บทที่8
OH BABY I LOVE YOU!!
“Good morning” พี่เบิ้มเดินยิ้มแป้นแล้นเข้ามาในร้านกาแฟ ผมจึงเอ่ยทักทายตามมารยาท
“Good morning baby” babyพ่อง?! กูไปเป็นที่รักของพี่มึงตอนไหน
“...” แล้วอีMorning kiss กูก็ไม่ชินสักทีสิน่า มือที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ถึงกับชะงัก..ให้ตายสิ!
“ทานอาหารเช้ารึยังครับ”
“ยังครับ”
“ทำไมไม่ทานล่ะ ที่รัก”
“นี่คุณอย่าเรียกผมที่รักได้มั้ย”
“คุณไม่ชอบเหรอแต่ผมชอบนะ” ชอบกับผีน่ะสิ กูล่ะเกลียดรอยยิ้มแป้นแล้นของพี่มึงจริงๆ ขอซื้อต่อเหอะกูจะซื้อแล้วเอาไปปล่อยลงน้ำปิง!
“เขาเอาไว้ใช้เรียกคนรักไม่ใช่เหรอคุณ”
“ก็ใช่ไงครับ ก็ผมรักคุณ”
“...!!” มึงบอกรักกูง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ แล้วกูต้องทำไง โอ้ยยยย ไปไม่เป็นเลยกู..เมื่อคืนนอนไม่พอแน่ๆใจถึงได้สั่นแปลกๆ
“ที่รัก” ยังอีก
“นี่คุณ!”
“โอเคๆ ป้านด” ชื่อป้านดฟังแล้วเพราะหูก็ครั้งนี้แหละ เฮ้อออ
“ว่าไงครับ”
“ผมยกอาหารเช้ามาทานที่นี่ได้มั้ยครับ”
“ได้สิครับ” เช้าๆแบบนี้ห้องทานอาหารของเกสท์เฮ้าส์มักจะเต็มไปด้วยลูกค้าเพราะเราจะบริการอาหารเช้าถึงสิบโมงเช้า มาหลังสิบโมงก็อดครับเพราะหมด!
หลังจากนั้นไม่นานพี่เบิ้มก็ยกถาดที่ใส่อาหารเช้ามานั่งกินตรงชานด้านนอกของร้านกาแฟที่เอาไว้ไห้สำหรับลูกค้าที่อยากนั่งเอ้าท์ดอร์พร้อมกับโบกมือหย๋อยๆเรียกผมให้ไปหา ..อะไรของพี่มึงอีกวุ่นวายแต่เช้า
“มาทานด้วยกันครับ ผมตักมาเผื่อคุณด้วย” พี่เบิ้มยิ้มบอกอย่างใจดีก่อนจะยกชามข้าวต้มสองชามออกจากถาดแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งเสร็จสรรพ ทำขนาดนี้ใครจะกล้าปฏิเสธผมจึงนั่งลงอย่างว่าง่าย
“ขอบคุณครับ ความจริงแล้วคุณไม่ต้องตักมาให้ผมก็ได้เดี๋ยวผมไปทานเอง”
“อย่าพูดแบบนี้สิที่รัก ผมอยากทานกับคุณนะครับ”
“...” ได้แต่ทำตาเหลือกกับคำว่าที่รัก กูจะอ้วกก็เสียดายข้าวต้ม!
“ขนมปังมั้ยคุณ” แล้วพี่แกก็ยื่นขนมปังปิ้งที่ทาแยมส้มมาให้กับผม ผมจึงรับไว้เพราะกลัวพี่แกจะเสียน้ำใจหรอกนะ
“ผมมีแยมกุหลาบ คุณอยากได้มั้ยเดี๋ยวผมไปหยิบให้”
“ไม่ล่ะครับขอบคุณ แค่นี้ก็พอแล้ว” มึงจะทำผมทัดหูแก้เขินเพื่อ?
“เอ่อ..เศษขนมปังติดผมคุณน่ะครับ” ผมบอกพร้อมกับชี้ไปที่กลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลสวยที่มีเศษขนมปังเกาะอยู่
“ออกยังครับ”
“ยังครับ ซ้ายหน่อย” เมื่อเห็นว่ามันยังไม่ยอมหลุดผมจึงจำใจต้องปัดเศษขนมปังนั้นออกให้
จังหวะที่เอื้อมมือที่เบิ้มก็ยิ้มกว้างพร้อมกับจ้องเข้ามานัยน์ตาผมนิ่ง แววตานั้นไม่มีแววสั่นไหวแต่มันเปิดเผยความในใจออกมาตรงๆให้ผมรับรู้ได้อย่างน่าประหลาด แล้วผมก็ใจเต้นรัวกับนัยน์ตาสีเทาคู่นั้นอีกครั้ง..
“อะ ออกแล้วครับ” ทั้งใจสั่นปากสั่นเลยกู
“ขอบคุณที่รัก”
..ให้ตายเหอะน่า! เมื่อไหร่จะเลิกเรียกแบบนี้สักที
“ผมอิ่มแล้วขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” ทนนั่งต่อไม่ไหว รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงก็ไม่รู้
“เดี๋ยวครับ วันนี้ผมจะเข้ายิมตอนบ่าย คุณจะไปพร้อมผมมั้ย”
“ตามสบายเลยครับ ว่าแต่ทำไมวันนี้คุณรีบไปล่ะ”
“ตอนเย็นผมมีประชุมกับสาขาใหญ่ที่ลอนดอน ส่วนตอนสิบโมงเช้าก็มีประชุมกับสาขาที่กรุงเทพ”
“ประชุม?”
“ครับ ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์” ช่างสะดวกสบายดีแท้ บริษัทพี่มึงนี่ก็ชิลดีเนาะ
“ครับ”
“เออจริงด้วย! ผมมีอะไรจะอวดคุณด้วยล่ะ” ร้องซะตกอกตกใจ อะไรจะตื่นเต้นปานนั้น
“อะไรครับ”
จากนั้นพี่เบิ้มก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กที่ผับครึ่งออกจากกระเป๋าตัง แล้วยื่นให้กับผม
ลอตเตอลี่!! โอ้วววแม่เจ้า นี่พี่มึงแอดวานซ์ถึงขั้นซื้อหวยแล้วเรอะ!
“คุณซื้อมันได้ยังไง?”
“เมื่อวานผมไปถ่ายรูปวัดแถวๆนี้มา แล้วมีคุณลุงคนนึงเขาห้อยอะไรสักอย่างคล้ายกระเป๋าพอเดินผ่านผมเขาก็เปิดกระเป๋านั่น แล้วข้างในก็มีกระดาษที่มีตัวเลขเรียงกันเต็มไปหมด มันน่าทึ่งมาก ผมก็เลยช่วยแกซื้อ” เหอะ แล้วมึงสื่อสารกันยังไงวะ?
“แล้วคุณรู้มั้ยว่ามันคืออะไร”
“ครับ ผมพอจะรู้มันคือล็อตเตอร์ลี่ของไทยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ ถ้าถูกรางวัลพาผมไปเลี้ยงด้วยล่ะ” นี่พูดจริงไม่ได้พูดเล่นนะ มันเป็นธรรมเนียมป่ะถูกหวยก็ต้องเลี้ยงเพื่อนถ้าไม่อยากเลี้ยงเวลาถูกหวยก็ต้องปิดปากให้มิด!
“แน่นอน ว่าแต่กระเป๋าใส่ล็อตเตอร์เจ๋งดีนะ ผมชอบ ผมขอถ่ายรูปมาด้วยแหละ” แล้วพี่แกก็โชว์รูปเซลฟี่กับกระเป๋าใส่ล็อตเตอรี่
..เฮ้อ ความฝรั่งเขาล่ะ
“แล้วคุณซื้อมากี่ใบ”
“สิบใบครับ ผมไม่รู้จะซื้อเลขอะไรแต่ผมนับหนึ่งถึงสิบได้ ก็เลยนับให้ลุงฟัง” เหอะ ประสาทจะแดก นับหนึ่งถึงสิบให้ลุงขายหวยฟัง ลุงแกเลยจัด01-10ให้อย่างละใบ ถ้าพี่มึงนับหนึ่งถึงร้อยได้คงได้ซื้อยกแผง
..รวยเละล่ะงานนี้?!
บ่ายสามพี่เบิ้มโผล่หน้ามาให้เห็นอีกครั้ง แล้วคำว่า ‘ที่รัก’ ก็ตามมาหลอกหลอนไม่เลิก
“คุณไม่ไปกับผมแน่นะที่รัก”
“คุณไปก่อนเลยครับ ผมยังต้องทำงาน” ขอแยกไปเองบ้างเหอะ ไปด้วยกันทีไรอีเทรนเนอร์ส่วนตัวก็เทรนแบบถึงเนื้อถึงตัวตลอด เป็นแบบนี้บ่อยๆมันไม่ดี..ไม่ดีต่อใจ
“โอเคที่รัก งั้นตอนเย็นเจอกัน” กูไม่อยากเจอมึงสักนิด
วันนี้พี่เบิ้มมันไม่ขับมอไซค์แฮะ เลือกเดินชมนกชมไม้ไปตามทางแทน เพราะยิมของโจเซฟผัวของอีซูซี่อยู่ไม่ไกลจากเกสท์เฮ้าส์ของผมนักเดินไปได้สบาย..เหนื่อยกำลังดี!
แดดจ้าในตอนบ่ายโดยเฉพาะหน้าฝนแบบนี้มักเป็นสัญญาณว่าตอนเย็นมึงเจอกับฝนแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คิดห้าโมงเย็นฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง แล้วใจก็ดันไปนึกถึงพี่เบิ้มมันมีประชุมตอนเย็นนี่หว่า ไอ้เย็นของมันนี่กี่โมงวะ ฝนตกหนักขนาดนี้แล้วพี่มันจะกลับยังไงวะ..แล้วทำไมกูต้องกังวลด้วยเนี่ย!
“พี่ณตเป็นไรค่ะ เดินไปเดินมาไม่หยุด”
“อ่อ ออกกำลังกายไง”
“ไม่ไปยิมเหรอพี่วันนี้”
“ไม่อ่ะ วันนี้ขอพักกล้ามเนื้อสักหน่อย” พูดให้ดูดีไปงั้นแหละ ความจริงคือขี้เกียจ
“อ่อค่ะ ว่าแต่พี่ณตจะโทรหาใครเห็นกดวางๆ ให้บีโทรให้มั้ย” ไอ้เด็กนี่ก็ตาดีจริงๆ
“ฝนตกไงจะโทรก็กลัวฟ้าผ่า”
“โทรเหอะพี่ฟ้าไม่ผ่าหรอก บีว่าเจเรมี่คงติดฝนกลับไม่ได้แน่ๆ”
“...” ได้แต่อ้าปากหวอ บีแกเป็นญาติริว จิตสัมผัสเรอะ!
“ม่ะ เดี๋ยวบีโทรให้” ว่าแล้วบีก็คว้ามือถือในมือผมแล้วกดโทรหาพี่เบิ้มหน้าตาเฉย ทำไมพนักงานของผมถึงได้เสร่อไม่เกรงใจผมได้ขนาดนี้
“โทรไม่ติดอ่ะพี่ เดี๋ยวลองโทรใหม่”
“พอแล้วๆ ไม่ต้องโทร” ผมรีบคว้ามือถือคืนทันที
“ได้ยินเจเรมี่คุยกับพี่ณตว่าตอนเย็นมีประชุมแต่ยิมอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง วิ่งกลับก็แค่เปียก ซวยหน่อยก็แค่เป็นหวัดเนอะพี่” นี่กำลังเล่นเกมส์จิตวิทยาอยู่เรอะ
“เออๆๆ จะไปรับเดี๋ยวนี้แหละ” กูแพ้! กูยอม!
จากนั้นก็คว้ากุญแจรถแล้วตรงดิ่งไปที่เจ้ากระป๋องของผมทันที ขับรถประมาณห้านาทีก็มาถึง
โจเซฟยิมกำลังชะลอจอดรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เบิ้มกำชับหมวกที่สวมอยู่ให้แน่นและกำลังจะเตรียมตัวออกวิ่ง ผมจึงรีบบีบแตรรถเรียกพี่แกทันที เมื่อเห็นว่าเป็นผมพี่แกก็ยิ้มหน้าบานแล้วรีบวิ่งมาขึ้นรถทันที
“คุณมารับผมเหรอครับ คุณเป็นห่วงผมใช่มั้ยที่รัก ดีใจจัง” เมื่อปิดประตูรถพี่เบิ้มก็หันมาพูดกับผมด้วยสายตาที่เป็นประกาย
อะไรนะ! เป็นห่วงงั้นเหรอ ไม่จริงอ่ะ
“ป่าว ผมก็มาออกกำลังกาตามปกติไงคุณ” ใครจะยอมรับตรงๆล่ะว่าผมมารับ
“อ้าว งั้นเดี๋ยวผมเดินกลับเองก็ได้ครับ” เหอะ ถ้าพี่มึงเป็นหมาตอนนี้คงหูตก หางตก
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณแล้วค่อยกลับมาใหม่อีกทีก็ได้”
ระหว่างทางกลับถึงแม้จะใช้เวลาไม่กี่นาทีแต่พี่เบิ้มก็ปิดปากเงียบมาตลอดทาง แถมยังเล่นเอ็มวีทำหน้าเศร้าเหม่อมองสายฝนนอกหน้าต่าง..คิดว่ากูสนเหรอ ฝันไปเหอะ!
ผมลงจากรถแต่อีพี่เบิ้มก็ยังนั่งเหม่อไม่ยอมขยับ จนผมต้องเคาะหน้าต่างรถเรียกสติของพี่แกให้กลับมา
“ถึงแล้วคุณ” พี่เบิ้มสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะลงจากรถแล้วถามผมอย่างสงสัย
“คุณไม่ไปยิมแล้วเหรอครับ”
“วันนี้ผมตั้งใจไม่ไปอยู่.....” ฉิบหาย! เผลอพูดจนได้
“เมื่อกี้คุณว่าไงนะครับ”
“เอ่อ ผมไม่ไปแล้วจู่ๆก็ปวดท้อง”
“ที่รักคุณตั้งใจไปรับผม” แล้วอีหน้าหมาหง๋อยก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันที หมั่นไส้นัก
“เอ่อ ผมขอตัว” อยู่ทำไมให้โง่ ต้องรีบชิ่งด่วน
“ที่รักจะไปไหน” อย่าสนใจกูนักได้มั้ย เสือกจริง
“ไปขี้!” แมร่ง! กูเกลียดรอยยิ้มของมึงที่สุดมันทำให้ใจกูแกว่ง ยอมรับก็ได้ว่ากูตั้งใจไปรับมึง กูกลัวมึงเปียกไง กลัวมึงกลับมาประชุมไม่ทันไง กลัวมึงเป็นหวัดไง แมร่ง!!!
“ที่รักขอบคุณนะที่คุณเป็นห่วงผม” NO!!!
“....” รีบจ้ำอ้าวอย่างไว ไม่สน แล้วก็อย่าหันไปมอง แต่ถึงไม่มองก็รู้ว่าไอ้ใบหน้าเท่ๆนั่นกำลังยิ้มปากแทบฉีกไปถึงรูหูแน่ๆ
สาธุ กูขอให้มึงปากฉีกกกกก
“ที่รักคุณไปผิดทางที่ร้านกาแฟคุณไม่มีห้องน้ำ” บ้าเอ้ย รีบหมุนตัวกลับไปทางเข้าบ้านแทบไม่ทัน
ฮือออ กูเกลียดเสียงหัวเราะของมึงงงงง
อีพี่เบิ้มมึงมันร้าย มึงทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆของกูให้ทำงานหนัก กูขอ..ขอให้ปากมึงฉีก ฮือออออ
สี่ทุ่ม ตรวจตราความเรียบร้อยที่เกสท์เฮ้าส์เสร็จก็ได้เวลาพักผ่อนของผมสักที จังหวะที่กำลังจะเดินกลับบ้านก็เห็นพี่เบิ้มเดินลงบันไดด้วยท่าทางเบลอๆ แถมยังหัวฟูอีกต่างหาก
“ที่รัก” น่าตบปากเป็นที่สุด
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอคุณ”
“ครับ คุณทานข้าวเย็นรึยัง”
“ทานแล้วครับ” สี่ทุ่มแล้วถ้ายังไม่ได้แดกข้าวไส้คงขาดพอดี
“งั้นผมไปหาอะไรทานก่อนนะ” ยังไม่ได้แดกข้าวอีกเรอะ สงสัยการประชุมคงหักหน่วงน่าดู
“เอ่อ เจเรมี่ ผมมีแกงเขียวหวาน คุณจะทานมั้ย” ดึกแล้วร้านข้าวใกล้ๆแถวนี้ก็คงปิดแล้ว แถมฝนยังตั้งเค้าทำท่าจะตกลงมาอีกหน เขาเป็นลูกค้าแถมยังพ่วงตำแหน่งเพื่อน และเป็นหัวหน้าเพื่อนเรา เราก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยเป็นธรรมดา ใช่มั้ยล่ะ
..ใช้แล้วที่เป็นห่วงก็เพราะเขาเป็นเพื่อนเรานี่เอง ใช่ๆๆ
“ดีเลยครับ ตอนนี้ผมหิวมากๆเลย” พี่เบิ้มพูดพร้อมกับลูบท้องตัวเองแถมยังซบลงมาที่ไหล่ของผมอย่างหมดแรง
“งั้นก็ตามมาครับ” ให้ตาย ชอบมาทำให้ใจเต้นแปลกๆทุกทีสิน่า
แกงเขียวหวานไก่ถูกอุ่นแล้วยกมาเสิร์ฟให้กับฝรั่งตัวโตที่ตอนนี้กำลังหิวโซ
“อืมม หอมจัง ผมชอบแกงเคี้ยวหว่าน” สาบานว่านั้นชื่ออาหาร!
“แกง เขียว หวาน”
“แกง เคี้ยว หวาน” เฮ้อ เอาเหอะ
“เอาไข่เจียวเพิ่มมั้ยคุณ” แกงเขียวหวานอย่างเดียวก็กลัวพี่แกไม่อิ่ม
“ไค่เจียวว?”
“ออมเล็ทแบบไทยน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่มีแกงเคี้ยวหวาน กับคุณก็เพียงพอแล้ว”
“...” เออพอ กูเหนื่อย เหนื่อยกับรอยยิ้มของมึงนี่แหละจะขยันยิ้มไปถึงไหน
“เอ่อใช่ ผมได้คอนโดแล้วนะ พรุ่งนี้ไปดูกันนะครับ”
“เอ่อ...” ปฏิเสธยังไงดีหว่า
“ผมไม่ชินทาง ไปกับผมนะครับ พลีสสส”
“โอเคๆ” มึงไม่ชินทางแต่กูไม่ชินกับความอ้อนของมึง!
“แกงเคี้ยวหวานอร่อย ขอบคุณนะครับ ผมอิ่มแล้วเดี๋ยวล้างจานให้นะครับ” ไม่ถึงห้านาทีอีพี่เบิ้มก็ซัดแกงเคี้ยวหวาน เอ้ย แกงเขียวหวานซะหมดเกลี้ยง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“ขอบคุณมากครับ ถ้างั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว” ดี รู้งาน
“ครับ”
“กู๊ดไนท์ที่รัก” ไม่ทันตั้งตัวอีพี่เบิ้มโน้มหน้าลงมาจูบที่ปากผมอย่างรวดเร็ว เมื่อผละออกก็ฉีกยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายจากนั้นก็เดินผิวปากกลับห้องตัวเองอย่างอารมณ์ดี เล่นเอาซะผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกเหน็บกินไปทั้งตัว แต่สัมผัสอุ่นที่ริมฝีปากนั้นยังอยู่รวมถึงใจที่อุ่นมันอุ่นจนร้อนแทบระเบิด
..และไอ้รสจูบบ้านี่มันเป็นรส แกงเคี้ยวววหวานนน!! อีพี่เบิ้ม มึงงงงงง
เพนท์เฮาส์ชั้นบนสุดของคอนโดใจกลางเมือง เป็นคอนโดเก่าไม่ใช่คอนโดสร้างใหม่แต่อย่างใด แต่อายุของคอนโดยังไม่มากถือว่าใช้ได้และมีความหรูหราและทันสมัย
เพนท์เฮ้าส์ใจกลางเมืองแบบนี้ราคามันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะเนี่ย..ต้องโง่ด้วย แต่ที่โง่ไปกว่านั้นก็เหตุผลที่พี่เบิ้มเลือกคอนโดแห่งนี้ก็เพราะมันใกล้กับบ้านผมมากที่สุด..งี่เง่าสิ้นดี!
นึกแล้วก็เสียดายเงิน เงินที่พี่มึงต้องจ่ายให้กับเพนท์เฮาส์สุดหรูบ้านี่ คงซื้อที่ดินแถวชานเมืองได้หลายสิบไร่!
“เป็นไงครับ คุณชอบมั้ย”
“ผมว่ามันใหญ่ไปสำหรับการอยู่คนเดียวนะครับ” อยู่คนเดียวแถมไม่ได้อยู่ตลอดแบบนี้ แม่งโคตรสิ้นเปลือง
“สองคนต่างหากครับ” อยู่กับใครหว่า?
“ก็ยังใหญ่ไปสำหรับสองคนอยู่ดี ผมว่าห้องชุดสองห้องนอนกำลังพอดี”
“อืมม ถ้างั้นผมซื้อห้องชุดอีกห้องหนึ่งดีมั้ย”
“เพื่อ?”
“ก็คุณชอบห้องชุดนี่”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” พี่มึงบ้าป่ะเนี่ย
“ก็คุณไม่ชอบห้องนี่”
“แล้ว?”
“โอเค เอาเป็นว่าผมจะซื้อห้องชุดแบบที่คุณชอบ” มึงมันบ้า
“นี่คุณมีเหตุผลหน่อย ผมรู้ว่าคุณรวยและคงรวยขนาดซื้อดอนโดแห่งนี้ได้ทุกห้อง แต่ได้โปรดอย่าเล่นกับเงินแบบนี้ ยิ่งคุณทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมคิดว่าโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมนึกถึงคนที่เขาไม่มีอันจะกินหน่อยสิคุณ” เข้าใจอยู่ว่าเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่แกแต่มันก็อดโมโหกับการใช้เงินอย่างไม่เห็นค่าแบบนี้ไม่ได้นี่หว่า..ใครเป็นคนงกแบบผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังโมโห
“ที่รักผมขอโทษ” พี่เบิ้มถึงกับหน้าถอดสี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นเสียง ซึ่งที่จริงแล้วผมก็ไม่มีสิทธิ์เลยสักนิด
“เอ่อ ผมขอโทษที่เสียงดัง”
“ผมขอโทษ ที่จริงแล้วผมเป็นคนมีเหตุผลในการใช้เงินนะ แต่ครั้งนี้ผมแค่อยากตามใจคุณ” และนี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ตามใจกูเพื่อ คอนโดมึงไม่ใช่คอนโดกู
“ผมไม่เข้าใจ”
“ผมอยากให้มันเป็นที่ของเรา ผมหวังว่าสักวันที่นี่จะเป็นบ้านหลังที่สองของเรา” พี่เบิ้มก้มหน้าพูดเสียงอ่อย นี่เป็นครั้งแรกที่พี่เบิ้มไม่กล้าสบตาผม
“...” กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี?!
“ที่รัก..ผมจริงจังกับคุณจริงๆนะครับ” พี่เบิ้มเงยหน้าขึ้นสบตาผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แววตาสีเทาคู่นั้นช่างเว้าวอนและมันทำให้หัวใจของผมสับสนอย่างน่าประหลาด..
“เอาเป็นว่าคุณซื้อที่นี่ไปแล้วก็ควรจะอยู่ที่นี่ แต่ถ้าอยากได้ห้องอื่นก็ควรจะขายที่นี่ให้ได้ซะก่อน แล้วอย่าเอาความเห็นของผมไปเป็นตัวตัดสิน โอเค๊?” รู้แล้วล่ะว่ามึงจริงจัง จริงจังมากด้วย แมร่งเงินตั้งหลายสิบล้าน!
“โอเค ถ้างั้นผมก็เลือกที่นี่”
“ดีครับ”
“แต่ผมอยากรีโนเวท”
“แบบเดิมมันก็ดีอยู่แล้วนี่คุณ ทุกอย่างก็ยังดูใหม่”
“ใจเย็นที่รัก ผมแค่จะรีโนเวทบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด ผมไม่ชอบสีทองและมันไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบ มันดูเหมือนอียิปต์โบราณยังไงก็ไม่รู้” เมื่อพี่เบิ้มเห็นผมเริ่มชักสีหน้าก็รีบอธิบาย
ก็จริงอย่างที่พี่มึงว่าเพนท์เฮ้าส์แห่งนี้ตกแต่งสไตล์คลาสสิค ซึ่งเน้นความหรูหรามากกว่าพื้นที่ใช้สอย การตกแต่งก็เน้นโทนสีทองเป็นหลัก แนวนี้น่าจะเหมาะกับผู้บริหารอาวุโสมากกว่าบอสหนุ่มสุดเซอร์ที่ไม่มีเค้าของความเป็นผู้บริหารอยู่แม้แต่น้อยอย่างพี่เบิ้มจริงๆนั้นแหละ
“แล้วคุณอยากได้แนวไหน”
“แล้วแต่คุณแต่ไม่เอาแบบนี้” แล้วแต่กูอีกแล้ว
“นี่คุณ!”
“งั้นเอาแบบนี้ ซู่ซี่บอกผมว่าคุณเป็นสถาปนิกฟรีแลนซ์ คุณสนใจรับงานตกแต่งภายในให้ผมมั้ย”
“ผมไม่ว่าง ผมแนะนำให้ปรึกษาบริษัทของดอย”
“ไม่! ผมอยากให้คุณเป็นคนทำ” แม่ง งี่เง่าได้โล่
“ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างจริงๆครับ” จริงๆอ่ะว่าง ทำได้สบาย ยิ่งงานแบบนี้ผมถนัดนัก
“ถึงผมจ้างบริษัทดอย ผมก็จะเลือกให้คุณมาเป็นสถาปนิกเพราะผมรู้ว่าคุณรับงานมาจากบริษัทของดอย” ฉลาดนัก!
“ใช่ครับ ผมรับก็ต่อเมื่อผมว่าง” เอาซี่ กูไม่ยอมซะอย่าง
“โอเค งั้นผมจะขายที่นี่ ทุกอย่างเป็นอันยกเลิก” พี่เบิ้มกอดอกพูดด้วยที่ใบหน้าที่งอง้ำ ตอนเด็กๆมึงต้องเอาแต่ใจตัวเองโคตรๆแน่
“โอเค งั้นก็กลับกันครับ” เรื่องของพี่มึงสิใครสน!
ผมเดินไปที่ประตูแต่ฝรั่งโข่งยังคงหน้าบึ้งยืนกอดอกนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ..ให้ตายให้มันได้แบบนี้สิ กูอยากให้ลูกน้องของมึงมาเห็นมุมนี้ของมึงจังเล้ยยย.. นี่นะหรือผู้บริหารหนุ่มน่าเกรงขาม เด็กห้าขวบชัดๆ!
“โอเคๆ ผมตกลงรับงานนี้ครับ” กูจะคิดค่าแรงจนมึงหมดตัวเลยคอยดู
“ขอบคุณที่รัก คุณน่ารักที่สุด” หึ แต่มึงน่าถีบที่สุด! แต่จะถีบก็กลัวจะโดนสวน สันแข่งแม่งคนละไซส์ โดนถีบทีนึงคงสลบไปสามชาติ!
กลับมาถึงเกสท์เฮาส์ ก็เจอกับเรื่องปวดหัวอีกครั้งเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญที่ส่งตรงมาจากสิงคโปร์นั่งหน้าสลอนอยู่ในร้านกาแฟ..พี่เบิ้มคนเดียวกูก็ปวดกบาลแทบแย่เพิ่มอีซูซี่เข้าไปอีกคนมีหวังได้แดกพาราทั้งแผงแน่ๆเลยกู
“Hi Jeremy” อีตุ๊ดหัวโปกเดินนวยนาดเข้ามาสวมกอดพี่เบิ้มเป็นคนแรก กูเพื่อนมึงแท้ๆกับไม่เห็นหัว
“HI Joseph” เมื่อมันไม่เห็นหัวผม ผมจึงหันไปทักทายฝรั่งกล้ามปูที่ตามติดมันมาด้วยซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเจ้าของ
โจเซฟยิม ผัวของอีซูซี่นั่นเอง
โจเซฟเป็นคนสิงคโปร์ก็จริงแต่หน้าตาไม่มีเค้าโครงของความเป็นเอเชี่ยนเลยแม้แต่น้อย เพราะพี่แกเป็นลูกเสี้ยว สิงคโปร์ ฝรั่งเศส แคนดา บราซิล แม่งรวมเชื้อชาติสี่ทวีปไว้ในคนคนเดียว เห่อะ..เป็นไงล่ะผัวของไอ้ชาติมันไม่ธรรมดา
ผมและโจเชฟเราทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่อีซูซี่จะแนะนำให้พี่เบิ้มรู้จักกับผัวของมัน หึ มึงก็ยังไม่เห็นหัวกูสินะ
จากนั้นฝรั่งผู้เสพติดในการออกกำลังทั้งสองคนก็นั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บทสนทนาก็หนีไม่พ้นเรื่องออกกำลังกาย อีซูซี่จึงถูกตัดออกจากวงสนทนามันถึงได้หันมาทักผม
“ไงมึง สบายดีนะ”
“สบายดี แต่พอเจอหน้ามึงเริ่มจะคั่นเนื้อคั่นตัว”
“ค่ะ ไปเดทมาเหรอกูนั่งรอตั้งนาน”
“เดทพ่อง”
“ปากคอเราะร้าย คุณบอสไม่น่าหลวมตัวชอบมึงเล้ย” ใครขอให้มาชอบกูกันล่ะ
“ครั้งนี้กลับมากี่วัน”
“ฉันอยู่ยาวยังไม่มีกำหนดกลับ แต่มายสวีทฮาร์ทอยู่เดือนหนึ่ง” มายสวีทฮาร์ท! เอิ่มม มองบนแปป
“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ ถึงได้อยู่ยาว”
“ป่าวค่ะ ช่วงนี้มายสวีทฮาร์ททำตัวน่ารักมากกก แต่ที่มาอยู่ยาวเพราะจะมารีโนเวทออฟฟิตให้เป็นห้องนอนด้วยน่ะ ไม่อยากพักที่บ้านแกก็รู้ว่าบ้านฉันมันไกล”
“ดีแล้ว เวลาหนีผัวมาจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับกู”
“อิดอกใจร้าย แต่เรื่องของกูเอาไว้ก่อนเหอะ คุยเรื่องของอิดอยดีกว่า” หน้ามึงเต็มอัตราเสือกมากอีซูซี่
“กูว่ามันแม่งชอบซันนี่ มึงต้องเจอตอนมันอยู่ด้วยกันแล้วมึงจะรับรู้ได้”
“นัดเจอสิคะรอไร” ว่าแล้วอีซูซี่ก็ต่อสายหาไอ้ดอยทันที เรื่องเสือกนี่ไวนัก
เป็นอันตกลงว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นมีนัดรวมตัวกันที่บ้านของผม ส่วนอีพี่เบิ้มก็เห็นดีเห็นงามด้วยที่จะได้เริ่มแผนการอย่างเป็นทางการ กูจะรอดูว่าจะรุ่งหรือจะร่วง
คิดแล้วก็เหมือนการรวมตัวของสหประชาชาติช่างหลายเชื้อชาติซะเหลือเกิน ...สนุกล่ะงานนี้!!
TBC.………………………………………………..................
หายไปนานเพราะความป่วย ขอบคุณที่ยังไม่ลืมพี่เบิ้มป้านดกันนะคะ^^