีปากยิ้มแย้มตลอดที่คุย ดูก็รู้ว่าคงรักแฟนมาก ทำให้ผมอดคิดถึงคนที่บ้านบ้างเลยหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา
เสียงโทรศัพท์ดังอยู่นานก็ไม่มีคนรับสาย ผมเลยวางแล้วโทรใหม่อีกหลายครั้ง แปลกใจที่เกี๊ยงไม่รับสาย หรือว่าจะหลับไปแล้ว แต่ตอนนี้เพิ่งสี่ทุ่มครึ่งเกี๊ยงไม่น่าจะนอนไว สักพักก็มีคนตอบกลับมา “โหล...”
ผมไม่ทันฟังว่าใครพูดสวนกลับไป "ไอ้เตี้ย ทำอะไรอยู่ไม่รับสายพี่ ฮึ"
“นี่แม่เกี๊ยงค่ะ ไม่ใช่ของเตี้ย ต่อผิดรึเปล่าคะ" คุณแม่ยายรับสายนี่เอง
“แม่เหรอครับ ผมหนุ่ยไงครับ ทำไมโทรศัพท์เกี๊ยงไปอยู่กับแม่ได้ล่ะครับ" อาจจะเป็นได้ที่เกี๊ยงคงไปเยี่ยมแม่
“ อ๋อหนุ่ยเหรอลูก เกี๋ยงอาบน้ำอยู่ เค้าบอกว่าจะมานอนกับแม่นี่ เค้าไม่ได้บอกหนุ่ยเหรอ" พอแม่ทักมาผมเริ่มไม่แน่ใจว่ามันได้บอกผมรึเปล่า แต่ทำไมผมจำไม่ได้ หรืออาจจะบอกแต่ผมลืม
“อืม คงบอกแล้วแต่ผมลืมไป แม่ยังไม่นอนหรือครับ ดึกแล้วนะ"
“แม่กำลังจะนอนพอดี ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังตั้งนานเลยเข้ามารับให้ หนุ่ยมีอะไรกับเกี๊ยงรึเปล่า เดี๋ยวแม่บอกให้โทรกลับก็แล้วกัน" อันที่จริงผมก็ไม่มีอะไรเร่งด่วนแค่คิดถึงมัน อยากได้ยินเสียงก็แค่นั้นเอง
“ไม่ต้องหรอกครับดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ผมค่อยโทรหาเค้าแล้วกัน ไม่รบกวนแม่แล้วครับ แม่ไม่ต้องบอกเกี๊ยงหรอกครับว่าผมโทรมา" ผมวางสายไปอย่างเซ็งๆ มันคงเป็นความรู้สึกของคนที่ไม่มีใครรอ
“เห็นทีผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับคุณหนุ่ย เดี๋ยวจะติดลมอยู่ดึกเกินไป" คุณต่ายบอกลาเมื่อผมวางสายราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว
“ไม่อยู่ต่ออีกสักพักล่ะครับ น้องๆกำลังสนุกกันอยู่เลย" ผมเบนสายตาไปยังพนักงานที่ยังคงดื่ม สรวลเสเฮฮา เต้นรำกันไม่หยุด คุณสุรัตน์เองก็กำลังติดลมอยู่กับลูกน้อง
คุณต่ายยิ้มเล็กๆ "ไม่ต้องไปบอกพวกเค้าหรอกครับ เดี๋ยวผมจะหลบไปเอง ผมแค่มาร่วมแจมเท่านั้น ไม่มีผมเสียคนก็ไม่เป็นไร เชิญคุณหนุ่ยเถอะครับไม่ต้องห่วงผม โชคดีปีใหม่นะครับ ไว้คุยกันใหม่"
ผมจับมือลากับคุณต่ายไปแล้วก็นั่งดื่มตามลำพังอยู่พักใหญ่ เกิดเบื่อขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล "พี่หนุ่ย ไปเต้นด้วยกันหน่อยสิ มานั่งเท่อะไรคนเดียว หรือว่ารอใครอยู่" ตาลขยับตัวมานั่งข้างผมแขนแนบชิดกายผมจนร้อน ใกล้จนได้กลิ่นกายสาว ถ้าตาลเป็นน้องสาวผมจะจับมาตีให้ตาย ไม่รู้รึยังไงว่ามาใกล้ชิดแบบนี้มันทำให้ผู้ชายหวั่นไหว
“รอตาลมาเรียกไง พี่นึกว่าลืมพี่ไปแล้ว" ตาลยิ้มแววตาวาววับไม่รู้เพราะน้ำเมาทำให้คนตาหวานขึ้นด้วยรึเปล่า ตาลคล้องแขนผมกึ่งลากผมให้เดินตาม เสียงเพลงที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทำให้ตาลต้องมากระซิบที่ข้างหูผมขณะเราเดินไปด้วยกัน
"เห็นพี่หนุ่ยคุยกับเอ็มดีเลยไม่อยากมากวน อยากจะเรียกพี่หนุ่ยไปดื่มด้วยกันจะตายไป แล้วนี่ท่านไปไหนแล้ว"
ผมกระซิบข้างหูตอบบ้าง "กลับไปแล้ว เห็นว่าต้องกลับบ้านต่างจังหวัดแต่เช้า" เราเดินมาถึงฟลอร์เต้นรำพอดีเป็นจังหวะเดียวกันกับเพลงสโลว์ดังขึ้นมา นักเต้นหลายคนเดินกลับไปนั่งพักเหนื่อย ผมมองตาลเหมือนถามว่าเธอต้องการจะเต้นไหมเธอยิ้ม ผมยื่นมือให้ตาลก่อนเธอจะเดินเข้าสู่วงแขนผม
“ตาลเต้นไม่เป็นนะพี่หนุ่ย"ตาลบอกอย่างไม่แน่ใจ แต่สีหน้ากลับดูไม่กังวลสักนิด เธอขยับมือบีบไหล่ผมแน่นขึ้น
“อยู่กับพี่ เดี๋ยวก็เป็น" เสียงเพลงสากลที่เปิดอยู่ทำให้ใจผมสงบอย่างบอกไม่ถูก ตาลก้าวเท้าตามผมไปเรื่อยๆดูไม่ออกว่าเต้นไม่เป็น ผมไม่ได้พูดอะไรเท้าขยับไปโดยอัตโนมัติตามจังหวะเพลง
“ทำไมพี่หนุ่ยเงียบไป ไม่เห็นคุยเก่งเหมือนตอนไปที่บริษัทเลย" ตาลคงเบื่อที่ผมเป็นแบบนี้ เป็นหนุ่ยคนที่ไม่พูด
ผมยิ้ม...ทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นอะไร“พูดอะไรดีล่ะ ชมว่าวันนี้ตาลดูเซ็กซี่กว่าที่เคย ดีมะ"
ตาลหน้าแดงทั้งที่ไฟมืดผมยังเห็นได้ชัด เสหัวเราะเอามือทุบไหล่ผมเบาๆเหมือนเขิน "ปากดีจริงๆนะ ปากอย่างนี้ทำคนหลงกันทั้งบริษัท"
ผมเหยียดยิ้ม พยักพเยิดให้คนตรงหน้า“แล้วคนนี้ล่ะ หลงด้วยรึเปล่า"
“อยากจะหลงแต่กลัวจะอกหัก เค้าบอกว่าอย่างพี่คงมีแฟนเป็นโหล" ข่าวลือของผมก็เป็นแบบนี้มาตลอดทั้งที่
"พี่ไม่มีผู้หญิงสักคน...ไม่เชื่อเหรอ" ผมไม่ได้โกหก เพียงแต่พูดไม่หมดเท่านั้นเอง
“ไม่เชื่อ ไม่มีทาง"ตาลเอ่ยอย่างมั่นใจ ผมไม่ตอบยิ้มกลับบางๆ นี่ก็ดีให้คนเข้าใจว่าผมมีแฟนแล้วก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้ามารักผมอีก ผมไม่อยากทำให้ใครเสียใจเพราะผมอีก คนอย่างผมคงไม่เหมาะที่จะมีใคร
“แฟนพี่ไม่ว่าเหรอมาเที่ยวกับสาวๆแบบนี้"
“ไม่เห็นมีใครว่านี่"
เพราะมันไม่พูดอะไรเลยนี่ล่ะ ทำให้ผมหน่วงกับงานเลี้ยงได้ขนาดนี้ ให้มันโวยวายออกมาบ้างผมจะได้รู้บ้างว่ามันคิดยังไง แต่นี่มีเพียงความเงียบ จะว่าไปแล้วทำไมผมเพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ทั้งที่มันทำแบบนี้มาเป็นอาทิตย์แล้วด้วยซ้ำไป หรือว่าผมพลาดสัญญาณที่มันพยายามบอกผม
“โอ๊ย...พี่หนุ่ยตาลเจ็บ บีบเอวตาลซะแน่น"
ผมเผลอคิดอะไรเพลินจนทำให้ผู้หญิงเจ็บไปโดยไม่ได้เจตนาไปแล้ว หรือมันก็เหมือนกับที่ผมทำให้เกี๊ยงมันเจ็บโดยผมไม่เจตนาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเกี๊ยงมันไม่ได้เอ่ยปากบอกให้ผมรู้ตัวเท่านั้นเอง
ผมปล่อยมือจากตาล ผมยังไม่อยากให้ทุกอย่างมันสายเกินไป
"ตาลพี่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ พี่ขอกลับก่อนนะ พี่มีธุระที่สำคัญมาก ฝากบอกคุณสุรัตน์ด้วย ไว้พี่มาเคลียร์บิลทางนี้เอง ฝากด้วยนะตาล"
ผมเดินกึ่งวิ่งออกมาจากที่นั่น ยังได้ยินเสียงน้องๆหลายคนตะโกนเรียกชื่อผม แต่ทำไมผมจะต้องมาให้ความสำคัญกับคนอื่นที่ผมไม่ได้รักด้วยล่ะ ในเมือคนที่ผมรักและรักผมเขายังรอผมอยู่ทั้งคน
“เกี๊ยง ไปดูหน่อยลูกใครมาแน่ะ" เสียงแม่เคาะประตูเรียกผมออกจากห้องดังขึ้นมาพร้อมๆกับเสียงกริ่งหน้าบ้าน ผมเหลียวไปดูนาฬิกานี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วขาดไปอีกไม่ถึงสิบห้านาทีก็จะเที่ยงคืน
"ใครกันนะมากดกริ่งตอนนี้ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะแม่" ผมนึกดีใจที่คืนนี้ตัดสินใจถูกมานอนเป็นเพื่อนแม่ ถ้าแม่อยู่คนเดียวมีใครมาเรียกประตูดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้คงน่ากลัว
อากาศเย็นยะเยือกพัดผ่านผิว แสงสว่างรำไรจากโคมไฟหัวเสาประตูที่เหลือเพียงดวงเดียวเพราะอีกดวงหลอดขาดไปนานแล้วแต่ผมก็ลืมมาเปลี่ยนหลอดไฟให้แม่ทุกที โคมไฟที่แสนเก่าไม่ได้ให้ความสว่างพอที่จะเห็นผู้มาเยือนยามวิกาลได้ถนัด ผมตะโกนออกไปเบาๆ "ใครน่ะ มาหาใคร?”
ร่างตะคุ่มๆหน้าบ้านที่ยืนหันหลังให้ผมไม่ตอบขานรับ ยังคงยืนเงียบเฉยตัวแข็งเหมือนเสาโทรศัพท์ทำให้ผมชักกลัว
"บอกมาว่าใคร อย่าบอกนะว่ามากดเล่น นี่มันกี่โมงเข้าไปแล้ว"
“ไม่ได้กดเล่น" เสียงแหบห้าวที่ตอบกลับอย่างแผ่วเบาพร้อมๆกับเสียงหมาที่เปล่งเสียงหาคู่ดังสอดรับขึ้นมาพอดีทำผมขนลุก ผมเริ่มระแวงยังไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ประตูมากกว่านี้ทำได้เพียงตะโกนจากหน้าตัวบ้าน
“ไม่ได้กดเล่นก็บอกมาสิว่าใคร" กูกลัวแล้วนะ ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ถ้าเป็นคนต่อให้มาร้ายแค่ไหนผมก็ไม่เคยถอย แต่ถ้ามาในรูปอื่นผมขอยอมแพ้ทุกรูปแบบ ถ้ามันยังไม่ตอบผมจะหนีขึ้นบ้านจริงๆด้วย
“แฟนนนน..." เสียงที่ตอบกลับทั้งแหบแห้งและยืดยาวทำเอาผมขนลุกขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้อยาก จะว่าเป็นแฟนแม่ แต่พ่อแค่ไปมีเมียน้อย เท่าที่รู้พ่อยังไม่ได้ตายนี่หว่า ผมกลั้นใจพูดไปอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
"ปะ..ไป...ไปหาที่อื่นไป ที่นี่ไม่มีแฟนแกหรอก"
“มี...ชื่อ...กะ...เก”เสียงตอบค่อยมากจนผมแทบไม่ได้ยิน ผมได้ยินแต่เสียงแกรกกรากฟังไม่รู้เรื่อง
ผมก้าวเท้าเข้าใกล้บานประตูทีละนิด เพื่อฟังให้ชัดขึ้นทั้งกลัว ทั้งอยากรู้ ทั้งอยากเห็นหน้า
"ชะ...ชื่ออะไรนะ? พูดดังๆซิ ไม่ได้ยิน”
พอผมใกล้บานประตูห่างเพียงสองก้าวเท่านั้น อยู่ๆร่างนั้นก็หันหน้ากลับมาแล้วตะโกนใส่หน้าผม
"เกี๊ยง!!!”
ผมสะดุ้งตกใจจนหงายหลังลงไปนั่งกองกับพื้น หัวใจหายวาบตกไปอยู่ปลายเท้าหนาวยะเยือกไปทั้งตัว ก่อนที่เลือดจะสูบฉีดขึ้นหน้าอีกครั้งด้วยความโมโหเมื่อเห็นหน้าไอ้ผีบ้าตัวนั้นชัดๆ "ไอ้พี่หนุ่ยยย!!!”
ผมชี้หน้าพี่หนุ่ยคนที่ทำให้ผมต้องลงไปนั่งแอ้งแม้งอยู่กับพื้น แทนที่พี่หนุ่ยจะสำนึกผิดกลับยืนเท้าสะเอวหัวเราะอ้าปากกว้างขบขันที่แกล้งผมได้อย่างมีความสุข ผมรอเวลาให้พี่หนุ่ยรู้ว่าผมโกรธแล้วนะแต่รอเท่าไหร่พี่หนุ่ยก็ไม่หยุดเสียที ผมเลยลุกขึ้นแล้วเดินหันหลังกลับบ้าน
“ไอ้เตี้ย!มาเปิดประตูให้พี่ก่อนสิ อย่าเพิ่งเข้าไป...พี่ขอโทษ" ผมได้ยินเสียงตะโกนชัดเจนแต่ผมแค่หันหลังมามองหน้าคนกวนประสาทก่อนทำท่าจะเข้าบ้านอย่างไม่ไยดี
“เกี๊ยง... อย่างอนน่า รักดอกจึงหยอกเล่น ที่รักครับบบ..."
พี่หนุ่ยยังตะโกนต่อ เสียงพี่หนุ่ยไม่ใช่ค่อยๆ คงมีคนอื่นได้ยินนอกเหนือไปจากผมด้วย ข้างบ้านผมเริ่มเปิดไฟ ชั้นบนบ้านผมก็เริ่มเปิดไฟ หรือแม่จะได้ยินด้วย ตายละหวา ผมตัดสินใจรีบหันกลับมาหาคนเจ้าเรื่องที่ยังยืนยิ้มอารมณ์ดีอยู่ที่ประตู ก่อนส่งเสียงดุ
“พี่หนุ่ย เงียบไปเลย หยุดส่งเสียงดังได้แล้ว ดึกแล้วนะ อยากให้เค้าได้ยินทั้งหมู่บ้านรึไง"
“เปิดประตูให้พี่สิ จะได้ไม่ต้องตะโกน ที่ร้ากกก..." พี่หนุ่ยหัวเราะกิ๊กกั๊ก ไม่รู้ขำอะไรนักหนา หรืออาจจะเมา
ปากผมบ่นแต่มือก็เปิดประตูให้ "มากันทำไมดึกขนาดนี้ โวยวายเสียงดังอีก"
พอเปิดประตูออกเท่านั้นเอง พี่หนุ่ยก็พุ่งตัวเข้ามากอดอย่างแรงจนผมเกือบล้ม พี่หนุ่ยซุกหน้าเข้ากับคอผมกลิ่นเหล้าโชยออกมาจากลมหายใจ "กูว่าแล้วว่าต้องเมา" ผมแค่พึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่คนที่กอดผมแน่นกลับเขกหัวแล้วดุ
"พูดไม่เพราะนะเรา"
“ก็พูดเรื่องจริงนี่ ไม่เมาไม่มีได้หลุดจากปากหรอก ที่ลักอะไรนั่นน่ะ"
“ที่รัก" พี่หนุ่ยกระดกลิ้นรัวตรงคำว่ารัก อ้อมกอดที่เอวผมขยับรัดแน่นขึ้น
"ต้องร.เรือ ไม่ใช่ล.ลิง นั่นมันลักขโมยแล้ว" ไม่รู้ไปอารมณ์ดีมาจากไหนหัวเราะร่วน สักพักพี่หนุ่ยผละออกจากคอผมก่อนประคองหน้าผมไว้แล้วมองตานิ่ง นัยน์ตาฉ่ำหวานด้วยฤทธิสุราแวววาวคล้ายจะยิ้มให้ผม
“กลับบ้านเรานะ ทำไมทิ้งพี่มาอยู่นี่ล่ะ"
น้ำเสียงพี่หนุ่ยอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อน แทนที่ผมจะดีใจที่พี่หนุ่ยเอ่ยคำหวานๆใส่ผมแบบนี้ แต่ทำไมผมกลับเจ็บจิ๊ดที่ใจ ผมข่มอารมณ์กดผลักความน้อยใจให้มันอยู่ลึกที่สุด ตอบพี่หนุ่ยโดยบอกความจริงไปไม่หมด
“อยู่บ้านก็อยู่คนเดียว มานอนเป็นเพื่อนแม่ดีกว่า"
พี่หนุ่ยรั้งตัวผมเข้ามากอดอีกครั้ง ลูบหลังลูบไหล่ "ทิ้งพี่มา พี่ก็นอนคนเดียวเหมือนกันนะ"
“ถึงผมอยู่ก็เหมือนไม่อยู่สำหรับพี่อยู่แล้ว"
“ใครว่า ถ้าเกี๊ยงอยู่ ถึงแม้พี่ไม่คุยด้วยพี่ก็ดีใจว่าเราอยู่ใกล้ๆนะ" ผมไม่แน่ใจว่าพี่หนุ่ยรับรู้การมีอยู่ของผมจริงอย่างที่ปากบอกรึเปล่า แต่ถึงแม้จะเป็นคำพูดลวงให้ผมดีใจ ผมก็อยากจะเชื่อทั้งหมด
“พี่รู้ว่าพี่ไม่ค่อยได้ใส่ใจเราเท่าไหร่ พี่ผิดเองที่ลืมตัวไปว่าเดี๋ยวนี้ชีวิตไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ยังมีคนที่พี่ต้องคิดต้องแคร์ มีคนที่พี่ต้องดูแลความรู้สึก"
เสียงพี่หนุ่ยที่ลอยมาเข้าโสตประสาทของผมดังแผ่วเบาราวกับไม่ใช่ความจริง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเสียงของคนที่มีผมอยู่ในวงแขน ปกติผมไม่ชอบดูละครเพราะเบื่อที่มีแต่บทพูดที่ไม่มีใครเขาพูดกันในชีวิตจริง บางครั้งคนเขียนบทก็เขียนมาเพื่อโน้มน้าวให้คนดูเชื่อว่าตัวแสดงรู้สึกต่อกันแบบนั้นจริงๆ แต่ในชีวิตจริงการกระทำต่างหากล่ะที่แสดงออกได้มากกว่าคำพูดใดๆ ผมไม่เคยรับเอาคำพูดของใครมาใส่เข้าไปในใจ แต่ตอนนี้เวลานี้ผมเชื่อพี่หนุ่ยทุกคำ ผมกระชับวงแขนของตัวเองรัดเอวพี่หนุ่ยแน่นขึ้น ขยับศีรษะเข้าซุกที่อก
“กลับบ้านเรานะเกี๊ยง"
“ครับ...”
"ใครมาเหรอเกี๊ยง" ในที่สุดแม่ก็ลงมาจนได้ผมรีบปล่อยมือจากเอวพี่หนุ่ย พี่หนุ่ยเองเปิดยิ้มอย่างอายๆรีบยกมือไหว้แม่พูดเสียงอ่อยๆ
“ผมเองครับ มารับเจ้าตัวแสบกลับ" แม่ยิ้มแล้วเหลือบมามองหน้าผมที่ยืนเกาหัวแก้เขินตีสีหน้าไม่ถูกก่อนเอ่ยคำที่ทำให้ผมเขินหนักกว่าเดิม
“มารับไปก็ดี บอกจะมานอนเป็นเพื่อนแม่ แต่มาถึงก็หน้าบูดหมกตัวอยู่แต่ในห้อง" ผมส่งค้อนให้แม่ที่เอาความลับเขามาเผยแต่แม่กลับขำ "แล้วหนุ่ยดูตอนนี้สิ พอพี่เค้ามารับหน้าบานอย่างกับดอกไม้ได้น้ำ"
“แม่อะ"ผมรีบเดินเข้าไปเขย่าแขนห้ามแม่ไม่ให้พูดต่อ แต่แม่กลับดันหลังผมให้ไปหาพี่หนุ่ย
“ไปเลย เดี๋ยวแม่ปิดประตูเอง"
รถแล่นออกจากหน้าบ้านมาแล้วผมหันหลังไปดูแม่ที่ยืนโบกมือให้เราสองคนด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจ ตั้งใจว่าวันหลังถ้าพี่หนุ่ยไม่อยู่หรือไปเที่ยวที่ไหนอีก ผมจะต้องมานอนกับแม่ให้สำเร็จให้ได้ แต่วันนี้ผมขอทำตามหัวใจตัวเองเป็นลูกอกตัญญูก่อน ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่หนุ่ย ริมฝีปากพี่หนุ่ยยังติดรอยยิ้มเล็กๆ พี่หนุ่ยอ้าปากหาวเสียกว้างแล้วเหลือบหันมาเห็นสายตาผมพอดี พี่หนุ่ยทำตาโตใส่แล้วหัวเราะแก้เขินหันกลับไปมองถนนต่อ ผมหัวเราะขึ้นมาบ้างแต่ไม่ได้พูดอะไร เสียงหัวเราะของเราประสานกันเหมือนเสียงดนตรี ความสุขโรยตัวอยู่ในใจอย่างเงียบๆ พี่หนุ่ยเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ ผมก้มลงดูแล้วมองตรงไปข้างหน้าก่อนยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข ขอแค่มีวันแบบนี้ตลอดไป
ผมขอแค่นี้จริงๆ