บทที่ 11
น้ำตกแห่งรัก
หลังจากไม่ได้มีข้าไทคนสนิทอยู่ข้างกายเหมือนเช่นเดิมแล้ว แสงหล้าก็รู้สึกว่าชีวิตช่างเงียบเหงาไร้ซึ่งชีวิตชีวา วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาพูดจากับผู้ใด ความเงียบเหงาคืบคลานเข้ามาเกาะกินหัวใจ เขารู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียวท่ามกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ แม้กระทั่งอินเหลาผู้ที่เคยทำให้เขามีความสุขก็ไม่สามารถทำให้ความสุขเหล่านั้นของแสงหล้ากลับคืนมาได้เลย
จักรคำสังเกตเห็นและรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าโศกานั้น เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย จึงคิดหาหนทางเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง การหมกตัวอยู่แต่ในคุ้มอาจจะทำให้แสงหล้าเอาแต่คิดเรื่องคำน้อยไม่หยุดหย่อน เขาจึงตั้งใจจะพาชายาต่างเมืองออกไปเปิดหูเปิดตานอกวังเผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
แสงหล้านั่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางคิดหาหนทางพาตัวคำน้อยกลับมาอยู่ที่คุ้มด้วยกัน เขาเคยไปหาคำน้อยถึงที่แต่ทว่าทหารที่เฝ้ายามอยู่กลับไม่ให้เข้าไปในคุ้ม โดยให้เหตุผลว่าเป็นคำสั่งของเมืองแมน นั่นทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงกลัวว่าคำน้อยอาจจะโดนกดขี่ข่มเหงจนไม่มีความสุข
“คิดอันใดอยู่รึ” เสียงทุ้มดังแว่วเข้ามาทำให้เจ้าตัวหลุดจากภวังค์ในทันที หันไปมองยังต้นเสียงก็พบว่าจักรคำกำลังเดินยิ้มเข้ามาหาตนเอง
“ข้าหาคิดอันใดไม่” เขาปฏิเสธแต่ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด จักรคำก็ดูออกว่าคงไม่ใช่เรื่องใดนอกจากเรื่องของคำน้อย
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดปดข้าอยู่”
“ข้าเปล่า!” แสงหล้ายังคงยืนยันคำพูดตนเอง
“ข้ายอมเจ้าก็ได้...ลุกขึ้นเถิดข้าจักพาไปเปิดหูเปิดตานอกวัง” ผู้มาใหม่ยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“ข้าไม่ไป! ในช่วงเวลาเช่นนี้ข้าไม่มีกะจิตกะใจไปเที่ยวที่ใดดอก” แสงหล้ายังคงนั่งนิ่งไม่กระดิกตัว
“ถ้าไม่ลุกขึ้นข้าจักเป็นคนอุ้มเจ้าเอง” ไม่ว่าเปล่าจักรคำก้าวขาเดินเข้าไปหาทันที ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นยืนทันควันด้วยความกลัว
“ขะ...ข้าลุกเองได้”
“เดินตามข้ามา”
จักรคำยิ้มมุมปากยักคิ้วกวนอีกฝ่าย แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้างองุ้มอย่างไม่พอใจเสตาหนีไปอีกทาง จากนั้นเจ้าอุปราชก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง ร่างบางจึงจำยอมเดินตามหลังไปอย่างอิดออด
ออกมาถึงหน้าคุ้มก็มีทหารนำม้าศึกสีขาวตัวหนึ่งมารออยู่ลานหญ้าแล้ว มันคือ ‘ไอ้ขาวศึก’ ม้าตัวโปรดที่ร่วมออกศึกกับจักรคำในทุกครั้ง
“เจ้าพี่จักพาข้าไปที่ใดรึ” แสงหล้าเอ่ยถามเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าไอ้ขาวศึกแล้ว
“ไปถึงที่นั่นเจ้าจักรู้เอง” ว่าแล้วจักรคำก็เดินไปลูบไล้ใบหน้าไอ้ขาวศึกอย่างเบามือเพื่อทักทาย ราวกับว่าทั้งสองสามารถสื่อคำพูดถึงกันได้โดยไม่ต้องออกเสียง
“ไอ้ขาวศึกลูกพ่อ เอ็งคิดถึงพ่อบ้างหรือไม่” จักรคำเอ่ยกับม้าตัวโปรด แสงหล้าได้ยินอย่างนั้นถึงกับกลั้นขำไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นมุมน่ารักๆ ของเจ้าอุปราชอย่างนี้เลยสักครั้ง
“ขำอันใดรึแสงหล้า” คนที่โดนขำหันขวับไปมองทันควัน ทำเอาแสงหล้าปรับสีหน้าแทบไม่ทัน
“หามีอันใดไม่” เจ้าตัวลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
จักรคำไม่ได้ว่าอะไรแต่หันหลังกลับมาอมยิ้มด้วยความพอใจเมื่อสามารถทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปขี่หลังไอ้ขาวคำรออีกฝ่าย
“ขึ้นมาสิ” เมื่อนั่งอยู่บนหลังม้าแล้วจักรคำก็ยื่นมือลงมา เพื่อจะดึงตัวอีกฝ่ายให้ขึ้นตามไป
“ไม่! ข้าขี่ม้าเป็น หาม้ามาให้ข้าสักตัวได้หรือไม่”
“ขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้” จักรคำพูดเสียงเข้มเมื่ออีกฝ่ายเริ่มงอแงไม่ทำตามคำสั่ง
แสงหล้าเหลือบตามองอีกฝ่าย ถอนหายใจเสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่พอใจ “ขึ้นก็ขึ้น”
เจ้าตัวเดินอิดออดเข้าไปยืนข้างไอ้ขาวคำ ก่อนจะยื่นไปจับมือคนที่นั่งอยู่ข้างบน ก้าวขาขึ้นไปเหยียบสายโกลนเพื่อให้จักรคำดึงตัวขึ้นไป
“อึ๊บ!”
ตอนนี้ร่างบางขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีเจ้าอุปราชรูปงามนั่งซ้อนท้ายโอบกอดเอาไว้แน่น จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้ามาวางเกยบนไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ส่งลมหายใจอุ่นเป่ารดข้างใบหูงามเพื่อหยอกล้อเล่น ทำเอาแสงหล้าใบหน้าแดงก่ำปานลูกตำลึงสุก
“นั่งสบายตัวดีหรือไม่” จักรคำจงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้พวงแก้มขาว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“อื้ม” คนที่อยู่ในอ้อมกอดตอบรับสั้นๆ กลอกลูกตาไปมาด้วยความเขินอายเป็นที่สุด
“ไป!”
จักรคำตะโกนสั่งไอ้ขาวคำพร้อมทั้งดึงสายบังเหียน บีบขาทั้งสองข้างไปที่ลำตัวเพื่อสั่งให้ออกเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายที่เขาต้องการ
ไอ้ขาวคำวิ่งออกจากคุ้มเจ้าอุปราชตรงไปยังภูเขาสูงตระหง่านที่มองเห็นอยู่รำไร สถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงเมืองพอประมาณ เนินเขาลูกนั้นมีน้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายที่ไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงทุกชีวิตของชาวเมืองเชียงราชคำให้อยู่ดีมีสุขมานมนาน
“หยุด!”
เมื่อได้ยินคำสั่งไอ้ขาวคำก็ค่อยๆ ลดความเร็วจากวิ่งเป็นเดินช้าๆ และหยุดอยู่กับที่ในที่สุด จากนั้นจักรคำก็ลงมาจากหลังม้าก่อนจะอุ้มตัวแสงหล้าให้ตามลงมาอีกที
“ขอบน้ำใจเจ้า” เมื่อลงมาแล้วแสงหล้าก็เอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความเขินอาย ก่อนจะหันไปสนใจมองรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ
จักรคำมองหน้าร่างบางด้วยรอยยิ้มก่อนจะพาไอ้ขาวคำไปล่ามไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
มวลน้ำปริมาณมากไหลหลากลงมาจากยอดเขาสูงตกกระทบกับแผ่นหินด้านล่าง เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วพื้นที่ ซึ่งรายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณเป็นที่อาศัยของบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนมาก โขดหินและพื้นดินโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยมอสส์สีเขียวบ่งบอกว่าพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มากแค่ไหน หากผู้ใดมาพบเห็นต่างก็ต้องตื่นตาเหมือนอย่างเขาเป็นแน่แท้
“ช่างสวยงามเหลือเกิน” แสงหล้าเอ่ยเบาๆ ขณะดวงตาคู่สวยกวาดมองดูความงดงามของน้ำตกแห่งนี้
จักรคำเดินมายืนซ้อนหลังอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือหนาทั้งสองข้างวางไว้บนไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ทำเอาคนที่ยืนอยู่สะดุ้งเล็กน้อย เอียงหน้าหันไปมองด้วยสายตาดุเล็กน้อย
“เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาดุดันเยี่ยงนี้” จักรคำยิ้มอ่อนเพิ่มความหมั่นไส้ให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากเป็นเท่าตัว
“เอามือท่านออกไปบัดเดี๋ยวนี้”
“ไม่!” คนตัวสูงยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ข้าอึดอัด”
“แต่ข้าไม่อึดอัดเลยสักนิดเดียว” จักรคำยังดื้อ
“เหตุใดจึงดื้อดึงเช่นนี้ ข้ารู้ว่าท่านต้องการเอ่อ...”
“อันใดรึ” คนพูดชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะเป่าลมร้อนเข้าที่ใบหู ทำเอาแสงหล้าถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัว
“เจ้าพี่กวนข้ารึ!”
“ถ้าใช่เจ้าจักทำอันใดข้ารึ” จักรคำได้แต่ยิ้ม เลื้อยมือทั้งสองข้างไปวางไว้ที่หน้าท้องแบนราบก่อนจะกอดรัดเอาไว้แน่น แสงหล้าจึงพยายามแกะมือหนานั่นออกแต่ทว่ากลับโดนอีกฝ่ายปรามเอาไว้เสียก่อน “เจ้าสู้แรงข้าไม่ได้ดอก ยืนนิ่งๆ ฟังสิ่งที่ข้าจักพูดสักครู่ได้หรือไม่”
“ข้าอึดอัดเต็มทีแล้ว” แสงหล้าอ้างออกไปแต่ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าขาวร้อนผ่าวเปลี่ยนสีในพริบตา เจ้าตัวไม่รู้เลยว่านี่คืออาการของคนที่กำลังเขินอายเมื่อโดนคนที่ถูกใจแตะเนื้อต้องตัว
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อึดอัดอย่างที่กล่าว แต่เจ้ากำลังรู้สึกดีต่างหากใช่หรือไม่” เมื่อได้โอกาสจักรคำก็กดจมูกคมลงไปดอมดมที่พวงแก้มขาวอย่างบรรจง เขารับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงผิดปกติของคนที่อยู่ในวงแขนแกร่ง
ฟอดดดด!!!
“คนฉวยโอกาส!” คนที่โดนเอาเปรียบเอียงแก้มขาวปรายตามองเชิงต่อว่า
“ข้าแค่ต้องการพิสูจน์ว่าแก้มของเจ้าหอมหรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันหอมเหลือเกิน หอมจนข้าอยากดอมดมเจ้าไปทั้งตัวแล้ว”
เขาไม่มีอะไรจะต้องอ้อมค้อมอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้หัวใจมันเรียกร้องหาคนที่อยู่ตรงหน้าทุกวัน หากช้ากว่านี้มีหวังได้ลงแดงตายก่อนแน่นอน นั่นเพราะแสงหล้าอยู่ในคุ้มด้วยกัน ได้เห็นหน้าทุกวัน ยิ่งทำให้ความต้องการมากล้นเกินกว่าจะห้ามใจ ใบหน้างามๆ ของคนที่อยู่ในอ้อมกอดช่างยั่วเย้าความเป็นชายของเขาให้ตื่นตัวได้ดีเลยทีเดียว
“หยุดเอ่ยคำเลี่ยนๆ พวกนั้นได้แล้วข้าไม่อยากฟัง” ร่างเล็กได้แต่เอียงอายอยู่อย่างนั้นหากจะขยับตัวหนีก็ทำไม่ได้ มันเป็นอะไรที่อึดอัดแต่ทว่าคำหวานที่เขาเพิ่งจะบอกว่าเลี่ยนนั้น กลับทำให้หัวใจพองโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“รู้หรือไม่...ข้าเคยกอดอิงฟ้าดังเช่นที่กอดเจ้าอยู่ที่เดียวกันนี้” เขาเอ่ยเบาเสียงก่อนจะทอดสายตามองไปยังโขดหินข้างน้ำตกก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา เมื่อจินตนาการว่าเห็นอิงฟ้าชายาคนก่อนกำลังนั่งยิ้มให้ตนเองอยู่บนนั้น
“อิงฟ้า...คือผู้ใดรึเจ้าพี่” แสงหล้าเอ่ยถามเสียงเบาราวกับน้อยใจที่ตนเองไม่ได้เป็นคนแรกที่โดนกระทำอย่างนี้
“แม่ของอินเหลา...เมียคนก่อนของข้ายังไงเล่า” จักรคำตอบ
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วแสงหล้าก็หลุบตาลงเล็กน้อย รู้สึกผิดที่หึงหวงแม้กระทั่งคนที่ตายไปแล้ว เขาเคยจะให้อินเหลาเล่าเรื่องเธอคนนี้ให้ฟัง แต่ทว่ากลับมีเรื่องกับเครือแก้วเสียก่อนเลยยังไม่มีโอกาสได้ถามอีกครั้ง วันนี้ได้โอกาสแล้วเขาจึงอยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“เอ่อ...เจ้านางอิงฟ้าเป็นอันใดถึงได้จากท่านกับอินเหลาไปเร็วเยี่ยงนี้”
“อิงฟ้าป่วยด้วยอาการไข้ป่า นางจากข้าไปตั้งแต่อินเหลาเกิดมาลืมตาดูโลกได้เพียงสามปีเท่านั้น นางเป็นสตรีที่ร่าเริงเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และเมียได้อย่างดี และเหตุผลพวกนั้นก็ทำให้ข้าไม่อาจยกย่องผู้ใดมาแทนที่อิงฟ้าได้เลย จนกระทั่งมาพบเจ้า...” จักรคำพลิกตัวร่างบางให้หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนจะสอดมือหนาไปวางไว้บนแผ่นหลังดันตัวให้เข้ามาประชิดกัน จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างลึกซึ้ง
“เกี่ยวอันใดกับข้ารึ” แสงหล้าแสร้งทำเป็นถาม แต่ทว่าในใจกลับรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายความถึงอะไร
“เจ้าคือคนที่ทำให้ข้าต้องการมีความรักอีกครั้ง ทุกครั้งที่ข้าได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้า หัวใจข้ามันเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเห็นเจ้าเข้ากับอินเหลาได้เป็นอย่างดี ข้ายิ่งมั่นใจว่าผู้ที่จักมาอยู่เคียงข้างข้าในวันที่ได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองต่อจากเจ้าพ่อก็คือเจ้า” พูดจบจักรคำก็ส่งรอยยิ้มที่สุดแสนจะอบอุ่นให้คนที่อยู่ตรงหน้า สื่อว่าเขาจริงจังกับคำพูดนั่นมากแค่ไหน
“ข้า...คงไม่อาจเป็นอย่างที่ท่านต้องการได้ดอก เพราะเหตุใดท่านเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
เขาเป็นเพียงเชลยต่างเมืองคงไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งเคียงข้างเจ้าหลวงเมืองนี้ได้แน่ อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานถึงขนาดนั้น อยากกลับไปเมืองผาพิงค์อยู่อย่างพร้อมหน้ากับบิดาและพี่ชายรวมถึงประชาชนที่รัก ไปเป็นเจ้าฟ้าพระองค์เล็ก เป็นที่พึ่งให้กับชาวเมืองเหมือนเมื่อก่อน
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังคงโกรธเคืองข้าเรื่องนั้น แต่ข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจักเห็นใจข้า หากวันใดที่ข้าได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว ข้าสัญญาว่าจักปลดปล่อยเมืองผาพิงค์ให้เป็นอิสระ ได้ยินเช่นนี้แล้วเจ้าจักลังเลใจอยู่อีกหรือไม่” จักรคำอยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น เพราะรู้ดีว่าแสงหล้ารักบ้านเมืองยิ่งกว่าชีวิตเสียด้วยซ้ำ
“จริงรึเจ้าพี่” แสงหล้ายิ้มกว้างด้วยความดีใจ ตอนแรกเขายังมองไม่เห็นทางที่จะทำให้บ้านเมืองได้รับเอกราชเลยสักวิธี แต่พอได้ยินจากปากจักรคำอย่างนี้แล้ว โลกที่เคยเป็นสีเทากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที จากที่เคยเดินในทางเปลี่ยวไร้ซึ่งแสงสว่าง ตอนนี้เขาเห็นแสงรำไรจากปลายทางพอที่จะเดินหน้าต่อไปได้แล้ว
“จริงสิข้าไม่พูดปดเจ้าดอก ได้ยินเยี่ยงนี้แล้วเจ้าจักยิ้มได้หรือยัง”
“หากเจ้าพี่สัญญาเยี่ยงนี้แล้ว ข้าจักรอวันนั้น วันที่เจ้าพี่ได้ขึ้นนั่งบนตั่งทอง”
“แล้วเรื่องที่ข้าขอเจ้าเล่าจักได้หรือไม่” เขาให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว ทีนี้ถึงตาเขาที่จะเป็นฝ่ายร้องขอบ้าง
“ข้า....ขอคิดดูก่อน”
แสงหล้ายังไม่ชัดเจนกับความรู้สึกของตนเอง แต่หากถามว่ารู้สึกดีกับจักรคำหรือไม่ เขาตอบได้เลยทันทีว่าใช่ แต่ทว่าหากจะให้ตอบโป้งๆ เลยว่ารักมันคงจะต้องชั่งใจดูอีกสักระยะ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวแทบไม่ทัน
“ข้าจักให้โอกาสเจ้าสามวันเพื่อคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ หากเกินนั้นแล้วเจ้าไม่มาให้คำตอบ ข้าจักถือว่าเจ้าปฏิเสธ แต่หากเป็นเยี่ยงนั้นจงวางใจเถิดว่าข้าจักรักษาสัญญาเรื่องอิสรภาพของเมืองผาพิงค์ไว้เช่นเดิม”
“ข้ารับรองว่าจักให้คำตอบท่านภายในเร็ววันนี้” แสงหล้าเป็นฝ่ายส่งยิ้มให้เขาบ้าง
“หวังว่าเจ้าจักให้โอกาสข้านะ” ว่าแล้วจักรคำก็โน้มใบหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ หมายใจจะจุมพิตบนหน้าผากนุ่มนั้นให้ชื่นใจแต่ทว่า...
“ปะ...ปล่อยข้าได้รึยัง ข้าอยากไปนั่งบนโขดหินใกล้น้ำตกโน่น” แสงหล้าก้มหน้างุด วางสายตาไว้บนแผงอกแกร่ง แต่ทว่าจักรคำไม่ยอมให้ตัวเองพลาดโอกาสดีๆ อย่างนี้ไปแน่ เขาละมือข้างหนึ่งขึ้นมาเชยคางเรียวให้ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันอีกครั้ง
“ข้าจักปล่อยก็ต่อเมื่อเจ้ายอมให้ข้าจูบ” ตอนแรกตั้งใจว่าแค่จะจุมพิตบนหน้าผากแต่ตอนนี้เขาอยากทำให้มากกว่านั้นเสียแล้ว
“เหตุใดข้าต้องยอมท่านด้วยเล่า” ร่างบางพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่ทว่าสีหน้าที่แดงก่ำนั้นกลับไม่สามารถปกปิดความรู้สึกเอาไว้ได้
“เพราะข้ารักเจ้ายังไงล่ะ”
“อื้อออ”
จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบอีกฝ่ายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางถูกบดจูบอย่างดูดดื่ม จักรคำพยายามแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากนั่น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเม้มปากเอาไว้แน่น เขาจึงเปิดมันด้วยการบีบเคล้นที่แก้มก้นงอนงามอย่างรุนแรงทำให้แสงหล้ารู้สึกเจ็บจนเผยอปากออกมา จักรคำจึงใช้โอกาสนี้ส่งลิ้นสากเข้าไปชอนไชข้างใน ตวัดเลียลิ้นของร่างบางอย่างสนุกสนาน แรกๆ ความไร้เดียงสาทำให้แสงหล้าไม่กล้าตอบสนอง แต่พอนานเข้าเขากลับเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปในปากจักคำเสียเอง
จังหวะการหายใจของคนทั้งสองเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไฟสวาทเริ่มก่อตัวขึ้นมา ตอนแรกจักรคำตั้งใจแค่จะแกล้งหยอกเล่นๆ แต่ทว่าเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติความหอมหวานในโพรงปากนั่น กลับทำให้เขาคิดการใหญ่กว่านั้นอีก มือหนาพยายามปลดเปลื้องอาภรณ์คนที่อยู่ในอ้อมกอด แต่ทว่าแสงหล้ากลับตั้งสติได้เสียก่อนจึงจับมือห้ามเอาไว้
“ยะ...หยุดก่อน แฮ่กๆ ๆ” เจ้าตัวเอ่ยทั้งที่ยังหายใจหอบเหนื่อย นั่นเพราะโดนตักตวงเอาลมหายใจอยู่นานสองนาน
“เหตุใดข้าต้องหยุด ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ต้องการมันเช่นกัน”
จักรคำไม่ยอมฟังคำค้านกลับอุ้มร่างบางขึ้นในท่าเจ้าสาว
“ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้!” กำปั้นน้อยๆ ทุบเข้าที่แผงอกแกร่งแต่ทว่าคนตัวใหญ่กว่ากลับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าปล่อยแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ข้าอยากทำให้เจ้ามีความสุขหาควรขัดใจข้าไม่...เมียข้า”
เจ้าอุปราชรูปงามกระตุกยิ้มร้ายก่อนจะอุ้มร่างเล็กเดินตรงไปยังน้ำตก ในนั้นมีถ้ำเล็กๆ ที่เขาเคยพาชายาคนก่อนเข้าไปพลอดรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงมาแล้ว และที่นี่ก็จะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเขาและแสงหล้าในอีกไม่กี่อึดใจนี้