08 - Minute of Loveเสียงเพลงคุ้นหูในวิทยุกำลังขับกล่อมคนฟังให้เพลิดเพลินไปกับมัน แต่ในเวลานี้มันคงใช้ไม่ได้กับกรวิทย์แน่นอน ชายหนุ่มนั่งเกร็งมาตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนรถยนต์คันนี้แล้วและในตอนนี้เขาก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกเอาเสียเลย
นับตั้งแต่เมื่อวานที่เขากับสิชลตกลงว่าจะลองขยับความสัมพันธ์ เขาเองก็ยังไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟังเลยเพราะตั้งใจว่าจะนัดคุยกันตอนเย็นเพื่อบอกข่าวดีแบบนี้ แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจเพราะคนขับข้างตัวเขานี่แหละที่มาดักรอรับอยู่หน้าคณะ ไม่รู้ว่าไปเช็คตารางเรียนเขามาจากไหนถึงได้รู้ว่าวันนี้เขามีเรียนวิชาภาคตัวเดียว
สิชลเดินเข้ามาหาเขาทันทีที่เจอกันพร้อมบอกว่ามารับไปหาอะไรกินข้างนอก เขายังจำสีหน้าของเพื่อนสนิทและเพื่อนคนอื่นที่อยู่บริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี ท่าทางของเพื่อนสนิทที่บอกว่าเดี๋ยวกลับมามีเคลียร์แน่นอน กรวิทย์ทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆกลับไปก่อนรีบก้าวตามสิชลมาที่รถก่อนที่จะเป็นเป้าสายตาไปมากกว่านี้
“ทำไมนั่งเกร็งขนาดนั้นล่ะ หื้มม”
สิชลเอ่ยถามคนข้างกายที่ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลย ไม่รู้ว่าไม่พอใจที่เขาไปรอรับแบบนั้นหรือเปล่า
“แค่ยังไม่ชินน่ะ ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่เราจะไปไหนกันหรอ?”
เส้นทางที่รถเคลื่อนที่ผ่านตาเขาไม่ค่อยคุ้นตาสักเท่าไหร่ แต่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ต้องบอกว่าเขาไม่ค่อยรู้จักเส้นทางมากสักเท่าไหร่ เพราะปกติเขาเดินทางแอยู่แค่มหาวิทยาลัยกับหอพักก็แค่นั้น ไม่ค่อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาสักเท่าไหร่
“จะพาไปกินร้านประจำเราเอง อาหารอร่อย ราคาสบายกระเป๋า”
การจราจรในช่วงเวลาพักเที่ยงทำให้การเดินทางของเราค่อนข้างยาวนานสักหน่อย สิชลบอกว่าร้านอาหารที่จะพาไปนั้นปกติเดินทางไปเกิน20นาทีเพียงแต่วันนี้มันอาจจะนานกว่าปกติไปสักหน่อย
หลังจากที่ฝ่าฝันการจราจรติดขัดบนท้องถนนมาได้ตอนนี้กรวิทย์ก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารที่ขาดไม่ใหญ่มากนั้น บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้มีทั้งไม้ดอกและไม้ผล ส่วนบริเวณด้านในก็ตกแต่งโดยโทนสีขาวเสียส่วนใหญ่ให้ห้ามรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านประมาณนั้นเลย
สิชลบอกว่าอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่าง เขาเลยเลือกสั่งเป็นอาหารสิ้นคิดที่มักจะสั่งเมื่อเวลาที่นึกอะไรไม่ออกอย่างข้าวผัดกุ้ง หลายคนอาจมองว่าเป็นอาหารธรรมดาแต่เขารู้สึกว่าการจะทำให้มันอร่อยน่ะยาก กรวิทย์เลือกสั่งไปแค่อย่างเดียวที่เหลือเป็นหน้าที่ของคนตรงหน้าที่จัดแจงสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วบ่งบอกว่าเป็นร้านประจำจริงๆ
“สิชลมีเรียนตอนบ่ายต่อหรือเปล่า”
กรวิทย์เอ่ยถามคนตัวโตในระหว่างที่กำลังนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ
“จริงๆวันนี้อาจารย์ยกเลิกคลาสน่ะ ไม่มีเรียนหรอก”
“อ้าว แล้วมามหาลัยทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าแค่มารับเราไปกินข้าว”
“อื้มมม แล้วก็อยากเจอด้วย”
สายตาวิบวับที่ส่งมาจากคนตรงหน้ามันทำให้เขาเขินแบบไม่ต้องสงสัย สิชลในตอนนี้เหมือนไม่ใช่สิชลที่เขาเคยแอบมองมาก่อนเลย สายตาเจ้าเล่ห์ คำพูดที่คอยจะทำให้คนฟังต้องระเบิดตัวเองแบบนี้ไปเอามาจากไหนเนี่ย หรือเพราะที่ผ่านมามันเป็นภาพลวงตาใช่ไหมเนี่ย
“ร้อนหรอ? แก้มแดงเชียว จะให้ร้านเขาปรับแอร์ให้ไหม”
สิชลเอ่ยเย้าคนตัวเล็กไป ท่าทางขัดเขินของกรวิทย์ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยจริงๆ เรื่องที่เขาอยากเจอมันเป็นความจริงเขาไม่ได้พูดโกหก เขาตั้งใจไว้แล้วว่าสำหรับความสัมพันธ์ในครั้งนี้เขาอยากจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองให้มากที่สุด
ใช้เวลาไม่นานตอนนี้อาหารก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะจนไม่เหมือนว่ามากินกันสองคน สิชลตักอาหารให้คนตรงหน้าก่อนชวนคุยเรื่องราวทั่วๆไปเพื่อลดความอึดอัดที่เกิดขึ้น อาจเพราะบรรยากาศรอบตัวที่ดูผ่อนคลายจึงทำให้กรวิทย์กล้าที่จะพูดคุยมากขึ้น หัวเราะให้กับมุขตลกที่เขาเล่า บางครั้งก็เป็นฝ่ายที่จะถามเรื่องที่สงสัยกับเขาก่อนด้วย สิชลกำลังรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่เวลาคนตัวเล็กอยู่กับเขาแล้วยิ้มบ่อยแบบนี้
นั่งมองแบบนี้แล้วมันชื่นใจ“กินของหวานอีกไหมกร เค้กที่นี่อร่อยนะ ลองดูไหม?”
สิชลเอ่ยถามหลังจากที่พวกเขาจัดการอาหารบนโต๊ะเกือบหมดแล้ว และดูท่าทางว่ากรวิทย์น่าจะชอบของหวานอยู่ไม่น้อยดูได้จากตอนที่เดินเข้ามาในร้านก็จ้องมองตู้เค้กไม่วางตาเลย
“กินๆ กินของคาวเสร็จต้องมีของหวานปิดท้าย เค้กเนี่ยให้กินเท่าไหร่เราก็ไหว ฮ่าๆ”
รอยยิ้มของคนตัวเล็กยามเมื่อเอ่ยถึงของหวานบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวชอบมันมากจริงๆ ตาเป็นประกายวิบวับยามเมื่อได้เห็นของถูกใจ เขาให้กรวิทย์เดินไปสั่งเค้กทั้งของเจ้าตัวและก็เลือกมาเผื่อเขาด้วยชิ้นหนึ่ง และท่าทางของคนที่กำลังคิดหนักอยู่หน้าตู้เค้กมันดูน่ารักจนเขาต้องยกโทรศัพท์มาบันทึกภาพเก็บไว้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
“เราเลือกทิรามิสุมาให้สิชลอ่า ถูกใจหรือเปล่า หรือให้เราไปเปลี่ยน?”
“ถูกใจๆ เรากินได้หมด”
“อย่ากินไปงั้นๆสิ ถ้าไม่ถูกใจก็อย่าฝืน เดินไปเลือกเอาอันที่อยากกินมาสิ”
“หึหึ ถูกใจครับ ไม่ได้ฝืนอะไรเลย หน้างอทำไมเนี่ย”
“เราก็แค่อยากให้สิชลกินอันที่อยากกินจริงๆนี่นา ไม่ใช่ว่าเราเลือกอันไหนมาก็กินได้หมด”
ไม่รู้ว่ากรวิทย์รู้ตัวหรือเปล่าว่าเผลอแสดงอาการไม่พอใจออกมา ทุกทีคนตัวเล็กขี้เกรงใจจะตายไปอยากได้อะไรก็ไม่ค่อยพูด ไม่พอใจอะไรก็ไม่ยอมบอก แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังแสดงอาการงอแงที่ผมไม่ยอมใส่ใจกับเรื่องของกิน ฮ่าๆๆ
เวลาที่มีคนมาห่วงใยเราในเรื่องเล็กน้อย มันรู้สึกดีจริงๆ“ผมอยากกินทิรามิสุจริงๆครับ คุณกรวิทย์เลิกหน้างอได้แล้วนะ”
“เราไม่ได้หน้างอสักหน่อย”
“โอเคครับ ไม่หน้างอเนอะ ฮ่าๆ”
กรวิทย์ยู่หน้าใส่สิชลที่ใช้คำพูดล้อเลียนก่อนจะหันมาสนใจเค้กบราวนี่ตรงหน้า ช็อกโกแลตคือสิ่งที่เขาโปรดปรานมาก เขาสามารถไม่กินข้าวแต่กินเค้กช็อกโกแลตแทนได้ทั้งวัน ดังนั้นตอนนี้อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่าบราวนี่ตรงหน้าแล้วล่ะ
หลังจากจัดการกับอาหารหมดแล้ว สิชลก็พากรวิทย์กลับมาส่งที่หอพักเนื่องจากเพื่อนๆที่ชมรมโทรมาตามตัวให้กลับไปช่วยงาน แม้ใจเขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับคนตรงหน้าให้นานกว่านี้สักหน่อยก็ตาม สิชลมองกรวิทย์เดินขึ้นหอพักไปก่อนเขาจึงกลับไปยังชมรมเพื่อช่วยงานเพื่อน
✽ ✾ ✿ ❀ ❁ ❃ ❋
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน กรวิทย์ควานหาเครื่องมือสื่อสารพร้อมกดปิดเพื่อให้หยุดเสียงที่กำลังรบกวนเวลานอนของเขาแบบนี้ หน้าจอโทรศัพท์แสดงเวลา07.10น. วันนี้เป็นอีกวันที่กรวิทย์มีเรียนเช้า เมื่อวานหลังจากที่กลับมาจากทานข้าวกับสิชลเขาก็ทำการบ้านรวมทั้งรายงานที่ต้องเตรียมส่งในสัปดาห์นี้ และอาจเป็นเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเขาก็กินยาและเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม
นิ้วมือกดรหัสผ่านก่อนที่หน้าจอจะแสดงสายที่ไม่ได้รับจากสิชลและเพื่อนสนิทเขา เวลาที่โทรมาไล่เลี่ยกันคือประมาณสี่ทุ่ม แอปพลิเคชั่นไลน์ก็แสดงจำนวนข้อความที่ยังไม่เปิดอ่านและแน่นอนว่ามาจากเพื่อนๆของเขาเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งสิชลที่ไลน์มาถามว่าทำไมถึงรับสาย
ข้อความในไลน์กลุ่มที่คุยกันล้วนเป็นเรื่องราวที่เพื่อนๆพูดถึงเขาว่าให้อธิบายเรื่องทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สิชลมารับหรือเรื่องที่ไปกินข้าวด้วยกันมา เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเพื่อนๆรู้ล่ะว่าเขาไปกินข้าวกับสิชล กรวิทย์มั่นใจว่ายังไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย
ตึ้ง ตึ้ง
เสียงเตือนข้อความดังขึ้น กรวิทย์กดเข้าไปดูก่อนจะลิ้งค์ไปหน้าเฟสบุ๊คของเขาเอง ภาพจากอินสตาแกรมของสิชลถูกแชร์โดยแท๊กชื่อเขาไปด้วย ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังทำหน้าปลื้มปริ่มกับเค้กตรงหน้า แม้จะเป็นภาพก้มหน้าแต่ใครๆก็ดูออกว่าเป็นเขาพร้อมแคปชั่นใต้ภาพ
“น้อยใจ ชอบเค้กมากกว่าชอบเราหรอ?”กรวิทย์อยากจะทึ้งหัวตัวเองตอนนี้มาก ทำไมเป็นแบบนี้เนี่ย แบบนี้เขาก็รู้กันหมดสิ เขาไม่ได้เตรียมใจว่าจะมีคนรู้ความสัมพันธ์ในครั้งนี้มากมายขนาดนี้นะ จำนวนไลค์ที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมากกว่าเจ็ดร้อยไลค์รวมทั้งคอมเม้นต์มากมายเหล่านี้อีก หลายคนถามว่าเขาเป็นใคร และเป็นอะไรกับสิชล จำนวนคนที่เพิ่มเพื่อนก็มีเข้ามามากจนเขาตกใจ รวมทั้งข้อความจากคนรู้จักบางคนที่ถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับสิชล
เขาอยากจะบ้าตายจริงๆ แล้วจะไปเรียนอย่างสงบสุขได้อย่างไรเนี่ย และยังไม่ทันขาดคำข้อความจากเฟสบุ๊คก็เด้งขึ้นมาอีกครั้งแต่คราวนี้มาจากกล้า
Akrawint Sahabordin: กรกับสิชลเป็นอะไรกันเปล่า
Korrawit Pitakpol: 5555555
Akrawint Sahabordin: เราแค่อยากแน่ใจว่ายังพอมีหวังไหม?กรวิทย์ได้แต่นั่งอ่านข้อความล่าสุดที่กล้าส่งมาแล้วนิ่งงัน เขาไม่รู้จะตอบคำถามไปว่าอะไรดี เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายอยากจะรู้จักเขามากกว่าเพื่อน ตกใจจริงๆ และเพราะการให้ความหวังใครบางคนโดยที่เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงได้ไหมมันเป็นเรื่องที่แย่มากสำหรับเขา กรวิทย์ตัดสินใจตอบข้อความไป
Korrawit Pitakpol: กล้าเป็นเพื่อนที่ดีของเรานะ แม้ว่าจะรอการตอบกลับอยู่นานแต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากเครื่องหมายที่แสดงให้รู้ว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว เขารู้สึกกังวลความรู้สึกของกล้าอยู่ไม่น้อย เพื่อนต่างภาคคนแรกของเขา
และก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้กรวิทย์รีบหยิบผ้าขนหนูและไปอาบน้ำโดยใช้เวลาเพียงไม่นานเพราะในอีกไม่ช้าวิชาเรียนคาบแรกก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แต่งตัวด้วยความเร็วสูงพร้อมกับหยิบชีทเรียนแล้วรีบมุ่งตรงไปยังห้องเรียนทันทีโดยที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องในช่วงเช้าเลย
กรวิทย์ใช้เวลาเดินทางไม่นานเขาก็มาหยุดที่ห้องเรียนรวมแล้ว วิชานี้ไม่ใช่วิชาภาคจึงไม่แปลกที่นักศึกษาภายในห้องนี้จะไม่คุ้นหน้ากัน แต่อะไรคือการที่เขาเดินเข้าห้องไปแล้วทุกคนพร้อมใจกันหันมามองแล้วหันกลับไปซุบซิบกันแบบนั้น ส้มยืนโบกมือให้เขาอยู่ท้ายห้อง กรวิทย์รีบสาวเท้าเข้าไปหาทันที
“มาแล้วนะเพื่อนตัวดี เดี๋ยวนี้หัดมีความลับหรอ?”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้นั่งส้มก็เปิดปากถามผมทันทีโดยมีติณกับอาร์ทเป็นผู้ร่วมสอบสวนในครั้งนี้ด้วย และแม้ว่าอาจารย์จะเริ่มการสอนแล้วแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับความอยากรู้ของเพื่อนๆผมได้ ตลอดทั้งคาบนั้นผมเลยต้องเล่าเรื่องราวความคืบหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับสิชลให้เพื่อนๆฟังโดยที่ไม่มีโอกาสจะได้ฟังอาจารย์เลยแม้แต่น้อย และโชคดีที่นั่งท้ายห้องอาจารย์เลยไม่ค่อยสนใจพวกเราเท่าที่ควร
ส้มมีสีหน้าตกใจเมื่อฟังเรื่องราวที่ผมเล่าจนจบ แตกต่างกับติณและอาร์ทที่ดูเหมือนไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่โดยสองคนนั้นให้เหตุผลว่าก็แอบคิดไว้อยู่แล้วว่าเรื่องราวมันต้องมีวันนี้แต่ไม่คิดว่าจะเร็วเกินกว่าที่คาดไว้
“สรุปตอนนี้แกกับสิชลก็คบกันแล้วงั้นสิ”
ส้มเอ่ยถามออกมาหลังจากที่ตั้งสติจากเรื่องทั้งหมดได้แล้ว ผมพยักหน้ายืนยันให้กับคำถามของเพื่อนสนิท รู้สึกจักจี้ทุกครั้งที่มีคนถามถึงความสัมพันธ์อาจเพราะว่ายังไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก
“โอ๊ยยย ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันที่ฉันคิดไว้มันจะมาเร็วขนาดนี้”
“เราเองก็ยังไม่เชื่อเลยส้ม ความรู้สึกในวันนั้นเรายังจำไม่ได้เท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าหลังจากที่สิชลตอบรับ ทุกอย่างในหัวเราก็ว่างเปล่าไปหมดเลย”
“กูบอกแล้วว่าไอ้สิชลเองมันก็น่าจะสนใจมึงอยู่บ้าง” ติณเสริมขึ้นมา
กรวิทย์รู้สึกโล่งใจที่บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเพื่อนๆ ไม่รู้สิสำหรับเขาแล้วการที่เพื่อนๆคอยอยู่เคียงข้างมาตลอดในทุกช่วงเวลามันถือว่าเป็นความโชคดีของเขา และยามที่เขามีความสุขเขาเองก็อยากจะให้เพื่อนได้รับรู้กับเขาไปด้วย
“งานนี้ต้องมีฉลองนะ ช่วงบ่ายไม่มีเรียนแล้วพวกเราไปหาไรกินกันไหม?”
หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเสนอขึ้นมาและได้รับการเห็นด้วยจากทุกคนในกลุ่มว่าหลังจากที่เรียนเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายพวกเราว่างจะไปหาร้านบุฟเฟ่ต์กินกันตามคำเรียกร้องของติณกับอาร์ท
.
.
.
.
ตอนนี้พวกผมอยู่กันที่ร้านปิ้งย่างไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ โชคดีที่ส้มเลือกร้านที่มีเครื่องปรับอากาศพวกผมเลยต้องไม่ทนร้อนกันจนเหงื่อชุ่ม
“นานแล้วนะที่พวกเราไม่ได้มากินอะไรแบบครบทีมแบบนี้” ผมเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่นั่งนึกอยู่นานว่าครั้งล่าสุดที่พวกเราอยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาตั้งแต่เมื่อไหร่
“นั่นดิ นานแล้วเหมือนกันนะ” อาร์ททำท่านึกอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยเห็นด้วยกับผม
ในระหว่างนี้พวกเพื่อนๆต่างเดินไปหยิบของกินมาเต็มโต๊ะและลงมือปิ้งย่างจนเต็มตะแกรง กลิ่นหอมของอาหารกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานเต็มที่ และเขาที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้ามาด้วยมันเลยทำให้เขารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มันอร่อยเป็นพิเศษ
Rr Rr Rr .. .. .
เพลงสากลเพลงโปรดที่เขาตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ส่งเสียงขึ้นมา เพื่อนๆในกลุ่มหันมามองแล้วพอเห็นหน้าจอเป็นชื่อของสิชลก็ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจแต่หน้าตานี่ตั้งใจล้อเลียนเขาจริงๆ
“ฮัลโหล” ผมเอ่ยทักปลายสาย
“อยู่ไหนนี่ ทำไมเสียงดังจัง ช่วงบ่ายไม่มีเรียนแล้วไม่ใช่หรอ?”
“เฮ้ย! รู้ตารางเรียนเราได้ไงเนี่ย พอดีเรามากินข้าวเที่ยงกับส้ม ติณ แล้วก็อาร์ทน่ะ”
“โห ถ้าไม่ติดเรียนแลปช่วงบ่ายเราจะออกไปหาเลยนะเนี่ย”
“วันหลังก็ได้ แล้วนี่สิชลกินข้าวเที่ยงยัง”
“ได้กินแค่แซนวิชน่ะ จะมีควิซแลปเลยต้องรีบทำเวลาซะหน่อย”
“กินแค่นั้นจะอิ่มหรอ?”
“หึหึ ถ้าเป็นห่วงเรา วันหลังก็มาพาเราไปกินข้าวสิ”
“แล้วทุกทีไม่ได้ไปกินเองหรือไงล่ะ?”
“ก็อยากให้กรพาไปกินน่ะ ไม่ได้หรอ?”
“ไม่อยากจะพูดด้วยแล้ว ไปอ่านหนังสือต่อเลยไป”
“ฮ่าๆๆ โอเคๆ เดี๋ยวถ้าเรียนเสร็จเราโทรไปนะ กินให้อร่อยล่ะ”
ผมกดวางสายจากสิชลก่อนจะเริ่มลงมือทานต่อ แต่สายตาของเพื่อนๆที่มองมาเหมือนกำลังหมั่นไส้อยู่เลย ติณแกล้งพูดล้อเลียนผมโดยมีอาร์ทกับส้มหัวเราะให้กับท่าทางนั้น
“ดูท่าทางไอ้สิชลจะเป็นเอามากเหมือนกันนะเนี่ย”
อาร์ทเอ่ยออกมา แต่พอเห็นหน้าตาที่ไม่เข้าใจกับประโยคเมื่อครู่อาร์ทเลยอธิบายเพิ่มต่อ “ก็มันโทรเช็คมึงสามเวลาหลังอาหารแบบนี้ ไหนจะรูปมึงในigมันอีก นี่มันแสดงความเป็นเจ้าของชัดๆ”
ผมคิดตามที่อาร์ทบอก ตั้งแต่เราเริ่มตกลงว่าจะลองศึกษากันให้มากขึ้นผมเองก็รู้สึกได้ว่าสิชลใส่ใจกับทุกๆเรื่องของผมเสมอ บางทีผมก็แอบคิดว่าใครกันแน่ที่เป็นคนแอบรัก ผมเองไม่ใช่หรอ แต่ผมกลับไม่ค่อยกล้าแสดงออกสักเท่าไหร่เพราะบางครั้งกลัวทำให้เขาอึดอัดใจ แต่เรื่องการแสดงออกกลับเป็นสิชลเสียอีกที่พยายามเปิดเผยเรื่องราวระหว่างเราให้คนอื่นรับรู้ แค่นึกถึงว่าสิชลใส่ใจ ห่วงใย แค่นั้นก็ทำให้ผมยิ้มได้ทั้งวันแล้ว
TBC.ขอบคุณที่ยังคอยกันนะคะ
ครั้งนี้มาช้าไปหน่อยเพราะกำลังซุ่มแต่งนิยายอีกเรื่องอยู่
ยังติชมหรือแนะนำกันได้ตลอดเลยนะคะ
รักคนอ่านทุกคน